สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2563

อสังหาฯปรับสู่สมดุลใหม่ ลลิล ปรับโฉมฟังก์ชั่น-ดีไซน์

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ชี้กระแส New Normal ตัวแปรสำคัญที่จะพลิกโฉมดีไซน์และฟังก์ชัน ตอบรับความต้องการกลุ่ม Real Demand เผยตลาดอสังหาฯกำลังปรับสู่สมดุลใหม่ มั่นใจสถานการณ์การเงินยังแข็งแกร่ง พร้อมรับมือทุกสภาวการณ์

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์  “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 ได้ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปกลายเป็น New Normal ที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการเว้นระยะห่าง (Physical distancing) การทำงานและเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน (Work-Learn from Home)  รวมถึงกิจกรรมบางอย่างที่มีการปฏิสัมพันธ์กันก็จะมี New Way of Life ที่จะเชื่อมต่อกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาพบปะกันด้วยการหันมาใช้ระบบออนไลน์ทดแทน ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม

“เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จากที่เคยให้ความสำคัญในเรื่องของ Sharing Economy มีการแชร์พื้นที่ แชร์สินค้าและบริการกัน เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 มีการล็อคดาวน์ ความต้องการจึงเปลี่ยน กลับมาต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้นเพื่อตอบ New Normal ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการดีไซน์และฟังก์ชันของการอยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งเป็นตลาดของกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand)”

นายชูรัชฏ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และหลังการแพร่ระบาด ในส่วนของการพัฒนาสินค้าได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยภายใน เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน โดยมีห้องเอนกประสงค์ที่สามารถตอบโจทย์ได้ไม่ว่าจะเป็น Work from Home หรือ Learn from Home หรือจะปรับเป็นห้องนอนก็ยังสามารถทำได้ โดยปรับฟังก์ชันห้องให้เป็น Flexible Function เพื่อให้ลูกค้าสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเขาได้ เช่น ทาวน์เฮ้าส์ 4 ห้องนอน สามารถปรับห้องนอนที่ 4 ให้เป็นห้องทำงาน ที่ตอบโจทย์หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่กลางวันทำงานประจำและใช้เวลากลางคืนในการทำงานฟรีแลนซ์ ทำให้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำเสนอแบบบ้านใหม่ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส เลอ กอร์บูซีเย (Le Corbusier) กับแนวคิด Modern Geometry ที่เน้น “ฟังก์ชั่นหรือการใช้งาน” เป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบบ้านให้สามารถใช้สอยพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างแท้จริง และ Le Modular หรือหลักความสอดคล้องของสัดส่วนมนุษย์ (Human Scale)ในการจัดสรรพื้นที่ให้เพียงพอ และเหมาะสมกับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การวางตำแหน่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ไปจนถึงการกำหนดสัดส่วนของพื้นที่เพื่อให้เกิดฟังก์ชันที่ตอบวัตถุประสงค์การใช้งาน รวมไปถึงระยะการหยิบจับสิ่งของ ซึ่งแนวคิดในการพัฒนาแบบบ้านดังกล่าวได้สอดคล้องกับกระแส New Normal ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

สำหรับ โครงการ ลลิล ทาวน์ แลนซิโอ คริป บางนา-เทพารักษ์ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวดีไซน์หรู King Size 4 ห้องนอนสไตล์ฝรั่งเศส โดดเด่นด้วยแบบบ้านดีไซน์ใหม่ในสไตล์ Modern Geometry ที่ผสมผสานความสวยงามกับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยแบบใหม่ ตอบรับทุกช่วงวัยอย่างมีระดับ ให้สมาชิกอยู่รวมกันอย่างมีความสุข ตอบสนองการใช้งานได้อย่างแท้จริง ใส่ใจมากกว่าในทุกคุณภาพวัสดุ อุปกรณ์ตกแต่งภายใน สะท้อนรสนิยมอันทันสมัย เชื่อมชีวิตสู่ทุกจุดหมายการเดินทางบนทำเลศักยภาพ มั่นใจยิ่งกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมกล้อง CCTV ตลอด 24 ชม. ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้กว้างขวาง พร้อมคลับเฮาส์ ฟิตเนส เพื่อทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งยังเพิ่มพื้นที่สีเขียว สวนสวย และซุ้มสไตล์ Art-Deco หรูหราโมเดิร์นท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น โครงการติดถนนใหญ่ บนทำเลที่เดินทางสะดวกที่สุด เชื่อมต่อสุขุมวิท เอกมัย พระรามเก้า ง่ายดายด้วยทางด่วนบูรพาวิถี ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และถนนมอเตอร์เวย์ ให้การทำงานและชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องใกล้กัน รายล้อมไปด้วย ห้างสรรพสินค้าและ Lifestyle Mall ขนาดใหญ่ ทั้ง Mega บางนา, Central Village และ Market Village สุวรรณภูมิ ,สวนหลวง ร.9 สวนสาธารณะและสวนพฤกษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร, Sky Lane สนามปั่นจักรยานสนามบินสุวรรณภูมิ ระดับราคา 3-6 ล้านบาท และโครงการไลโอ บลิสซ์ บางนา-เทพารักษ์

ทาวน์โฮมแบบใหม่ล่าสุด ฟังก์ชัน Modern GeoMetry ที่ดีไซน์ด้วยลายเส้นที่ลงตัว สไตล์ของ เลอ กอร์บูซีเย (Le Corbusier) พร้อมฟังก์ชันภายในที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของทุกวัย บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อสู่เมืองได้สะดวกด้วย 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ บางนา-ตราด,เทพารักษ์ และสุขุมวิทสายเก่า บนทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งชุมชน รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ปรับสมดุลชีวิต ด้วยสมดุลธรรมชาติ ด้วยสวนที่ร่มรื่นขนาดใหญ่ พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ และโมเดิร์นคลับเฮ้าส์ในโครงการ ราคาเริ่มต้นที่ 1.99 ล้านบาท

“เรื่องของการพัฒนา Product  ให้สามารถปรับเปลี่ยนทั้งดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่บริษัทฯ คำนึงถึงมาโดยตลอด เรามีการออกแบบบ้านให้เป็น  Flexible Function ซึ่งสอดรับกับกระแส New Normal” นายชูรัชฏ์ กล่าว “นอกจากนี้ ยังได้ปรับรูปแบบการทำงานผ่านทางออนไลน์ ทั้งการประชุม และการทำตลาดที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการเข้าชมโครงการ ด้วยการลงทะเบียนและนัดหมายเข้าชมโครงการผ่านระบบออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า บริหารจัดการเว้นระยะห่าง ไม่ให้มีจำนวนผู้ชมที่มากเกินไป ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความปลอดภัยเมื่อเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ รวมถึงการทำตลาดผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง”

ทั้งนี้ หากมองไปที่ Next Normal ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาพรวมของตลาดที่ยังพอไปได้ในกลุ่มของ Real Demand ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบหรือแนวสูง ถ้าหากพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าในราคาที่จับต้องได้ ยังเชื่อว่าตลาดก็ยังพอไปได้ โดยเฉพาะบ้านแนวราบ ซึ่งได้รับผลดีจากการที่ผู้บริโภคต้องการใช้พื้นที่ส่วนตัวเพิ่มจากการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น โดย ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้วางแผนและปรับตัวรับมือกับภาวะตลาดชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายการลงทุนอย่างระมัดระวัง พยายามรักษาสัดส่วนหนี้ต่อทุนไม่ให้เกิน 1 เท่า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.8 เท่า และในปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องของการบริหารจัดการ Cash Flow มีการบริหารสต๊อกอย่างเหมาะสม รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งที่จะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คอนโดฯภูเก็ตเหลือขาย ฉุดตลาดชะลอตัว

REIC วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ พบจังหวัดภูเก็ตน่าห่วง หลังอัตราดูดซับร่วง เหลือ 2.8% คาดตลอดทั้งปี 2563 จะมีหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขาย 8,966 หน่วย มากสุดในกลุ่มคอนโดฯ ขณะมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ติดลบมากกว่า 40%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสงขลา จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วยพบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 17,928 หน่วย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 5.0 ของจำนวนที่อยู่อาศัยใน 26 จังหวัดหลักซึ่งมีจำนวนรวม 355,145 หน่วย นับได้ว่ากลุ่มจังหวัดภาคใต้มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งมีจำนวน 209,868 หน่วย โดยจังหวัดภูเก็ตพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายมากที่สุดในกลุ่มจังหวัดภาคใต้

จังหวัดภูเก็ตอาคารชุดเหลือขายฉุดตลาดชะลอตัว

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่าจากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ สิ้นปี 2562 พบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 133 โครงการ จำนวน 9,291 หน่วยลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -13.5แบ่งเป็นอาคารชุด จำนวน 5,978 หน่วย บ้านจัดสรร จำนวน 3,313 หน่วย เนื่องจากที่ดินมีต้นทุนราคาที่สูงมากโครงการส่วนใหญ่จึงพัฒนาเป็นอาคารชุด โดยโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังคงมีสัดส่วนอาคารชุดเปิดขายใหม่สูงกว่าเช่นกัน ซึ่งจากจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ 1,207 หน่วย ประกอบด้วยอาคารชุด 868 หน่วย และบ้านจัดสรร 339 หน่วย 

เมื่อพิจารณาจากหน่วยขายได้ใหม่จากการสำรวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,550 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -31.8 ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายห้องชุด 1,060 หน่วย และเป็นบ้านจัดสรร 490 หน่วย ด้วยจำนวนโครงการใหม่ลดลงส่งผลให้จำนวนหน่วยเหลือขายลดลงด้วย โดยมีจำนวน 7,741หน่วย มูลค่ารวม 37,409 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ร้อยละ -8.6 แบ่งเป็นหน่วยเหลือขายประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 4,918 หน่วย บ้านจัดสรรจำนวน 2,823 หน่วย 

“จากการที่จำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีอัตราการขายได้ลดลงถึงร้อยละ -31.8 จึงส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนทั้งสิ้น 7,741 หน่วย มูลค่า 37,409 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขาย (พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory  จำนวน 1,037 หน่วย มูลค่า 4,645 ล้านบาท 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากอัตราการดูดซับเป็นการสะท้อนภาวะความสมดุลระหว่างตัวอุปทานอยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ภาพรวมของอัตราการดูดซับในครึ่งหลังของปี 2562 ลดต่ำลงมาค่อนข้างมากซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวการณ์ขายไม่ดี โดยอัตราดูดซับลดเหลือเพียงร้อยละ 2.8 ต่ำกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งมีอัตราดูดซับเฉลี่ยร้อยละ 4.4 และต่ำกว่าอัตราดูดซับในช่วงครึ่งปีแรกซึ่งอยู่ในระดับร้อยละ 3.5 

โดยทำเลขายดี 5 อันดับแรกพิจารณาจากหน่วยที่ขายได้ใหม่ได้แก่ 1.หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 365 หน่วย 2.เกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 214 หน่วย 3.หาดราไวย์ จำนวน 183 หน่วย 4.หาดกมลา จำนวน 171 หน่วย และ 5.เทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 127 หน่วย แต่ด้วยอัตราการขายได้ใหม่ลดต่ำลงอย่างมากส่งผลให้ทำเลขายดีบางทำเลกลายเป็นทำเลที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.เกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 268 หน่วย 2.หาดในยาง-หาดไม้ขาว จำนวน 221 หน่วย 3.หาดป่าตอง จำนวน 131 หน่วย 4.เทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 100 หน่วย และ 5.หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 86 หน่วย 

อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลฯได้ประมาณการว่าในปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจำนวน 8,966หน่วย ประกอบด้วยอาคารชุดจำนวน 5,679 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,510 หน่วย บ้านเดี่ยวจำนวน 937 หน่วย บ้านแฝดจำนวน 786 หน่วย และอาคารพาณิชย์จำนวน 54 หน่วย เป็นโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 2,700 หน่วย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่มีการเปิดขายปีละประมาณ 4,800 หน่วย คาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะลดทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัยโดยลดเหลือประมาณร้อยละ 1.1-1.8 และที่อยู่อาศัยเหลือขายจะยังคงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน 

ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยซึ่งแสดงถึงอุปสงค์ที่แท้จริงคาดการณ์ในปี 2563 ก็จะลดลงมาอยู่ที่ 6,553 หน่วย ลดลงร้อยละ-18.1 มีมูลค่าประมาณ 14,401 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -40.2 เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่มีมูลค่า 19,157 ล้านบาท ด้วยภาพรวมดังกล่าวผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การเสนอขาย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ที่มีอัตราการดูดซับชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงปี 2563 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ธปท.แจงเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับภูมิภาค

ธปท.แจงเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับภูมิภาค

ธปท.แจงค่าเงินบาทผันผวนแข็งค่า แนะผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยง และกระจายใช้สกุลอื่น

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับเงินสกุลในภูมิภาค โดยนับตั้งแต่สิ้นเดือน พ.ค. ถึงปัจจุบัน (11 มิ.ย. 63) เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 2.71% รองจากเงินรูเปียของอินโดนีเซีย และเงินวอนของเกาหลีใต้ สาเหตุหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เงินทุกสกุลในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์

สำหรับเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเงินไหลกลับของนักลงทุนที่เป็นทั้งนักลงทุนไทยและกองทุนต่างๆ ที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศในช่วงก่อนหน้า ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรในเดือนมิถุนายน แต่ยังไม่มา

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนในสภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกและของไทย อาจส่งผลให้ค่าเงินมีความผันผวน จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ และควรกระจายสกุลเงินในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ หลีกเลี่ยงการอิงกับสกุลเงินดอลลาร์ เพียงสกุลเดียว โดยเฉพาะหากเป็นการซื้อขายระหว่างกันเองในภูมิภาค การพิจารณาเลือกเงินสกุลเพื่อกำหนดราคาสินค้า (invoicing currency) ในสกุลที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันจะมีโอกาสช่วยลดความผันผวนของรายรับในสกุลบาท นอกจากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่สถาบันการเงินให้บริการอยู่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


สรุป 9 ข่าวตลาดนักเตะรอบวัน หงส์-ผีมีเป้าใหม่ สิงห์ติดขัดดีลแวร์เนอร์

สรุปข่าวซุบซิบในตลาดซื้อขายนักเตะรอบวัน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีเป้าหมายใหม่มาให้เดอะค็อปลุ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล็ง 2 ดาวยิง รวมทั้งอัปเดตเพิ่มเติมของทีมเชลซี และ อาร์เซนอล

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า