พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.52%
2ก.ย.62- น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือนส.ค.2562 เท่ากับ 102.27 สูงขึ้น 0.52% เมื่อเทียบส.ค.2561 แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก.ค.2562 ที่สูงขึ้น 0.98% โดยปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนส.ค.สูงขึ้น มาจากการสูงขึ้นของสินค้าหมวดอาหารเป็นหลัก สูงขึ้น 5.15% ขณะที่กลุ่มพลังงานลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ลดลง 5.16% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานที่หักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.49% และเงินเฟ้อเฉลี่ย 8 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.87%
สำหรับเงินเฟ้อเดือนส.ค.2562 ที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 2.63% สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้ เพิ่ม 8.69% ผักสด เพิ่ม 4.99% จากการที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และฐานราคาปีก่อนค่อนข้างต่ำ ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า เพิ่ม 7.06% จากปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย แต่ความต้องการมีมากขึ้น เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ เพิ่ม 3.63% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่ม 1.82% อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่ม 0.97% นอกบ้าน เพิ่ม 0.96% เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.52% แต่เครื่องประกอบอาหาร ลด 0.90%
ส่วนสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.67% จากการลดลงของน้ำมันเชื้อเพลิง 8.15% การขนส่งและการสื่อสาร ลด 2.22% เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ลด 0.09% การรักษาและบริการส่วนบุคคล ลด 0.03% แต่ค่าโดยสารสาธารณะ เพิ่ม 6.19% เคหสถาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน เพิ่ม 0.30% การบันเทิง การอ่านและการศึกษา เพิ่ม 0.79% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.02%
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่า อาจขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหลักมากจากการขยายตัวของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด แต่สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ค่อนข้างทรงตัวและเปลี่ยนแปลงไม่มาก ขณะที่ราคาพลังงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรงกดดันต่อเงินเฟ้อลดลง โดยประเมินว่าเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8-0.9% จากกรอบที่คาดไว้ที่ 0.7-1.3% ทำให้เงินเฟ้อจะขยายตัวต่ำอีกครั้ง โดยเงินเฟ้อทั้งปี 2558 ลบ 0.9% ปี 2559 เพิ่ม 0.19% ปี 2560 เพิ่ม 0.66% และปี 2561 เพิ่ม 1.07% “หากเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อของไทยกับประเทศในอาเซียน เงินเฟ้อไทยค่อนข้างต่ำ ประเทศอื่นสูง 2-3% แต่ไทยต่ำกว่า 1% โดยการที่เงินเฟ้อต่ำเกินไป สะท้อนว่าประชาชนชะลอการจับจ่ายใช้สอบ ไม่ซื้อของ อาจมีผลต่อเศรษฐกิจทรงตัว การที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือเป็นการเพิ่มเงินในระบบ ขณะที่ราคาพืชเกษตรสูงขึ้น และมีการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ แต่ตอนนี้ยังยืนยันแม้เงิน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaipost.net
หวั่นอสังหาซึมยาว ลุ้นรัฐกระตุ้น บิ๊กเนมลดเป้ายอดขาย-รายได้
อสังหาฯ ครึ่งปีหลังหนักแน่ ลุ้นรัฐบาลออกมาตรการช่วยกระตุ้นยอดขาย ภายในไตรมาส 4หาไม่ตลาดซึมยาวถึงปี 2563 บริษัทชั้นนำ พฤกษา, แอลพีเอ็น, คิวเฮ้าส์ และแสนสิริ ปรับลดเป้า มูลค่าโครงการใหม่
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังต้องลุ้นต่อไป จากปัจจัยลบที่รุมเร้าอยู่ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นโยบายคุมสินเชื่อบ้านกับมาตรการ LTV ฉุดกำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องออกแรงอย่างมาก เพื่อผลักดันยอดขาย รายได้และกำไรให้เติบโตตามเป้าหมาย
สะท้อนจากผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ที่ผ่านมา บริษัทชื่อดังหลายราย ทำยอดขาย รายได้และกำไร เติบโตเพิ่มขึ้นน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่อง จากทุกบริษัทเน้นระบายสินค้าที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่มากกว่าเปิดขายโครงการใหม่ๆ นอกจากนี้โครงการใหม่ๆที่ออกสู่ตลาดจะเป็นบ้านแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ล้นตลาด และทุกโครงการจะต้องทำการตลาดอย่างละเอียดรอบคอบ ตรงเข้าเป้าความต้องการของลูกค้า
ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้งบกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ส่วนใหญ่มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้มีเงินจับจ่ายหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ล่าสุดช่วยพยุงราคาสินค้าเกษตรหลัก ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นดัชนีเศรษฐกิจสำคัญตัวหนึ่ง กลับไม่มีมาตรการใดๆออกมาช่วยกระตุ้นบ้างเลย ดังนั้นครึ่งปีหลังที่เหลือจึงเป็นโจทย์ท้าทายอย่างมาก
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยฯ รายงานว่าหลังประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 สะท้อนยอดขายและรายได้จากการขายที่อ่อนแอในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 อีกทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บริษัทอสังหาฯ 4 รายมี บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์(LPN) บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PSH) บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และบมจ.แสนสิริ (SIRI) ปรับลดเป้ามูลค่าโครงการใหม่ ส่งผลให้มูลค่าโครงการใหม่รวมของกลุ่มอสังหาฯ 9 รายในปี 2562ปรับลดลง 12.3% จากเป้าตัวเลขเดิมที่ตั้งไว้ในปีนี้ คือ 321,854 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ยังปรับเป้ายอดขายและรายได้จากการขายในปี 2562 ลง 8.5% และ 3.4% ตามลำดับโดย LPN ปรับลดเป้ายอดขายมากที่สุดถึง 49.1% SIRI 16.7%, LH 12.7%, QH 8.8% ด้านรายได้ LPN ปรับลดลงมากที่สุดถึง 16.7% รองลงมา QH 8.5% และ LH 6.3%
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยมองว่า ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมายอดขายคอนโดมิเนียมค่อนข้างเงียบ หากรัฐบาลไม่มีมาตรการกระตุ้นใดๆ ออกมาช่วย ตลาดอาจจะซึมยาวถึงปีหน้า แต่ถ้าช่วงครึ่งปีหลังนี้มีมาตรการกระตุ้น ก็จะช่วยปลุกกำลังซื้อให้มีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น โดยต้นปี 2563 จะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น
เนื่องจากในปีหน้า พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับใช้ กระทบต่อผู้ซื้อทั้งที่ซื้ออยู่อาศัยเองและปล่อยเช่า ต้องรับภาระภาษีถ้วนหน้า ขณะที่มาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านนอกจากLTV แล้วยังมีมาตรการ DSR เพิ่มเข้ามา สำหรับโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ถ้ายังขายไม่หมดหรือไม่ปิดโครงการ เจ้าของโครงการก็ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย
“ช่วง 2-3 ปีก่อนตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯได้กำลังซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะจีนช่วยพยุง แต่ตอนนี้ผู้ซื้อกลุ่มนี้หันไปซื้อโครงการในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต และพัทยา ที่ยังให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ที่สำคัญบางโครงการเจ้าของการันตีผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อ จึงดึงดูดลูกค้าต่างชาติได้ดี”
ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com
ทุนระนองรุกคืบ มะริด-ทวาย รับแผนเมียนมาบูมฝั่งทะเลใต้
เอกชนระนองปัดฝุ่นที่ท่าเรือข้างประภาคาร ตั้งเขตฟรีโซนตลาดนัดชายแดนติดปีกค้าเพื่อนบ้าน พร้อมข้ามฟากขยายการลงทุนลึกสู่มะริด-ทวาย หัวเมืองใหญ่ริมฝั่งอันดามัน รับแผนบูมเศรษฐกิจพื้นที่ตอนใต้ของเมียนมา
นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง รองประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า จากนโยบายการพัฒนาพื้นที่ตอนใต้หลายเมืองของเมียนมา ทำให้เมืองชายทะเลเหล่านี้กำลังเติบโตและมีความต้องการสินค้าและบริการต่างๆ สูงขึ้น จึงเริ่มมองหาโอกาสการค้าการลงทุนในเส้นทางการค้าใหม่ที่จะมีความสำคัญในอนาคต โดยขยายจากเกาะสอง
สู่มะริด ทวาย จนถึงย่างกุ้ง
ขณะนี้มีนักธุรกิจจากระนอง เดินทางเข้าไปลงทุนในเขตเมียนมาตอนใต้ โดยเฉพาะย่านจังหวัดทวาย-มะริด เป็นจำนวนมาก สอดรับกับแผนพัฒนาของทางการ ที่กำลังลงทุนก่อสร้างท่าเรือทวาย รองรับเขตนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์กลางการขนส่งสินค้าฝั่งอันดามัน รวมถึงก่อสร้างเส้นทางคมนาคม เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์เชื่อมทั้งกับไทยและจีน
เมียนมายังมีปัจจัยดึงดูดการลงทุน คือ มีกำลังแรงงานจำนวนมากและราคาถูกกว่าฝั่งไทย รวมถึงทางการเมียนมาผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ลงเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในฝั่งไทยยังมีกฎเกณฑ์กติกาและขั้นตอนการปฏิบัติยืดยาว กฎหมายล้าหลังไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เป็นอุปสรรคการลงทุน
นอกจากนี้ภาคเอกชนระนองกำลังเร่งผลักดันโครงการรองรับการขยายตัวของการค้าชายแดน คือการจัดตั้งเขตค้าขายพิเศษ (ฟรีโซน) หรือตลาดนัดการค้าชายแดน ในรูปแบบตลาดนัดโรงเกลือ ขึ้นที่บริเวณท่าเรือข้างประภาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของด่านศุลกากรระนอง ตั้งอยู่พื้นที่ ม. 5 ต.ปากนํ้า อ.เมืองระนอง ซึ่งทางจังหวัดมีแผนที่จะผลักดันให้บริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการค้าขายตามแนวชายแดนด้านจ.ระนอง-เกาะสอง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ตามยุทธศาสตร์การพัฒนา ที่จะผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงการค้า การลงทุนได้ทั้ง 2 ประเทศ
นายกฤษณะ เอี่ยมวงศ์นที อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า นักธุรกิจชาวเมียนมา โดยเฉพาะทางพื้นที่ตอนใต้ของประเทศในย่านมะริดและทวาย ต้องการค้าขาย หรือร่วมทำธุรกิจกับนักธุรกิจไทย มากกว่านักธุรกิจจากประเทศอื่น แต่ยังติดปัญหาความหวาดระแวงต่อกัน ซึ่งขจัดได้ด้วยการพบปะพูดคุยกันบ่อยๆ หากทำได้เชื่อว่าการค้าขาย การลงทุนในย่านนี้จะสามารถขยายตัวได้อีกมาก
ปัจจุบันพบว่าหลายรายได้เข้าไปตั้งฐานในเมียนมา ในรูปแบบการร่วมลงทุนกับเมียนมา อาทิ ประมง, ห้องเย็น, อุตสาหกรรมไม้, แปรรูปสัตว์นํ้า เพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า ส่วนที่กำลังจะเข้าไปดำเนินการคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม เพื่อรับการขยายตัวในเมียนมา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พรีเมียร์ฯนั่งถกปรับเวลาปิดตลาดซัมเมอร์ใหม่
เจ้าของสโมสรสมาชิกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เตรียมประชุมเป็นการภายในวันพฤหัสบดีหน้า ( 12 ก.ย.) โดยมีวาระสำคัญคือรูปแบบการปิดตัวของตลาดซัมเมอร์ขาเข้าซีซั่นต่อๆไป จะยึดรูปแบบแล้วเสร็จก่อนแมตช์เดย์ 1 คิก-ออฟ หรือปิดพร้อมตลาดยุโรป?
รายงานจาก ‘เมล ออนไลน์’ ถึงฟีดแบ็คการเปลี่ยนกำหนดเวลาเสริมผู้เล่นช่วงหน้าร้อนของลูกหนังผู้ดีรูปแบบใหม่ที่เริ่มมาตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 จนถึงซีซั่นปัจจุบัน 2019-20 ผ่านมาแล้วสองครั้ง โดยให้ปิดวันพฤหัสบดีสุดท้ายก่อนบอลเขี่ยนัดแรก แต่ตลาดขาออกปิดพร้อมปฏิทินยุโรป
พบว่าสโมสรสมาชิกมีเสียงติงเกี่ยวกับความเสียเปรียบค่ายลูกหนังยุโรปอื่นๆ ที่ตลาดขาเข้าของพวกเขาเปิดอ้าซ่าต่อมาอีกกว่า 3 สัปดาห์ จึงสามารถดึงนักเตะจากลีกอังกฤษอย่างสนุกมือ ส่งผลต่อโครงสร้างทีม รวมถึงป่วนสมาธิผู้เล่นตลอด 4 แมตช์เดย์ที่ผ่านมา
เหตุนี้เองจึงมีผจก.ทีมหลายรายทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, ท็อตแน่ม และ เลสเตอร์ บ่นเรื่องให้ปรับเวลาการซื้อ-ขายให้เป็นแบบเดิมคือปิดพร้อมปฏิทินยุโรป
อนึ่งหากหวังให้เป็นเช่นนั้นในการโหวตขอความเห็นสมาชิก ต้องมีฝ่ายสนับสนุนถึง 11 จาก 20 เสียงจึงสามารถปรับรูปแบบได้อีกครั้ง กรณีว่ามติมองว่าต้องปรับปลี่ยนจริงๆ จะมีการประกาศทางการในเดือนพฤศจิกายน
ขอบคุณข้อมูลจาก thsport.com
แนะเลี่ยงคำ “ทำหมันถาวร” เหตุไม่มีวิธีคุมได้ 100%
หมอสูติฯ แนะไม่ควรใช้คำว่า “ทำหมันถาวร” เหตุไม่มีวิธีใดคุมกำเนิดได้ 100% เผยผลศึกษาพบเกิดท้องหลังทำหมัน ร้อยละ 0.21 ทั้งจากความผิดพลาดผ่าตัด อุปกรณ์ และท่อเชื่อมหลอดมดลูกประสานติดกันเอง ชี้ต้องส่งตรวจยืนยันหลอดมดลูกหลังทำหมัน ช่วยยืนยันทำตามเกณฑ์มาตรฐานแล้ว
รศ.นพ.ยุทธพงศ์ วีระวัฒนตระกูล ผู้ทรงคุณวุฒิจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ในฐานะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขระดับเขตพื้นที่ (อคม.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ขอนแก่น บรรยายพิเศษเรื่องแผนส่งเสริมการดำเนินงานและสร้างการรับรู้ เพื่อลดอัตราการทำหมันแล้วท้องในพื้นที่ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการทำหมันหญิง พบไม่บ่อย แต่เกิดขึ้นได้ จากการศึกษาพบว่า การทำหมันหลังคลอด มีประสิทธิภาพดีกว่าทำหมันหลังจากที่คลอดแล้วเป็นเวลานาน (หมันแห้ง) ทั้งนี้ จากรายงานการศึกษาของตนและคณะใน รพ.ศรีนครินทร์ เมื่อปี 2548 โดยติดตามผู้รับการทำหมันหญิงของ รพ.ศรีนครินทร์ ตั้งแต่ปี 2521-2545 เป็นเวลา 25 ปี จำนวน 35,094 ราย พบอัตราการตั้งครรภ์สะสม 74 ราย หรือร้อยละ 0.21 โดยแบ่งเป็นการตั้งครรภ์หลังการทำหมันหลังคลอด ร้อยละ 0.136 และการตั้งครรภ์หลังจากทำหมันแห้ง ร้อยละ 0.723 ส่วนการทำหมันพร้อมผ่าตัดคลอด พบร้อยละ 0.141
รศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าวว่า การตั้งครรภ์หลังทำหมันหลังคลอด มีสาเหตุ 2 ปัจจัยหลัก คือ ความผิดพลาดของการผ่าตัด ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อย และการเกิดท่อเชื่อมระหว่างหลอดมดลูกที่ถูกตัดหรือเกิดการเชื่อมกันเองของหลอดมดลูก ส่วนการตั้งครรภ์หลังทำหมันแห้ง มีสาเหตุ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. ความผิดพลาดของอุปกรณ์ 2. การเกิดท่อเชื่อมระหว่างหลอดมดลูก และ 3. สตรีที่มาทำหมันแห้งอาจตั้งครรภ์ระยะแรกขณะเมื่อมารับการทำหมันแห้ง ในบางรายอาจไม่พบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม พบว่าส่วนใหญ่ของความล้มเหลวในการทำหมันไม่สามารถป้องกันได้
“ขอฝากไปยังแพทย์ พยาบาล ว่าการให้คำแนะนำผู้ที่มาคุมกำเนิดหลังคลอดนั้น ไม่ควรใช้คำว่า ทำหมันถาวร เพราะทางการแพทย์ไม่มีวิธีใดคุมกำเนิดได้ 100% แต่ขอให้บอกผู้ที่มาคุมกำเนิดตามวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้ เช่น การคุมกำเนิดด้วยการผ่าตัดท่อนำไข่ การกินยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด และขอให้มีการยืนยันการส่งตรวจชิ้นเนื้อหรือถ่ายภาพหลอดมดลูกที่มีไหมร้อยแสดงไว้ในเวชระเบียนหลังการทำหมันหญิงทุกครั้ง เพราะหากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นภายหลัง ก็ถือว่าไม่ใช่ความผิดพลาดของการผ่าตัด แต่เป็นการรักษาที่ได้คุณภาพและมาตรฐานแล้ว หากไม่มีการยืนยันหลอดมดลูก เมื่อมีการร้องเรียนจะเป็นปัญหาเรื่องการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานในภายหลัง” รศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าว
รศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าวว่า สปสช.ได้ออกหนังสือเวียน ที่ สปสช. 4.03 / ว. 1156 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 เรื่องแนวทางการพิจารณาคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีทำหมันแล้วตั้งครรภ์ แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1.หากมีการยืนยันหลอดมดลูกหลังการทำหมันหญิง ไม่ว่าจะเป็นการส่งตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา หรือการใช้ไหมร้อยชิ้นเนื้อที่ตัดออกเหนือรอยผูกของหลอดมดลูก ว่าเป็นท่อหรือหลอดมดลูก พร้อมกับถ่ายภาพยืนยันในเวชระเบียนหรือบันทึกการผ่าตัด ถือว่าเป็นการทำตามมาตรฐานการผ่าตัด ไม่เข้าเกณฑ์การได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น
2.หากไม่มีการยืนยันหลอดมดลูกหลังการทำหมันหญิง ให้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย เข้าเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตามมาตรา 41 ซึ่งพื้นที่ สปสช. เขต 7 มีจำนวนผู้ขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีทำหมันหญิงแล้วตั้งครรภ์แต่ละปีประมาณ 20 – 25 ราย ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เรื่องดังกล่าวนี้มีความเห็นที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยกลุ่มของแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ เห็นว่าเป็นความจริงทางการแพทย์ที่มีอัตราการล้มเหลวได้ทั้งทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ในขณะที่กลุ่มองค์กรคุ้มครองผู้รับการรักษาเห็นว่าวิธีถาวรต้องไม่มีผิดพลาด
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 22,000.00 | 22,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,425.00 | 21,603.00 | 22,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,282.50 | 19,442.70 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,140.00 | 17,282.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 641.00 | 9,717.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 499.00 | 7,564.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,477.00 | 22,391.32 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/09/2562
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 | 27.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 | 27.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.34 | 24.34 | 24.34 | 24.34 | 24.34 | – | 24.34 | 24.34 | 24.34 | 24.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.89 | 19.89 | – | – | – | – | – | 19.89 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.76 | – | – | – | 35.21 | – | 35.26 | 35.06 | – | 35.06 |
ดีเซล | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 | 25.79 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.79 | 24.79 | – | – | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.66 | 15.66 | – | – | – | – | – | – | – | – |