บ้าน-คอนโด เปิดใหม่ในกทม. เฉียด1.6หมื่นหน่วย สวนกระแส
บ้าน-คอนโดฯ เปิดโครงการใหม่ในกทม.-ปริมณฑล เติมซัพพลาย ในตลาด ไตรมาสแรกปีนี้เฉียด 1.6 หมื่นหน่วย หากเทียบช่วงเดียวกับปี 2562ลดลง 40%
ปัจจัยลบกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 การเปิดตัวโครงการในไตรมาสแรกปี 2563 ยิ่งมีปริมาณลดลง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร และไตรไตรมาส 2 การเปิดตัวค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากทุกค่ายต้องการรักษาสภาพคล่องลดการลงทุนโดยไม่จำเป็น หันมาทำสงครามราคา ระบายสต๊อกในมือ
ทั้งนี้ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด(มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบผู้ประกอบการ ต่างชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป เพื่อลดภาระการลงทุน และเน้นระบายสต๊อกในมือ สร้างกระแสเงินสดมากกว่า เนื่องจากต่างมีภาระ ทั้งการชำระคืนหุ้นกู้ การรักษาสภาพคล่องขององค์กร ทั้งนี้ สำหรับบริษัทไม่เปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขายของเก่าออกไปให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม พบว่าสถิติการเปิดตัวในไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปีนี้ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกค่ายต่างระวังตัวไม่สร้างซัพพลายเพิ่ม
สอดคล้องกับ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 พบว่า มีจำนวน 68 โครงการ ลดลงจากช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 40.4% และมีจำนวนหน่วย 15,932 หน่วย ลดลง 29.6% ถือเป็นการเปิดขายโครงการใหม่ที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2554 ซึ่งเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และมีการเปิดขายโครงการใหม่เพียง 67 โครงการ 15,858 หน่วย
เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2558-2562) ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยจะเปิดขายเฉลี่ยไตรมาสละ 116 โครงการ 28,490 หน่วย จะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 ปี 2563 โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกือบครึ่ง โดยมีจำนวนโครงการต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 41.4% และจำนวนหน่วยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 44.1%
สำหรับโครงการเปิดขายใหม่ในไตรมาสนี้ แบ่งออกเป็นโครงการอาคารชุด 23 โครงการ 7,111 หน่วย จำนวนหน่วยลดลงมากถึง 42.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโครงการบ้านจัดสรร 45 โครงการ 8,821 หน่วย จำนวนหน่วยลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 15,932 หน่วย เมื่อแยกตามระดับราคาที่มีการเปิดขายมากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 5,970 หน่วย มีสัดส่วน 37.5% ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ อันดับ 2 ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,586 หน่วย มีสัดส่วน 22.5% ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ อันดับ 3 ระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,035 หน่วย มีสัดส่วน 12.8% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด
สำหรับโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 7,111 หน่วย เมื่อแยกตามที่ตั้งโครงการ พบว่า โซนที่มีการเปิดขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด มีจำนวน 1,653 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 57% ส่วนใหญ่เป็นอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (เตาปูน-ท่าพระ) ถนนจรัญสนิทวงศ์ที่เพิ่งเปิดให้บริการในปี 2562
2. โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีจำนวน 978 หน่วย เพิ่มขึ้นจากที่ไม่มีการเปิดขายใหม่ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
3. โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด มีจำนวน 921 หน่วย ลดลง 38.1%
4. โซนบางซื่อ-ดุสิต มีจำนวน 710 หน่วย เพิ่มขึ้น 46.1%
5. โซนสุขุมวิท มีการเปิดขายใหม่จำนวน 609 หน่วย ลดลง 68.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ จำนวน 8,821 หน่วย พบว่า โซนที่มีการเปิดขายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีจำนวน 1,976 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไม่มีโครงการเปิดขายใหม่เลย
2. โซนหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน มีจำนวน 1,087 หน่วย เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการเปิดขายใหม่เพียง 330 หน่วย
3. โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีจำนวน 923 หน่วย เพิ่มขึ้น 13.8%
4. โซนคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง มีจำนวน 874 หน่วย ลดลง 2.6%
5. โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ มีจำนวน 715 หน่วย ลดลง 31.8%
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากบริษัทที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 15,932 หน่วย จะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 12,206 หน่วย คิดเป็น 76.6% และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 3,726 หน่วย คิดเป็น 23.4%
โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 12,206 หน่วย จะเห็นได้ว่าเป็นโครงการอาคารชุด 5,016 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.4% แต่โครงการบ้านจัดสรรมี 7,190 หน่วย เพิ่มขึ้น 33.3%
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 3,726 หน่วย พบว่า มีจำนวนลดลงทั้งโครงการอาคารชุดและบ้านจัดสรร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการอาคารชุดมีจำนวน 2,095 หน่วย ลดลง 64.0% และโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวน 1,631 หน่วย ลดลง 65.9%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘โควิด’ฉุดซื้อขายที่ดิน ทำเลกลางใจเมืองราคาวูบ 30%
วิกฤติไวรัสโควิด-19 ป่วนอสังหาฯรุนแรง ไม่เห็นแน่การซื้อขายที่กลางเมืองวาละ2-3 ล้าน ส่งผลราคาวูบ 20-30% จับตาหลายบริษัทขาดสภาพคล่องลดพนักงาน ขายทรัพย์สินพยุงธุรกิจก่อนจะล้มไม่เป็นท่า
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อยู่ในภาวะชะลอตัว 1-2 ปีที่ผ่านมา จากจำนวนซัพพลายสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะดีมานด์ เพิ่มขึ้นไม่ทันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในหลายพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกันมากเกินไป โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมทำให้ซัพพลายเกิดขึ้นจำนวนมากตามแนวรถไฟฟ้าในบางทำเล ส่งผลให้การ ชิงไหวชิงพริบซื้อที่ดินราคาแพงระยับกลางใจเมือง ตารางวาละ 2-3 ล้านบาท หายไปจากตลาด
ทั้งนี้ นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์ว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ยืดเยื้อ แนวโน้ม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องขายสินทรัพย์เพื่อรักษาสภาพคล่อง และลดภาระหนี้-ดอกเบี้ยที่แบกอยู่ โดยในระยะ 2 ปีนับจากนี้ จะมีการขายสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ ทั้งโรงแรม รีสอร์ท รวมถึงที่ดินที่ซื้อไว้เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต โดยเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ทยอยประกาศขายที่ดินออกมาบ้างแล้ว และจะยิ่งมีมากขึ้นในไตรมาสที่ 4 ทั้งการเสนอขาย การจำนอง จำนำ และการขายฝาก แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีคนซื้อหรือไม่ เพราะทุกคนก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันหมด ส่งผลให้ราคาที่ดินในตลาดจะเริ่มลดลง 20-30% ภายในไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้จะไม่เห็นการซื้อขายที่ดินในราคาตารางวาละ 2-3 ล้านบาท โดยเจ้าของที่ดินจะเปลี่ยนจากการขายเป็นการปล่อยเช่าระยะยาวแทน
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนอาจทำให้หลายบริษัทเกิดปัญหาสภาพคล่อง เพราะยอดขายและรายได้ไม่สอดคล้องกับภาระหนี้และภาระต้นทุนที่มีอยู่ จนต้องขายสินทรัพย์ รวมถึงลดพนักงาน เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด และจะทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ หลังจากวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป
“หลายบริษัทจะเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ หรือหุ้นกู้ และจำเป็นต้องพึ่งเงินกู้ซอฟท์โลนของรัฐ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐจะต้องกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยกู้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เช่น อาจจะกำหนดให้ต้องขายสินทรัพย์ หรือลดราคาสินค้าลงมา เพื่อระบายสต๊อกที่มีอยู่ออกไปก่อน ซึ่งจะมีบริษัทที่เกิดปัญหาสภาพคล่องให้เห็นแน่นอน ขณะเดียวกัน หลายบริษัทจะต้องลดภาระด้วยการ ลดเงินเดือน หรือให้พนักงานออก รวมถึงการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้”
สำหรับบทสรุปสุดท้ายผลกระทบโควิด-19 จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไปจากเดิมทั้งในด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนแปลงไป และแนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ผู้ประกอบการต้องนำเรื่องของวิกฤติขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติจากโรคระบาด วิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอและส่งผลกระทบอย่างรุนแรง รวดเร็ว มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเพื่อป้องกันความเสี่ยง
“การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะมุ่งสู่การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน จะมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น โดยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีบทบาทมากขึ้น และยังเป็นตลาดที่พอไปได้อยู่ ขณะที่คอนโดใหม่จะลดจำนวนลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า การพัฒนาจะเน้นโครงการขนาดเล็กที่อยู่รอบๆ เมืองชั้นในกระจายไปตามแนวรถไฟฟ้าสายที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และที่จะเปิดในอนาคต”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทยพาณิชย์เผย COVID-19ดันเงินฝากไตรมาสแรกโตสุดแกร่ง 7.5%
นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากผลประกอบการไตรมาส 1 ของปี 2563 ของธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า ภาพรวมเงินฝากของธนาคารในไตรมาส 1 ปี 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีจำนวนเงินรับฝากในไตรมาส 1 2563 อยู่ที่ 2.27 ล้านล้านบาท เติบโต 7.5% เมื่อเทียบจากไตรมาส 1 ปี 2562 และเติบโต 5.4% เมื่อเทียบจากสิ้นปี โดยส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินการตามกลยุทธ์ด้านเงินฝากของธนาคารที่ต้องการเพิ่มการเติบโตของเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากเดินสะพัด หรือ CASA ทั้งปริมาณเงินฝากและจำนวนลูกค้า รวมถึงการสร้างช่องทางให้สะดวกสบายมากขึ้นจากช่องทางออนไลน์ (Online Platform) อาทิ ช่องทาง SCB Easy และพันธมิตรต่างๆ ของธนาคาร เป็นต้น
“กลุ่มลูกค้าบุคคลธรรมดามีการออมเงินมากขึ้นทั้งเงินฝากออมทรัพย์ธรรมดา และออมทรัพย์ในรูปแบบเปิดบัญชีผ่านช่องทาง SCB Easy และรูปแบบบัญชีแบบไม่มีสมุด ได้แก่ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อีซี่ และบัญชีออมทรัพย์แบบไม่มีสมุด ที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าออมทรัพย์ธรรมดา ซึ่งธนาคารเชื่อว่าเงินฝากออมทรัพย์ในรูปแบบไม่มีสมุดบัญชีจะค่อยๆ เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญในอนาคตตามทิศทางของการเติบโตของดิจิทัล แบงกิ้งในประเทศ” นางอภิพันธ์ กล่าว
นอกจากนี้การเติบโตของเงินฝากในไตรมาส 1 ที่เติบโตเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ลูกค้ามีความความเชื่อมั่นในความมั่นคงของธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้ง สถานะทางการเงิน สภาพคล่อง เงินกองทุนที่เพียงพอ รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีของธนาคาร ทำให้พบว่าลูกค้าทั้งกลุ่มบุคคลและกลุ่มธุรกิจได้มีการย้ายเงินฝากจากธนาคารขนาดกลางและเล็กมายังธนาคารไทยพาณิชย์เพิ่มขึ้นผ่านการเปิดบัญชี CASA กับทางธนาคารเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ลูกค้ามีการลดสัดส่วนการลงทุนทั้งตลาดทุนและตลาดพันธบัตรมายังเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะ CASA เนื่องจากความผันผวนที่สูงขึ้นมากทั้งตลาดทุนและตลาดพันธบัตร ขณะที่ลูกค้าธุรกิจมีการสะสมสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในรูปเงินฝาก และการเลื่อนการลงทุนต่างๆ แล้วเปลี่ยนการลงทุนมาอยู่ในรูปแบบเงินสด หรือเงินฝากธนาคารเพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัท ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2563 ธนาคารมีสัดส่วนเงินฝาก CASA เพิ่มขึ้นเป็น 73% จากสิ้นปี 2562 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 67%
ทั้งนี้ ธนาคารขอเชิญชวนประชาชนหันมาออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์เงินฝากในรูปแบบ digital ซึ่งนอกจากจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ปกติแล้ว การเปิดบัญชีในรูปแบบ digital จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนสามารถรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อีกทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ลิเวอร์พูลสนมั้ย “ตราหมี” พร้อมสลับขั้วแข้งดังกับหงส์แดง
“ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด ตกเป็นข่าว เสนอขอแลกตัวแข้งดังของตัวเองกับสตาร์ของทีมลิเวอร์พูลในช่วงซัมเมอร์นี้
วันที่ 11 พ.ค. เดอะ ซัน สื่อดังของอังกฤษ แฉ “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลา ลีกา สเปน เสนอขอแลกตัว โธมัส ปาร์เตย์ กองกลางทีมชาติกานา กับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน กองกลางทีมชาติอังกฤษของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในช่วงซัมเมอร์นี้
ทั้งนี้ ปาร์เตย์ วัย 26 ปี ถือเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของทัพตราหมี ลงเล่นไปแล้ว 24 นัดใน ลา ลีกา สเปน ฤดูกาลนี้ ทำไป 2 ประตู และมีส่วนสำคัญในการพาต้นสังกัดโค่น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ไปเรียบร้อยแล้วอีกด้วย และจากผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้เขาตกเป็นที่หมายปองของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล แต่ เดอะ ซัน ระบุว่า แอตเลติโก มาดริด ต้องการแลกตัว ปาร์เตย์ กับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน กองกลางของลิเวอร์พูล มากกว่า
สำหรับ ปาร์เตย์ นั้นยังเหลือสัญญากับ แอตเลติโก มาดริด จนถึงปี 2023 และมีค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ 43.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,774 ล้านบาท)
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
สธ.รณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เร็วขึ้นสร้างภูมิคุ้นกัน-ลดเสี่ยงจากโควิด 19
กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในขณะปฏิบัติงานได้ทุกสายพันธุ์ หากบุคลากรเจ็บป่วยจะเกิดผลกระทบกับการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่อาจมีการระบาดของโรคโควิด-19
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์สำหรับบุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 5,000 โด๊สว่า ปีนี้ เป็นปีแรกที่กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง จำนวน 4.11 ล้านโด๊ส บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 4.1 แสนโด๊ส และเลื่อนการรณรงค์ให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 1 พฤษภาคมจนถึง 31 สิงหาคม 2563 จากเดิมที่จะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนมิถุนายน เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทันต่อสถานการณ์โรคโควิด 19 ซึ่งเป็นโรคที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ ลดการป่วย ลดความรุนแรง ลดการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่
“กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในขณะปฏิบัติงานได้ทุกสายพันธุ์ หากบุคลากรเจ็บป่วยจะเกิดผลกระทบกับการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่อาจมีการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนได้ร่วมกันทำงานอย่างหนัก ห้องปฏิบัติการตรวจตัวอย่างจากผู้ป่วยนับหมื่นๆ ราย ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาพยาบาลอย่างดี” นายอนุทินกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4.11 ล้านโด๊ส ให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป, เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี, ผู้มีโรคเรื้อรัง (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน), บุคคลอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, โรคธาลัสซีเมียและผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ และผู้ที่เป็นโรคอ้วน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
การอ่านเวลาในภาษาอังกฤษ (How to read time)
- ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษทั่วไป โดยใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. (ante meridiem) หรือ p.m. (post meridiem) ต่อท้าย โดยมีหลักการอ่านดังนี้
-
หากเป็นเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “O’clock” ตามหลังเลขชั่วโมงนั้นๆได้ และ หากเราต้องการย้ำถึงเวลา ก็อาจจะเติมคำว่า “sharp” ลงไปด้วย เช่น
It’s six O’clock now. = ขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกา
See you tomorrow at six o’clock sharp = แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ตอนหกโมงตรง
- หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกินสามสิบนาที ให้ใช้คำว่า “past” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.10 = Ten (minutes) past six / Six ten
6.15 = A quarter past six / Six fifteen
6.30 = Half past six / Six thirty
- หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกินสามสิบนาทีมาแล้ว ให้ใช้คำว่า “to” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.45 = A quarter to seven / Six forty-five
6.50 = Ten (minutes) to seven / Six fifty
6.35 = Twenty-five (minutes) to seven / Six thirty-five
-
การอ่านเวลาแบบระบุเวลาเช้า เย็น เป็นวิธีที่ง่าย และมีความชัดเจนในการสื่อสาร ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น
4.45 p.m. = four forty-five in the evening
4.00 a.m. = four o’clock in the morning
* หากเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดีจะใช้คำว่า “at noon หรือ midday” และหากเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ก็จะใช้คำว่า “at midnight”
- ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) เป็น วิธีการบอกเวลาที่ใช้ในหมู่ทหาร หรือ ในการประชุมทางการต่างๆ เพื่อป้องกันการสับสนในการบอกเวลา โดยใช้เลข 1 ถึง 23 และ เลข 00 ในเวลาเที่ยงคืน และไม่มี a.m. / p.m. ตามหลัง โดยมีวิธีการอ่านเวลาที่ต่างไปจากการอ่านเวลาทั่วไป เช่น
20.00 = twenty hundred
03.05 = oh three oh five / zero three zero five
00.35 = midnight thirty-five
Crowdfunding หนึ่งทางรอด SMEs
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 (COVID-19) ที่กระจายไปทั่วโลก ทำให้แต่ละประเทศต้องออกมาตการคุ้มเข้มล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม ลดการแพร่เชื้อ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงักลงเช่นเดียวกัน กระทบต่อรายได้ทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งหากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ก็คงจะยังประคับประคองกันไปได้ ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี ) เพราะแม้ว่า ทางการจะออกมาตรการช่วยเหลือเสริมสภาพคล่องด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟต์โลน) แต่ก็ยังมีต้นทุนที่สูง และยากจะเข้าถึงเหมือนเดิม
1. Donation เป็นการระดมเงินทุนในรูปแบบการขอบริจาคขององค์กรที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ไม่แสวงหากำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทน
2. Reward เป็นการระดมทุนเพื่อให้สิทธิประโยชน์บางอย่าง เป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ
3. Lending เป็นการกู้ยืมระหว่างบุคคลกับบุคคล ผ่านออนไลน์ โดยได้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน
4. Equity เป็นการขอกู้เงินจากคนทั่วไปจำนวนมาก โดยจะให้หุ้นหรือหุ้นกู้ เป็นการตอบแทน แต่เนื่องจาก การระดมทุนแบบคราวด์ฟันดิงที่ให้หุ้นหรือหุ้นกู้เป็นสิ่งตอบแทน ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สำหรับบริษัทที่สนใจระดมทุนแบบคราวด์ฟันดิง ต้องนำโครงการหรือแผนการดำเนินธุรกิจ (business plan) ไปเสนอต่อ funding portal โดย funding portal มีหน้าที่คัดกรองบริษัทและเปิดเผยข้อมูลบริษัทและหลักทรัพย์ที่จะเสนอขายบนเว็บไซต์ของ funding portal เพื่อให้ผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งสำคัญแผนนั้นต้องน่าเชื่อถือและมีความเป็นไปได้ของโครงการ
ในช่วงระหว่างการระดมทุน ผู้ลงทุนจะจ่ายเงินค่าจองซื้อ ซึ่งจะเก็บไว้ที่บุคคลที่ 3 ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น escrow agent และหากผู้ลงทุนต้องการจะยกเลิกการจองซื้อในช่วงที่ยังไม่ปิดการเสนอขาย สามารถทำได้ ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งผู้ลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลบริษัทเพิ่มเติมบนกระดาน หรือ webboard ซึ่งเป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดในกลุ่มผู้ลงทุนด้วยกันเอง จนอาจนำไปสู่กลไกการตรวจสอบบริษัทที่มีประสิทธิภาพที่เกิดจากพลังของมวลชนหมู่มาก (power of crowd) ได้
เมื่อสิ้นสุดการเสนอขาย หากบริษัทสามารถระดมเงินทุนได้ตามเป้าหมาย บริษัทจะได้รับเงินทุนไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และผู้ลงทุนก็จะได้หุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทไปตามสัดส่วนเงินที่ลงทุน
สำหรับผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.ขณะนี้มีเพียงบริษัท เพียร์ พาวเวอร์ แพลตฟอร์ม จำกัด และอีก 2 บริษัทให้บริการเฉพาะเสนอขายหุ้นคราวด์ฟันดิงคือ บริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด และบริษัท ฟีนิกซิคท์ จำกัด
นายวรพล พรวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ แพลตฟอร์ม จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงในหุ้นกู้ผ่านแพลตฟอร์มบริษัท เพราะมีดอกเบี้ยจูงใจ ขณะที่บริษัทที่เข้ามาระดมทุนจะได้รับเงินเร็วขึ้น โดยเร็วสุดประมาณ 10 วัน หรือช้าที่สุดเกือบ 60 วัน และมูลค่าระดมทุนส่วนใหญ่จะประมาณ 15-20 ล้าน แต่ระบบรองรับได้ถึง 200 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
9 สุดยอดชาลดไขมัน…ละลายไขมัน ลดพุง ลดน้ำหนัก!!
“ชา” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของใครหลายคน เนื่องจากมีกลิ่นที่หอมกรุ่น ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ร่างกายกระฉับกระเฉง ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกเพียบ นอกจากประโยชน์ข้างต้นที่กล่าวมา ชาจัดเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่ช่วยลดไขมันได้เป็นอย่างดี ชาบางชนิดช่วยเร่งอัตราการเผลาผลาญให้ร่างกายได้ด้วย เริ่มสนใจกันแล้วใช่ไหมละคะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า ชาลดไขมันนั้นมันอะไรกันบ้าง
ชา 9 ชนิดช่วยลดไขมันส่วนเกิน เพิ่มความผอมเพรียว
1. ชาเขียว หนึ่งในชายอดนิยมที่ดื่มแล้วช่วยทลายไขมันในร่างกาย ชาเขียวมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญและมีสารคาเทซีน ช่วยสลายไขมันได้ดียิ่งขึ้น หากดื่มเป็นประจำช่วยลดไขมันส่วนเกินได้
ถ้าหากอยากดื่มชาแล้วผอม ควรดื่มประมาณ 2-5 ถ้วยต่อวัน แต่จะมาดื่มน้ำชาสำเร็จรูปหวานๆตามร้านสะดวกซื้อไม่ได้นะคะ เพราะน้ำตาลสูงเวอร์วังมากๆ เรียกว่าดื่มขวดเดียว น้ำตาลที่ได้ก็เกินปริมาณที่ควรจะได้รับต่อวันแล้วล่ะค่ะ เรียกว่าช่วยทำให้น้ำหนักพุ่งทะยานแทนที่จะทำให้ผอมเลยทีเดียวเชียว
2. ชาขาว ชาขาวนั้นช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้นเช่นกัน ทั้งยังส่งเสริมการทำงานของตับด้วย เมื่อตับแข็งแรงดี ระบบเผาผลาญทำงานยอดเยี่ยม ไขมันจะถูกกำจัดออกไปได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดื่มชาขาวอุ่นๆกันสักแก้วดีกว่าค่ะ
3. ชาแดง ชาแดงอุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอลและฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งไขมันเกาะเซลล์ในร่างกาย เพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญ
4. ชาดำ จากรายงานงานวิจัยบางชิ้นพบว่าชาดำมีคุณสมบัติช่วยรักษาระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำร่างกายผ่อนคลายยับยั้งความรู้สึกอยากทานของหวานลงได้ จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
5. ชาอู่หลง ชาอู่หลงมีคุณสมบัติช่วยลดไขมันได้มากกว่าเขียว เพราะสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 20 เท่านั้น จึงกำจัดคอลเลสเตอรอลและไขมันได้ดีกว่า กลิ่นหอม รสชาติเข้มข้นกว่ามาก จึงควรดื่มแค่วันละ 2 แก้วพอค่ะ
6. ชากุหลาบ ชากุหลาบมีวิตามินหลายชนิด ไม่ว่าจะวิตามินเอ, บี, ซี, ดีและอี วิตามินบางตัวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกาย ต้านการอักเสบของผิว ช่วยในการมองเห็น และยังมีสารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันด้วยจ้า
7. ชาเปปเปอร์มินต์ ชานี้จะโดดเด่นในเรื่องกลิ่นหอม ช่วยเพิ่มความสดชื่นผ่อนคลายให้ร่างกาย ช่วยกำจัดไขมันและลดน้ำโดยลดความอยากอาหาร ช่วยเบิร์นพลังงาน จัดเป็นอีกชายอดนิยมสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
8. ชากะเพรา ชากะเพรามีสรรพคุณหลักคือช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ลดอาการจุกเสียดแน่นได้เป็นอย่างดี แต่ชานี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ด้วยนะ เพราะว่าช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ
9. ชาโป๊ยกั๊ก โป๊ยกั๊กคือเครื่องเทศชนิดหนึ่งในเครื่องพะโล้ มีคุณสมบัติช่วยรักษาอาการต่างๆในช่องท้อง ช่วยเบิร์นไขมัน ปรับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ จึงทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดี ระบบเผาผลาญก็จะดีขึ้นเช่นกัน
สำหรับที่ต้องการดื่มชาเพื่อลดไขมัน ต้องดื่มในขณะที่ยังอุ่นร้อนอยู่นะคะ จึงจะได้คุณประโยชน์เต็มที่ แต่ต้องระวังอย่าให้ร้อนเกินไป ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในอนาคตค่ะ และที่สำคัญจะลดไขมันต้องไม่เติมนม น้ำตาลหรือวิปครีมลงไปด้วยน้า ไม่งั้นน้ำหนักพุ่งพรวดแนอน สุดท้ายนี้หากอยากลดไขมันได้อย่างรวดเร็วและได้ผลดี ต้องดื่มชาเป็นประจำ ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม อย่าลืมออกกำลังกายควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,800.00 | 26,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,671.00 | 25,332.36 | 26,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,503.90 | 22,799.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,336.80 | 20,265.89 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 752.00 | 11,400.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 585.00 | 8,868.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,732.00 | 26,257.12 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/11/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | – | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 16.19 | 16.19 | – | – | – | – | – | 16.19 | – | – |
เบนซิน 95 | 26.26 | – | – | – | 26.71 | – | 26.76 | 26.26 | – | 26.26 |
ดีเซล | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 |
ดีเซล B10 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | – | 15.79 |
ดีเซล B20 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | – | 15.54 | 15.54 | – | 15.54 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 22.64 | 22.66 | 24.64 | 24.64 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |