‘เซ็นทรัล’ บูมรังสิต ดันคอนโดคึก
ตลาดลงทุนคอนโดฯรังสิตคึกรับเมกะโปรเจ็กต์เอกชนสร้างเมืองใหม่ 1,000ไร่ เซ็นทรัลปักหมุด 600 ไร่ บูมรังสิต ฟิวเจอร์พาร์ค ขยับปรับปรุง
แนวนโยบายขยายความเจริญของเมือง ผ่านผังเมืองฉบับใหม่และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐก่อให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในโหนดใหม่ๆ รวมถึงโอกาสสำหรับนักลงทุน
นายชัยวัฒน์ จักรแต๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว จำกัด เปิดเผยว่าปัจจุบันย่านรังสิต กลายเป็นตลาดที่น่าจับตาของผู้พัฒนาและนักลงทุนอสังหาฯ เนื่องจาก เป็นประตูทางออกสู่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกของประเทศ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่น ของกลุ่มคนทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ครู อาจารย์ แพทย์ พยาบาล รวมถึงเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยรังสิต ทำให้มีความต้องการในด้านที่อยู่อาศัยจากกลุ่มนักศึกษาสูงมาก ทั้งในแง่การซื้อหรือเช่า มีการพัฒนาโครงการเมกะรังสิต กว่า 1,000 ไร่ ให้เป็นเมืองใหม่, การพัฒนาเซ็นทรัลเอ็ม ซึ่งเป็นห้างใหม่ของกลุ่ม CPN อีก 600 ไร่, แผนปรับปรุงฟิวเจอร์พาร์ครังสิตให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม รวมถึงการขนส่ง ระบบคมนาคมที่ถูกพัฒนา เชื่อมต่อพื้นที่ชั้นในและชั้นนอก ผ่านโครงการรถไฟฟ้า,รถไฟความเร็วสูง, มอเตอร์เวย์สายใหม่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้รังสิตเป็นทำเลแห่งอนาคต มีความน่าสนใจ
“ย้อนไป 3 ปี รังสิตไม่มีความเคลื่อนไหวของราคาที่ดินอย่างเป็นนัย แต่หลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม สถานีบางซื่อ-รังสิต-สู่สถานีเชียงราก กำหนดเสร็จอีก 3 ปีข้างหน้า, มีถนนมอเตอร์เวย์สายใหม่ผ่านรังสิต ไม่นับรวมแผนพัฒนาสนามบินเฟส 3 ทำให้พื้นที่เจริญสูงมาก ราคาที่ดินเติบโตสูงขึ้น 5-10%”
ด้าน นางอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันทำเลรังสิตรัศมี 5 กิโลเมตร รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีซัพพลายที่อยู่อาศัยยอดนิยม 3 กลุ่มหลัก คือ คอนโดมิเนียม หอพัก และอพาร์ต เมนต์ รวมเพียง 23,000 หน่วย ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของกลุ่มนักศึกษา ที่มีมากกว่า 7 หมื่นราย และนักศึกษาใหม่อีกปีละ 8 พันราย ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนปล่อยเช่าเติบโตอย่างน่าสนใจ อยู่ที่ 4-6% อัตราการเช่า 95% ตลอดทั้งปี
“เป็นทำเลที่มีความน่าสนใจในแง่การเติบโตของราคาขาย พบ 1-2 ปีก่อนหน้า คอนโดฯเกิดใหม่ ราคาขายประมาณ 7 หมื่นบาท/ตร.ม. ปัจจุบันขยับไปแตะ 1 แสนบาท/ตร.ม. สะท้อนถึงช่องว่างการเติบโตของราคาได้อีกมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในทำเลใจกลางเมือง ที่ราคาเต็มเพดาน ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าลดลง”
ขอบคุณข้อมูล thansettakij.com
กทม.เร่งปรับปรุงสถานีสูบน้ำ ยกเครื่องโซนหลักสี่ บางเขน วิภาวดีฯ
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ร่วมกับนายณรงค์ เรืองศรี ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ นางสาววนิดา เจียงไพศาลกุล ผู้ช่วยปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักการระบายน้ำ สำนักงานเขตในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณสถานีสูบน้ำคลองวัดหลักสี่ขาเข้า สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อขาเข้าฝั่งเหนือ สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อขาออกฝั่งเหนือ งานก่อสร้างระบบระบายน้ำซอยแจ้งวัฒนะ 5 จากถนนแจ้งวัฒนะถึงคลองเปรมประชากร การปรับปรุงซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 42 และโครงการก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (Water Bank) บริเวณสถานีตำรวจนครบาลบางเขน
“โดยการดำเนินงานในครั้งนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ยุทธศาสตร์ มหานครปลอดภัย ที่มีเป้าหมายให้กรุงเทพมหานครปลอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยวางมาตรการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสม อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีปลอดมลพิษ มีระบบการจัดการน้ำเสียและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ”
นอกจากนั้นกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต เนื่องจากถนนวิภาวดีรังสิตเดิมอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวง ต่อมาเมื่อปี 2542 กรมทางหลวงได้มอบให้กรุงเทพมหานครดูแลรับผิดชอบระบบระบายน้ำบริเวณคูน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งนี้สถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตได้เปิดใช้งานมาเป็นระยะเวลายาวนาน อัตรากำลังสูบน้ำที่มีอยู่เดิม 59 ลบ.ม./วินาที ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำนักการระบายน้ำจึงดำเนินโครงการปรับปรุงสถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต จำนวน 15 สถานี โดยปรับปรุงเพิ่มอัตรากำลังสูบน้ำเป็น 81 ลบ.ม./วินาที
สำหรับสถานีสูบน้ำที่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุง 3 สถานี ได้แก่ สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อขาออกฝั่งเหนือ ผลงานที่ทำได้ 30% สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อขาเข้าฝั่งเหนือ ผลงานที่ทำได้ 40% และสถานีสูบน้ำคลองวัดหลักสี่ขาเข้า ผลงานที่ทำได้ 26%
ทั้งนี้รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้ผู้รับจ้างดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำชั่วคราว ในระหว่างที่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เพื่อเร่งระบายน้ำจากถนนวิภาวดีรังสิตและคูน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตลงสู่คลองในพื้นที่ เมื่อโครงการปรับปรุงสถานีสูบน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตแล้วเสร็จทั้งหมด จะเพิ่มอัตรากำลังสูบน้ำจาก 81 ลบ.ม./วินาที เป็น 110 ลบ.ม./วินาที สามารถเร่งระบายน้ำลงสู่คลองบางซื่อ คลองลาดยาว คลองบางเขน คลองวัดหลักสี่ ระบายออกสู่คลองเปรมประชากร และอีกส่วนหนึ่งระบายออกคลองลาดพร้าว ตลอดจนช่วยดึงน้ำบริเวณคูน้ำตามแนวถนนวิภาวดีรังสิตทั้งฝั่งขาเข้าและฝั่งขาออกลงสู่ระบบอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้สำนักการระบายน้ำได้ดำเนินงานก่อสร้างระบบระบายน้ำซอยแจ้งวัฒนะ 5 จากถนนแจ้งวัฒนะถึงคลองเปรมประชากร โดยวางท่อระบายน้ำค.ส.ล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.50 ม. ความยาว 720 ม. ภายในซอยแจ้งวัฒนะ 5 เพื่อดึงน้ำจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าสู่บ่อสูบน้ำกำลังสูบ 4.5 ลบ.ม./วินาที ระบายลงสู่คลองเปรมประชากร ประกอบด้วย ก่อสร้างบ่อสูบน้ำค.ส.ล. จำนวน 1 แห่ง ก่อสร้างท่อระบายน้ำค.ส.ล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.50 ม. ความยาว 720 ม. พร้อมบ่อพัก ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้า กำลังสูบ 0.5 ลบ.ม./วินาที จำนวน 1 เครื่อง เครื่องสูบน้ำไฟฟ้า กำลังสูบ 1.0 ลบ.ม./วินาที จำนวน 2 เครื่อง เครื่องสูบน้ำไฟฟ้า กำลังสูบ 2.0 ลบ.ม./วินาที จำนวน 1 เครื่อง
ฃ“ขณะนี้ผู้รับจ้างได้ดำเนินการวางท่อระบายน้ำค.ส.ล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.50 ม. ได้ความยาว 720 ม.แล้วเสร็จ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้า จำนวน 4 เครื่อง กำลังสูบรวม 4.5 ลบ.ม./วินาที พร้อมติดตั้งหม้อแปลงและมิเตอร์ไฟฟ้าแล้วเสร็จ ผลงานโดยรวมทำได้ 95% โดยวันนี้ผู้รับจ้างได้ทดลองเปิดเดินเครื่องทดสอบระบบระบายน้ำซอยแจ้งวัฒนะ ซึ่งระบบระบายน้ำดังกล่าวสามารถใช้งานได้แล้ว โดยจะช่วยดึงน้ำจากถนนแจ้งวัฒนะระบายลงสู่คลองเปรมประชากร บรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนและผู้มาติดต่อราชการในบริเวณดังกล่าว”
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวต่อว่าได้มอบหมายให้สำนักการระบายน้ำติดตามโครงการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งรัดผู้รับจ้างให้ดำเนินการเก็บรายละเอียดของงานในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
สำหรับการปรับปรุงซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 42 ประกอบด้วย การวางท่อระบายน้ำค.ส.ล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.00 ม. ความยาว 359 ม. สร้างบ่อพักระบายน้ำค.ส.ล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.00 ม. พร้อมฝาบ่อพักในผิวจราจร จำนวน 26 บ่อ สร้างชั้นพื้นฐานหินคลุกบดอัดแน่น ความหนาเฉลี่ย 0.15 ม. พร้อมสร้างผิวทางค.ส.ล. ความหนาเฉลี่ย 0.15 ม. ความกว้าง 2.60 ม. เนื้อที่ประมาณ 957 ตร.ม. ขณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
“มอบหมายให้สำนักการระบายน้ำและสำนักงานเขตหลักสี่ พิจารณาหาจุดที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม และดำเนินการสำรวจท่อระบายน้ำบริเวณซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 42 และบริเวณใกล้เคียง เพื่อปรับปรุงท่อระบายน้ำให้เชื่อมต่อถึงกัน เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำจากซอยงามวงศ์วาน 47 ไปลงคลองลาดโตนด ผ่านเข้าสู่ระบบระบายน้ำศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางซื่อได้ดียิ่งขึ้น”
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวอีกว่า ในส่วนโครงการก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (Water Bank) บริเวณสถานีตำรวจนครบาลบางเขน ประกอบด้วย ก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำค.ส.ล. จำนวน 1 บ่อ ก่อสร้างบ่อรับน้ำค.ส.ล. จำนวน 2 บ่อ ก่อสร้างบ่อส่งน้ำค.ส.ล. จำนวน 1 บ่อ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้า กำลังสูบ 1 ลบ.ม./วินาที จำนวน 1 เครื่อง โดยก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำที่ซอยอัมรินทร์ 3 และบ่อรับน้ำที่ปลายคลองบางบัว เพื่อดึงน้ำฝนที่ท่วมขังบริเวณวงเวียนบางเขนมากักเก็บไว้ในบ่อหน่วงน้ำ เมื่อฝนหยุดตกหรือระดับน้ำในคลองลดต่ำลง จะสูบน้ำที่เก็บไว้ระบายลงคลองบางบัว และอีกส่วนหนึ่งระบายลงคลองรางอ้อรางแก้ว สำหรับบ่อหน่วงน้ำดังกล่าว มีขนาดกว้าง 6 ม. ยาว 30 ม. ลึก 6 ม. สามารถเก็บน้ำได้ 1,000 ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 25,000 ตร.ม.
ทั้งนี้โครงการก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (Water Bank) บริเวณสถานีตำรวจนครบาลบางเขน ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อปลายปี 2561 สำหรับรูปแบบการก่อสร้างบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน (Water Bank) จะเริ่มจากการก่อสร้างบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ใต้ดิน พร้อมทั้งก่อสร้างบ่อส่งน้ำเพื่อรับน้ำที่ท่วมขังส่งไปยังบ่อหน่วงน้ำ โดยวางท่อระบายน้ำเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 1.20 ม. สำหรับรับน้ำฝนในช่วงเวลาที่ฝนตกเข้ามาเก็บไว้ที่บ่อหน่วงน้ำ โดยการเชื่อมท่อระบายน้ำเข้ากับท่อระบายน้ำเดิม หรืออาจจะวางท่อระบายน้ำใหม่จากบ่อหน่วงน้ำไปยังคลองโดยตรง และดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เมื่อฝนหยุดตกหรือระดับน้ำในคลองลดต่ำลง จะสูบน้ำจากบ่อหน่วงน้ำออกไปตามแนวท่อระบายน้ำไปยังบ่อรับน้ำเพื่อระบายลงสู่คลองในพื้นที่ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บลจ.ยูโอบี 4 เดือนโต 7 % สูงกว่าอุตสาหกรรม
2) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ไดนามิค บอนด์ ฟันด์ (UDB) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ The Jupiter Global Fund – Jupiter Dynamic Bond (Class I) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไมน้อยกว่า 80 % ของมูลค่าทรัพยสินสุทธิของกองทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่สามารถลงทุนได้ทั่วโลก และสามารถลงทุนได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว
3) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด เฟล็กซิเบิ้ล อินคัม ฟันด์ (UFIN) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 ลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทจัดการจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินแต่ละประเภทในสัดส่วนตั้งแต่ 0-100 % ของเอ็นเอวีกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79 % ของเอ็นเอวีกองทุน
กองทุน UFIN เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 4 แห่งทั้งในและนอกประเทศ กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
4) กองทุนเปิด ยูโอบี หุ้นระยะยาว ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล (UOBLTF) และกองทุนเปิด ยูโอบี หุ้นระยะยาว ชนิดจ่ายเงินปันผล (UOBLTF-D) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 กองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน โดยมีฐานะการลงทุนสุทธิในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65 % ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม เงินส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในตราสารทางการเงิน และ/หรือ ตราสารแห่งหนี้ต่างๆ โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง
5) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ควอลิตี้ โกรท ฟันด์ (UGQG) ระดับความเสี่ยงกองทุน 6 กองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ United Global Quality Growth Fund (Class USD Acc) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักเป็นกองทุนที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดยบลจ.ยูโอบี (สิงคโปร์) ลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง มีงบดุลที่แข็งแกร่ง เพื่อโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
6) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไดนามิค บอนด์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ฟันด์ 3Y2 (UDBC3Y2) ระดับความเสี่ยงกองทุน 5 (กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง หรือซับซ้อน – ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนนี้ได้ในช่วงเวลา 3 ปีแรกนับจากวันจดทะเบียนกองทุนได้ ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียการลงทุนจำนวนมาก)ทั้งนี้ กองทุน UDBC3Y2 เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 17 – 25 มิ.ย. 2562 กองทุนตราสารหนี้ ที่แบ่งโครงสร้างการลงทุนของกองทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1) ซี่งเป็นส่วนของเงินต้น กองทุนจะกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก อายุประมาณ 3 ปี โดยมีกลยุทธ์การลงทุนครั้งเดียวเพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และส่วนที่ 2 กองทุนจะลงทุนในสัญญาวอร์แรนท์ ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุน Jupiter Dynamic Bond L EUR Acc ซึ่งกองทุนถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงตลาดขาลง ในขณะที่ยังคงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในตราสารหนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
โรคยอดฮิตช่วงฤดูฝน คนธาตุลม-ผู้สูงอายุเสี่ยงป่วย
ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย อากาศเย็นชื้นช่วงฤดูฝนกระทบร่างกาย เสี่ยงธาตุลมในร่างกายแปรปรวน แนะใช้ผักพื้นบ้านปรุงเป็นอาหารป้องกันโรค และวิธีการรักษาอาการหวัดภูมิแพ้อากาศง่าย ๆ ทำได้ด้วยตนเอง
นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ โฆษกกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เรียกฤดูกาลนี้ว่า วสันตฤดู สภาพอากาศจะเย็นและชื้น หากกระทบร่างกาย จะส่งผลให้ธาตุลมในร่างกายเสียสมดุลเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ดูแลสุขภาพไม่ดี และโรคที่มักเกิดได้บ่อย ได้แก่ อาการหวัด คัดจมูก ไอ จาม ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น กลุ่มเสี่ยงที่เจ็บป่วยได้ง่าย คือ คนธาตุลม ตามหลักการแพทย์ แผนไทย หมายถึง คนที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด ซึ่งจะต้องรักษาสุขภาพเป็นพิเศษ
จึงขอแนะนำประชาชนอย่ามองข้ามภูมิปัญญาพื้นบ้านที่นำพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อนมาปรุงอาหารเพื่อป้องกันโรค เพราะสมุนไพรรสเผ็ดร้อนจะกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้วิงเวียนศีรษะได้ดี สมุนไพรที่แนะนำ ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย แมงลัก สะระแหน่ ช้าพลู ขมิ้นขาว ขมิ้นชัน ผักชี โหระพา หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด พริกไทย เป็นต้น เมนูอาหารที่แนะนำ เช่น แกงส้ม ต้มยำ น้ำพริกผักจิ้ม ไก่ผัดขิง ฯลฯ น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำขิง ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณการบริโภคช่วงฤดูฝน คือ อาหารที่มีรสหวานจัด มันจัด และอาหารที่ย่อยยาก เพราะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ธาตุลมในร่างกายแปรปรวนและเสียสมดุลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย
แต่หากเกิดอาการหวัด คัดแน่นจมูก หรือภูมิแพ้อากาศ ทางการแพทย์แผนไทยก็มีวิธีแก้ง่าย ๆ ด้วยการรมไอน้ำ ขั้นตอนไม่ยุ่งยากสามารถทำที่บ้านได้ด้วยตนเอง โดยการนำหอมแดง 3-4 หัว ทุบพอแหลก ใบมะขามและใบส้มป่อยอย่างละ 1 กำมือ ใส่กะละมังหรือหม้อที่ทนความร้อนแล้วเติมน้ำร้อนใส่พอท่วมสมุนไพร ปิดฝาหม้อไว้ 2-3 นาที ให้น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรส่งกลิ่นหอม จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ คลุมศีรษะ และเปิดฝาหม้อรมไอน้ำให้ทั่วใบหน้าสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ประมาณ 5-10 นาที หรือกว่าไอน้ำจะหมด ทำช่วงเช้าเป็นระยะเวลา 4-5 วัน อาการคัดแน่นจมูกจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
โตโยต้าเปิดตัว“โคสเตอร์”รถโดยสารอเนกประสงค์20ที่นั่งเคาะราคา1.96ล้าน
ขณะเดียวกัน ยังเพียบพร้อมไปด้วยความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ อาทิ ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) ป้องกันล้อล็อกและลื่นไถล สามารถหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้เมื่อรถเบรกกระทันหัน ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) ควบคุมรถให้ทรงตัวอย่างมั่นคงแม้ในทางโค้งหรือถนนเปียกลื่น ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่ง ล็อคคันเร่งอัตโนมัติ ป้องกันรถเคลื่อนที่ ขณะที่ประตูผู้โดยสารปิดไม่สนิท มั่นใจอีกขั้นด้วย ถุงลมเสริมความปลอดภัย 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ทุกที่นั่ง เพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นในการโดยสารด้วยโครงสร้างแชสซีส์และเหล็กกันโคลงหน้า-หลัง โครงสร้างตัวถังพร้อมคานเสริมนิรภัยที่ออกแบบพิเศษให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปกป้องผู้โดยสารจากการชนได้อย่างดี
ทั้งนี้ รถโดยสารอเนกประสงค์ โคสเตอร์ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4.0 ลิตร ที่ให้สมรรถนะทรงพลัง ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม ไอเสียต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกจากโตโยต้า ที่พร้อมนำเสนอให้กับผู้ประกอบการธุรกิจการเดินทาง หรือองค์กรที่ต้องการใช้งานรถโดยสารอเนกประสงค์ ที่ให้ความสะดวกสบาย ความอุ่นใจและปลอดภัยในทุกการเดินทาง
รถโดยสารอเนกประสงค์ โคสเตอร์ รุ่น 4.0 M/T เกียร์ธรรมดา ราคาจำหน่าย 1,960,000 บาท โดยราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,800.00 | 19,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,283.00 | 19,450.28 | 20,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,154.70 | 17,505.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,026.40 | 15,560.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 577.00 | 8,747.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 449.00 | 6,806.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,330.00 | 20,162.80 | n/a |
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.04 | 24.04 | 24.44 | 24.04 | 24.44 | – | 24.04 | 24.04 | 24.04 | 24.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.69 | 19.69 | – | – | – | – | – | 19.69 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.46 | – | – | – | 34.91 | – | 34.96 | 34.76 | – | 34.76 |
ดีเซล | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.79 | 24.79 | – | – | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.94 | 15.94 | – | – | – | – | – | – | – | – |