สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2562

คอนโดล้นกรุง 4หมื่นยูนิต 1.3แสนล.รอขาย

ตลาดคอนโดมิเนียมน่าห่วง เหลือขายทั่วกทม.สูงกว่า 4 หมื่นยูนิต กูรูอสังหาฯชี้ใช้เวลาระบายสต๊อก 28-30 เดือน ดีเวลอปเปอร์มึนยอดขายมีแต่รายได้ไม่เกิด ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หวังรัฐบาลใหม่อัดยาแรงกระชากกำลังซื้อ

ตลาดอสังหาริมทรัพย์มูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท ในปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาหนัก กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การเมืองที่ยังวุ่นจับขั้วแย่งชิงกันตั้งรัฐบาล บวกด้วยมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน (หลักเกณฑ์ LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสกัดความร้อนแรงในตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งในปี 2561 เปิดใหม่ทำลายสถิติสูงสุดจำนวน 6.5 หมื่นหน่วย

ตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ สิ้นปี 2561 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 451,475 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 3.471 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบ้าน จัดสรรทั้งหมดประมาณ 177,531 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1.107 ล้านล้านบาท และคอนโดมิเนียมทั้งหมดประมาณ 273,944 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 2.363 ล้านล้านบาท

หลังตลาดรับรู้มาตรการ ธปท.ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างมาก ต่อภาพรวมของธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์ ผู้ประกอบการมีความห่วงกังวลกับสินค้าเหลือขายที่อยู่ในมือแต่ละราย โดยเฉพาะบริษัทที่เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากๆ แม้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯที่เพิ่งออกมาก็ไม่สามารถช่วยได้

จากความกังวล สะท้อนออกมาให้เห็นช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ มีคอนโดมิเนียมเปิดขาย
ใหม่ในกรุงเทพฯ 18 โครงการ 8,443 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 45,432 ล้านบาท และส่วนใหญ่เปิดในช่วงปลายเดือนมีนาคม ลดลงจากช่วงไตรมาสก่อนหน้าถึง 12,438
ยูนิต หรือคิดเป็น 59.6% และลดลงจาก ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ที่ประมาณ 5,607 ยูนิต หรือคิดเป็น 39.9% และมูลค่าการลงทุนที่ประมาณ 85,910 ล้านบาท ถึง 47.1%

ปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียม มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จหลังจาก วันที่ 1 เมษายน 2562 ประมาณ 134,909 ยูนิต ด้วยมูลค่าประมาณ 403,261 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 89,179 ยูนิต มูลค่าประมาณ 270,187 ล้านบาท และเหลือขายอีกประมาณ 45,730 ยูนิต ด้วยมูลค่าประมาณ 133,074 ล้านบาท

กทม.ล้นกว่า4.2หมื่นยูนิต

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอล ลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันน่ากังวล เนื่องจากมีอุปทานเหลือขายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯรวมกันกว่า 4.2 หมื่นยูนิต โดยอัตราการขายอยู่ที่ประมาณ 45-50% ทั้งนี้ช่วงไตรมาส 1ปีนี้มีการเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มอีกประมาณ 8,000 ยูนิต และตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงครึ่งปีหลัง ผู้ประกอบการทุกรายคงเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ๆออกสู่ตลาด หลังจากไตรมาสแรกวุ่นกับการกระตุ้นให้ลูกค้ารีบซื้อรีบโอนกรรมสิทธิ์ก่อนมาตรการคุมสินเชื่อบ้านของธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 เมษายน 2562

ในสต๊อกที่มีกว่า 4.2 หมื่นยูนิต คอนโดมิเนียมกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีเหลือขายค่อนข้างมาก ผู้ซื้อกลุ่มใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ มีปัญหาการเลิกจ้างงาน ขณะที่ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาทยังไปได้ แต่ผู้ซื้อกลุ่มนี้มีปัญหาหนี้ครัวเรือนทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อค่อนข้างสูงเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มราคา 1.5 ล้านบาท ส่วนกลุ่มราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อลงทุน ก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้นหลังมาตรการรัฐเริ่มมีผลบังคับใช้

“ด้วยสต๊อกที่มีกว่า 4.2 หมื่นยูนิต ประเมินว่าต้องใช้เวลาระบายนานประมาณ 28-30 เดือน โดยที่ไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่เติมเข้ามา ซึ่งในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้”

“ถ้าหากว่าปีนี้สถิติการเปิดขายใหม่ยังสูงถึง 5 หมื่นยูนิต ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แบงก์เข้มการปล่อยสินเชื่อ ก็จะซํ้าเติมปัญหาสต๊อกล้น คาดการณ์ว่าดัชนีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในปีนี้จะถอยไปใกล้เคียงกับปี 2560 คือเฉลี่ยที่ประมาณ 7.4% ต่อเดือน คงต้องรอรัฐบาลใหม่จะมีนโยบายกระตุ้นที่แรงๆ ออกมา”

ยอดขายมีแต่รายได้ไม่เกิด

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวถึงสถานการณ์การขายในปัจจุบันว่ายอดขายมี แต่รายได้ไม่มีเพราะลูกค้ามีปัญหากู้ไม่ผ่าน โดยเฉพาะกลุ่มราคา 3 ล้านบาทซึ่งเป็นตลาดใหญ่ ผู้ซื้อมีปัญหาหนี้ครัวเรือน กับหนี้ส่วนบุคคล ดังนั้นจะเห็นว่าช่วงนี้มีปรากฎการณ์ลูกค้าทิ้งดาวน์ ทิ้งโอนเกิดขึ้น

“สะท้อนว่าแบงก์ชาติออกมาตรการมาเพื่อจะแก้ปัญหาไม่ให้เกิดฟองสบู่ แต่กลับทำให้เกิดฟองสบู่ จากการที่ผู้ประกอบการสร้างเสร็จ แต่ไม่สามารถขายได้เพราะลูกค้าคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกภาระสต๊อกจำนวนมาก ถ้ารัฐไม่ออกมาตรการมาอุ้มคงตายกันหมด”

ตลาดรวมโตลดลง

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า 5 เดือนแรกที่ผ่านมา มีโครงการเปิดขายใหม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนบริษัทรายเล็กก็ปรับตัวเน้นเจาะตลาดเฉพาะ เช่นโฮมออฟฟิศ ที่พัฒนาบนที่ดินของตนเอง ลดต้นทุนราคาที่ดินแพง อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับปีนี้คงเติบโตลดลง แต่ถ้าเทียบกับปีก่อนก็ยังเป็นบวก ซึ่งช่วง 5 ปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์บวกมาตลอด

ด้านนายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังเพิ่งเปิดตัวคอนโด มิเนียมระดับลักชัวรี “ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์” ในย่านเพลินจิต-หลังสวน มูลค่าโครงการรวม 2.9 พันล้านบาท ว่า ยอมรับตลาดอสังหาฯไทยขณะนี้ ชะลอตัว ไม่มีปัจจัยบวก โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองไม่ชัดเจน การจัดตั้งรัฐบาลไม่พร้อม ขณะเดียวกันตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดฯราคาตํ่ากว่า 5 ล้านบาท ที่เคยมีกำลังซื้อหลักจากผู้ซื้อชาวจีนเริ่มเห็นภาพชะลอลง ขณะที่นโยบายที่รัฐออกมา ลดค่าธรรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ ในกลุ่มที่อยู่ตํ่ากว่า 1 ล้านบาทนั้น มองเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน จุดประสงค์เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อย แต่ปัจจุบันกลุ่มดังกล่าวไม่มีกำลังซื้อ และแทบไม่มีซัพพลายในตลาดตอบรับ

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มตลาดบน ระดับลักชัวรี-ซูเปอร์ลักชัวรี ทั้งแนวราบและคอนโดฯ มองว่ายังไปได้ สะท้อนจากยอดขายโครงการแนวราบก่อนหน้า “วนา เรสซิเดนซ์” มูลค่า 1.8 พันล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 60% คาดปิดการขายปี 2563 ส่วนโครงการ “ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์” พัฒนาภายใต้การร่วมทุนในนาม ต้นสน ดีเวลลอปเม้นท์ ราคาเริ่ม 20 ล้านบาท (เฉลี่ย 3.6 แสนบาท/ตร.ม.) คาดจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน หลังจากมีจุดเด่นเรื่องทำเลที่ตั้ง เป็นกรรมสิทธิ์ฟรีโฮล ย่านเพลินจิตที่มีทำเลศักยภาพสูงสุดและที่ดินหายากมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ จำนวนซัพพลายในตลาดเกิดขึ้นน้อยมาก จึงเป็นที่ต้องการของทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติกลุ่มมีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง และจีน เป็นต้น เนื่องจากมีความน่าสนใจในแง่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับทำเล CBD อื่นๆ ขณะที่นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมบ้านจัดสรร ไม่เชื่อว่าไตรมาส 1 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์มากนั้นเป็นเพราะต้องการหนีมาตรการรัฐ เพราะถ้าหนีจริงตัวเลขต้องสูงกว่านี้ จากปัจจุบันไม่ต้องรอจบไตรมาส 2 ก็เห็นถึงความแย่ของตลาดแล้ว 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


พลิกเกมสู้ อสังหาฟื้นยอดขาย ไตรมาส2

บิ๊กเนม พลิกเกมสู้แอลทีวี หลังไตรมาสแรก บิ๊กอสังหาฯกำไรทะลัก จากการจัดแคมเปญ หนีมาตรการรัฐ ไตรมาส 2 เป็นต้นไป พฤกษา ยํ้าตลาดปีนี้ “มีเจ๊า ไม่มีโต” รวบทุกค่าใช้จ่ายบวกในราคาบ้านตัดปัญหาลูกค้าหาเงินสดวิ่งจ่ายค่าโอน-ส่วนกลาง ค่ายเพอร์ เฟค ตามรอยไตรมาสแรกอัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% อยู่ฟรี 2 ปี ศุภาลัย ลุยไอคอนสาทรมั่นใจโกยรายได้ทั้งปี 3.5หมื่นล้าน

จากตัวเลขผลประกอบการช่วงไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ปี 2562 บริษัทพัฒนา ที่ดิน รายใหญ่ สร้างรายได้ผลกำไรกันอย่างอู้ฟู่ จากการทำกิจกรรมทางการตลาด เร่งขายเร่งโอนให้ทันต่อมาตรการแอลทีวี ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่บังคับใช้ วันที่ 1เมษายน 2562 และเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มเห็นบรรยากาศ ความเงียบซึมของตลาด ทางออกหลายค่ายต่างแก้เกมลดการบอนไซด้วยกลเม็ดต่างๆ แม้จะล่วงรู้ว่า “ปีนี้ มีเจ๊า ไม่มีโต” ไล่ตั้งแต่การรวมทุกค่าใช้จ่ายไว้ในราคาบ้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์,จดจำนอง, ส่วนกลาง แม้แต่ค่าธรรมเนียมยื่นขอนํ้า-ไฟ    

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ปีนี้ “เจ๊า ..ไม่ โต” กว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีหลายปัจจัยกระทบ ทั้งเศรษฐกิจในภาพรวม มาตรการแอลทีวี ทางออกต้องจัดกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่อง นับตั้งแต่ กลางเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป โดยพฤกษา ใช้วิธีช่วยเหลือลูกค้า จากการนำทุกค่าใช้จ่ายบวกเข้าไปในราคาบ้าน ทำให้บ้านอาจแพงขึ้น 5% เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง, ค่าส่วนกลางฯลฯ ผ่อนดาวน์ไปกับธนาคารในคราวเดียวกัน โดยค่าธรรม เนียมต่างๆบริษัทจะจ่ายแทน โดยลูกค้าไม่ต้องหาเงินสดจ่ายในแต่ละส่วนเพิ่ม ขณะเดียวกัน ได้ร่วมกับแบงก์พันธมิตรคัดกรองลูกค้า ลดปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อ เจาะกลุ่มเป้าหมายตลาดสูงขึ้นหรือขยับไปตลาดบน ลดเปิดโครงการระดับกลางล่าง สร้างโครงการไซซ์เล็ก สำหรับโครงการบ้านแนวราบเน้นกลยุทธ์ยืดดาวน์นาน 6-8 เดือน เชื่อว่า ทุกค่ายจะใช้รูปแบบเดียวกัน พลิกเกมสู้แอลทีวีเช่นเดียวกับ ค่ายพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการบริษัท กล่าวว่า เพื่อให้บริษัทมีรายได้และผลกำไรดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก บริษัทยังคงใช้แคมเปญเดิม ผนึกแบงก์ ให้ดอกเบี้ย 0% อยู่ฟรี 2 ปีบริษัทออกทุกค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า ขณะบ้านแนวราบเน้นผ่อนดาวน์นานขึ้น เน้นจับตลาดบนทางด้าน นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหา ริมทรัพย์ไทยในขณะนี้ ว่าเชื่อมั่นตลาดยังอยู่ในภาวะปกติ การพัฒนาโครงการยังคงเป็นไปตามแผนดำเนินงานที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยคาดในช่วงไตรมาส 2ตัวเลขยอดขายจะดีขึ้น จากการเปิดตัวโครงการใหญ่มูลค่าสูงสุด 2 หมื่นล้านบาท “ศุภาลัยไอคอน สาทร” ซึ่งจะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้บรรลุเป้ายอดขายทั้งปี 2562 ที่วางไว้ 3.5หมื่นล้านบาท คาดจบช่วงไตรมาส 2 บริษัทจะมีตัวเลขยอดขายไม่ตํ่ากว่า 1.8 หมื่นล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 1

เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 1

ค่าเงินบาทไทยยังอ่อนค่าต่อเนื่อง จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกชะลอตัว รอความชัดเจนการเมือง และผลกระทบจากสงครามการค้า
***********************คมลัมน์ มันนี่วีก (Money week) โดย…สรรค์ อรรถรังสรรค์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้นในกรอบ 31.60 – 32.00 ในช่วงวันที่ 20-24 พฤษภาคม เงินบาทคาดว่าจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าตามประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1ที่คาดว่าจะออกมาต่ำกว่าตัวเลขในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยฉุดตัวเลขการส่งออกทีได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะที่การส่งออกเดือนเมษายนที่จะประกาศในช่วงกลางสัปดาห์คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าเช่นกันนอกจากนี้ นักลงทุนจะยังจับตามองการประชุมรัฐสภาครั้งแรกในสัปดาห์นี้ ที่จะกำหนดแนวโน้มของการเมืองไทยในระยะต่อไป ด้านปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนรอติดตามรายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดเพื่อประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินในปีนี้ รวมถึงการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปและผลการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนโดยแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนจะอ่อนค่าลงในช่วงหลังของสัปดาห์ โดยเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดที่ 31.587 และแข็งค่าขึ้น แม้ว่าจีนจะได้ออกมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บนสินค้ามูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐทั้งนี้ ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจกล่าวหาว่าไทยเข้าข่ายเป็นผู้แทรกแซงค่าเงินส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก แตะระดับแข็งค่าสุดที่ 31.443 อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของสัปดาห์ค่าเงินบาทเริ่มปรับอ่อนค่าลงหลังจากความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น โดยตัวเลขยอดค้าปลีกและการผลิตที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดในเดือนเมษายน
ขณะที่แรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังกดดันค่าเงินหยวนอยู่ต่อเนื่อง โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งพิเศษ (Executive order) ที่จะจำกัดการขายสินค้าและอุปกรณ์ของบริษัทกลุ่มสื่อสารของจีน ได้แก่ Huawei และ ZTE ในสหรัฐฯ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงมาก โดยปิดตลาดที่ 31.75 (ณ เวลา 17.00 น.)
ตลาดพันธบัตร ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนยังคงเข้าถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่ยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมไปถึงความกังวลต่อการประกาศขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากทั้ง 2 ฝ่ายอาจส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงไปมากกว่าในปัจจุบัน จนอาจถึงขั้นที่ธนาคารกลางในหลายๆประเทศจะต้องกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ถ้าดูจากตัวเลข FED Fund Future Rate ณ สิ้นปี 2019 นักลงทุน price in โอกาสที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง ในขณะที่ตัวเลข FED Fund Future Rate ณ กลางปี 2020 มีโอกาสที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 2 ครั้งทั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยคงต้องติดตามพัฒนาการของการเจรจาเรื่องสงครามการค้าว่าจะมีข้อสรุปออกมาในรูปแบบไหนและเศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้ามากน้อยเพียงใด รวมไปถึงติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ซึ่งปัจจัยข้างต้นนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าสิ่งที่ตลาด price in ในปัจจุบันนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาทรงตัวใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดย ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2562 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 1.80% 1.82% 1.88% 2.10% 2.29% และ 2.54% ตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

กินอาหารเวฟบ่อย ๆ เสี่ยงหรือไม่?

กินอาหารเวฟบ่อย ๆ เสี่ยงหรือไม่? thaihealth

ด้วยรูปแบบชีวิตทันสมัยของคนรุ่นใหม่ อะไรๆ ก็เร่งรีบสะดวกรวดเร็วไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่การรับประทานอาหารคนส่วนใหญ่ก็ยังนิยมบริโภคเป็น “อาหารจานด่วน” ที่สะดวกเหมาะสมกับชั่วโมงเร่งรีบ ทำให้อาหารเวฟ หรืออาหารที่ต้องทำการอุ่นจากไมโครเวฟนับว่าเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ได้ตรงความต้องการของคนที่มีเวลาน้อยแต่ทั้งนี้คำถามที่มีจึงมีอยู่ว่าเมื่อเราจะต้องบริโภคอาหารที่อุ่นจากไมโครเวฟบ่อย ๆ แล้ว จะเสี่ยงอันตรายจริงหรือไม่?อาหารที่อุ่นจากเตาไมโครเวฟ เป็นอาหารที่เก็บเหลือจากวันก่อน หรือมักจะเป็นอาหารจำพวกแช่แข็งที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ และเราก็มักจะนำมาอุ่นในไมโครเวฟอีกครั้งก่อนรับประทาน ซึ่งทั้งนี้ความอันตรายนั้นเกิดจากการเก็บรักษาของอาหารชนิดนั้น เนื่องจากอาหารแช่แข็งเป็นการแช่เย็นจัดทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโตถ้าการเก็บหรือการเคลื่อนย้ายไม่ถูกวิธีอุณหภูมิไม่ถูกต้องก็จะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตขึ้นและเป็นอันตรายได้หากอาหารได้รับการเก็บรักษาอย่างถูกต้องแล้วการอุ่นด้วยไมโครเวฟนั้นจะทำให้อนุภาคของน้ำในอาหาร เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เกิดเป็นความร้อนและเดือดขึ้นมาไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอาหาร ไม่ได้มีสารพิษอะไร และตัวคลื่นไม่โครเวฟ ไม่ได้เป็นรังสีใดๆ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย ยกเว้นว่าไม่ควรเข้าไปมองอาหารในไมโครเวฟ หรืออยู่ในระยะใกล้ชิดเกินไปนัก

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th

Memology ศาสตร์แห่งความจำ สุดยอดเคล็ดลับเพิ่มคลังคำศัพท์รับมือก่อนสอบ

Memology ครูพี่หวาย ครูพี่หวายธฤตสรณ์ ศรพรหม ความจำ คำศัพท์ ติวเตอร์ ปัญหาก่อนสอบ ปัญหาวัยรุ่น วิธีจำคำศัพท์ ศาสตร์แห่งความจำ สอบ เคล็ดลับความจำ

เชื่อว่าปัญหาหนักใจในช่วงใกล้สอบของน้องๆ หลายคน คืออ่านหนังสือสอบแล้วจำไม่ได้ หรือจำได้ในระยะเวลาสั้นๆ และลืมเนื้อหาไปอย่างรวดเร็ว วันนี้จะพาไปไขเคล็ดลับจัดการความจำให้อยู่หมัด ของ ครูพี่หวายธฤตสรณ์ ศรพรหม ติวเตอร์ชื่อดังขวัญใจคนรุ่นใหม่ จากโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอ็นคอนเส็ปท์ ซึ่งครูพี่หวายบอกว่า ความจำเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ด้วยศาสตร์แห่งความจำ (Memology) ทั้ง 3 ข้อคือ

Memology ศาสตร์แห่งความจำ

1. Memostory : Memory + Story จำเป็นเรื่อราว

เทคนิคนี้มาจากผู้ที่มีความจำที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของโลก อย่าง รอนไวท์ วิทยากรชื่อดังด้านการฝึกฝนความจำที่บอกว่าเราจะจำได้ดีขึ้น หากผูงโยงหน่วยต่างๆ ให้กลายเป็นเรื่องราว เช่นคำว่า “Bear” ที่สามารถแปลได้ถึง 6 ความหมายคือหมี, รับผิดชอบ, แบกรับ, ถือ, อดทน, ออกลูก ก็ให้เราผูกโยงเรื่องราวเป็น “หมีออกลูกมารับผิดชอบการถือปืนแบกปูนไปโบกตึกอย่างอดทน” เป็นต้น

2. Memologic : Memory + Logic จำด้วยภาพและเสียงที่คุ้นเคย

คือวิธีจดจำศัพท์โดยเชื่อมโยงกับความหมายภาพและการออกเสียงของคำ วิธีนี้เหมาะสำหรับการจดจำศัพท์ยากๆ และซับซ้อนเพราะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่าย จำได้นาน และเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นคำว่า “Pariah” ที่แปลว่า คนที่สังคมรังเกียจก็ให้น้องๆ จำพ้องกับคำว่า “ป้าร้ายอ่ะ” หรือ คำว่า “Precipitate” ที่แปลว่า “เร่งให้เกิดเร็วขึ้น” ก็ให้น้องๆ จำภาพและเสียงที่พ้องกับคำว่า “พี่ซิ่งพี่เทพ” ที่สื่อถึงความเร็ว

3. Memolody : Memory + Melody จำเป็นเสียง
หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมเนื้อเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ผ่านไปหลายปีแต่เรายังจำได้ดี แต่เวลาท่องศัพท์หรืออ่านหนังสือ ทำไมกลับลืมเนื้อหาได้อย่างงายดาย ทั้งที่ตั้งใจอ่านอย่างมุ่งมั่นแล้วแท้ๆนักวิทยาศาสตร์เองก็สงสัยเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จนมีงานวิจัยจากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่อธิบายว่า เสียงเพลงมีจังหวะและการลงสัมผัสคำที่กระตุ้นการทำงานของสมองส่วน “ฮิปโปแคมปัส” และสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียบเรียงความทรงจำ ทำให้เราดึงความจำออกมาได้ง่ายขึ้นซึ่งเราสามารถนำดนตรีและเพลงมาใช้ประโยชน์ ด้วยการเรียบเรียงคำศัพท์จัดกลุ่มคำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียง มาใส่คำร้อง ทำนอง เพื่อจัดหมวดหมู่และง่ายต่อการเรียกความจำชุดนั้นมาใช้ เช่นกลุ่มคำว่า “ใหญ่” ทั้ง 15 คำสามารถเรียบเรียงและจำเป็นเพลงด้วยเนื้อเพลงว่า“อยากโตอย่างช้าง Big, Large, Vast, Huge, Enormous, Tremendous, Numerous, Gigantic, Titanic อยากโตอย่างช้าง Mammoth, Massive, Monstrous, Colossal, Immense, Gargantuan” 
ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com

ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,200.00 19,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,244.00 18,859.04 19,800.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,119.60 16,973.14 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 995.20 15,087.23 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 560.00 8,489.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 435.00 6,594.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,289.00 19,541.24 n/a
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/05/2562
ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55
แก๊สโซฮอล์ 91 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28
แก๊สโซฮอล์ E20 26.54 26.54 26.94 26.94 26.94 26.54 26.54 26.94 26.54
แก๊สโซฮอล์ E85 20.99 20.99 20.99
เบนซิน 95 36.96 37.41 37.46 37.26 37.26
ดีเซล 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19
ดีเซลพรีเมี่ยม 31.79 32.06 32.25 32.25 32.25
แก๊ส NGV 15.94 28.19
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า