สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2562

ยักษ์คอนโด-มิกซ์ยูส ชนสนั่นกลางกรุง 10โครงการแสนล.

ราคาที่ดินทะลุ 2-3 ล้านบาทต่อตารางวา ปลุกยักษ์คอนโดฯ-มิกซ์ยูส กลางเมืองชนกันสนั่นเกือบ 10 โครงการวมนับแสนล้าน ศุภาลัยมั่นใจไอคอน สาทร ปลุกทำเลคึกคัก

ปมราคาที่ดินแพงทะลุกว่า 2-3 ล้านบาทต่อตารางวา รอบสถานีรถไฟฟ้าย่านซีบีดี (ศูนย์กลางธุรกิจ)ทำให้คอนโดมิเนียมในละแวกนั้นมีมูลค่าสูงตาม เพื่อให้เหมาะกับรสนิยมของลูกค้าและราคาที่ดิน

จากมุมสะท้อนของ นายสุรเชษฐกองชีพกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟีนิกซ์พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ระบุว่าโครงการมูลค่าสูงๆ ในย่านใจกลางเมืองส่วนใหญ่จะต้องพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เพราะส่วนใหญ่พัฒนาบนที่ดินแปลงใหญ่ของตนเอง หรือที่ดินเช่าของรัฐเมื่อรวมกับมูลค่าของโครงการที่พัฒนาบนที่ดินซึ่งมีหลากหลายรูปแบบการใช้ประโยชน์และเป็นโครงการขนาดใหญ่เพราะพัฒนาบนที่ดินขนาดใหญ่จึงมีผลให้มูลค่าโครงการสูงมากบางโครงการสูงหลายหมื่นล้านบาทหรือมากถึงแสนล้านบาทในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะยังมีอีกหลายโครงการที่จะ เปิดตัวในอนาคต

เช่น โครงการที่จะพัฒนาบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งที่สถานีกลางบางซื่อ, สถานีแม่นํ้า, บ้านพักพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย มักกะสัน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีที่ดินของกรมธนารักษ์ซึ่งปัจจุบันเป็นที่จอดรถตรงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต, ที่ดินเอกชนของกลุ่มเซ็นทรัล บริเวณหัวมุมถนนพระราม 9 โครงการซูเปอร์ทาวเวอร์, ที่ดินขนาด 51 ไร่ของกลุ่มบีทีเอส-เซ็นทรัล ย่านพหลโยธิน, ที่ดินสถานทูตอังกฤษ ของกลุ่มเซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์ มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท ซึ่งหลายโครงการส่วนใหญ่ยังไม่มีรายละเอียดออกมา และอีกหลายโครงการที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างพัฒนา

นายสุรเชษฐ กล่าวว่า เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นอีกทั้งที่ดินหลายๆ แปลงในหลายทำเลของหน่วยงานราชการมีการเปิดโอกาสให้เอกชนที่สนใจเข้าไปร่วมประมูลหรือเสนอผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของที่ดินเพื่อนำที่ดินไปพัฒนามีมากขึ้นก็อาจจะมีผลให้ในอนาคตกรุงเทพมหานครจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการมากกว่าหมื่นล้านบาทอีกหลายโครงการแน่นอน

ด้านนายไตรเตชะตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวโครงการใหญ่มูลค่าสูงสุด 2 หมื่นล้านบาท “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” เชื่อว่าจะช่วยให้ทำเลย่านสาทร และพื้นที่ใกล้เคียงคึกคักลูกค้าให้ความสนใจปิดการขายในเวลาอันรวดเร็ว 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

พิษคุมกู้ซื้อบ้าน ฉุดยอดโอนวูบ12%

แบงก์พาณิชย์โอด LTV ฉุดยอดสินเชื่อบ้าน-โอนลด คาดไตรมาส 2 วูบ “ออมสิน” จ่อออกแพ็กเกจอุ้มลูกค้า ออมก่อนซื้อ-ผ่อนดาวน์ก่อนกู้ “กสิกรไทย” หนีเจาะตลาด Gen Y “ซีไอเอ็มบี ไทย” จ่อหารือธปท.ลดผลกระทบ หลังตัวเลขเม.ย.วูบ 50%

มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยกำหนดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา หากดูตามข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีการสำรวจพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ พบว่า กลุ่มผู้ซื้อ พิษคุมกู้ซื้อบ้านฉุดยอดโอนวูบ 12%ที่อยู่อาศัยที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV จะอยู่ที่ประมาณ 18-22% เมื่อเทียบกับจำนวนบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในแต่ละปี โดยประเมินว่ามาตรการ LTV อาจมีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยประมาณ 1.8-2.2 หมื่นบัญชีนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ธนาคารจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือลูกค้าและลดผลกระทบจาก LTV ประมาณ 2-3 โปรเจ็กต์ เช่น 1.ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถให้ลูกค้ารายย่อยเข้าถึงบ้านได้มากขึ้น โดยที่ธนาคารไม่ได้รับความเสี่ยงมากขึ้น 2.กำหนดให้ลูกค้าออมเงินก่อนกู้ เนื่องจากลูกค้าต้องมีเงินดาวน์มากขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาวินัยการออม และ 3.ให้ลูกค้าผ่อนหรือชำระเงินผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไประยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยโอนให้ธนาคาร เป็นต้นในไตรมาสแรกธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อแล้ว กว่า 1 หมื่นล้านบาท เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้และทั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 6-7 หมื่นล้านบาท แต่หลังเดือนมีนาคมสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัว จึงเป็นที่มาที่ธนาคารเสนอคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ออกมาตรการช่วยเหลือ ส่วนยอดการปฏิเสธสินเชื่อภายหลังจากมีมาตรการ LTV ตัวเลขไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากธนาคารไม่ได้เปลี่ยนสูตรหรือหลักเกณฑ์ในการอนุมัติสินเชื่อขณะที่คุณภาพสินเชื่อ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3% มีอัตราเพิ่มขึ้นบ้างตามแนวโน้มหนี้ครัวเรือนที่ขยับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งระบบยังถือว่าตํ่า เนื่องจากธนาคารช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยืดอายุการชำระหนี้ เป็นต้น 
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสแรกเติบโต 4% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาทส่วนหนึ่งมาจากยอดค้างโอนในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนไตรมาส 2 ยังเห็นภาพไม่ชัด แต่ยอมรับว่าน่าจะชะลอตัวอย่างไรก็ดี ธนาคารมองว่า กลุ่ม Gen Yเป็น กลุ่มที่มีความสำคัญ และจะเห็นการเติบโตใน 1-2 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุตั้งแต่ 25-38 ปี มีรายได้มากกว่า 4 หมื่นบาทต่อเดือน และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมากกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือนยังไม่มีที่อยู่อาศัยของตัวเองมีสัดส่วนประมาณ 72% ของประชากรกลุ่มนี้ 1.89 ล้านคน กำลังมองหาบ้านราคาระดับ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ประมาณ 4.2-5 หมื่นหน่วยต่อปี จึงเป็นโอกาสในการเติบโตของธนาคาร“ผลจาก LTV จะส่งผลให้กลุ่มคนที่มีความต้องการในการซื้อบ้านหลังแรก หลังที่ 2 และ หลังที่ 3 ชะลอ เนื่องจากลูกค้าต้องหาเงินส่วนต่างมาจ่ายเงินดาวน์มากขึ้น หากดูตัวเลขจากศูนย์วิจัยฯ คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปีนี้อาจอยู่ที่จำนวน 169,300 -177,000 หน่วย หรือหดตัวประมาณ 8.5 -12.5% ซึ่งเราก็ต้องหากลุ่มใหม่ๆ โต เช่น กลุ่ม Gen Y เป็นต้น”นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ยอมรับว่ายอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงเล็กน้อยภายหลังจากมาตรการ LTV บังคับใช้ โดยยอดสมัครสินเชื่อใหม่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ารู้ตัวว่ามีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจชะลอการซื้อออกไป ส่วนผลกระทบจะมีมากน้อยต่อเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อหรือไม่นั้น ธนาคารได้ติดตามอย่างใกล้ชิดในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี กลุ่มที่เข้าข่ายหลักเกณฑ์กำกับ เป็นเซ็กเมนต์ที่ธนาคารไม่ได้เน้นทำอยู่แล้ว จึงประเมินว่าภาพรวมไม่กระทบมากนักนายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดือนเมษายนเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมลดลงเกือบ 50% และเทียบเดือนเมษายนปีนี้กับปีก่อนก็ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยในช่วง 4 เดือนแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อไปแล้ว กว่า 7 พันล้านบาท จากเป้าทั้งปีอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดอนุมัติสินเชื่อทรงตัวอยู่ที่ 50-60% หนี้เอ็นพีแอลอยู่ที่กว่า 1% ธนาคารจึงขอประเมินผลกระทบจากมาตรการ LTV ก่อนจะเข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) 
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

บาทเปิด 31.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า

บาทเปิด 31.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า

เงินบาทเปิดตลาด 31.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า มองกรอบวันนี้ 31.85-32.00 จับตาตัวเลขส่งออกไทย
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.95 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ ที่ปิตลาดที่ระดับ 31.91 บาท/ดอลลาร์“มีแรงซื้อดอลลาร์เมื่อเทียบกับทุกสกุล หลังมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯน่าจะจัดการปัญหาสงครามการค้าได้ โดยวันนี้ให้ติดตามส่งออกนำเข้าของไทย”นักบริหารเงิน กล่าวนักบริหารเงิน ยังประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 31.85 – 32.00 บาท/ดอลลาร์ 
ขอบคุณข้อมูลจาก  posttoday.com 

สร้างองค์ความรู้ การป้องกันอันตรายจากแมงกะพรุนพิษ
สร้างองค์ความรู้ การป้องกันอันตรายจากแมงกะพรุนพิษ thaihealth
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเครือข่ายระบาดวิทยา สร้างองค์ความรู้ด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ เผยที่ผ่านมา มีรายงานการค้นพบและพิสูจน์ได้ว่า มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษในน่านน้ำทะเลไทยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิด การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการองค์ความรู้เพื่อการสร้างเครือข่าย” และ “การทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ” ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ร่วมกับเครือข่าย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมแพทย์ทหารเรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยมหิดล          นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยค้นพบและพิสูจน์ได้ว่ามีการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษในน่านน้ำทะเลไทย จากรายงานสถานการณ์ตั้งแต่ปี 2542 – 2558 พบกลุ่มผู้บาดเจ็บรุนแรงจากแมงกะพรุนพิษอย่างน้อย 40-50 ราย และเสียชีวิตจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษ จำนวน 8 ราย เป็นชาวต่างชาติ 6 ราย คนไทย 2 ราย โดยทั้งหมดเกิดจากแมงกะพรุนกล่องชนิดหนวดหลายเส้น และพบว่ากระจายอยู่ใน 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง สตูล สงขลา และสุราษฎร์ธานี          กรมควบคุมโรค ได้เล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาเรื่องการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ และการสื่อสารความเสี่ยงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ฝึกอบรมให้ความรู้ให้ครอบคลุมทุกด้าน รวมไปถึงสร้างและผลิตสื่อในหลากหลายรูปแบบให้เหมาะสมกับประชากรเป้าหมายแต่ละกลุ่ม สร้างภาคีเครือข่ายชุมชนแมงกะพรุนพิษ เช่น สถานประกอบการโรงแรมและที่พักตากอากาศ สมาคมท่องเที่ยว ชมรมท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศก์ ชมรมหน่วยกู้ชีพ สื่อสารมวลชน กรมแพทย์ทหารเรือ ครู บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งผลการดำเนินงานพบว่า ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บรุนแรงและผู้เสียชีวิตจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษเพิ่มอีก          การประชุมครั้งนี้ นอกจากการทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีการมอบโล่เกียรติคุณแก่ผู้มีคุณประโยชน์และสนับสนุนให้กับหลายภาคส่วน อาทิเช่น ศ.คลินิก นพ.นิเวศ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.ดร.พญ.ลักขณา ไทยเครือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.สมชัย บุศราวิช ที่ปรึกษาคณะทำงานสัตว์ทะเลมีพิษประเทศไทย อีกทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้การสื่อสารความเสี่ยง และการกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาและภัยสุขภาพจากแมงกะพรุนพิษอย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th

ผู้แพ้ที่แท้จริงคือกูเกิล

ผู้แพ้ที่แท้จริงคือกูเกิล

บทวิเคราะห์ผู้แพ้ ผู้ชนะ และตาอยู่ในสงครามการค้าที่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกเป็นเดิมพัน โดยกรกิจ ดิษฐาน
                   หัวเว่ยคือเป้าหมายการโจมตีจากรัฐบาลสหรัฐ โดยมีกูเกิลเป็นหัวหอกภาคธุรกิจของสหรัฐที่ประกาศตัดญาติขาดมิตรหัวเว่ย ออกจากระบบแอนดรอยด์แต่ผู้แพ้ที่ยับเยินที่สุดไม่ใช่หัวเว่ย แต่เป็นกูเกิลมีคำกล่าวว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” หัวเว่ยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แม้ว่าหัวเว่ยจะไม่ใช่วีรบุรุษ แต่สถานการณ์ที่บีบคั้นกำลังทำให้หัวเว่ยต้องเร่งพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราทราบกันแล้วว่ามันคือระบบปฏิบัติการหงเหมิง (Hongmeng) และหัวเว่ยซุ่มพัฒนา OS ตัวนี้มาระยะหนึ่งแล้วในฐานะแผน Bหลังจากนี้ไม่เฉพาะแต่หัวเว่ยเท่านั้นที่ต้องมีแผน B ประเทศไหนก็ตามที่มีเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนของตัวเอง หรือมีปัญหาระหองระแหงกับประเทศตะวันตก จะต้องซุ่มพัฒนา OS และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมารองรับสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน เพราะรับประกันไม่ได้ว่า วันดีคืนดีสหรัฐจะลุกขึ้นมาใช้ไม้นี้กับพวกเขาหรือไม่?เรื่องนี้จึงอาจถือเป็นจุดจบของยุครุ่งเรืองของกูเกิล ที่กุมระบบแอนดรอยด์มาหลายปี แต่แทนที่จะทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมา กลับยอมให้รัฐบาลชี้นำจนนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจหัวเว่ยเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราต้องวิเคราะห์กัน แต่อาจกล่าวโดยย่อไว้ ณ ที่นี้ได้เลยว่า จนถึงทุกวันนี้ สหรัฐและพันธมิตรก็ยังไม่มีหลักฐานเอาผิดหัวเว่ยได้แบบอยู่หมัด มีแต่ข้อกล่าวหาลอยๆ เท่านั้น
                กูเกิลในฐานะบริษัทอเมริกัน มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐหลังจากที่รัฐบาลมีคำสั่งขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย กูเกิลไม่ทำตามคำสั่งก็ไม่ได้ผลกระทบไม่ใช่แค่สายสัมพันธ์กับหัวเว่ยจะขาดสะบั้นเท่านั้น แต่กูเกิลยังปิดตายประตูเข้าสู่จีนไปตลอดกาล นั่นหมายความว่ากูเกิลได้ปล่อยให้ตลาดใหญ่ที่สุดในโลกได้หลุดมือไปเรียบร้อยแล้วไม่เฉพาะแค่กูเกิล บริษัทอเมริกันรายอื่นๆ ก็อาจโดนหางเลขไปด้วย รวมถึงเฟซบุ๊ค ที่พยายามจะเข้าจีนครั้งแล้วครั้งเล่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กมีภรรยาเป็นคนจีนก็แล้ว ลงทุนพูดภาษาจีนก็แล้ว มาจีนไม่รู้จักกี่รอบแล้วก็ยังพาเฟซบุ๊คเข้ามาไม่ได้แต่นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับความน่าเชื่อถือที่กูเกิลได้ทำลายลงไปจนสิ้นซาก เพราะต่อไปนี้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับกูเกิลจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่รู้ว่าจะถูกเล่นงานแบบหัวเว่ยหรือไม่แน่นอนว่า หัวเว่ยต้องรู้เรื่องนี้และคาดการณ์เอาไว้แล้ว OS หงเหมิงไม่ใช่แค่แผน B แต่ยังมีแผน C ที่รองรับเอาไว้แล้ว นั่นคือ App Gallery ซึ่งเปิดตัวไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นร้านค้าแอพที่ให้บริการนอกจีน และหัวเว่ยออกแบบแอพที่จะตอบสนองผู้ใช้ในโลกตะวันตก โดยไม่อิงกับระบบของกูเกิลยุโรปเป็นภูมิภาคที่กูเกิลถูกโจมตีอย่างหนักด้วยข้อหาผูกขาดตลาด ดังนั้นกูเกิลจึงเปิดช่องโหว่เอาไว้ที่นี่ ตลาดยุโรปจึงมีพื้นที่ให้เสิร์ชเอ็นจินอื่นๆ ผู้ให้บริการแอพอื่นๆ นอกเหนือจากกูเกิล และนี่คือ “คำสั่งศาลยุโรป” ให้ต้องเจียดพื้นที่ให้บริษัทอื่นด้วย ไม่ใช้กุมอยู่รายเดียวส่วนหัวเว่ยครองสัดส่วนตลาดสมาร์ทโฟน 20% ใน 22 ประเทศของยุโรป รวมถึงสเปน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ และปีนี้หัวเว่ยหรือกับผู้ให้บริการระบบในยุโรปเพื่อติดตั้ง App Gallery โดยจะให้ส่วนแบ่งพอสมควรเลยทีเดียวกับหุ้นส่วนในยุโรป และจะทำให้สมาทโฟนของหุ้นส่วนในยุโรปมี App Gallery พร้อมๆ กับ App store ของกูเกิลภายในเครื่องเดียวกันบางทีนี่อาจเป็นทางออกให้กับประเทศอื่นๆ ที่ใช้เครื่องของหัวเว่ยก็เป็นได้ไม่เพียงเท่านั้น หัวเว่ยยังล่อใจนักพัฒนาแอพ โดยสัญญาว่าจะช่วยทำการตลาดให้ และจะช่วยเปิดตลาดแอพในจีนให้ด้วย ถือเป็นเงื่อนไขที่น่าเย้ายวนใจมาก เพราะจู่ๆ ก็ได้เข้าถึงตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแค่ช่วยหัวเว่ยเท่านั้นดังนั้น การขั้นบัญชีดำของทรัมป์จึงเป็นโอกาสทองของ App Gallery เสียอย่างนั้น แถมยังบั่นทอนส่วนแบ่งตลาดของกูเกิลอีกต่างหากแม้จะมีโอกาสในวิกฤต แต่ในวิกฤตก็มีเรื่องเสียโอกาสเช่นกัน ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดก็คือ หลังจากนี้หัวเว่ยจะหล่นจากตำแหน่งผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนสูงสุดอันดับ 2 ของโลกในทันที และจะมาอยู่ที่ 3 ตามหลังซัมซุงและแอปเปิล ถึงแม้ว่าสหรัฐจะยุติมาตรการคว่ำบาตร แต่ผู้บริโภคจะขยาดกับหัวเว่ย เพราะ Damage has been done หรือความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เหรินเจิ้งเฟย บอกว่าถึงเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทหัวเว่ย แต่ลูกๆ ของเขาใช้แอปเปิลกันหมด พวกเขาไม่มีความคิดเรื่องกีดกันการค้า หรือต้องใช้ของจีนเท่านั้นแต่คนจีนทั่วไปอาจไม่ได้ใจวางผลิตภัณฑ์อเมริกันเหมือนเขา และไม่แน่ว่ายอดขายแอปเปิลอาจจะตกลงในจีน หรือเกิดกระแสต่อต้านสินค้าอเมริกันอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าเป็น “ดาบนั้นคืนสนอง”ปีนี้กูเกิลคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หลังนี้จะโชว์โฆษณาในผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยไม่ได้แล้ว จึงคาดเดาไม่ได้ว่ารายได้จะตกลงไปเท่าไร สื่อต่างประเทศบางรายชี้ว่าเป็นแค่ภาวะสะอึก แต่การสะอึกไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวใช่หรือไม่? ยังไม่นับตลาดยุโรปที่กูเกิลถอยทัพ แต่หัวเว่ยกำลังรุกคืบ แล้วไหนจะประเทศในเอเชียอีกมากมายที่ยังไม่เลือกฝั่ง แถมยังรู้สึกหมันไส้สหรัฐที่กลั่นแกล้งประเทศโน้นประเทศนี้ไม่หยุดหย่อนจริงอยู่ที่พวกเรายังต้องใช้ระบบแอนดรอยด์และแอพพลิเคชั่นของกูเกิล แต่หลังจากนี้เราจะเริ่มตาสว่างกันแล้วว่า การผูกขาดตลาดโดยกูเกิลมีอันตรายมากแค่ไหน
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,200.00 19,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,244.00 18,859.04 19,800.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,119.60 16,973.14 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 995.20 15,087.23 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 560.00 8,489.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 435.00 6,594.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,289.00 19,541.24 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/05/2562 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55 29.55
แก๊สโซฮอล์ 91 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28 29.28
แก๊สโซฮอล์ E20 26.54 26.54 26.94 26.94 26.94 26.54 26.54 26.94 26.54
แก๊สโซฮอล์ E85 20.99 20.99 20.99
เบนซิน 95 36.96 37.41 37.46 37.26 37.26
ดีเซล 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19 28.19
ดีเซลพรีเมี่ยม 31.79 32.06 32.25 32.25 32.25
แก๊ส NGV 15.94 28.19
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า