UTA ประกาศเดินหน้า โปรเจ็คสนามบินอู่ตะเภา ดันฮับการบินเปิดประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA)นำโดย นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ปรึกษาประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร นายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศร่วมกันพัฒนาโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก
สำหรับโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่เป็นการต่อยอดความสำเร็จมาจากโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ประตูเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง
นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยรัฐจะได้ผลประโยชน์ ด้านการเงิน 305,555 ล้านบาท ได้ภาษีอากรกว่า 62,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่ม 15,600 ตำแหน่งต่อปีในระยะ 5 ปีแรกของสัมปทาน ทั้งนี้บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS)ผู้ที่ได้รับสัมปทาน 50 ปี ร่วมกันลงทุนประมาณกว่า 290,000 ล้านบาท หวังพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้เป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมถึง การเป็นศูนย์กลางของ“มหานครการบินภาคตะวันออก”
นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ปรึกษาประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่บริษัท การบินกรุงเทพ ฯ ได้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญของประเทศและ เป็นหนึ่งใน ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ตามนโยบายและกรอบการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของรัฐบาล ที่ต้องการให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ เป็นศูนย์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการบินของอีอีซี และเป็นศูนย์กลางของเมืองการบินภาคตะวันออก โดยเชื่อมั่นว่า บริษัทฯ และพันธมิตร จะสามารถพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้มีศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ด้านนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนี้เป็นอย่างมาก จากการผนึกกำลังของภาคเอกชนระดับแนวหน้าของประเทศไทยทั้งสามกิจการ กลุ่มบริษัทบีทีเอสจะใช้ประสบการณ์ที่มีมากว่า 20 ปี ต่อยอดให้กับธุรกิจในเครือ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง ด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อจะมาเป็นแรงผลักดัน ให้โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกประสบความสำเร็จ กลุ่มบริษัทบีทีเอสจึงมีความมั่นใจ 100% ที่จะเดินหน้าลงทุนที่จะพัฒนาระบบภายในสนามบินให้มีความทันสมัยมากที่สุด
ทางบริษัทฯได้เตรียมแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และแผนในการสร้างระบบเชื่อมต่อการเดินทางภายในโครงการให้เชื่อมต่อกับระบบการขนส่งภายนอกทุกระบบรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน และจะมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า APM(Automated People Mover ) เชื่อมการเดินทางภายในโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพเมืองการบินให้เป็นเขตส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่อีอีซี และเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็น Aviation Hub ที่สำคัญของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
สำหรับโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงสนามบิน แต่ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบิน โดยเฉพาะเมืองการบิน และ Free Trade Zone ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความท้าทายและสามารถสร้างมูลค่าให้กับโครงการได้มากมายจึงทำให้มั่นใจได้ว่าผลตอบแทนที่เสนอให้รัฐเป็นตัวเลขที่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริง
ขณะที่นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าโครงการนี้จะช่วยทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการลงทุนในมิติต่างๆ ในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มาสู่พื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยและคนไทยทุกคน
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 มีอาคารผู้โดยสารขนาดพื้นที่กว่า 157,000 ตารางเมตร พื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2567 สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี
ระยะที่ 2 อาคารผู้โดยสารมีพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 107,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และระบบทางเดินเลื่อน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 16 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ.2573 โดยประมาณการว่า จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด30 ล้านคนต่อปี
ระยะที่ 3 เป็นการต่อขยายอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมจากระยะที่ 2 กว่า 107,000 ตารางเมตร เพิ่มจำนวนรถขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) อีก 1 ขบวน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 34 หลุมจอด คาดว่าจะ แล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2585 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 45 ล้านคนต่อปี
ระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย มีพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังที่สองเพิ่มขึ้นกว่า 82,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งติดตั้งระบบ Check-in แบบอัตโนมัติ รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 14 หลุมจอด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2598 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 60 ล้านคนต่อปี
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
8 พันอปท.ป่วน ดิ้นใช้ข้อมูลโรงเรือน เก็บภาษีที่ดิน
“ภาษีที่ดิน” ฉุดอปท. 7,852 แห่งวุ่น สำรวจ-ประเมินทรัพย์สินไม่ทัน ขอใช้ฐานข้อมูลภาษีเก่าเทียบราคาประเมินที่ดิน เทศบาลบางรักพัฒนา ยันต้องใช้เวลาหลายปี บางโฉลง อบต.เล็กกลับเรียกเก็บภาษีสนามบินสุวรรณภูมิ /หนองหอยเชียงใหม่ จ้างนักศึกษามช.สำรวจ อดีตนายกอบต.ยํ้ากว่า 4,000 อบต.เล็กอาจตาย
นอกจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 7,852แห่ง ทั่วประเทศรวมกรุงเทพมหานครมีข้อจำกัด ลงพื้นที่ สำรวจอาคารสิ่งปลูกสร้างเพื่อจัดทำบัญชีราคาประเมินทรัพย์สินเพื่อเรียกเก็บภาษีแล้ว กระทรวงการคลังยังปรับเปลี่ยนอัตราภาษีใหม่ บางประเภท เพื่อลดผลกระทบจากการร้องเรียน ส่งผลให้ ท้องถิ่นต้อง กลับไปแก้ไขฐานข้อมูลทรัพย์สินใหม่ โดยเฉพาะบ้าน-คอนโดมิเนียมเช่า, หอพัก, อพาร์ตเมนต์ จากประเภท พาณิชย์ เสียภาษี 0.3% กลายเป็นที่อยู่อาศัยหลังรอง เสียภาษี 0.02% ประกอบกับปริมาณ อาคาร มีจำนวนมาก เทียบกับ เจ้าพนักงานมีจำกัด อีกทั้งวันยื่นเสียภาษีกระชั้นเข้ามา ส่งผลให้แต่ละท้องที่ต่างหาทางออก เพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าออกไป
“ฐานเศรษฐกิจ” ลงพื้นที่สุ่มสำรวจอำเภอบางบัวทองจังหวัดนนทบุรีพบว่ามีสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานรัฐเชื่อมเข้าพื้นที่ทั้งถนนรถไฟฟ้าผลักดันเมืองขยายตัวเต็มไปด้วยบ้านจัดสรร ราคาบ้านแต่ละหลัง หายากยิ่งหากจะซื้อในราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทเช่นเดียวกับราคาที่ดิน ขยับสูง กระทั่งองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาต้องยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลตำบลบางรักพัฒนา อย่างไรก็ตามจากการสอบถามเจ้าพนักงานถึงความพร้อมการจัดเก็บภาษีที่ดินที่กำลังมาถึง วันที่ 1 สิงหาคม กลับได้รับคำตอบว่า เทศบาลฯ ต้องใช้ฐานข้อมูลเก่าภาษีโรงเรือน ที่ได้ยกเลิก เมื่อปี 2562 มาเรียกเก็บภาษีแทนโดยนำราคาประเมินที่ดินและคู่มือประเมินสิ่งปลูกสร้างกรมธนารักษ์มาเทียบ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เนื่องจากไม่สามารถสำรวจอย่างละเอียดได้ทัน เมื่อเทียบกับปริมาณบ้านเรือนอยู่อาศัยมีมากกว่า 4 หมื่นหลังคาเรือน ยังไม่รวมพื้นที่เกษตรกรรม โรงงาน พื้นที่พาณิชยกรรมต่างๆ
นอกจากนี้ ยังประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือเจ้าของที่ดินติดต่อเสียภาษีหากมีความจำเป็นต้องแบ่งแยกพัฒนาโอนกรรมสิทธิ์ ปลูกสร้างอาคารให้ชะลอไว้ก่อน หากพ้นเดือนสิงหาคมไปแล้วจึงค่อยดำเนินการ สำหรับการสำรวจ เทศบาลยังคงดำเนินการต่อเนื่องแต่หากให้ครบทั้งหมดต้องใช้เวลาหลายปี และเชื่อว่าทุกท้องถิ่นที่มีกำลังคนน้อย จะเลือกใช้ฐานข้อมูลที่มีอยู่เดิมใช้อ้างอิงไปก่อนจนกว่าจะสำรวจและประเมินใหม่แล้วเสร็จ
ขณะ อบต.บางโฉลงอำเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการ แม้เป็นท้องถิ่นขนาดเล็กแต่กลับมีทรัพย์สินขนาดใหญ่ต้องคำนวณกัน ไม่ว่าสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ยกเว้นเฉพาะพื้นที่ ที่ดินยกเว้นพื้นที่ที่กันไว้เป็นโซนปลอดภัยตามหลักการบิน รอบรันเวย์ ลานจอด แท็กซี่เวย์ เซ็นทรัลวิลเลจ คิงเพาเวอร์ รวมทั้งโรงงานอีกนับ 100 โรง
ส่วนใหญ่นำฐานข้อมูลแบบภาษีโรงเรือนเก่า ที่มีอยู่เดิมกับวิธีให้เจ้าของที่ดิน นำสำเนาทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ มาแสดง วัดความกว้างยาว อาคาร และใช้ราคาประเมินรัฐมาคำนวณประกอบเพราะจะให้เจ้าหน้าที่ลงสำรวจคงไม่สามารถดำเนินการได้ทัน
สอดคล้องกับ เทศบาลตำบลหนองหอยจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ได้ว่าจ้าง นักศึกษามหาวิทยาลัย เชียงใหม่ จำนวน สิ่งปลูกสร้างซึ่งในพื้นที่ ตำบลหนองหอย มีที่ดินทั้งหมด 6,400 แปลง เฉลี่ยเท่าๆกับสิงปลูกสร้าง แต่ทั้งนี้ มองว่า เดือนหน้าได้ขยายเวลา จัดทำ บัญชีราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อออกใบเรียกเก็บภาษีไปยังบ้านเรือนประชาชน บางพื้นที่ต้องใช้ ฐานภาษีเก่า ปี 2562 เพราะราคาประเมิน กรมธนารักษ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะรายได้ยอมรับว่าลดลง ค่อนข้างมาก จากการเว้นมูลค่าบ้านอยู่อาศัยและที่ดินเกษตรไม่เกิน 50 ล้านบาทไม่เสียภาษี ประกอบกับกระทรวงการคลัง ปรับประเภท บ้านเช่า หอพัก อพาร์ตเมนต์ เป็นที่อยู่อาศัยเดิมที่กำหนดเป็นพาณิชย์ เจ้าของบ้านบางราย ปล่อยบ้านทิ้งร้างฝุ่นจับหนา แต่ ยังแจ้งเท็จว่าอยู่อาศัย อีกทั้งรัฐบาลยังลดภาษีช่วยโควิด 90% ทำให้ เทศบาลต้องปรับภาษีใหม่ เพื่อให้ทันเรียกเก็บภาษี ซึ่งชุลมุนค่อนข้างมาก
สำหรับรายได้ในปีงบประมาณ ปี 2563 จากการเก็บรายได้จากภาษีที่ดิน คาดว่าเหลือ ราว5แสนบาทในปี 2563 (ลดภาษี 90%) เทียบกับ อัตราเต็ม 100% ประเมินไว้ที่ กว่า 1 ล้านบาท หากเทียบกับภาษีโรงเรือนแล้ว แต่ละปี สามารถจัดเก็บรายได้เฉลี่ย 5.5 ล้านบาทต่อปี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธปท.แจง12ข้อห้ามแบงก์จ่ายปันผล
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สรุปคำถาม-คำตอบงาน Medai Briefing เรื่องมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 ของ ธปท. โดย นายรณดล นุ่มนนท์. รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และ นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. โดยมีการตอบข้อสังสัยมาตรการของ ธปท. ที่สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ไม่จ่ายเงินปันผล ไม่ให้ซื้อหุ้นคืน เพื่อคงเงินกองทุนระดับสูง รองรับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น
1. เงินกองทุนฯ ที่มีตอนนี้ สามารถรองรับ NPLs ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ขนาดไหน และมีความแข็งแกร่งพอจะรองรับความไม่แน่นอน หรือวิกฤตข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นหรือไม่
ณ วันนี้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือ BIS ratio ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ที่ร้อยละ 18.7 เป็นระดับที่ค่อนข้างสูง และน่าจะเพียงพอรองรับได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างที่เรียนว่าในภาวะที่เกิดความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา การประเมินสถานการณ์ที่ ธปท. ใช้ประเมินกองทุนก็อยู่ในสมมติฐานก่อนเกิดโควิด 19 สิ่งที่ต้องการเห็นต่อจากนี้คือ การประเมินเงินกองทุนภายใต้ภาวะโควิด 19 เพื่อจะดูว่ามีเงินกองทุนพอรองรับความไม่แน่นอนนั้นมากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีเงินกองทุนที่เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกัน ยิ่งมีเงินกองทุนมาก ก็เหมือนมีการฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันให้สถาบันการเงินมาก ยิ่งทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายหลังโควิด 19 และรองรับความไม่แน่นอน มีระดับเงินกองทุนที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้ฝากเงิน เป็นแนวทางในระยะยาวของสถาบันการเงิน ระดับเงินกองทุนเป็นหัวใจสำคัญในการปล่อยสินเชื่อในอนาคต ถ้ามีระดับเงินกองทุนมาก ก็สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นด้วย รวมทั้งการป้องกันที่เกิดจากความไม่แน่นอน เช่น การกันสำรองเพิ่มขึ้นจากหนี้
ที่ผ่านมา ธปท. มุ่งเน้นทำมาตรการป้องกันมากกว่าแก้ไข ถ้ามีการป้องกัน (pre-emptive) ไว้ล่วงหน้าจะเป็นการช่วยสถาบันการเงินและเศรษฐกิจในระยะยาว
2. จากประกาศห้ามจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลทำให้หุ้นธนาคารร่วงหนักมาก ธปท. มองเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ต้องพยายามอธิบายให้นักลงทุนและผู้ฝากเงินทราบว่า หนังสือเวียนฉบับนี้มุ่งหวังให้เสริมสร้างสภาพคล่องและเงินกองทุนให้ธนาคารในระยะยาว จะเป็นผลดีต่อสถาบันการเงินให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งขึ้นต่อความไม่แน่นอนจากโควิด 19 ถ้านักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจว่าจุดประสงค์ของ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยเห็นภาพว่าถ้าออกเป็นนโยบายกลาง มีทิศทางเดียวกัน แทนที่สถาบันการเงินจะทำเรื่องนี้โดยดำเนินนโยบายของแต่ละแห่ง ซึ่งจะทำให้เกิดคำถามถึงความแตกต่างกันในการดำเนินนโยบาย
3. นักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นกลุ่มธนาคาร เมื่อข่าวออกไปก็มีผลกระทบต่อกลุ่มนี้ จะอธิบายอย่างไร
นักลงทุนต่างชาติน่าจะได้เห็นมาแล้วจากการออกมาตรการโดยธนาคารกลางในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น EU, UK, Australia, Canada และ New Zealand นักลงทุนต่างชาติจึงไม่น่าจะแปลกใจกับนโยบายนี้ และคงเข้าใจดีว่า เป็นเรื่องของการตอบโจทย์ในระยะยาว
4. ธปท. มีความกังวลหรือไม่ว่า ถ้าคนไม่เข้าใจมาตรการนี้ จะมีการแห่ถอนเงินจากธนาคารหรือเปล่า
ไม่กังวล เพราะหากมีการสื่อสารมากพอให้ผู้ฝากเงินและผู้ลงทุนเข้าใจจุดประสงค์ของนโยบาย วันนี้ฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินก็ยังมีความเข้มแข็งอยู่ เพียงแต่ ธปท. อยากเห็นรูปแบบ แนวทาง และแผนงานของสถาบันการเงิน โดยให้วางแผนเรื่องเงินกองทุนล่วงหน้า 2 – 3 ปี
5. ได้ประเมินระดับ NPLs สิ้นปีนี้แล้วหรือยัง BIS จะเป็นเท่าไหร่ และจะมีการให้สถาบันการเงินทำ Stress Test ภายใต้เงื่อนไขใหม่หรือไม่
ก่อนหน้านี้ได้ให้สถาบันการเงินทำ Stress Test ก่อนปลายปี 2562 ที่ไม่มีโควิด 19 แต่ตอนนี้ให้สถาบันการเงินทำ Stress Test และประเมินเงินกองทุน ภายใต้โควิด 19 จะออกมาภายในเดือนหน้า จะเห็นภาพชัดขึ้นว่า NPLs เป็นเท่าไหร่ BIS ratio จะเป็นเท่าไหร่ ที่สำคัญคือสถาบันการเงินและ ธปท. ต้องทำมาตรการในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
6. ถ้าสถานการณ์โควิด 19 ไม่ดีขึ้น มีโอกาสงดการจ่ายปันผลทั้งปีหรือเปล่า
ยังตอบไม่ได้เพราะตอนนี้ที่เราเห็นชัดคือ เงินปันผลระหว่างกาลเป็นการจ่ายนอกรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่ได้รอคำนวณผลประกอบการทั้งปี สิ่งเห็นชัดคือ อย่าเพิ่งจ่ายเงินปันผลเฉพาะกาล แต่ควรมาประเมินกองทุนก่อนว่าเป็นอย่างไร และคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เราให้ความสำคัญกับฐานะการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ไม่เพียงเฉพาะผู้ลงทุน แต่เงินฝากของประชาชนก็เป็นสิ่งที่เราต้องดูแล
7. มองว่า NPLs จะมากกว่าวิกฤตปี 2540 หรือเปล่า
แตกต่างกัน เพราะปี 2540 เกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค มีเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ ตลาดอสังหาฯ โตเกินระดับเศรษฐกิจ ครั้งนี้เป็นวิกฤตที่เกิดจากโรคระบาดกระจายในวงกว้าง ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจมหภาคหรือเงินทุนที่มาจากต่างประเทศ แต่เราได้รับบทเรียนมาจากปี 2540 จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามไปจนแก้ไขไม่ได้ ปี 2540 ระดับหนี้เสียเป็น 50% ของสินเชื่อทั้งหมด เพราะว่าขณะนั้นไม่มีมาตรการในเชิงรุก บทเรียนจากตอนนั้นทำให้เรามีการทำมาตรการป้องกันในเชิงรุก ที่สำคัญคือ ต้องเร่งให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพและได้รับผลกระทบจากโควิด 19 เป็นมาตรการที่ ธปท. ออกมาตั้งแต่ต้นปี คาดว่าจะทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้กลับมาสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น การสำรองของสถาบันการเงินก็จะน้อยลง เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้
8. อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยที่ร้อยละ 18.7 สามารถรองรับ NPL 50% ของสินเชื่อทั้งระบบได้หรือไม่
ณ วันนี้ระดับเงินกองทุน BIS Ratio อยู่ที่ 18.7 ประกอบกับการเร่งดำเนินมาตรการที่ ธปท. และธนาคารต่าง ๆ ได้เห็นร่วมกันในเรื่อง มาตรการเชิงป้องกัน (pre-emptive) จะเป็นสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างปี 2540 เชื่อว่าเราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดี
9. ปัจจุบันมี NPLs ถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่า
ปัจจุบัน NPLs ไม่ถึงครึ่ง และหวังว่าการทำมาตรการเชิงรุกจะไม่ทำให้เงินกองทุนไปถึงจุดนั้น แต่อย่างที่พูดถึงในหนังสือเวียนฉบับนี้คือ ต้องมีการประเมิน Stress Test ว่าลูกหนี้แต่ละธนาคารจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เราคงไม่ปล่อยให้ NPLs ไปถึงร้อยละ 50 ปัจจุบันแนวทางนโยบายของเราเป็นการป้องกัน ถ้าเงินกองทุนลดลงไประดับหนึ่ง เราจะมีมาตรการดูแลเป็นระดับไป ไม่ปล่อยลงไปต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วค่อยกลับมาแก้ไข เรื่องการกันสำรองก็เช่นกัน ถ้าเห็นว่าลูกหนี้มีปัญหาก็จะหารือกับสถาบันการเงินเรื่องการตั้งกันสำรองล่วงหน้า ไม่ปล่อยให้เป็นหนี้เสียแล้วจึงกันสำรอง ซึ่งจะกระทบต่อกำไรและเงินกองทุนของธนาคาร
10. สถานการณ์ตอนนี้ทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อยากกว่าเดิม
สถานการณ์ขณะนี้พบว่า ระดับเงินกองทุนฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 18.7 นี้ สถาบันการเงินยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้ แต่การดำเนินงานของสถาบันการเงิน คือ การนำเอาเงินฝากของประชาชนไปปล่อยสินเชื่อ จึงต้องมั่นใจว่าลูกหนี้ที่จะนำสินเชื่อไปปล่อยต้องเป็นสินเชื่อที่มีศักยภาพอยู่ ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้หลังช่วงโควิด 19 ธุรกิจของธนาคารพาณิชย์คือการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น ถ้าลูกหนี้มีศักยภาพ ธนาคารก็ปล่อยสินเชื่อให้
11. ทางการจะเข้าไปดูแลหรือเปล่า
คงยังไม่ถึงกับทางการเข้าไปดูแล คงต้องหารือร่วมกันว่าจะมีวิธีเพิ่มเงินกองทุนได้อย่างไร มีแผน 2 – 3 ปีข้างหน้าว่าจะดำเนินการอย่างไร ถ้า Stress Test ออกมาต่ำกว่าที่ตั้งไว้จะมีแผนเสริมสร้างเงินกองทุนอย่างไร ไม่อยากให้มีการดำเนินการทางกฎหมายหรือสร้างกฎเกณฑ์ ในช่วงแรกจึงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ การให้นโยบายเรื่องการระดมเงินกองทุนที่ชัดเจนขึ้น
12. สถาบันการเงินจะส่งแผนให้เมื่อใด
ประมาณปลายเดือนหน้า ส่วนเรื่องสมมติฐานก็มีการหารือกันอยู่ สมมติฐานแต่ละธนาคารต้องตั้งขึ้นมาเองเพราะมีความเสี่ยงและลักษณะของลูกหนี้ที่แตกต่างกัน ภายในสิ้นเดือนหน้าคาดว่าคงจะเห็นภาพของ Stress Test หลังจากนั้นคงต้องมาคุยกันว่าจะมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างไร
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
จัดเต็ม คาดการณ์ 11 ตัวจริง แมนยูฯ เกมฉะ เชฟฟิลด์ฯ
สื่อดังคาดการณ์รายชื่อ 11 ตัวจริง “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมเปิดบ้านดวล เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนนี้
เกมนี้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ นายใหญ่ของปิศาจแดง น่าจะส่ง พอล ป็อกบา ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ขึ้นเกมในแดนกลางร่วมกับ บรูโน เฟอร์นันเดส โดยมี เนมันยา มาติช ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ส่วนกองหลัง เอริค ไบญี น่าจะได้ลงแทน วิคตอร์ ลินเดเลิฟ และ แบรนดอน วิลเลียมส์ น่าจะได้ลงก่อน ลุค ชอว์ ในตำแหน่งแบ็กซ้าย ขณะที่ปีกขวา เมสัน กรีนวูด จะถูกส่งลงแทน แดเนียล เจมส์
รายชื่อ 11 ตัวจริง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คาดว่าจะลงสนมพบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มีดังนี้ (ระบบ 4-3-3)
ดาบิด เดเคอา (GK), แฮร์รี แม็คไกวร์, เอริก ไบญี, แบรนดอน วิลเลียมส์, อารอน วาน บิสซากา, เนมันยา มาติช, บรูโน เฟอร์นันเดส, พอล ป็อกบา, เมสัน กรีนวูด, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อองโตนี มาร์เชียล
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
สังคมไทยเรียนรู้โควิด-19 หันใช้ชีวิตวิถีใหม่
ผลสำรวจสถานการณ์ของโควิด-19 พบประชาชน เรียนรู้ปรับรูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ New normal คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม ใส่ใจในความปลอดภัยสุขภาพต่อตนเองและผู้อื่น
ผศ.ดร.วิโรจน์ ลิ้มไขแสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เปิดเผยว่า ศูนย์บริการวิชาการด้านบริหารธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มทร.อีสาน ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน 385 คน ในหัวข้อ “COVID-19 กับรูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New normal)” ซึ่งผู้ที่ร่วมตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 70.4% มีอายุ 21-30 ปี 44.1% ประกอบอาชีพรับราชการ พนักงานของรัฐ 36.5% และนักเรียน นักศึกษา 37.1% รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,001 บาท 40.2%
จากการสำรวจจากกลุ่มคนดังกล่าวพบว่า รูปแบบวิถีชีวิตใหม่จะต้องใส่แมสก่อนออกจากบ้าน คิดเป็นร้อยละ 84.9 รองลงมาคือการคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม รวมถึงมีการพกแอลกอฮอล์ส่วนตัว และใช้โซเชียลมีเดียติดต่อสื่อสารแทนการพบปะพูดคุย ตามลำดับ ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่า
ผลของโรคระบาดนี้ทำให้ประชาชนมีแนวคิดแบบใหม่ และมีการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยหันมาให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมกันมากขึ้น ใส่ใจในความปลอดภัย สุขภาพ ต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
ในส่วนมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ ที่ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นด้วยมากที่สุด คือ มาตรการผ่อนปรนในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การซื้อสินค้า บริการ ระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามประชาชนยังคงต้องการให้ทางภาครัฐ มีการตรวจสอบคัดกรองการใช้บริการในสถานประกอบการ ห้างสรรพสินค้า และในจุดต่าง ๆ ต่อไป รวมถึงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเลี่ยงการกลับมาระบาดซ้ำอีกครั้งของโควิด-19
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
บทสนทนา คุยเรื่องงาน อาชีพ ภาษาอังกฤษ ทำงานที่ไหน ว่างงาน ธุรกิจส่วนตัว
บทสนทนาหน้านี้จะเป็นการพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ อาชีพต่างๆ เรามาดูตัวอย่างประโยค และบทสนทนาภาษาอังกฤษกันครับ สนทนาเรื่องอาชีพ ภาษาอังกฤษ What do you do? […]
บทสนทนาหน้านี้จะเป็นการพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ อาชีพต่างๆ เรามาดูตัวอย่างประโยค และบทสนทนาภาษาอังกฤษกันครับ
สนทนาเรื่องอาชีพ ภาษาอังกฤษ
What do you do? = คุณทำงานอะไร
What do you do for a living? = คุณทำงานอะไร
What sort of work do you do? = คุณทำงานประเภทไหน
What line of work are you in? = คุณทำงานในสายงานไหน
I’m a … = ฉันเป็น…
… teacher = ครู
… student = นักเรียน
… doctor = แพทย์
I work as a … = ฉันทำงานเป็น…
… journalist = นักหนังสือพิมพ์
… programmer = นักเขียนโปรแกรม
I work in … = ฉันทำงานด้าน…
… television = ทีวี
… publishing = สื่อสิ่งพิมพ์
… PR (public relations) = ประชาสัมพันธ์
… sales = การขาย
… IT = เทคโนโลยีสารสนเทศ
I work with … = ฉันทำงานกับ…
… computers = คอมพิวเตอร์
… children with disabilities = เด็กพิการ
I stay at home and look after the children = ฉันอยู่บ้านและคอยดูแลลูกๆ
I’m a housewife = ฉันเป็นแม่บ้าน
สถานะการจ้างงาน
I’ve got a part-time job = ฉันทำงานพาร์ทไทม์
I’ve got a full-time job = ฉันทำงานเต็มเวลา
I’m … = ฉัน…
… unemployed (อันเอมพลอยดฺ’) = ตกงาน
… out of work = ไม่มีงานทำ
… looking for work = กำลังหางานทำ
… looking for a job = กำลังหางานทำ
I’m not working at the moment = ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำงาน(ว่างงาน)
I’m retired = ฉันเกษียณแล้ว
คำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้
retired (รีไท’เออร์ด) = ปลดเกษียณ
ถามว่าทำงานที่ไหน ภาษาอังกฤษ
Who do you work for? คุณทำงานที่ไหน(ทำให้ใคร หรือบริษัทอะไร)
I work for … = ฉันทำงานที่…
… a publisher = สำนักพิมพ์
… an investment bank = ธนาคารเพื่อการลงทุน
… the council = สภา
I’m self-employed = ฉันทำธุรกิจส่วนตัว
I work for myself = ฉันเป็นเจ้าของกิจการ
I have my own business = ฉันมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
I’m a partner in … = ฉันเป็นหุ้นส่วนของ…
… a law firm = สำนักกฎหมาย
… an accountancy practice = สำนักงานบัญชี
I’ve just started at … = ฉันเพิ่งเริ่มทำงานที่…
สถานที่ทำงาน
Where do you work? = คุณทำงานที่ไหน
I work in … = ฉันทำงานใน…
… an office = สำนักงาน
… a shop = ร้านขายของ
… a restaurant = ภัตตาคาร
… a bank = ธนาคาร
… a factory = โรงงาน
… a call center = ศูนย์รับโทรศัพท์
I work from home = ฉันทำงานที่บ้าน
การอบรมและประสบการณ์การทำงาน
I’m training to be … = ฉันกำลังฝึกเป็น…
… an engineer = วิศวกร
… a nurse = พยาบาล
I’m a trainee = ฉ้นเป็นพนักงานฝึกงาน
I’m on a course at the moment = ตอนนี้ฉันกำลังเรียนหลักสูตรหนึ่งอยู่
I’m on work experience = ฉันทำงานหาประสบการณ์อยู่
I’m doing an internship = ฉันกำลังฝึกงานอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก tonamorn.com
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำ “AI” วางแผนรักษามะเร็ง
ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศว่าราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์สถาบันการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสถาบันการแพทย์ชั้นนำ ได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อการวางแผนรักษามะเร็ง หรือ Watson for Oncology ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มค็อกนิทิฟ คอมพิวติ้งบนระบบคลาวด์มาใช้ เพื่อให้แพทย์ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยในการวินิจฉัยและเสนอทางเลือกการรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนบริการทางการแพทย์และส่งเสริมองค์ความรู้ในด้านการศึกษาวิจัยแก่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของสถาบันสู่ความเป็นเลิศในด้านการให้บริการรักษาโรคมะเร็งของประเทศไทย
พร้อมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกสิทธิ์การรักษาสามารถเข้าถึงการวางแผนการรักษามะเร็งที่ได้มาตรฐานสากล สนองพระดำริ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงมีพระประสงค์ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน การวิจัย และพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยความเป็นเลิศในวิชาชีพเพื่อทุกชีวิตในสังคม และให้บริการทางการแพทย์ด้วยมาตรฐานสากลแก่ประชาชนอย่างไม่หวังผลกำไร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ
จากวิสัยทัศน์ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ในฐานะสถาบันการศึกษาวิจัยและสถาบันการแพทย์ชั้นนำ มุ่งให้บริการสุขภาพแก่คนไทยอย่างไม่หวังผลกำไร โดยเฉพาะการพัฒนาองค์ความรู้ ยกระดับการรักษา และให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งให้สามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างทัดเทียมกัน ได้เดินหน้าภารกิจในการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาเสริมประสิทธิภาพในการวางแผนดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทย
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจิรพร เหล่าธรรมทัศน์ รองอธิการบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด และคณบดีคณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ได้กล่าวถึงการนำเอาเทคโนโลยีล่าสุด ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการวางแผนรักษาโรคมะเร็ง หรือ Watson for Oncology เข้ามาให้บริการที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ว่า “ด้วยพระปณิธานในศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือประชาชนไทยให้พ้นจากทุกข์ภัยของโรคมะเร็ง ซึ่งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์เองก็เติบโตมาจากการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการรักษาโรคมะเร็งและพัฒนาต่อยอดสู่การเป็นสถาบันการแพทย์ครบวงจร รวมทั้งเป็นสถาบันการศึกษาวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ภายใต้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เราได้เดินหน้าภารกิจเพื่อสานต่อการดำเนินงานจากพระนโยบายขององค์ประธานที่จะนำองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศทางการเเพทย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งในปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2562) มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้น 23% หรือประมาณ 4,000 รายต่อปี โดยผู้ป่วยมะเร็งทุกรายที่เข้ามาที่เราจะได้รับการพิจารณาหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุดจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสหสาขาของการประชุมวางแผนรักษาโรคมะเร็งหรือ Tumor Board ซึ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อการวางแผนรักษาโรคมะเร็ง หรือ Watson for Oncology นับเป็นอีกก้าวสำคัญของสถาบันที่จะนำเทคโนโลยีในระดับสากลมาช่วยเสริมศักยภาพในการวางแผนรักษามะเร็งให้กับทีมแพทย์ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อให้สามารถก้าวทันความรู้ทางการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าและสามารถระบุแนวทางการรักษาที่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การรักษาที่ดีเยี่ยมและเหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และท้ายที่สุดก็จะเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสร้างความเป็นเลิศทางการรักษามะเร็ง”
“ไอบีเอ็มรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้นำประสิทธิภาพของเทคโนโลยีวัตสันเข้าสนับสนุนวิทยาลัยจุฬาภรณ์เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำด้านการรักษามะเร็ง” นางสาวปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีนและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอบีเอ็มประเทศไทย กล่าว“เทคโนโลยี IBM Watson for Oncology จะช่วยสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกให้กับแพทย์ของจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยเพื่อพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยบนพื้นฐานของข้อมูลหลักฐาน ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยในระยะยาว เราหวังว่าการนำเทคโนโลยีขั้นสูงของวัตสันมาผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญเชิงลึกของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะเป็นการส่งเสริมให้การรักษามะเร็งในไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ถือเป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งแรกที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Watson for Oncology มาใช้ในการวางแผนรักษาแก่ผู้ป่วยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงบูรณาการความร่วมมือทางการแพทย์ในการเปิดให้โรงพยาบาลในเครือข่ายทั่วประเทศของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้เข้าถึงบริการของระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวผ่านหน่วยการวางแผนรักษาโรคมะเร็งหรือ Tumor Board ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกสิทธิ์การรักษาได้เข้าถึงการวางแผนการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากล นอกจากนี้เทคโนโลยี Watson for Oncology จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องการสนับสนุนงานด้านวิจัย และการศึกษาของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ในอนาคต เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เเพทย์เเละบุคลากรในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพได้เรียนรู้พัฒนาตนเองเเข่งกับเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลก รวมถึงนำมาช่วยในด้านการศึกษาของหลักสูตรเเพทย์ประจำบ้านฝึกอบรมสาขาต่อยอดด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาซึ่งเป็นเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ทั่วไปได้เรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริงซึ่งนับเป็นที่เเรกในประเทศไทยอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
โคโรค สรรพคุณและประโยชน์ของโคโรค 12 ข้อ !
โคโรค
โคโรค ชื่อสามัญ Ox-gallstone[1]
โค ชื่อวิทยาศาสตร์ Bos taurus domesticus Gmelin จัดอยู่ในวงศ์วัวและควาย (BOVIDAE)[1]
สมุนไพรโคโรค มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หนิวหวง (จีนกลาง) เป็นต้น[1]
ลักษณะของโคโรค
- โคโรค หรือ นิ่วในถุงน้ำดีวัว ซึ่งมักจะเกิดกับวัวที่มีอายุมากกว่า 10 ปี เมื่อเป็นนิ่วในถุงน้ำดี วัวจะมีรูปร่างผอม กินอาหารได้น้อย ดื่มน้ำมาก เดินไม่ค่อยมีแรง ผู้ที่มีความชำนาญจะสังเกตเห็นนิ่วในถุงน้ำดีมีรูปร่างและขนาดที่ต่างกันออกไป ซึ่งเราจะเรียกนิ่วในถุงน้ำดีของวัวนี้ว่า “โคโรค” ซึ่งโคโรคนี้เป็นสิ่งที่มีค่าและมีราคาแพงมาก (แพงกว่าตัววัว) และเนื่องจากโคโรคจากธรรมชาตินั้นมีน้อยและหาได้ยากยิ่ง เพื่อที่จะทดแทนโคโรคจากธรรมชาตินี้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำเอาน้ำดีจากวัว แพะ และหมู มาทำเป็นโคโรคเทียมแทน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับโคโรคธรรมชาติแล้วสรรพคุณก็ต่างกันมาก แต่ก็ยังสามารถใช้แทนกันได้อยู่ โดยใช้ในปริมาณที่มาก และนักวิทยาศาสตร์จีนก็ได้ทดลองวิจัยทำโคโรคในตัววัวได้สำเร็จ โดยใส่สารชนิดหนึ่งเข้าไปในถุงน้ำดีแล้วกระตุ้นให้น้ำดีหลั่งออกมามาก และจับบนผิวของสารที่เข้าไปนั้น หลังจากนั้น 1 ปีผ่านไปจึงค่อยผ่าเอานิ่วนั้นออกมา[3]
- โคโรค คือ หินนิ่วของสัตว์วัตถุ ซึ่งได้มาจากก้อนนิ่วที่เกิดอยู่ในถุงน้ำดีหรือตับของวัวหรือกระบือ บางครั้งวัวที่เป็นโรคไอก็จะมีเม็ดโคโรคนี้หลุดออกมา โดยเม็ดโคโรคนี้จะมีลักษณะรูปร่างที่ไม่แน่นอน มีทั้งรูปกลม รูปเหลี่ยม และรูปสี่เหลี่ยม แต่จะมีขนาดเล็ก มีขนาดเฉลี่ยของเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-3 เซนติเมตร ผิวเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองเข้ม ผิวหยาบมีรอยย่น บางส่วนจะมันเงา เกลี้ยง เนื้อกรอบแตกง่าย ถ้าตัดตามขวางจะพบว่าเนื้อในเป็นสีน้ำตาลเหลืองและเป็นชั้น ๆ เรียงกัน[1],[2]
สรรพคุณของโคโรค
- ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง[2]
- หินนิ่วหรือโคโรคมีรสขมชุ่ม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ ใช้เป็นยาสงบจิต แก้อาการตกใจง่าย[1]
- ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้สูง ตัวร้อน ไข้หมดสติ และมีอาการเพ้อหรือพูดจาเพ้อเจ้อ ล้มบ้าหมู เด็กไข้สูงและมีอาการชัก หรือไข้ชักในเด็ก[1],[3]
- ใช้เป็นยาหยอดตารักษาตาเจ็บ ตาฟาง ตาแฉะ[2]
- ใช้เป็นยาขับเสมหะ รักษาน้ำลายและเสมหะเหนียว แก้น้ำลายเหนียวติดลำคอ และใช้กินเป็นยารักษาเสมหะแห้ง[1],[2]
- ใช้เป็นยาแก้คออักเสบ แก้คอบวม คอเจ็บ รักษาลิ้นแสบปากเป็นแผล[1],[3]
- ใช้เป็นยาแก้ตับอักเสบ ดีซ่าน[1]
- ใช้รักษาฝีภายในและภายนอก[1]
- ใช้รักษาอาการบวมตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และมีการเปลี่ยนที่ไปมา (โรคนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่เกิดเป็นไข้หวัดใหญ่เรื้อรัง)[1],[2]
- ตำรับยาแก้ไข้ตัวร้อน และมีอาการเพ้อ ระบุให้ใช้โคโรค 0.75 กรัม, ชาดจอแส 5 กรัม , อุกกิม 6 กรัม, อึ้งงิ้ม 10 กรัม, กีกี้ 10 กรัม และอึ้งเน้ย 15 กรัม นำมาบดให้เป็นผงทำเป็นยาลูกกลอนขนาดเม็ดละ 15 กรัม ใช้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง[1]
- ตำรับยาขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว ลมชักในเด็ก ระบุให้ใช้โคโรค 0.35 กรัม, ชาดจอแส 0.2 กรัม, ยาแปะคังวู้ 0.5 กรัม นำมาบดให้เป็นผงชงกับน้ำรับประทาน[1]
- ตำรับยาแก้เจ็บคอ ลิ้นเป็นแผล ระบุให้ใช้โคโรค, ดินประสิว, ชะเอม, กีจี้, เซ็งมั๊ว อย่างละเท่ากัน นำมาบดให้เป็นผง ใช้เป็นยาเป่าคอหรือใช้เป็นยาป้ายลิ้น[1]
ขนาดและวิธีใช้ : ให้ใช้ครั้งละ 0.2-0.4 กรัม นำมาบดให้เป็นผงชงรับประทาน หรือใช้เข้ากับตำรายาผงทำเป็นยาลูกกลอนรับประทาน ส่วนการนำมาใช้ภายนอกให้ใช้ผงที่บดได้นำมาทาหรือโรยแผล[1]
ข้อควรระวัง : สตรีมีครรภ์และผู้ที่มีอาการกระเพาะอาหารม้ามเย็นพร่อง คือ มีอาการท้องอืดแน่น อาหารไม่ย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก รู้สึกเย็นท้อง หรือผู้ที่ไม่มีอาการร้อน เช่น เจ็บคอ คอแห้ง ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1],[3]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโคโรค
- สารที่พบ ได้แก่ Bilirubin, Cholesterol, Cholic acid, Fatty acid, Lecithin, Taurine, Alanine, Aspartic acid, Arginine, Glycine, Methionine, Leucine, Vitamin D และพบแคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุทองเหลือง เป็นต้น[1]
- โคโรคมีกรดโคลิก ซึ่งมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูงขึ้น[3]
- โคโรคมีฤทธิ์กระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดง เพราะในโคโรคมีวิตามินดี ซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ แต่หากรับประทานมากเกินไป จะมีผลทำลายเม็ดเลือดแดง ทำให้เป็นตัวเหลืองได้เช่นกัน เพราะเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย[1],[3]
- เมื่อนำหนูทดลองที่ปกติมาทำให้มีอาการตกใจ หรือให้หนูทดลองกินกาแฟหรือกินการบูรแล้วทำให้หัวใจของหนูเต้นเร็วขึ้น หลังจากนั้นนำสารสกัดจากโคโรคในอัตราส่วน 0.5 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม มาให้หนูทดลองกินติดต่อกันเป็นเวลา 4-8 วัน วันละ 1 ครั้ง จะพบว่ามีผลทำให้หนูมีการสงบจิตได้และหัวใจของหนูก็เริ่มเต้นเป็นปกติด้วย[1]
ประโยชน์ของโคโรค
- โคโรคเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมาก พวกคนจีนใต้จะมาขอซื้อจากคนที่ฆ่าวัวจากโรงฆ่าสัตว์ เพื่อเอามาขายเป็นสินค้าทางยา[2]
ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,750.00 | 25,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,668.00 | 25,286.88 | 26,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,501.20 | 22,758.19 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,334.40 | 20,229.50 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 751.00 | 11,385.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 584.00 | 8,853.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,728.00 | 26,196.48 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/06/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 | 22.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 | 21.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.64 | 20.64 | 20.64 | 20.64 | 20.64 | – | 20.64 | 20.64 | 20.64 | 20.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.39 | 18.39 | – | – | – | – | – | 18.39 | – | – |
เบนซิน 95 | 29.56 | – | – | – | 30.01 | – | 30.06 | 29.56 | – | 29.56 |
ดีเซล | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 | 22.39 |
ดีเซล B10 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 | 19.39 |
ดีเซล B20 | 19.14 | 19.14 | 19.14 | 19.14 | 19.14 | – | 19.14 | 19.14 | – | 19.14 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 26.54 | 26.56 | 28.54 | 28.54 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |