ไรมอน แลนด์ ปรับใหญ่“กรณ์ ณรงค์เดช” ดำรงตำแหน่ง COO
ไรมอน แลนด์ ปรับใหญ่“กรณ์ ณรงค์เดช” ดำรงตำแหน่ง COO และ “มนาเทศ อันนวัฒน์” นั่ง CMO เสริมทัพธุรกิจ พร้อมก้าวสู่ผู้นำตลาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่
บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารภายในใหม่ มีมติแต่งตั้ง นายกรณ์ ณรงค์เดช ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) และ นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาดและการขาย (Chief Marketing Officer-Marketing & Sales) พร้อมทั้งมีการดึงพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมเป็น Strategic Partner ทั้งกลุ่มในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อนำพาองค์กรให้คงความเป็นผู้นำ และต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย
นายกรณ์ ณรงค์เดช มีประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการตลาดกลุ่มเคพีเอ็น รองประธานกรรมการ บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด, และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโครงการ ดิโพลแมท ซีรีย์ส และ เดอะ แคปปิตอล ซีรีย์ส และ นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เป็นผู้มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการบริหารงานด้านการตลาด การขาย และการสื่อสารองค์กร จากองค์กรระหว่างประเทศชั้นนำหลายแห่ง และล่าสุดดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และดิ เอ็มควอเทียร์ ฯลฯ โดยจะเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานด้านการวางแผนกลยุทธ์การตลาด การขาย การสื่อสารองค์กร และการบริหารจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฎิบัติการ กล่าวว่า “ผมมีความพร้อมในการเดินหน้าสานต่อนโยบายบริษัทให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำตลาดของบริษัทที่วางไว้ สอดรับกับแนวทางการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ พร้อมสร้างผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ มิติ รวมถึงการเปิดโอกาสในการหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่ง เตรียมยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้มีคุณภาพ ตลอดจนการทำผลกำไรให้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ผู้อยู่อาศัยรวมไปถึงผู้ถือหุ้น เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ด้าน นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ประธานเจ้าที่บริหารฝ่ายการตลาด และการขาย กล่าวว่า “รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการนำทีมเพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด การขาย และการสื่อสารองค์กร โดยจะนำความรู้ ความเชี่ยวชาญมาพัฒนาแผนการตลาด การขาย และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆแบบ Seamless โดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง กระตุ้นการรับรู้ และยอดขายให้แก่โครงการต่างๆ ของไรมอน แลนด์ อย่างต่อเนื่อง”
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ ได้มีการปรับกลยุทธ์ นโยบาย และแนวทางการบริหาร เปิดโอกาสให้ผู้บริหารที่มีความพร้อมทั้งประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญเข้ามาบริหารงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นความท้าทายของทีมผู้บริหารใหม่ทุกท่าน โดยที่ผ่านมา ไรมอน แลนด์ ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการดึงพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมเป็น Strategic Partner ทั้งกลุ่มในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ กลุ่ม Mesa Thai ผู้ถือหุ้นรายใหม่ จากสิงคโปร์, Tokyo Tatemono และ Mitsubishi Estate บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่าศตวรรษ เพื่อต่อยอด และขยายธุรกิจเข้าไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
AP มั่นใจ ยอดขายปีนี้ เข้าเป้า !
AP มั่นใจยอดขายปีนี้เข้าเป้า 3.35 หมื่นลบ. หลัง 8 เดือนทำได้แล้ว 2.14 หมื่นล้านบาทสวนทางโควิด -19
นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจยอดขายปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 33,500 ล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายแล้วกว่า 21,420 ล้านบาท โดยยอดขาย จำนวน 18,400 ล้านบาท มาจากสินค้ากลุ่มแนวราบ ซึ่งคิดเป็น 82% ของเป้าหมายยอดขายแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ณ สิ้น มิ.ย.63 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมโครงการร่วมทุนมูลค่า 49,330 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 63 ประมาณ 21,018 ล้านบาท โดย Backlog ทั้งหมดแบ่งเป็นโครงการแนวราบประมาณ 12,010 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปี 63 และโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 37,320 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 63 ประมาณ 9,008 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 66
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12-13 ก.ย. ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายบ้านเดี่ยวใหม่ จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ 2 ราคาขายตั้งแต่ 29.9-37 ล้านบาทต่อยูนิต, 2.โครงการ THE CITY พระราม 2-พุทธบูชา ราคาขายตั้งแต่ 9-15 ล้านบาทต่อยูนิต, 3.โครงการ THE CITY พระราม 9-รามคำแหง ราคาขายตั้งแต่ 11-25 ล้านบาทต่อยูนิต, 4.โครงการ THE PALAZZO ปิ่นเกล้า ราคาขายตั้งแต่ 35-60 ล้านบาทต่อยูนิต, 5.โครงการ CENTRO พระราม 9-กรุงเทพกรีทา ราคาขายตั้งแต่ 7.9-15 ล้านบาทต่อยูนิต และ 6.โครงการ CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 2 ราคาขายเริ่มตั้งแต่ 7.59-11 ล้านบาทต่อยูนิต
โดยทุกโครงการได้รับการตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย ซึ่งในช่วง 2 วันที่เปิดขาย บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท และในบางโครงการสามารถปิดการขายได้หมด ซึ่งบางโครงการบริษัทไม่สามารถสร้างบ้านได้ทันการขาย สะท้อนได้ถึงภาพกำลังซื้อในตลาดระดับบนยังคงมีอยู่ ตลอดจนความเชื่อมันที่ลูกค้ามีต่อบ้านเดี่ยวเครือ AP
ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. นี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มอีก จำนวน 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,550 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการประเภทบ้านเดี่ยว จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,955 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/63 กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวจะเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,800 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CITY บรมราชชนนี-ทวีวัฒนา มูลค่าโครงการ 890 ล้านบาท และโครงการย่านสาธุประดิษฐ์ 1 มูลค่าโครงการ 910 ล้านบาท ซึ่งรวมทั้งปกลุ่มธุรกิจบ้านเดียว เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่าโครงการ 20,430 ล้านบาท และเป็นโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,595 ล้านบาท
“ปัจจุบันความต้องการโครงการประเภทแนวราบ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ของเรา ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งแม้จะมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ ลงมาในตลาดแนวราบมากขึ้น แต่เรามองว่าสินค้าน่าจะลดลงจากช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เราจึงมองเป็นโอกาสในการขยายตลาดแนวราบมากขึ้น”นายรัชต์ชยุตม์ กล่าว
ด้านนางพิมพรรณ ปรีชานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว AP เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด HYBRID LIVING ผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ 1.Cost-saving นวัตกรรมเพื่อส่วนรวมกับพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับการทำกิจกรรมแบบจัดเต็มของคนทุกวัย โดยไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่าย ด้วยคลับเฮ้าส์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) ทำงานผ่านระบบโซลาร์เซลล์ที่อยู่ในส่วนบนของหลังคาคลับเฮ้าส์, 2.Community นวัตกรรมที่ดูแลคอมมูนิตี้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Katsan Platform ผู้ช่วยคุ้มกันอัจฉริยะ ซึ่งจะทำหน้าที่คัดบุคคล ที่จะเข้ามาภายในโครงการ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการอยู่อาศัย เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้น
3.Security นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยกับระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะภายในบ้าน ดูแลสมาชิกทุกคนตลอด 24 ชั่วโมง เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมส่งเสียงไซเรนเตือนผู้บุกรุก กล้อง IP Camera ที่สามารถ Live Stream ภาพ เพื่อดูแลทุกสมาชิกครอบครัว ระบบ Digital Door Lock เปิด-ปิดประตูหน้าบ้านผ่าน Application พร้อม ระบบ Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวสำหรับแขกคนพิเศษ หรือปุ่มเรียกฉุกเฉินสำหรับยามคับขันสร้างความอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัยทุกวัย
4.Comfort นวัตกรรมเพื่อความสะดวกสบายกับระบบสั่งการอัจฉริยะ Smart Home Gateway และ Security Module ภายในบ้านผ่านการเชื่อมต่อกับ ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง (Lighting Control) ที่ทำงานควบคู่กับระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) ดูแลสนามหญ้าอย่างมือโปร หรือการควบคุมเครื่องปรับอากาศไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกบ้าน เป็นต้น
“ในปัจจุบันความท้าทายของการพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยวมาถึงจุดที่ยกระดับไปมากกว่า เรื่องของทำเลที่ตั้ง และเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งาน หัวใจของการออกแบบพัฒนาโครงการในวันนี้และในอนาคต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ต้องกลับมาทำการบ้านในการออกแบบพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าใจอินไซด์ของการใช้พื้นที่ที่แตกต่างกันของทุกสมาชิกในครอบครัว รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการอยู่อาศัย จนเกิดเป็นแนวคิด HYBRID LIVING นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจการใช้ชีวิตแบบไฮบริด ผ่าน 4 แกนสำคัญ” นางพิมพรรณ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สันติ รมช.คลัง มึนทำไมงบ64ใช้ไม่ทัน
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กล่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องบประมาณรายจ่ายปี 2564 ใช้ไม่ทันวันที่ 1 ต.ค. นี้ ว่า “หมายความว่าอะไรไม่เข้าใจ ทำไมไม่ทันล่ะ” หลังจากนั้นเมื่อทราบว่าทางสำนักงบประมาณได้ออกหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ ว่างบประมาณ 2564 ใช้ไม่ทัน 1 ต.ค.นี้ ให้ใช้กรอบงบประมาณ 2563 เบิกใช้ไปพรางก่อน นั้น
นายสันติ ได้ตอบว่า หากงบปี 2564 ใช้ได้ไม่ทันหรือล่าช้าไปก็ไม่มาก ซึ่งการเบิกจ่ายสามารถใช้กรอบของงบประมาณปี 2563 เบิกจ่ายไปได้ก่อน คาดว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะทางกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ 2564 ได้ดำเนินการเสร็จแล้วไม่มีปัญหา
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การพิจารณางบประมาณ 2564 เป็นไปตามขั้นตอนในวันที่ 16 และ 17 หรือ อาจเพิ่มวันที่ 18 ก.ย. อีก 1 วัน ที่สภาผู้แทนราษฏรจะพิจารณร่าง พ.ร.บ.งบประมาณวาระ 3 และในวันที่ 21 และ 22 ก.ย. ก็เป็นการพิจารณาของวุฒิสมาชิก
“เชื่อว่าการพิจารณางบประมาณในสภาวาระ 3 จะไม่มีปัญหาทำให้งบประมาณ 2564 ไม่ผ่าน เพราะที่ผ่านมากรรมาธิการทุกคน โดยเฉพาะสำนักงบประมาณ ได้ดูรอบคอบ และกรรมาธิการพร้อมชี้แจงฝ่ายที่ต้องการตรวจสอบทั้งหมด” นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวว่า กรณีมีข่าวว่า เบี้ยผู้สูงอายุและคนพิการมีปัญหานั้น จริงๆ ไม่ได้ติดขัดเป็นขั้นตอนวิธีการของสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และกระทรวงมหาดไทย ที่ปลายปีงบประมาณต้องไม่การเกลี่ยงบประมาณอยู่เป็นประจำ รัฐบาลมีเงินจ่ายเพียงพอ นอกจากนี้ปี 2564 ได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบเบี้ยผู้สูงอายุและคนพิการเพิ่มอีก 500 กว่าล้านบาท งบของกระทรวงสาธารณสุขอีก 5,000 กว่าล้านบาท และงบของท้องถิ่นเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ได้ ก็ได้มีการจัดสรรงบประมาณไปชดเชยอีก 1 หมื่นกว่าล้านบาท การจัดเก็บภาษีลดลงไปบ้างเล็กน้อย ไม่กระทบงบประมาณในการใช้จ่ายของประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ภูเก็ตพร้อมจัดศึก “SAT-PHUKET” เฟ้นหานักกีฬาสู่ทีมชาติ
ภูเก็ตประกาศความพร้อมจัดการแข่งขันกีฬา “SAT-PHUKET Sports World Invitation 2020” ซึ่งเป็นสนามแรกในมหกรรมกีฬาใหญ่ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ชิงชัย 2 กีฬา อีสปอร์ตและกระดานยืนพาย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 พร้อมเป็นการเปิดเวทีคัดตัวทีมชาติ
วันที่ 15 ก.ย.63 ลานกิจกรรม Public house ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล จ.ภูเก็ต ได้มีงานแถลงข่าวการแข่งขันกีฬารายการ SAT-PHUKET Sports World Invitation 2020 โดยมี นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายธรรมวรรธ วงศ์เจริญยศ คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (บอร์ด กกท.) และนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดภูเก็ต และนายดํารง ไชยเสนา ผู้อำนวยการสำนักงาน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จ.ภูเก็ต
การแข่งขันกีฬา “SAT-PHUKET Sports World Invitation 2020” เป็น 1 ใน 2 สนามแข่งขันของมหกรรมกีฬาใหญ่ “SAT Thailand World Invitation 2020” โดยสนามแรกนี้จะจัดที่ จ.ภูเก็ต ชิงชัย 2 ชนิดกีฬา ประกอบด้วย อีสปอร์ต วันที่ 18-20 กันยายน 2563 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า และกระดานยืนพาย (SUP) วันที่ 19-21 กันยายน 2563 ที่ปลายแหลมสะพานหิน จ.ภูเก็ต โดยจะจัดตามมาตรฐานการแข่งขันระบบของสหพันธ์อีสปอร์ตนานาชาติ และสหพันธ์กีฬากระดานโต้คลื่นนานาชาติ
นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย กล่าวว่า หลังจากต้องเจอกับวิกฤติโควิด-19 ทำให้จังหวัดภูเก็ตซบเซา จึงได้วางแผนจัดกิจกรรมกีฬาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวให้มีเงินหมุนเวียนภายในจังหวัดตามยุทธศาสตร์ของการเป็น สปอร์ต ซิตี้ โดยครั้งนี้ได้จัดการแข่งขันอีสปอร์ต และกระดานยืนพาย เพื่อดึงดูดผู้คนให้มาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดไม่ตำ่กว่า 500 คน และทำให้มีเงินหมุนเวียน ทั้งการใช้จ่ายการกินอยู่ที่พัก และอื่นๆ ที่จะทำให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ภูเก็ตมีความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งรายการนี้จะมีนักกีฬาทีมชาติมาเข้าร่วมชิงชัยด้วย และยังมีแมวมองมาคัดเลือกตัวต่อยอดสู่ทีมชาติ โดยเฉพาะเด็กเยาวชนที่สนใจกีฬาอีสปอร์ตจำนวนมาก รวมทั้งกีฬายืนพายที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั้งนี้จังหวัดภูเก็ตยืนยันความพร้อมจัดอีเวนต์กีฬาตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในทุกเดือน เพื่อช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในจังหวัด”
ขณะที่ นายธรรมวรรธ วงศ์เจริญยศ กล่าวว่า อีสปอร์ต และกระดานยืนพาย กำลังได้รับความนิยมสูง มีผู้สนับสนุน และติดตามชมจำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยการแข่งขันครั้งนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์ไปยังโรงเรียนต่างๆ ภายในภูเก็ต และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 500-1,000 คน แต่เราจะมีการเว้นระยะห่างทางสังคมตามมาตรการสาธารณสุข นอกจากนี้ในการแข่งขันกระดานยืนพาย ก็จะจัดกิจกรรมออกร้านค้า และคอนเสิร์ตด้วย จึงอยากเชิญชวนผู้คนที่สนใจจากจังหวัดใกล้เคียง ทั้งกระบี่, พังงา และจังหวัดอื่นๆ มาร่วมกิจกรรมกัน
“ทั้ง 2 ชนิดกีฬากำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มนักกีฬาหน้าใหม่ และเข้าถึงกลุ่มนักกีฬาเยาวชนได้เป็นอย่างดี อย่างอีสปอร์ตมีมูลค่าทางการตลาดสูงมาก จึงต้องหันมามอง และพัฒนาเพื่อรองรับวิถีการเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสร้างรากฐานการพัฒนาเตรียมสู่การเป็นทีมชาติในอนาคต ส่วนกระดานยืนพายก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในต่างประเทศเช่นกัน ทำให้นักกีฬาไทยเองจะได้มีเวทีในการพัฒนาฝีมือไปสู่ระดับโลก”
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
เปิดตัว TEEN CLUB ป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อม
กรมอนามัยเดินหน้าสร้างความเข้าใจเรื่องเพศศึกษาแก่เยาวชน เปิดตัว TEEN CLUB สื่อสารเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์ ป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อม พร้อมร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มอบบริการใส่ห่วงอนามัยและฝังยาคุมฟรีทั่วประเทศ
สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าแก้ไขปัญหาท้องไม่พร้อมในกลุ่มเด็กและเยาวชน เปิดตัว Line Official Account TEEN CLUB เพื่อสื่อสารกับเด็กรุ่นใหม่ ส่งเสริมการเข้าถึงความรู้และความเข้าใจเรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้อง พร้อมขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การวางแผนครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมอบบริการคุมกำเนิดด้วยการใส่ห่วงอนามัยและฝังยาคุมกำเนิดฟรีที่สถานบริการเครือข่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้วัยรุ่นและสตรีที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมสามารถเข้ารับบริการได้อย่างทั่วถึง เพื่อปกป้องเยาวชนไทยให้มีอนาคตที่สดใส เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 20 กันยายนของทุกปี
จากข้อมูลของกรมอนามัยพบว่า สถานการณ์ด้านประชากรของไทยนั้นมีปัญหาหลักๆ อยู่ 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือปัญหาการเกิดน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในงานวางแผนครอบครัว และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยคนรุ่นใหม่นิยมอยู่เป็นโสดมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรลดลงจากร้อยละ 2.7 ในปี 2513 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ในปี 2562 โดยผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุ 15 – 49 ปี มีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.54 คน ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน และอัตราการเกิดมีเพียง 10.5 ต่อประชากรพันคน (มหาวิทยาลัยมหิดล, 2562)
ปัญหาส่วนที่ 2 คือปัญหาการเกิดที่ด้อยคุณภาพ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่าวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 169 คน ส่วนวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 6 คน ในปีเดียวกันนั้น มีจำนวนผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีให้กำเนิดบุตรทั้งหมดจำนวน 63,831 คน แบ่งเป็นอายุระหว่าง 15-19 ปี จำนวน 61,651 คน และต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 2,180 คน และยังพบว่ามีผู้หญิงที่อายุต่ำว่า 20 ปีที่มีการตั้งครรภ์ซ้ำและให้กำเนิดบุตรอีกถึง 5,222 ราย (สำนักอนามัยเจริญพันธุ์, 2562)
แม้รัฐบาลจะมีนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพเพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น แต่วัยรุ่นไทยก็ยังไม่สามารถเข้ารับบริการด้านการคุมกำเนิดได้อย่างทั่วถึง เห็นได้จากรายงานวิจัยเรื่องการบริหารจัดการระบบงานวางแผนครอบครัวของประเทศไทยปี พ.ศ. 2553 ที่พบว่ามีโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนเพียงร้อยละ 36.6 เท่านั้นที่มีการจัดซื้อเวชภัณฑ์คุมกำเนิดแบบกึ่งถาวร คือห่วงอนามัยและยาฝังคุมกำเนิด ซึ่งเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ AmericanCollegeofObstetricsandGynecology และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำว่าควรใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยเป็นทางเลือกแรกในการคุมกำเนิดในกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากสามารถคุมกำเนิดได้ในระยะเวลานาน3, 5 และ 10 ปี และมีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นไทย
อีกปัญหาหนึ่งที่รายงานดังกล่าวระบุว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นไทยเข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิดคือการถูกตีตราในทางลบจากผู้ให้บริการ อีกทั้งภาพจำของสังคมในเชิงลบต่อเด็กที่เข้ารับการคุมกำเนิดก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ กรมอนามัยจึงได้เปิดตัว Line Official Account TEEN CLUB เพื่อเป็นช่องทางให้คนทั่วไป โดยเฉพาะวัยรุ่น ได้เข้าถึงความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์การคุมกำเนิด สิทธิและข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์กับวัยรุ่นโดย TEEN CLUB จะเป็นศูนย์กลางความรู้ต่างๆ ที่วัยรุ่นมักมีข้อสงสัยแต่อาจจะไม่กล้าถามใคร ทั้งในรูปแบบบทความและวิดีโอ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เช็กสิทธิในการเข้ารับบริการด้านการคุมกำเนิด ค้นหาสถานบริการที่ให้บริการคุมกำเนิด มีฟีเจอร์บันทึกประจำเดือนช่วยเช็กการมาของรอบเดือน และยังมีบริการสายด่วน 1663 และ Chat Bot ตอบคำถามเพื่อวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้สนใจสามารถแอดไลน์ TEEN CLUB ได้ที่ https://line.me/R/ti/p/@teen_club
นอกจากการสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว กรมอนามัยยังร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่น ด้วยการสนับสนุนค่าบริการคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวรด้วยการใส่ห่วงอนามัยและฝังยาคุมกำเนิดแก่วัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และในหญิงวัยเจริญพันธุ์อายุ 20 ปีขึ้นไปในกรณีหลังยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย รวมทั้งการสนับสนุนค่าบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยให้กับสถานบริการเครือข่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นายแพทย์มนัส รามเกียรติศักดิ์ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “กรมอนามัยมีความพยายามในการดำเนินงานทั้งในแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน เรามีนโยบายมอบบริการการคุมกำเนิดฟรี เพื่อส่งเสริมให้วัยรุ่นและสตรีที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมสามารถเข้าถึงบริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ พร้อมกันนี้ เรายังสร้างเกราะป้องกันวัยรุ่นไทยด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด เราอยากสนับสนุนให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง และไม่ตีตรากลุ่มวัยรุ่นที่เข้ารับการคุมกำเนิด เพราะการคุมกำเนิดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการป้องกันตัวเอง และป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในอนาคตการดำเนินงานตามนโยบายนี้ยังสอดคล้องกับแนวทางการประชุมระหว่างประเทศเรื่องประชากรและการพัฒนา หรือ ICPD – The International Conference in Population and Development และเรื่องสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDG เป้าหมายที่ 3.7.1 ที่มุ่งเน้นให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่มีความต้องการเรื่องการวางแผนครอบครัวพอใจกับการคุมกำเนิดสมัยใหม่ด้วย”
ปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำลายอนาคตที่สดใสของวัยรุ่นไทยมาเป็นเวลานาน ทั้งยังส่งผลกระทบในเชิงลบไปยังสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวม การให้ความสำคัญกับเยาวชน ทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจและการให้บริการด้านการคุมกำเนิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคมว่าการคุมกำเนิดไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
ภาษารัสเซีย และมารยาทในการคุยโทรศัพท์
ภาษารัสเซีย และมารยาทในการคุยโทรศัพท์
การสนทนาโดยใช้โทรศัพท์ กับการสนทนาแบบเจอกันจริงๆม ีความแตกต่างกันอยู่มาก ไม่เพียงแต่ในภาษาต่างประเท ศเท่านั้นที่เกิดความคลาดเค ลื่อนของความหมายและการสื่อ สารระหว่างการโทรศัพท์ แม้แต่ภาษาไทยที่เป็นภาษาแม ่เราเองบางทีก็ยังเข้าใจกัน ผิดเลย ทั้งนี้เพราะคุณไม่สามารถมอ งเห็นอากัปกริยาของคู่สนทนา ได้เหมือนกับการพบกันจริง ดังนั้นแน่นอนว่าในขณะที่เร าคุยโทรศัพท์ เราจะต้องอาศัยทักษะของการฟังและจ ับใจความล้วนๆ
วันนี้เราจะลองมาเรียนรู้ปร ะโยคสนทนาพื้นๆ ที่คนรัสเซียเค้าใช้กันในกา รสนทนาทางโทรศัพท์กัน เผื่อว่าวันไหนถึงคราวคับขั นต้องพูดเป็นภาษารัสเซียขึ้ นมาจะได้พอคุ้นๆ บ้าง …….
มาเริ่มกันตั้งแต่ยกหูโทรศั พท์เลยละกัน หลังจากที่คุณโทรติดปุ๊บ คุณอย่าเพิ่งไปเริ่มพูดสิ่ง ที่คุณอยากพูดทันทีหลังจากท ี่ได้ยินเสียงปลายสายรับโทร ศัพท์ ตามมารยาทแล้ว (คิดว่าชาติไหนในโลกก็คงเหม ือนกัน) คุณควรจะแนะนำตัวเองสักนิดว ่าคุณเป็นใคร หรือถ้าโทรในนามบริษัทก็จาก บริษัทไหน โดยประโยคนี้ชาวรัสเซียมักจ ะพูดว่า
Вас беспокоит (วาส เบสปาโกอิท) + ชื่อของเรา เช่น Вас беспокоит Сомчай. (วาส เบสปาโกอิท สมชาย) ซึ่งเป็นไทยตรงๆ คือ นี่สมชายกำลังรบกวนคุณอยู่น ะครับ ปกติคนไทยในการคุยโทรศัพท์ค งไม่พูดกันแบบนี้ แต่ในภาษารัสเซียคำกริยา беспокоить จะมีความหมายว่า กังวล หรือ รบกวน เพราะในการโทรหาใครสักคน มันก็คือการไปรบกวนเวลาของเ ขา หรือไปทำให้เขาเป็นกังวลถึง เสียงเรียกจากโทรศัพท์ ดังนั้น ชาวรัสเซียจึงใช้คำกริยานี้ ในประโยคต้นๆ ของการพูดคุยทางโทรศัพท์ หรือหลังจากคำทักทาย เช่น สวัสดี
ในกรณีที่คุณโทรศัพท์หาใครซ ักคนในนามของบริษัท คุณก็ควรแนะนำว่าคุณมาจากบร ิษัทไหน จากนั้นคุณก็แนะนำตัวเองว่า คุณเป็นใคร โดยใช้ประโยคว่า Меня зовут (มินยา ซาวุท) + ชื่อคุณ หรือ Я представитель компании (ยา ปริสตาวิเตล กัมปานิอี) + ชื่อบริษัท หรือถ้าเป็นคนรัสเซียเค้าก็ จะแนะนำตนเองโดยใช้นามสกุลซ ึ่งจะสุภาพกว่าและจำแนกคนได ้ดีกว่าการใช้ชื่อ เพราะชื่อชาวรัสเซียอย่างที ่รู้ๆ ว่ามันไม่ได้หลากหลายแบบชื่ อคนไทยเรา ในการแนะนำตัวเองด้วยการใช้ นามสกุล เค้าจะใช้ประโยคว่า Моя фамилия (มายา ฟามิลียา) + นามสกุล ซึ่งแปลว่า นามสกุลผม (ฉัน) คือ ……..
หลังจากนั้น คุณก็บอกความต้องการของคุณใ นการคุยโทรศัพท์ว่าคุณต้องก ารอะไร เช่นหากว่าคุณต้องการคุยกับ ใครคนใดคนหนึ่ง ก็ให้ใช้ประโยคว่า Могу я поговорить с (มากู ยา ปากาวาริท เสอะ) + ชื่อหรือนามสกุลของคนที่เรา ต้องการคุยด้วย หรืออาจจะใช้ประโยคอื่นๆ เช่น
Я хотел бы узнать… (ยา คฮาเทล บึย อุสนัท…….) ผมอยากรู้ว่า……….
Вы не могли бы дать информацию… (วึย เนีย มักลี่ บึย ดัท อินฟอร์มาสิยู…………. ) ไม่ทราบว่าคุณจะสามารถให้ข้ อมูล…………………. ……..
ถ้าเราเป็นฝ่ายรับโทรศัพท์แ ล้วต้องการทราบชื่อของคนที่ โทรมา เราก็จะใช้ประโยคว่า Могу я спросить, кто звонит? (มากู ยา สปราสิท คโต สโวนิท) ที่แปลว่า ขอทราบได้ไหมครับ (คะ) ว่าใครโทรมา
ถ้าคนที่เราโทรไปหาเค้าไม่อ ยู่ คนที่รับโทรศัพท์ก็อาจบอกเร ากลับมาว่า Он (она) сегодня не в офисе. โอน (อะน่า สิโวดเนีย เนีย เวอะ ออฟฟิเสี่ย) (วันนี้เขา (หล่อน) ไม่อยู่ที่ออฟฟิส) หรืออาจจะตอบด้วยประโยคอื่น ๆ เช่น
Он (она) болеет /โอน (อะน่า) บาเลเย็ท / เขา (หล่อน) ป่วย
Он (она) на совещании. / โอน (อะน่า) นา ซาวีชานีอี / เขา (หล่อน) กำลังประชุมอยู่
Он (она) в отпуске /โอน (อะน่า) เวอะ ออทปุสเกี่ย /เขา (หล่อน) ลาพักร้อน
หรือจะบอกว่า เขากำลังติดสายอยู่ สายยังไม่ว่าง ก็บอกว่า Извините, но линия занята. (อิสวินิเตี่ย โน ลีนิยา ซันยิตา)
หลังจากได้ยินประโยคนี้ คนที่รับโทรศัพท์ก็อาจจะถาม เรากลับมาว่า คุณอยากฝากข้อความอะไรถึงเข าไหม ด้วยการถามว่า Не хотели бы вы оставить сообщение? (เนีย คฮาเทล ลิ บึย วึย อัสตาวิท สาบเชนิเย่ )
ถ้าคุณไม่อยากฝากอะไรมาก แค่อยากให้เขาโทรกลับหาคุณ คุณก็บอกไปว่า Не могли бы вы попросить (его / её) перезвонить мне? (เนีย มักลี่ ลึย วึย ปะปราสิท (ยีโว / ยีโย) ปิรีสโวนิท มเนีย) รบกวนคุณช่วยบอกให้ (เขา / หล่อน) โทรกลับหาผม ฉัน ได้ไหมครับ/ คะ
คนรับโทรศัพท์เพื่อความแน่ใ จก็อาจถามย้ำว่าคนที่คุณต้อ งการให้โทรกลับเค้ามีเบอร์โ ทรศัพท์ของคุณไม๊ ด้วยคำถามว่า У него (неё) есть ваш номер? อุ นีโว (นีโย) เย็สต์ วาช โนเมร / เขา (หล่อน) มีเบอร์โทรศัพท์ของคุณไม๊คะ ครับ
แต่ถ้าคนรับโทรศัพท์เค้าไม่ ได้เสนอให้คุณฝากข้อความ คุณก็ถามเองได้เลยด้วยประโย คว่า Я могу оставить сообщение? ( ยา มากู อัสตาวิท สาบเชนิเย่) ผม ฉัน ขอฝากข้อความถึงเค้าหน่อยได ้ไหมครับ คะ
ถ้าคนรับโทรศัพท์เค้าคำตอบร ับว่า Да, конечно. (ดา กาเนชน่า) ก็จะหมายความว่า ได้สิคะ ได้สิครับ แล้วคุณค่อยฝากข้อความอะไรก ็ว่าไป
ในระหว่างการคุยโทรศัพท์ ควรหลีกเลี่ยงประโยค เช่น Я не знаю (ยา เนีย สนายู) ซึ่งแปลว่า ฉันไม่รู้ โดยอาจจะใช้ประโยคแทนที่ดูไ ม่เป็นการปฏิเสธแบบตรงๆ เช่น Мне нужно уточнить…. (มเนีย นูชน่า อุตัชนิท) ฉันต้องไปถามเพื่อความแน่ใจ ก่อน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความเต ็มใจในการตอบคำถามมากกว่า และเพื่อให้การสนทนาทางโทรศ ัพท์เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญ จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรจะ วางแผนการพูดคุยล่วงหน้า คุณควรตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าคุณโทรไปหาเค้าทำไม และสิ่งที่คุณต้องการจากเขา คืออะไร สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณลด ความรู้สึกประหม่าในการสนทน า และยังจะช่วยให้คุณได้รับสิ ่งที่คุณต้องการจากการสนทนา ทางโทรศัพท์ได้อย่างครบถ้วน อีกด้วย!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thairussianhub.com
รายแรกของไทย! TOA ผุดนวัตกรรมสี กำจัดไวรัสตระกูลโคโรนา
TOA ผุดนวัตกรรมสีทาบ้าน ชูป้องกันและกำจัดไวรัสในตระกูลโคโรนา หรือ COVID-19 ได้สำเร็จเป็นรายแรกของไทย
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ที่ปัจจุบันพบว่ายังมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 27 ล้านคน และคร่าชีวิตไปแล้วกว่า 8 แสนคน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราต้องหันกลับมาใส่ใจเรื่องสุขอนามัย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ละเลยการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ มากขึ้น
ดังนั้น TOA ในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีทาอาคารและผลิตภัณฑ์ปกป้องพื้นผิวแบบครบวงจรในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จึงตระหนักถึงความสำคัญ เรื่องสุขอนามัยที่ดี สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ที่บ้านของเราเอง ล่าสุดจึงได้ทำการศึกษาและพัฒนา ‘นวัตกรรมสีทาบ้าน New Normal มาตรฐานใหม่ เพื่อช่วยปกป้องคุณจากไวรัสในตระกูลโคโรนาได้สำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย’
นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากสถาบันต่างๆ ว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ปราศจากกลิ่นและสารระเหยเป็นพิษ (Nearly zero VOCs) ตามมาตรฐานการรับรองฉลากเขียวทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์, เช็ดล้างทำความสะอาดคราบสกปรกได้ (Self-cleaning Technology), เทคโนโลยี Air Detoxify ช่วยขจัดสารก่อมะเร็ง (ฟอร์มาลดีไฮด์) อากาศภายในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง, ช่วยยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อราได้สูงสุดถึง 99.99% ด้วยเทคโนโลยีจาก Microban, U.S.A. ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ทั้งอาคารเขียวของไทย (TREES) และประเทศสหรัฐอเมริกา (LEED) รวมทั้งยังเป็นสีภายในที่โรงพยาบาลชั้นนำเลือกใช้
ด้านทีมผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า “จากการทดสอบโดยการนำเชื้อ Porcine Coronavirus ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกันกับเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค COVID-19 ไปทดสอบกับแผ่นฟิล์มตัวอย่าง ที่ทาทับด้วยผลิตภัณฑ์สีทาภายในจาก TOA ผสานด้วย Silver Nano Technology ในสภาวะอุณหภูมิห้องปกติ เพื่อจำลองผนังภายในบ้าน พบว่า แผ่นตัวอย่างฟิล์มสีที่เคลือบด้วย Silver Nano Technology สามารถยับยั้ง ทำลายเชื้อไวรัสโคโรนาที่สัมผัสกับแผ่นฟิล์มสีได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จึงทำให้สามารถกำจัดไวรัสโคโรนาได้มากถึง 99.9%
สำหรับไวรัสโคโรนา จัดเป็นไวรัสชนิดที่มีเปลือกห่อหุ้ม (Enveloped viruses) รู้จักกันมานานกว่า 80 ปี ตั้งชื่อจากการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน เห็นภาพคล้ายมงกุฎ จึงตั้งชื่อว่า Coronavirus ซึ่งทางการแพทย์รู้จักไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคในคนมาแล้ว 6 สายพันธุ์ ประกอบด้วย 4 สายพันธุ์แรก เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัด (Common cold) มักพบเป็นประจำตามฤดูกาลในคน เช่นในประเทศไทยก็พบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 229E, OC43, NL63 , HKU1 สำหรับไวรัสอีกสองชนิดที่เรารู้จักกันดี ก่อให้เกิดโรคระบาดรุนแรง คือ SARS-CoV หรือไวรัสซาร์ส ที่ระบาดหนักในประเทศจีน ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง และ MERS-CoV หรือไวรัสเมอร์ส ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง และสายพันธุ์สุดท้ายที่พบ คือ SARS-CoV-2 หรือ เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ก่อให้เกิดโรค Corona Virus Disease หรือ COVID-19 ที่มีการแพร่ระบาดตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นมา มีอาการตั้งแต่ระดับรุนแรงไม่มาก จนถึงการติดเชื้อเป็นโรคปอดอักเสบและเสียชีวิตได้”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในประเทศไทยจะมีการควบคุมการระบาดได้อย่างดีมาก แต่เราก็ยังมิควรไว้วางใจ เพราะหากเกิดการระบาดในระลอกสองเหมือนต่างประเทศ ก็คงยากต่อการควบคุมให้กลับมาเหมือนเดิม ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ง่ายที่สุด คือ การมีวินัยป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือสบู่ และการเว้นระยะห่างทางสังคม TOA จึงพร้อมเดินหน้าเคียงข้างคนไทย เพื่อก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน นายจตุภัทร์กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อินจัน สรรพคุณและประโยชน์ของอินจัน 25 ข้อ ! (จันทน์ลูกหอม)
อินจัน
อินจัน ชื่อสามัญ Gold apple
อินจัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros decandra Lour. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)
สมุนไพรอินจัน มีชื่อเรียกอื่นว่า จัน, อิน, จันอินจันโอ, จันอิน, จันลูกหอม, จันท์ลูกหอม, จันขาว, ลูกจัน, ลูกอิน, จันอิน, ลูกจันทน์, ลูกจันทร์ เป็นต้น
ข้อควรรู้ ! : ต้นจันอินยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี และยังเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร
ต้นอินจัน หรือ ต้นจัน เป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตช้า เป็นต้นไม้โบราณที่ในปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ สมัยนี้หาดูได้ค่อนข้างยาก ซึ่งเมื่อก่อนจะนิยมปลูกไว้ตามวัด ต้นอินจันนับว่าเป็นไม้ผลที่ค่อนข้างแปลก โดยต้นเดียวกันแต่ออกผลได้ 2 แบบ ซึ่งไม่เหมือนกัน ผลหนึ่งลูกกลมป้อม ๆ ขนาดใหญ่กว่ามาก เราเรียกว่า “ลูกอิน” แต่อีกผลลูกแบน ๆ แป้น ๆ มีขนาดเล็กกว่า เราจะเรียกว่า “ลูกจัน“
ลักษณะของอินจัน
- ต้นจันอิน เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 10-20 เมตร เรือนยอดเป็นทรงกลมหรือทรงกระสวย หนาทึบ ลำต้นตรง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้มอมเทาหรือดำแตกเป็นสะเก็ด เนื้อไม้สีขาว ส่วนกิ่งอ่อนยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุม และมีกิ่งก้านเหนียว
- ใบอินจัน เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม ออกเรียงสลับกัน ใบคล้ายรูปรี โคนใบมน ปลายใบสอบหรือแหลม แผ่นใบเรียบบางเป็นมันลื่น ขอบใบเรียบ ยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร
- ดอกอินจัน ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ แยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก ช่อหนึ่งมีประมาณ 3 ดอก ตามส่วนต่าง ๆ มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบเรียงเป็นรูปถ้วยแต่ไม่เชื่อมกัน ส่วนกลีบดอกมี 4-5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำ ส่วนดอกเพศเมียจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามกิ่งเล็ก ๆ กลีบดอกและกลีบเลี้ยงจะเหมือนดอกเพศผู้แต่ใบใหญ่กว่า
- ผลไม้อินจัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผลประมาณ 4-8 เซนติเมตร ที่ผลจะมีส่วนของกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่จุก ผลอ่อนมีสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีเหลือง เนื้อนุ่ม มีกลิ่นหอมและมีรสหวาน สามารถรับประทานได้ โดยผลอินจันจะมีอยู่สองแบบคือ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแป้น ไม่มีเมล็ดหรือมีเมล็ดลีบ ผลมีรอยบุ๋มตรงกลาง รสฝาดหวาน มีกลิ่นหอม จะเรียกว่า ลูกจัน ส่วนผลที่มีลักษณะของผลเป็นรูปกลมและมีเมล็ด 2-3 เมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม มีรสฝาดหวาน จะเรียกว่า ลูกอิน โดยผลอินจันจะมีรสฝาด ต้องคลึงให้ช้ำก่อนรสฝาดจึงจะหายไป
ประโยชน์ของอินจัน
- จากงานศึกษาวิจัยผลไม้ในไทยพบว่า น้ำผลไม้ไทยจากลูกอินจัน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
- ผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงได้
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ (แก่น)
- ช่วยบำรุงกำลังให้สดชื่น (ผล, เนื้อไม้)
- ช่วยแก้ลม แก้อาการอ่อนเพลีย (แก่น)
- ช่วยบำรุงเลือดลม (เนื้อไม้)
- ช่วยบำรุงหัวใจ (แก่น)
- เนื้อไม้ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงประสาท ทำให้เกิดปัญญา (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ อาการกระสับกระส่าย (ผล)
- ช่วยแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ (เนื้อไม้, แก่น)
- ช่วยแก้อาการเหงื่อมาก (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้ไข้ (เนื้อไม้, หรือใช้แก่นนำไปต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น)
- ช่วยแก้ไข้ที่มีผลต่อดี (แก่น)
- ช่วยแก้กำเดา (แก่น)
- ช่วยแก้อาการไข้ที่มีผลต่อตับและดี (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้อาการไอ (แก่น)
- ช่วยบำรุงตับและปอดให้เป็นปกติ (เนื้อไม้, แก่น)
- ช่วยแก้ปอดตับพิการ (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้ตับพิการ (แก่น)
- ช่วยแก้อาการท้องเสีย (ผล)
- ช่วยแก้ดีพิการ (เนื้อไม้)
- ช่วยขับพยาธิ (เนื้อไม้)
- ผลสุกมีรสหวานและฝาดเล็กน้อย นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือนำไปแปรรูปเป็นของหวาน
- เนื้อไม้แข็ง จึงมักถูกตัดนำมาทำเป็นฟืนเป็นถ่าน
- เนื้อไม้อินจันเป็นไม้ที่มีลวดลายสวยงาม ทำให้เป็นที่นิยมในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่ง แต่ในปัจจุบันนี้จัดเป็นไม้หวงห้ามไปแล้ว เพราะหายากและใกล้สูญพันธุ์
ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,800.00 | 28,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,866.00 | 28,288.56 | 29,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,679.40 | 25,459.70 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,492.80 | 22,630.85 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 840.00 | 12,734.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 653.00 | 9,899.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,934.00 | 29,319.44 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/09/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 | 21.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 | 20.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 19.74 | 19.74 | 19.74 | 19.74 | 19.74 | – | 19.74 | 19.74 | 19.74 | 19.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.74 | 17.74 | – | – | – | – | – | – | – | – |
เบนซิน 95 | 28.66 | – | – | – | 29.11 | – | 29.16 | 28.66 | – | 28.66 |
ดีเซล | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 | 20.89 |
ดีเซล B10 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 | 17.89 |
ดีเซล B20 | 17.64 | 17.64 | 17.64 | 17.64 | 17.64 | – | 17.64 | 17.64 | – | 17.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 25.34 | 25.36 | 27.34 | 27.34 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 14.41 | 14.41 | – | – | – | – | – | – | – | – |