ตลาดรับสร้างบ้านไม่กระทบLTV เตรียมจัดงานกระตุ้นยอดขาย
ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2562 นั้น ปัจจุบันยังคงมีแนวโน้มไม่น่ากังวลมากนัก เมื่อเทียบกับตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาเรื่องกำลังซื้อ จากมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม ซึ่งมักมีที่ดินและเงินออมเป็นของตัวเอง สัดส่วนลูกค้าที่มีการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นเพียง 50% ของลูกค้าทั้งหมดเท่านั้น และพบมักได้สินเชื่อในวงเงินระดับสูงเกิน 80% ของมูลค่าบ้าน เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่มีหนี้เสีย ทั้งยังมีมูลค่าของที่ดินปลอดภาระนั้นๆบวกเพิ่มเข้าไป ทำให้สถาบันการเงินมีการให้สินเชื่อ Top-up (สินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้สำหรับตกแต่งบ้าน ) เพิ่มเติมด้วย ขณะที่ตลาดบ้านแพง ระดับราคามากกว่า 5-10 ล้านบาท และบ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาท เติบโตดี ยิ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยแต่อย่างใดประกอบกับปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจปลูกบ้านของผู้บริโภคในเรื่องการเมืองนั้น มีทิศทางที่ดีขึ้น สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น พบสัดส่วนลูกค้าบ้านสร้างเอง เติบโตทั้งในกรุงเทพฯ และโดยเฉพาะในทำเลต่างจังหวัดที่ปรับขึ้นสูงถึง 20% จากการหันมาเลือกใช้บริษัทรับสร้างบ้านรายต่างๆแทนผู้รับเหมารายย่อย ส่งผลให้ยอดขายรวมตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีจนถึงปัจจุบันยังเติบโตต่อเนื่อง แม้มีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงไตรมาสที่สอง จากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ แต่คาดทั้งปี 2562 ทั้งตลาดรับสร้างบ้านจะมีมูลค่ารวมที่ 1.25 หมื่นล้านบาท เติบโตประมาณ 5-8% จากยอด 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2561 ที่ผ่านมา
สำหรับตลาดครึ่งปีหลังปี2562 นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุว่า คาดว่าตลาดน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและจะเริ่มกลับเข้ามาปลูกสร้างบ้านมากขึ้น หวังรัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้ ถือเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในภาพรวมเช่นกัน
เพื่อช่วยตลาด ให้เดินหน้าต่อเนื่อง สมาคมฯ เตรียมจัดงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder Expo2019 ขึ้นในระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ณ อิมแพค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี รวบรวมบริษัทรับสร้างบ้านระดับชั้นนำมากกว่า 50 บริษัท พร้อมแบบบ้าน มากกว่า 1,000 แบบ ระดับราคา ตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาทขึ้นไป คาดยอดขายในงาน 4 วัน ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แนวโน้มผู้บริโภคยุคใหม่ ‘คลิก-ค้น-ประมาณราคาบ้าน’ ด้วยตัวเอง
ผู้บริโภคยุคใหม่สนใจเข้าถึงราคาบ้านของตัวเองผ่านระบบประมาณราคาบ้านอัตโนมัติค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านล่าสุดบาเนียอัพเกรด Bestimate ระบบประมาณราคาบ้านอัจฉริยะให้ก้าวไปอีกขั้น
หลังจากบริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดให้บริการระบบการประมาณราคาบ้านอัจฉริยะภายใต้ชื่อ Bestimate มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 และปรับระบบใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเพื่อให้การใช้งานง่ายขึ้น จึงพัฒนาความแม่นยำของ Bestimate Modelตลอดจนระยะเวลาการทำงานตอบกลับให้เร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายสู่การประมาณราคาแบบเรียลไทม์และในอนาคตจะมีการเปิด Feature ใหม่ๆ มีระบบเปรียบเทียบข้อมูล การอัพเกรด Algorithmพัฒนาฐานข้อมูล ต่อยอด Bestimate เพื่อตอบโจทย์การประมาณราคาที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ให้กว้างขึ้น
อัญชนา วัลลิภากร
นางสาวอัญชนา วัลลิภากร ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.บาเนีย (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการประมาณราคาด้วยระบบ Bestimate แล้วกว่า 3,000 ราย มีมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรู้ราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีสัดส่วน29% ต้องการทราบราคาเพื่อการขายคิดเป็น 14% ต้องการขอสินเชื่อ 10% ต้องการทราบราคาเพื่อใช้ประกอบการลงทุน 5% ต้องการทราบราคาเพื่อซื้อ 2% ขณะที่ 40% ไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการใช้บริการ ส่วนที่อยู่อาศัยที่นำมาประมาณราคาเป็นบ้านเดี่ยว 45% คอนโดมิเนียม 28% และทาวน์เฮาส์ 27% ราคาที่นำมาประมาณราคาสูงสุดเป็นคอนโดมิเนียมราคา 50ล้านบาท โดยราคาประมาณการ ส่วนใหญ่หรือคิดเป็น 53% ตํ่ากว่าราคาที่เจ้าของคาดหวังไว้ อีก 33% สูงกว่าราคาที่คาดหวัง และ 14% ประมาณราคาไม่ได้เนื่องจากข้อมูลไม่สมบูรณ์
สำหรับมูลค่าประมาณการบ้านที่ได้จาก Bestimate จะคำนวณโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)ด้วยวิธีแบบจำลองทางสถิติระดับสูง ซึ่งจะวิเคราะห์ราคาจากข้อมูลคุณสมบัติ คุณลักษณะและข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ด้วยฐานข้อมูล Big Data อสังหาริมทรัพย์ที่รวบรวมมาอย่างเป็นระบบทำให้ราคาที่วิเคราะห์ได้มีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้อ้างอิงได้และยังช่วยขจัดความกังวลเรื่องการใช้ดุลพินิจซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินไทยก้าวหน้าสู่ระดับสากล โดยในช่วงเริ่มต้น Bestimate ได้ให้บริการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นการทดสอบโมเดลก่อนที่จะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในกรุงเทพฯและปริมณฑล และได้ขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของไทยในปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ซีไอเอ็มบีชี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยกระโจนเข้าสงครามค่าเงิน
แบงก์ชาติเปิดประตูดอกเบี้ยขาลง กระโจนเข้าสู่สงครามค่าเงินในภูมิภาค
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า รอบนี้ที่กนง.ลดดอกเบี้ยจาก 1.75% เหลือ 1.50% นับว่าเหนือความคาดหมายที่ลดเร็วกว่าคาดการณ์ ก่อนหน้านี้เรามองว่ากนง.จะลดดอกเบี้ยแต่น่าจะลดปลายปี แต่รอบนี้ลดเร็วกว่าที่คาด และไม่ได้มีการส่งสัญญาณก่อนหน้า เดิมทีก่อนแบงก์ชาติจะทำอะไรมักจะเห็นเสียงแตกของกนง. เช่น จากมติ 7-0 ที่คงดอกเบี้ยในการประชุมรอบก่อนหน้า น่าจะออกผลด้วยมติ 6-1 หรือ 5-2 ก่อน แต่กลับมีการลดดอกเบี้ยในรอบนี้เลย โดยให้เหตุผลว่ามาจากความเสี่ยงที่มากขึ้น และจากเศรษฐกิจที่ชะลอ
สำหรับเหตุผลของการลดดอกเบี้ยมี 3 เหตุผลหลักๆ ก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ว่า แบงก์ชาติมีความอดทนสูง 3 ด้าน วันนี้ แบงก์ชาติน่าจะมีความอดทนน้อยลงใน 3 ด้าน หรือไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ได้แก่
1. ไม่ทนต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่ำกว่าคาด ตัวเลขล่าสุดเดือนมิ.ย.ที่การรายงานเศรษฐกิจรายเดือนออกไป สะท้อนภาพว่าเศรษฐกิจชะลอจากภาคการส่งออกและกำลังลามมาสู่ภาคในประเทศ และเชื่อว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะโตต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้า เราคิดว่าจะโตสัก 2.5% แต่จะต่ำแค่ไหนก็ต้องมาจับตาดู ที่น่ามองต่อไปคือเราคิดว่าเศรษฐกิจที่ชะลอในครึ่งแรก เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ น่าจะไปฟื้นครึ่งหลัง แต่หลังจากสงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังมีการขึ้นภาษีจากปธน.ทรัมป์ต่อจีนในสินค้านำเข้า 3 แสนล้าน ขึ้นมาอีก 10% น่าจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจในอนาคตไม่ดี ตรงนี้น่าจะเป็นจุดพลิกผันที่ว่าแบงก์ชาติไม่ทนต่อไปแล้วกับเศรษฐกิจที่จะชะลอ การส่งออกคาดว่าจะย่ำแย่ต่อเนื่องแล้วก็ลามมาสู่เศรษฐกิจในประเทศไทย
2. แบงก์ชาติไม่ทนต่อเงินเฟ้อต่ำ เพราะเงินเฟ้อเดือนล่าสุดหลุดกรอบล่างที่ 1% อีกแล้ว และก็มองต่อไปข้างหน้าราคาพลังงานที่ลดลง แล้วก็ลามมาสู่อุปสงค์ในประเทศที่ดูเหมือนชะลอ กำลังซื้อเองอาจจะไม่ค่อยมีมากนัก อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่แบงก์ชาติอาจจะมีการลดดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้ แต่ผมไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่าประเด็นแรก
น่าจับตาประเด็นที่ 3 ที่แบงก์ชาติไม่ทนต่อไปแล้วสำหรับบาทที่แข็งค่า วันนี้ ค่าบาทแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคและออกข่าวต่างประเทศหลายวันว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาบาทแข็งจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูง แม้ว่าส่งออกจะย่ำแย่แต่มีรายได้จากการท่องเที่ยว ที่สำคัญก็คือ เมื่อจีนชะลอแต่เราไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชนหรือผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หรือภาคการส่งออกมากนัก ทำให้บาทเองเป็นที่พักของนักลงทุนต่างชาติ บาทแข็งแรงแล้วกระทบความสามารถในการแข่งขันผู้ส่งออก ย้อนกลับมาเรื่องของเศรษฐกิจที่ชะลอและเงินเฟ้อต่ำได้ เพราะฉะนั้นมองต่อไป เศรษฐกิจวันนี้อยู่ในช่วงของการชะลอ แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 5-2 วันนี้หวังผล กระตุ้นเศรษฐกิจและดึงเงินเฟ้อให้ขยับดีขึ้น
“ผมเชื่อว่าวันนี้เป็นการประกาศสมครามค่าเงินอีกรูปแบบหนึ่งที่เราเองต้องกระโจนเข้ามาหลังจากที่วันนี้เองแบงก์ชาตินิวซีแลนด์ลดดอกเบี้ย แบงก์ชาติอินเดียก็ลดดอกเบี้ย แบงก์ชาติของไทยก็ต้องเข้ามาร่วมวงด้วยเป็นการเข้ามาพร้อมกันทีเดียวในภูมิภาคนี้เพื่อเปิดศึกสงคราม ที่สำคัญคือ เพื่อดึงให้เศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ชะลอมากไปกว่านี้ แต่วันนี้ต้องมองต่อ แบงก์ชาติเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยไปเดือนธันวาคม แล้วกลับมาลดเหลือ 1.5% อยากให้เราถาม คำถามแบงก์ชาติ 2 ข้อครับ 1. แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยต่อไหม ลดต่อในปีนี้หรือปีหน้า 2. สิ่งที่แบงก์ชาติกังวลไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพ เศรษฐกิจเรื่องของหนี้ครัวเรือนสูง คนลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเกินตัว แบงก์ชาติยังห่วงอยู่ไหม ผมว่า 2 คำถามนี้เป็นคำถามที่ต้องตีให้แตกและมองต่อ”
คำถามแรก แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยต่อไหม ผมเชื่อว่าลดครับ เมื่อเปิดประตูดอกเบี้ยขาลงแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะลดต่อ และเชื่อว่าจะพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจเป็นหลัก จีดีพีไตรมาส2 ที่จะรายงานกลางเดือนนี้ ถ้าออกมาแย่ เป็นไปได้ที่กนง.จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งกันยายนนี้ หรืออาจจะรอต่อไป คือรอจีดีพีไตรมาส3 ที่จะรายงานในเดือนพ.ย.แล้วลดดอกเบี้ยอีกครั้งเดือนธันวาคมก็ยังไม่สาย
คำถามสอง สิ่งที่แบงก์ชาติเป็นห่วงยังห่วงอยู่ไหม ห่วงครับ ใน statement ผมเชื่อว่าความกังวลของแบงก์ชาติยังมีอยู่ สำหรับเรื่องดอกเบี้ยที่ลดลงแล้วจะกระทบกับหนี้ครัวเรือนที่สูง กระทบต่อเสถียรภาพตลาดเงินตลาดทุน แล้วที่สำคัญ เขาห่วงเรื่อง policy space ว่าถ้าเกิดวิกฤตในอนาคตแบงก์ชาติจะไม่เหลือเครื่องมือใดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นตรงนี้เองต้องจับตาดูว่าแบงก์ชาติอาจจะใช้เครื่องมืออื่น นอกจากดอกเบี้ย เพื่อประคองเสถียรภาพตลาดเงินตลาดทุน ออกมาตรการ LTV ไปแล้ว อาจจะดูเรื่อง DSR เกณฑ์วัดในการปล่อยสินเชื่อสำหรับลูกค้า เป็นปัจจัยที่น่าติดตามกันต่อไป
โดยสรุป มองไปข้างหน้า การลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ คงเหมือนการที่แบงก์ชาติไม่ขอทนต่อไปแล้วสำหรับสงครามการค้าที่ลามมาสู่สงครามค่าเงิน ที่ไทยเป็นเหยื่อของภาคการส่งออกที่ย่ำแย่ และจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่การลดดอกเบี้ยนี้ คงมีผลไม่มากที่จะทำให้สินเชื่อเติบโตจนพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะทางธปท. คงห่วงเรื่องเสถียรภาพตลาดเงินอยู่ และยังไม่หย่อนเกณฑ์ในการกำกับธนาคารพาณิชย์ ผมจึงหวังว่า ทางรัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้น และกระจายตัวไปสู่ระดับ SME และฐานรากของประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
งีบหลับตอนกลางวัน เพียง 10-20 นาที ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น!!
การงีบหลับแอบนอนกลางวันบางคนมองว่าขี้เกียจ ซึ่งการงีบหลับตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วช่วยส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ เป็นการเพิ่มพลังระหว่างวันช่วยเพิ่มความสดชื่นและรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น คนเราควร งีบหลับ เป็นระยะเวลาสั้นๆเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
นักวิจัยได้อธิบายไว้ว่า การนอนหลับเพียง 10-20 นาที หรือเรียกว่า Power nap จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว เป็นการช่วยเพิ่มระดับพลังงาน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำ เพิ่มความตื่นตัว ช่วยให้สมองโลดแล่น ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แถมอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าหากงีบหลับเกินกว่า 30 นาที จะทำให้รู้สึกหงุดหงิดง่าย เฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉง
ช่วงเวลาที่ควรแอบไปงีบนอนที่ดีที่สุดคือช่วง 13.00-15.00 น. และควรงีบหลับสั้นๆ จะช่วยไม่ให้ร่างกายเข้าสู่การนอนหลับลึกจนเกินไป หลังจากตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสพร้อมลุยทำงานต่อได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก health.mthai.com
“ทรูวิชั่นส์” ถ่ายสดพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล ประเดิมคู่หงส์แดง-นกขมิ้น 9 ส.ค.นี้
ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ผนึก 6 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ถ่ายทอดสดครบ 380 แมตช์ ตลอด 3 ฤดูกาล “ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ” เปิดประสบการณ์ความสุขครบรส เต็มทุกอารมณ์ พร้อมเสิร์ฟความสนุก แบบสดทุกที่ สดครบทุกจอ ประเดิมนัดเปิดสนาม 9 ส.ค.นี้…
วันที่ 7 ส.ค. 62 “ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป” ร่วมกับ พันธมิตร ทรู คอร์ปอเรชั่น, สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, ซีพี ออลล์, เอ.พี. ฮอนด้า, ซีพีเอฟ และ สยามแมคโคร แถลงข่าวความพร้อมศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019 ร่วมสร้างสีสันครบทุกรส เอาใจแฟนบอลชาวไทยทั่วประเทศ ให้ได้รับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบเต็มอิ่มครบทั้ง 380 แมตช์ ตลอด 3 ฤดูกาล
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้ช่วยบริหารงานประธานคณะผู้บริหารและหัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปีนี้ แฟนบอลชาวไทยจะได้เต็มอิ่มทุกอารมณ์ รับชมการถ่ายทอดสดทุกแมตช์ได้แบบครบรสมากยิ่งขึ้น โดยทรูวิชั่นส์เป็นผู้ให้บริการเพย์ทีวีเพียงรายเดียวของไทย ที่ได้รับลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกครบถ้วนแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรัน และไฮไลต์ ครบทั้ง 380 แมตช์ และรวมถึงการได้รับลิขสิทธิ์เป็นผู้ถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ครบทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกครั้งนี้เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ของแฟนบอลยุคใหม่ที่ต้องการรับชมแบบสดได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเราเตรียมความพร้อมให้แฟนบอลสนุกมันมากกว่าที่เคย ทั้งประสบการณ์การรับชมที่ครบรสมากกว่า ชมสดครบทุกจอ คมชัดแบบ HD แบบสุดกว่ามันกว่า เป็นไปตามที่กลุ่มทรูได้ชูจุดเด่นมาตลอดในเรื่องของ Omni Channels ซึ่งครั้งนี้จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นคือ แฟนบอลชาวไทยจะสามารถรับชมได้ทั้งจอทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ ซึ่งจัดเตรียมเปิด 6 ช่อง เพื่อรองรับฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งช่องทรูพรีเมียร์ฟุตบอล HD และทรูสปอร์ต หรือจะรับชมผ่านทางเว็บไซต์บนโน้ตบุ๊ก หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ผ่านทรูไอดี และ TrueID Box เรียกได้ว่าครบทุกแพลตฟอร์ม สนุกเต็มอิ่มกันได้ทุกที่ทุกเวลา
“นอกจากนี้ยังเอาใจแฟนบอลในโลกออนไลน์ให้สนุกมากยิ่งขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเราจะผนึกกำลังกับเหล่าแฟนบอล และกลุ่มต่างๆ บนโลกโซเชียล มาร่วมสร้างสีสันความสนุกสนานให้คอมมิวนิตี้บอลออนไลน์ได้สนุกเต็มอรรถรสยิ่งขึ้น และครั้งนี้ยังแตกต่างและเต็มอิ่มยิ่งขึ้นแน่นอน เพราะไม่เพียงแต่ความมันที่ทรูวิชั่นส์กรุ๊ปจัดเตรียมไว้แล้ว เรายังได้ผู้สนับสนุนรายใหญ่มาช่วยเพิ่มความมันและเพิ่มช่องทางการรับชม โดยผู้สนับสนุนทั้ง 6 ราย ทรู คอร์ปอเรชั่น, สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, ซีพี ออลล์, เอ.พี. ฮอนด้า, ซีพีเอฟ และ สยามแมคโคร ได้จัดเตรียมแคมเปญการตลาด จัดเต็มทั้งบนหน้าจอออนไลน์ และเดินสายทั่วประเทศ ให้ได้รับชมและเชียร์สดบิ๊กแมตช์บนจอใหญ่ ตลอด 3 ฤดูกาล พร้อมทั้งจัดเตรียมให้แฟนบอลชาวไทยคุ้มสุดๆ กับแพ็กเกจการรับชมพร้อมโปรโมชั่นพิเศษในราคาที่ใครก็ดูได้” นายพีรธน กล่าว
สำหรับนัดเปิดสนามเป็นโปรแกรม “ฟรายเดย์ไนท์” คืนวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ นอริช ซิตี้ ต่อด้วยโปรแกรมวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม อีก 7 คู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บอร์นมัธ พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ พบ เซาแธมป์ตัน, คริสตัล พาเลซ พบ เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน, วัตฟอร์ด พบ ไบรจ์ตัน, ทอตแนม ฮอตสเปอร์ พบ แอสตัน วิลลา ปิดท้ายด้วยเกมวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2 คู่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด พบ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เชลซี
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
นักวิเคราะห์เคลมว่า iPhone 2021 มาพร้อมทั้ง Face ID และ Touch ID ใต้หน้าจอ
นักวิเคราะห์ อย่าง Ming-Chi Kuo ได้รายงานว่า Apple กำลังเตรียมวางแผนที่จะรื้อฟื้น Touch ID ที่สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผลสำหรับสมาร์ทโฟน iPhone 2021 จะฝั่งอยู่ใต้หน้าจอแสดงผล แถมยังมาพร้อมกับ Face ID อีกด้วย
Ming-Chi Kuo ได้กล่าวอีกว่า ในอีก 18 เดือนข้างหน้า ปัญหาทางเทคนิคทางด้านเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคพลังงาน, ขนาดของพื้นที่เซ็นเซอร์, ความหนาของโมดูลเซ็นเซอร์ และอัตราผลตอบแทนจากกระบวนการผลิตที่มีปัญหาจะได้รับการแก้ไข ซึ่งเมื่อได้รับการแก้ไขแล้วจะทำให้ Apple สามารถที่จะผลิต iPhone ที่รองรับทั้ง Face ID และ Tuoch ID ในอุปกรณ์ของตัวเองให้แก่ผู้ใช้งานภายในปี 2021
นอกจากนี้ Ming-Chi Kuo ยังคาดการณ์ว่า Apple อาจจะใช้เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผลแบบอัลตร้าโซนิกของ Qualcomm ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ในการสแกนลายนิ้วมือ เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน รวมถึง Apple Watch ในรุ่นอนาคต ตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จาก TF Securities กล่าวว่าจะได้รับเทคโนโลยีในการยืนยันตัวตนทางไบโอเมตริกเช่นกัน และคาดว่ามีเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผลอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของนักวิเคราะห์นั้นอาจจะถูกต้องหรือไม่นั้น เราจะต้องรอลุ้นกันจนกว่าจะถึงปี 2021 หรืออาจจะนานกว่านั้นนะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก tech.mthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 21,750.00 | 21,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,409.00 | 21,360.44 | 22,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,268.10 | 19,224.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,127.20 | 17,088.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 634.00 | 9,611.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 493.00 | 7,473.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,460.00 | 22,133.60 | n/a |
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 | 27.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 | 27.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.54 | 24.54 | 24.54 | 24.54 | 24.54 | – | 24.54 | 24.54 | 24.54 | 24.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.94 | 19.94 | – | – | – | – | – | 19.94 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.96 | – | – | – | 35.41 | – | 35.46 | 35.26 | – | 35.26 |
ดีเซล | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 | 25.99 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.99 | 24.99 | – | – | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.85 | 15.85 | – | – | – | – | – | – | – | – |