สาระน่ารู้ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2567

“ESTAR” พลิกเกม! ประเดิมบ้านลักชัวรี 20 ล้าน เพิ่มยอดโอน-ลดรีเจกต์

อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท (ESTAR) ทำผลงานยอดโอนทะลุ 1,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้ตามเป้า 1,700 ล้านบาท พร้อมเผยกลยุทธ์เพิ่มยอดโอนกรรมสิทธ์-รีเจกต์เรทต่ำ ปี 68 เตรียมประเดิมตลาดบ้านลักชัวรี 20 ล้านบาท

บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดระยองและกรุงเทพฯ สร้างผลงานโดดเด่นด้วยยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมที่ทะลุ 1,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยการเปิดตัวและโอนโครงการสำคัญ “ควินทารา มายเจน รัชดา-ห้วยขวาง” คอนโดมิเนียมระดับกลางในทำเลศักยภาพ โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อชัดเจน เช่น พนักงานโรงแรม โรงพยาบาล และนักศึกษาในพื้นที่ ทำให้ยอดขายคอนโดมิเนียมโครงการนี้พุ่งสูงถึง 60% ในเวลาอันสั้น

อีกทั้งยังมีแบ็คล็อกรอโอนท้ายปีมูลค่า 500 ล้านบาท ไปจนถึงปี 2568 มูลค่า 1,000 ล้านบาทรวมถึงมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลที่ เข่น นโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC ) ซึ่งเป็นทำเลสำคัญในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของ ESTAR ในจังหวัดระยอง

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ ESTAR ให้สัมภาษณ์ ถึงความสำเร็จว่า กลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงานคือ การให้ความสำคัญกับทำเล และการค้นหากลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ  เช่น ในโครงการคอนโดมิเนียม โดยมองหาลูกค้าจากกลุ่มพนักงานในโรงแรมและโรงพยาบาลในพื้นที่ หรือกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา

จากนั้นก็เข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งการโฆษณาออนไลน์และการแจกใบปลิวในจุดสำคัญ เช่น สถานีรถไฟฟ้าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ทำให้เราสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว

ESTAR ยังมีกลยุทธ์ที่ก่อสร้างโครงการโดยเน้นความรวดเร็วในการก่อสร้าง ซึ่งแต่ละโครงการใช้เวลาเพียงประมาณ 10-12 เดือนในการสร้างบ้านและคอนโดให้เสร็จพร้อมโอน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการบ้านพร้อมอยู่

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการพูดคุยกับธนาคารที่เป็นพันธมิตร 8-10 แห่งทุกๆ 3 เดือนเพื่อศึกษากลยุทธ์และเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อของแต่ละแห่ง และเน้นการคัดกรองลูกค้าและแนะนำธนาคารที่เหมาะสมกับลูกค้า เช่น ธนาคารที่เน้นสินเชื่อสำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หรือลูกค้าที่มีประวัติสินเชื่อที่ดี

เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินเชื่อที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละกลุ่ม โดยการปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์สินเชื่อและความต้องการของลูกค้าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ และลดปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อ ลงอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านเป้าหมายในปี 2568 ESTAR ตั้งเป้ารายได้รวม 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้มีแบ็คล็อกที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทรอการโอนกรรมสิทธิ์ในปีหน้า โดยยังเดินหน้ากลยุทธ์หลักในการเร่งยอดขายและโอน คือการเปิดโครงการใหม่ให้เร็วสำหรับการเข้าอยู่อาศัย และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ในส่วนของแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ESTAR ได้เริ่มปรับตัวโดยเริ่มขยับเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี โดยเตรียมพัฒนาโครงการบ้านหรูในระดับราคา 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่บริษัทเล็งเห็นว่ามีความต้องการสูงในตลาด

ซึ่งในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการแกรนด์เวลาน่า 2 ที่บ้านฉาง จ.ระยอง ในไตรมาสที่ 2 และโครงการแบรนด์ใหม่ที่บางแวก-กาญจนาภิเษก ซึ่งมูลค่ารวมของโครงการอยู่ที่กว่า 1,200 ล้านบาท

และแนวทางในการมองหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ของ ESTAR บริษัทมุ่งเน้นทำเลที่ดินใกล้เมือง ใกล้แหล่งงาน และสถานศึกษา ซึ่งแม้จะไม่ใช่พื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ยังคงมีกำลังซื้อสูง โดยคาดว่าจะขายได้อย่างรวดเร็วภายในสามปี เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพในทำเลที่มีศักยภาพ

สำหรับการปรับตัวในครั้งนี้ นายไพโรจน์ เปิดเผยว่า ESTAR เล็งเห็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีในช่วงราคา 15-20 ล้านบาทที่กำลังเป็นที่ต้องการสูง

บริษัทจึงมุ่งเน้นการเจาะตลาดนี้เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าด้วยการพัฒนาโครงการบ้านที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยที่หรูหรา แต่ยังคงสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่ไม่สูงเกินไป

ESTAR ใช้กลยุทธ์ในการสร้างโครงการบ้านลักชัวรีระดับราคา 20 ล้านบาท ที่มาพร้อมกับพื้นที่ใช้สอยคุ้มค่ากว่าเจ้าอื่นๆ ในตลาด โดยการสร้างบ้านที่เน้นการออกแบบฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ราคาบ้านของ ESTAR ยังอยู่ในระดับที่จับต้องได้เมื่อเทียบกับผู้พัฒนารายอื่นที่เน้นเซ็กเมนต์บ้านหรูในราคาสูงกว่านี้ โดยการปรับกลยุทธ์ครั้งนี้เป็นการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของตลาด และป้องกันไม่ให้ติดกับดักรีเจกต์เรทที่สูงในกลุ่มตลาดบ้านราคากลาง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บิ๊กทุน สาด 5 แสนล้านบาท ผุดมิกซ์ยูสดันเศรษฐกิจ

บิ๊กทุนปักหมุด มิกซ์ยูส ทะลุจุดเดือด ใน กทม. กว่า 10 โครงการ มูลค่าเกือบ 5 แสนล้าน โฟกัส ย่านใจกลางเมือง-พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ จุดพลุแลนด์มาร์คใหม่ ไฮไลต์ วัน แบงค็อก เปิดเฟสแรก 25 ต.ค.นี้ ขณะที่ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค เตรียมเปิดคอนโดหรู ปี 68 ตามด้วยเซ็นทรัลสยามสแควร์ ปี 69

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ในปัจจุบัน กลุ่ม ตลาดที่อยู่อาศัย อยู่ในภาวะชะลอตัวตามกำลังซื้อที่หายไป จากหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ซึ่งสวนทางกับ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ กลับขยายตัวได้เป็นอย่างดี หลังได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ทำให้เอกชนลงทุนเพิ่มเติมหลายโครงการ

ทั้งนี้เทรนด์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์รูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) มากขึ้นเพราะเอกชนมองว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยและพาณิชกรรมบนพื้นที่เดียวกัน

ดังนั้นโครงการ มิกซ์ยูส ส่วนใหญ่มักจะถูกพัฒนาภายในย่าน ศูนย์กลางธุรกิจหรือCBD หรือในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เดินทางสะดวกรวดเร็ว เชื่อมโยงด้วยระบบโครงข่ายถนน ทางพิเศษ รถไฟฟ้า

อีกตัวแปรที่สนับสนุนโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้นมาก มาจากที่ดินในเมืองราคาสูงและ หายากไม่ทั้งฟรีโฮลด์ และ ลิสโฮลด์  ดังนั้นผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร จึงให้ความสำคัญกับการลงทุนในรูปแบบดังกล่าว มุ่งใช้พื้นที่แบบครบวงจรเต็มประสิทธิภาพ

“ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจโครงการ ขนาดใหญ่ รูปแบบมิกซ์ยูส ในกทม. ทั้งที่เตรียมความพร้อมก่อสร้าง,อยู่ระหว่างก่อสร้าง และเตรียมเปิดให้บริการมีกว่า 10 โครงการมูลค่าเกือบ5แสนล้านบาท

โดยโครงการที่ มีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2567 พบมูลค่ารวม 385,000 ล้านบาท โดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ใน CBD และย่านที่อยู่อาศัยสำคัญ เช่น พระราม 4 , บางนา เป็นต้น

เริ่มจากโครงการของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดอย่าง วันแบ็งคอก โครงการมิกซ์ยูสขยาดใหญ่ ด้วยงบลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท ภายใต้บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหัวมุมถนนวิทยุตัดพระรามที่ 4 มีพื้นที่ขนาดใหญ่ 108 ไร่ พื้นที่ใช้สอยในโครงการ รวม1.93 ล้าน ตารางเมตร มีกำหนดเปิดให้บริการในเฟสแรกภายในวันที่ 25 ตุลาคมนี้

เช่นเดียวกับ โครงการ ดุสิต เช็นทรัลพาร์ค โดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา บนพื้นที่โรงแรมดุสิตเดิม กว่า 23 ไร่ ตั้งอยู่ที่บริเวณแยกศาลาแดง ถนนพระรามที่ 4 มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใช้สอยรวม 440,000 ตารางเมตร โดยเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมไปแล้ว ขณะที่ส่วนของศูนย์การค้าและคอนโดมิเนียมหรูเปิดให้บริการปี 2568

อีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่ถูกจับตา การก่อสร้างกำลังเข้มข้น สำหรับโครงการ เซ็นทรัล สยามสแควร์ แยกปทุมวัน แลนด์มาร์คใหม่สูง 42 ชั้น  ทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม หลัง บมจ.เซ็นทรัล พัฒนา หรือ CPN คว้าที่ดินโรงหนังสกาล่า ของ สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ PMCU มูลค่าเกือบ 6,000 ล้านบาท บนสัญญาเช่า 30ปี เนื้อที่ทั้งหมด 7 ไร่ 31 ตารางวา มีกำหนดเปิดเฟสแรกในปี 2569 ยกระดับเป็นย่านศูนย์กลางช้อปปิ้งระดับโลก

ส่วนที่ดินสถานทูตอังกฤษ ด้านหลังศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ที่ผ่านมาล้อมรั้วเตรียมขึ้นโครงการแต่ปัจจุบันต้องชะลอออกไปก่อน

ข้ามฝั่งมาที่ย่านพหลโยธิน เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา ฯอยู่ระหว่างก่อสร้าง โครงการ มิกซ์ยูส เช็นทรัล พหลโยธิน มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท บนที่ดิน 48 ไร่ใกล้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว มีเป้าหมายแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการปี 2571 มองว่าจะสร้างความคึกคักให้กับพื้นที่ และยกระดับให้ย่านนี้ฮับอยู่อาศัย ช้อปปิ้ง แหล่งทำงาน ของกรุงเทพฯตอนเหนือ  

ขณะหัวมุมพระราม 9 เซ็นทรัลพัฒนาถือหุ้นใหญ่ จีแลนด์ มีแผนพัฒนา บริเวณด้านหลัง เชื่อมทะลุ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9 มูลค่าลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ล้มแผนก่อสร้างโครงการ “ซุปเปอร์ ทาวเวอร์” ตึกสูง 125 ชั้น 615 เมตร ภายในโครงการเดอะ แกรนด์ พระราม 9 เดิมออกไป 

อีกโครงการที่น่าจับตาและจะเปิดให้บริการ ปลายปีนี้  วีรีเทล  กลุ่ม พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พัฒนามิกซ์ยูส อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า เนื้อที่ 13 ไร่ ติด MRT ศูนย์วัฒนธรรมฯ 7,000 ล้านบาท โดยร่วมกับ จ๊อดแฟร์ แม่เหล็ก ด้านช้อปปิ้ง ดึงคนเข้าพื้นที่ ที่น่าจับตา 

ขยับออกมาย่านบางนา มีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายโครงการ ที่เปิดให้บริการไปนานแล้วและประสบความสำเร็จสูง คือ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” ติดรถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถี ปัจจุบันมีคนเข้าใช้พื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“บางกอกมอลล์ บางนา” อีกโครงการขนาดใหญ่สร้างความฮือฮา ไม่น้อย สำหรับ โครงการมิกซ์ยูสตั้งอยู่บริเวณจุดตัดถนนบางนา-ตราด กับสุขุมวิท เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอุดมสุขและบางนา บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ พื้นที่ใช้สอยกว่า 1,200,000 ตารางเมตร พัฒนาโดย เดอะมอลล์กรุ๊ป มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2566 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องจากการระบาดของโควิด ทำให้กำหนดการใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างปี 2569-2570

โครงการมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่โอบล้อมไปด้วยผืนป่า สำหรับ “เดอะ ฟอเรสเทียส์ บางนา” มูลค่า 125,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 398 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7  เป็นโครงการสร้าง ‘อาณาจักรป่ากลางเมือง’ ที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัย มีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนาโครงการ รวมถึงมีไฮไลท์คือผืนป่าขนาด 30 ไร่ พร้อมระบบนิเวศ์สมบูรณ์ภายในโครงการที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว 100% ซึ่งโครงการนี้ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อนาคตเป็นทำเลที่น่าจับตาสำหรับถนนสายบางนา-ตราด

มาที่ โครงการ “เวิ้งนาครเขษม” พื้นที่การค้าย่านเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โครงการมิกซ์ยูส โดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ทุ่มเงินประมาณ 8,265 ล้านบาท ปิดดีลซื้อโครงการพัฒนา เวิ้งนาครเขษม บนถนนเยาวราช ที่ดินบริเวณเวิ้งนาครเขษม 14 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวา และใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการอีกประมาณ 8,247.8 ล้านบาท รวมประมาณ 16,595 ล้านบาท วางตำแหน่งให้ ‘เวิ้งนาครเขษม’ เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง คือ อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ (ใกล้เยาวราช) จำนวน 332 ห้อง ภายในมีบาร์ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่อเนกประสงค์รองรับการจัดอีเวนต์ขนาด 1,400 ตร.ม. และห้องประชุม 8 ห้อง กำหนดเปิดปี 2569 

เช่นเดียวกับ “เอเชียทีค” เฟส 2 โครงการต่อยอดจาก “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” เดิม ของ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC 30,000 ล้านบาท สำหรับไฮไลต์คือ “ตึกสูงสุด” ในประเทศไทย ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนตามไทม์ไลน์ “เอเชียทีค เฟส2” จะต้องก่อสร้างส่วนรีเทลแล้วเสร็จในปี 2567 แต่ปัจจุบันนยังไม่มีการประกาศความคืบหน้าออกมา ส่วนโครงการ Iconic Landmark ตึกสูงสุดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2573

ปิดท้ายด้วย เมืองไฮสปีด มักกะสัน 5 หมื่นล้านบาท ของ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด บนที่ดินสัมปทานของการรถไฟแห่งประเทศไทย แลนด์มาร์คใหม่ ดึงคนทั่วโลกเข้าพื้นที่ ด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน (ดอนเมือง –สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เชื่อมอีอีซีและย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11 ต.ค.“แข็งค่า”ที่ระดับ 33.45 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทคาดกรอบวันนี้จะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.55 บาท/ดอลลาร์ ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ และควรจับตาทิศทางของเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11 ต.ค. 2567 ที่ระดับ  33.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.59 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ในระยะสั้น เงินบาทอาจมีจังหวะแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด (ซึ่งเราขอเน้นย้ำว่า เฟดอาจให้ความสำคัญกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นหลักในการตัดสินใจนโยบายการเงิน)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาทในระยะสั้นนั้น ในเชิงเทคนิคัลก็ถือว่า เป็นสัญญาณที่ดีต่อมุมมองของเราที่ยังเชื่อว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ เพราะเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Cup with Handle pattern ได้ ใน Time Frame รายวัน

โดยหากเงินบาทไม่ได้แข็งค่าต่อเนื่องจนหลุดโซนแนวรับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ เราก็ยังคงเชื่อว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และจะยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะอ่อนค่าต่อไปถึงโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากเงินบาทสามารถกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 33.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการทำ Cup with Handle pattern ที่สมบูรณ์

ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เรายังคงเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็จะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าได้ ทว่า เงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ตราบใดที่ราคาทองคำยังพอปรับตัวสูงขึ้นต่อได้

จากสองปัจจัยทั้งแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงนี้ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน และการปรับมุมมองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ซึ่งต้องรอลุ้นการแถลงรายละเอียดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนในวันเสาร์นี้

เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.55 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมเป็นการทยอยแข็งค่าขึ้น (กรอบการเคลื่อนไหว 33.41-33.66 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ออกมาที่ระดับ 2.4% และ 3.3% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อย อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวก็อยู่ได้ไม่นาน หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims)

และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ต่างเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 258,000 ราย และ 1,861,000 ล้านราย แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ กอปรกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ ที่ต่างย้ำมุมมองเดิมพร้อมสนับสนุนการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด

และไม่ได้แสดงความกังวลต่อรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกลับมาเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน รวมถึงกลับมาเชื่อว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยได้มากขึ้นในปีหน้า ซึ่งการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวลดลง

หนุนให้ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ  โดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ พร้อมกับโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็มีส่วนหนุนให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงคืนที่ผ่านมา

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาผสมผสาน (อัตราเงินเฟ้อ CPI สูงกว่าคาด แต่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานแย่กว่าคาด) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.21%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.18% หลังผู้เล่นในตลาดชะลอการเข้าซื้อหุ้นธีม China Recovery เพื่อรอจับตาการแถลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนในช่วงวันเสาร์นี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันบ้างตามการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ SAP -0.9%, ASML -0.6%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.10% ก่อนที่จะทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.07% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ก็สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวได้บ้าง

หรืออย่างน้อยก็ทำให้การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดี เรายังคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะอ่อนค่าสู่โซน 149 เยนต่อดอลลาร์ ตามการจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ทว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็ยังคงถูกจำกัดโดยแรงขายทำกำไรและการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ 102.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.7-103.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายนและการประชุมในปีหน้า ได้ทำให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวลดลง ซึ่งหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่โซน 2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ PCE ผ่านรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกันยายน รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม ซึ่งจะมีการรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาวด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตอบโต้อิหร่านของทางการอิสราเอล ว่าจะเป็นไปในลักษณะใดและจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางหรือไม่ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.35-33.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.59 บาทต่อดอลลาร์

โดยเงินบาทฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาบางส่วนตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับช่วงขาขึ้นของเงินดอลลาร์ฯ เริ่มจำกัดในช่วงปลายสัปดาห์ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีทิศทางปะปน โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดไปที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน

ขณะที่ แม้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด แต่ก็ยังคงเป็นทิศทางชะลอลงต่อเนื่อง  ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนพ.ย. นี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนต.ค.  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สุดยอด!”ซาร่า” นุศรา ต้อมคํา พาทีมเฮ3นัดรับกัปตันทีมสีม่วงสัปดาห์ 2

สมดีกรีเจ้าของรางวัลมือเซตยอดเยี่ยมในศึกวอลเลย์บอลสหรัฐอเมริกา Athletes  Unlimited  Pro Volleyball  จากฤดูกาลทีแล้ว มาถึงการแข่งขันในฤดูกาลนี้ “ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ อดีตนักตบทีมชาตืไทย หนึ่งในชุดตำนาน 7 เซียน ที่ถูกดราฟให้โดยกัปตันทีมสีม่วง “เด ลา ครูซ-เมฆิอา เบทาเนีย” มือเก๋าจากโดมินิกันที่ เลือกอดราฟ นุศรา เข้าร่วมทีมในสัปดาห์ที่ 1 เป็นคนแรก  เพราะฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของ นุศรา ใครๆก็อยากได้ไปร่วมทีม และ ครูซ จองตัวไปก่อนเพื่อมาร่วมทีมสีม่วง

ส่วนฟอร์มการเล่นในสัปดาห์แรกของ นุศรา ยังทำได้ยอดเยี่ยม เรียกว่าเซตบอลให้เพื่อนร่วมทีมขึ้นตีทำแต้มได้อย่างต่อเนื่อง เกมตลอดทั้งวีคแรก “ซาร่า” เซตบอลเสียไม่เกิน 2 ลูก จนกลายเป็นหัวใจของทีมสีม่วงที่พากันเก็บชัยชนะรวดทั้ง 3 นัดที่ลงสนาม 

เมื่อเกมแข่งขันในสัปดาห์ที่ 1 จบลง นักตบที่ทำคะแนนบุคคลได้มากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เด ลา ครูซ-เมฆิอา เบทาเนีย ที่ทำคะแนนได้สูงถึง 1066 คะแนน มีคะแนนขึ้นเป็นผู้นำ ตามมาด้วยกัน 2  อาเบอร์โครมบี้ บริตตานี 1050 คะแนน อันดับ 3 แคฟฟี่,เคย์ล่า 795  และนักตบลูกยางสาวไทย” ซาร่า” ทำคะแนนรั้งอันดับ 4 ในวีคแรกทำได้ 713 คะแนน  ซึ่งนักกีฬาที่ทำคะแนนสูงสุดอันดับ 1-4 เป็นนักกีฬาที่อยู่ในทีมเดียวกันคือ “ทีมสีม่วง” 

แน่นอนว่าเมื่อเกมในวีกที่ 1 จบลงแล้ว การแข่งขันวีกที่ 2 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9-15 ตุลาคม 2567  แต่ละทีมจะต้องดราฟนักกีฬาเข้ามาใหม่ และทั้ง 4 คนต้องแยกย้ายออกไปหาลูกทีมของตัวเองใหม่ เพราะเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดอันดับ 1-4 จากการแข่งขันในสัปดาห์ที่ 1 

โดยนักตบลูกยางสาวไทย “ซาร่า” ที่ทำคะแนนบุคคลรั้งอันดับ 4 หลังจบการแข่งขันสัปดาห์แรกขึ้นมาเป็นกัปตันทีมสีม่วง ในขณะที่ ครูซ เป็นกัปตันทีมสีเหลือง ส่วน อาเบอร์โครมบี้ บริตตานี เป็นกัปนตันทีมสีส้ม และ แคฟฟี่,เคย์ล่า เป็นกัปตันทีมสีฟ้า 

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันสัปดาห์ที่ 2 จะมีการดราฟนักกีฬาในวันที่ 9 ตุลาคม 2567 และทีมสีม่วงของ “ซาร่า” จะลงสนามนัดแรกในวันที่  12 ต.ค. 67 พบกับทีมเพื่อนซี้ เด ลา ครูซ-เมฆิอา เบทาเนีย กัปตันทีมสีเหลือง เวลา 09.30 น. (เวลาประเทศไทย) วันที่ 14 ต.ค.67 ทีมสีม่วง- สีส้ม อาเบอร์โครมบี้ บริตตานี  เวลา 06.00 น. (เวลาประเทศไทย) และวันที่ 15 ต.ค. 67 ทีมสีม่วง-สีฟ้า แคฟฟี่,เคย์ล่า เวลา 06.00 น. 

ณ เวลานี้ นักตบจากทีมสีม่วงจากในสัปดาห์ที่ 1 ที่ถือว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงเวลาต้องแยกย้ายออกไปหาลูกทีมของตัวเองเพื่อมากรำศึกกันต่อในสัปดาห์ที่ 2 และแน่นอนว่าแฟนลูกยางชาวไทย ต้องจับตามอง”ทีมสีม่วง” เป็นพิเศษ เพราะ “ซาร่า” รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีม  ต้องมาดูว่าจะ ซาร่า จะดราฟ ใครเข้ามาร่วมทีมในเกมวีคที่ 2 เพื่อพากันเก็บชัยชนะให้ได้อย่างต่อเนื่อง!!!

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“ผอมแต่มีพุง” (Skinny Fat) คืออะไร ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

ผอมแต่มีพุง หรือที่เรียกกันว่า Skinny Fat เป็นภาวะที่หลายคนเผชิญ แม้ว่ารูปร่างโดยรวมจะดูสมส่วน และน้ำหนักไม่ได้เกินมาตรฐาน แต่กลับมีปัญหาเรื่องพุงที่ยื่นออกมา ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจและอาจกระทบต่อการแต่งกาย คนในกลุ่มนี้มักจะมีแขนขาเล็กเพรียว ใบหน้าดูไม่อ้วน แต่กลับมีปัญหาที่พุงซึ่งไม่เรียบแบนเหมือนที่ต้องการ

แม้จะดูเหมือนว่าคนผอมจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพที่เสี่ยงต่อโรคน้อยกว่า หรือสามารถเลือกสวมเสื้อผ้าได้หลากหลาย แต่สำหรับคนที่ผอมแต่มีพุง การจัดการกับปัญหานี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย การลดขนาดพุงโดยไม่ทำให้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้รับผลกระทบมากเป็นเรื่องที่หลายคนพยายามค้นหาวิธีการที่เหมาะสมและได้ผล

สาเหตุของการเป็นคน ผอมแต่มีพุง (Skinny Fat) 

  1. ทานอาหารที่มีปริมาณของน้ำตาลมากเกินไป บางครั้งการเป็นคนที่มีรูปร่างผอม ทานเท่าไรก็ไม่อ้วน จึงอาจทำให้เผลอตามใจปาก ทานอาหารหวานมากเกินไป ยิ่งเห็นว่าทานแล้วรูปร่างยังผอมอยู่ น้ำหนักยังขึ้น จึงทานอาหารหวานมากยิ่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วอาหารหวานอย่าง ขนมปังเบเกอรี่ หรือน้ำแข็งไส บิงซู ขนมไทยต่างๆ เป็นอาหารที่ทำให้เกิดไขมันสะสมที่ท้องได้ง่ายกว่าอาหารไขมันสูงเสียอีก
  2. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ก็ทำให้เกิดอาการท้องบวมท้องยื่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มอย่าง วิสกี้ เบียร์ ไวน์ วอดก้า หรือค็อกเทล เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันไว้ที่หน้าท้องได้มากเช่นกัน
  3. การอดอาหารอย่างกะทันหัน หรือทานอาหารน้อยเกินไป ไม่ได้ช่วยลดไขมันในร่างกายแต่อย่างใด แต่อาจจะทำให้ร่างกายไปดึงพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้แทน ทำให้กล้ามเนื้อฟีบเล็กลง ร่างกายขาดความแข็งแรงไปมากกว่าเดิมเสียอีก
  4. การออกกำลังกายอย่างไม่ถูกวิธี นั่นคือการออกกำลังกายมากเกินไป บวกกับการรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายน้อยเกินไป อาจทำให้ร่างกายไปดึงพลังงานจากมวลกล้ามเนื้อมาใช้ในการออกกำลังกายแทนการดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้นั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมว่า หากคิดจะออกกำลังกาย การรับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอต่อการออกกำลังกาย ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

วิธีออกกำลังกายของคนที่ ผอมแต่มีพุง

การดูแลตัวเองสำหรับคนที่ผอมแต่มีพุง หรือ Skinny Fat นั้น จำเป็นต้องผสมผสานทั้งการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญไขมันเฉพาะจุด และการควบคุมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการในการลดพุงและรักษารูปร่างที่สมส่วนอย่างยั่งยืน

  1. การเล่นเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ควรเน้นการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงทั่วร่างกาย ไม่จำเป็นต้องเน้นที่หน้าท้องเพียงอย่างเดียว เช่น การยกดัมเบลหรือการทำสควอท การสร้างกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและทำให้รูปร่างกระชับมากขึ้น
  2. การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ HIIT (High Intensity Interval Training) วิธีนี้ช่วยเผาผลาญพลังงานและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบาในช่วงเวลาที่กำหนด การออกกำลังกาย HIIT ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง แต่มีประสิทธิภาพสูงในการลดไขมัน อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่ควรทำเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

ข้อปฏิบัติอื่นๆ ของคนที่ ผอมแต่มีพุง

นอกจากการออกกำลังกายที่เหมาะสมแล้ว ควรปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมด้วย

  • การทานอาหาร อาจจะไม่ถึงกับต้องนับแคลอรี่เหมือนกับคนที่อยากจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แต่เพียงแค่ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูงลง เช่น เครื่องดื่ม และขนมหวาน รวมถึงคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ เช่น ข้าวขาว แป้งขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้งพิซซ่า รวมไปถึงอาหารประเภททอด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • เพิ่มการทานอาหารประเภทโปรตีนให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงได้มากขึ้น (ยิ่งได้ผลดีเมื่อออกกำลังกายไปด้วย) เน้นการทานปลา ไข่ขาว เนื้อไก่ เป็นต้น
  • หากเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว อาจจะต้องปรึกษาเทรนเนอร์ หรือหาความรู้เพิ่มเติม ว่าการออกกำลังกายของเรามีข้อผิดพลาดตรงส่วนไหนหรือไม่ มีส่วนที่ควรต้องเน้นมากกว่าเดิมหรือไม่
  • อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากร่างกายอ่อนล้าเกินไป นอกจากจะออกกำลังกายไม่ไหวแล้ว การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอก่อให้เกิดอาการเครียด อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันสะสมที่พุง

ผอมแต่ลงพุง เสี่ยงเกิดโรคอะไรได้บ้าง

การมีรูปร่างผอมแต่มีพุง หรือ Skinny Fat อาจดูเหมือนสุขภาพดี แต่จริง ๆ แล้วเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น

  • ภาวะไขมันในเลือดสูง : ไขมันสะสมในหลอดเลือดและช่องท้องอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
  • โรคความดันโลหิตสูง : ความดันโลหิตสูงจากการสะสมไขมันในเลือด สามารถก่อให้เกิดโรคหัวใจและโรคไตตามมา
  • โรคไทรอยด์ : ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ที่ทำให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ มีผลต่อระบบเผาผลาญและทำให้เกิดพุง
  • โรคกระดูกพรุน : คนผอมแต่มีพุงอาจมีความหนาแน่นของกระดูกต่ำ ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่าย
  • โรคเบาหวาน : แม้จะผอม แต่มีความเสี่ยงเกิดเบาหวานจากการทำงานที่ผิดปกติของอินซูลิน
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด : ผู้ที่มีพุงมักมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การใช้ Past Continuous Tense ในภาษาอังกฤษ

Past Continuous

การรู้วิธีการใช้ Past Continuous จะช่วยให้คุณอธิบายอดีตได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะเวลาคุณต้องการจะเล่าเรื่องและต้องการจะลงรายละเลียดว่าเกิดอะไรขึ้น

วิธีการสร้างประโยค Past Continuous

เราจะสร้างประโยค Past Continuous โดยใช้รูปแบบของ Simple Past ที่ใช้ verb “to be” -“was/were”- และ verb หลักในรูปของ “–ing” ตัวอย่างเช่น

”You were reading a book.”

ในประโยคคำถามเราจะขึ้นต้นด้วย auxiliary verb “was/were” และตามด้วยประธาน

Were you reading a book?”

และในประโยคปฏิเสธจะใส่ “not”

“You weren’t reading a book.”

นี่เป็นตารางตัวอย่าง

รูปแบบของคำตอบคือ Yes, I was./No, I wasn’t.

เราจะใช้ Past Continuous ตอนไหน ? มีเพียงแค่ 2 การใช้งานหลักๆของ tense นี้

  1. อธิบายการกระทำในเวลาที่เฉพาะเจาะจงในอดีต

At p.m. I was reading a book.

ตรงนี้หมายความว่าการอ่านหนังสือได้เริ่มก่อน 4 โมงเย็นและยังดำเนินต่อในเวลานั้น ตัวอย่างอื่นๆเช่น

What were you doing at 12:30?

We were having lunch at 12:30.

Jana was still sitting in the classroom at 5 p.m.

The children were having tea at 4:30 p.m.

The traffic wasn’t moving at all at a.m.

  1. เปรียบเทียบ 2 การกระทำที่จบลงไปแล้วในอดีต

When I arrived, the children were waiting for me.

ตรงนี่หมายความว่าเด็กๆได้รอก่อนหน้าไปจนถึงขณะที่ฉันไปถึง ตัวอย่างอื่นๆเช่น

I was falling asleep when I heard a noise downstairs.

They were just going onto the motorway when they got a flat tire.

Was it raining when you went out?

Mrs Evans was making a phone call when we went into her office.

เราควรใช้ Past Continuous หรือ Past Simple ดีนะ?

ถ้าคุณกำลังอธิบายลำดับของการกระทำที่เกิดขึ้นไปแล้วตามลำดับเหตุการณ์ ให้ใช้ Simple Past ตัวอย่างเช่น

got uphad a shower then went downstairs for breakfast.

ถ้าคุณต้องการจะเล่ารายละเอียดเพื่อนจะให้ผู้ฟังเห็นภาพตาม ให้ใช้ Past Continuous ตัวอย่างเช่น

When I went into the kitchen, my brother was making some bacon and eggs.

Past Continuous เป็น tense ที่มีประโยชน์มาก และเห็นได้ชัดว่าสร้างประโยคได้ไม่ยาก และสามารถทำให้เป็นคำพูดของคุณได้ ต้องลองทำแบบทดสอบด้านบนเพื่อฝึกการใช้ tense นี้

การเรียน tense นี้ควบคู่ไปกับเรื่องอื่นๆในภาษาอังกฤษ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเรียนหลักสูตรที่มีแบบแผน ที่ Wall Street English คุณสามารถเรียนรู้วิธีการใช้ทุก tense ในภาษาอังกฤษ อย่างสนุกสนานและใช้งานได้จริง ผ่านการฟัง และการพูด สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่หน้า Our Levels

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


สหรัฐฯ เตรียมฟ้องศาลสั่ง “กูเกิล” ปรับโครงสร้าง ยุติผูกขาดตลาด

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เตรียมยื่นศาลสั่งปรับโครงสร้างแตกธุรกิจ “กูเกิล” คาดอาจส่งผลกระทบต่อฐานรายได้หลัก ราคาหุ้น และการพัฒนา AI ในอนาคต

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ว่ากำลังพิจารณาแนวทางการแก้ไขการครองตลาดของ “กูเกิล” ซึ่งอาจรวมถึงการให้ศาลสั่งให้บริษัทแม่อย่าง “อัลฟาเบท” (Alphabet) ขายธุรกิจบางส่วน เช่น เบราว์เซอร์โครม (Chrome) และ แอนดรอยด์ (Android) โดยสหรัฐฯ มองว่ากูเกิลใหญ่เกินไปจนเข้าข่ายเป็น “การผูกขาดทางการค้า” ที่ไม่เป็นธรรมในตลาดการค้นหาออนไลน์ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดนี้อาจใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้ข้อสรุปสุดท้าย

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ข้อเสนอนี้อาจส่งผลกระทบต่อฐานรายได้หลักของกูเกิล ซึ่งมาจากโฆษณาบนแพลตฟอร์มการค้นหา โดยข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยังอาจขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัท ในขณะที่กูเกิลกำลังเผชิญการแข่งขันจากบริษัทใหม่ๆ เช่น OpenAI และ Perplexity

แผนแตกธุรกิจกูเกิลสะเทือนวงการเทคโนโลยี

แผนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ นับเป็นความพยายามครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่คดี Microsoft ในปี 1999 โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติการครองตลาดของ “กูเกิล” ซึ่งครอบคลุมกว่า 90% ของการค้นหาออนไลน์ในสหรัฐฯ การแยกธุรกิจของกูเกิล เช่น การขาย โครม (Chrome) และ แอนดรอยด์ (Android) จะช่วยลดอิทธิพลของกูเกิลในตลาดการค้นหาออนไลน์และเปิดโอกาสให้คู่แข่งเจ้าอื่นๆ เข้ามาแข่งขันมากขึ้น

นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่า การที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ หวังจะบังคับให้กูเกิลขายธุรกิจหรือเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงข้อมูลนั้นอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการผูกขาด แต่อีกส่วนหนึ่งเห็นว่าการเสนอให้ทำเช่นนี้อาจเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ

การผูกขาดข้อมูลและ AI อาจถูกจำกัด

นอกจากการแยกธุรกิจหลักออกไปแล้ว กระทรวงยุติธรรมยังเสนอให้ศาลสั่งห้ามไม่ให้กูเกิลเก็บข้อมูลผู้ใช้ที่สำคัญ หรือบังคับให้แบ่งปันข้อมูลเหล่านั้นกับคู่แข่ง เช่นเดียวกับการให้เว็บไซต์ต่างๆ สามารถเลือกที่จะไม่อนุญาตให้กูเกิลใช้ข้อมูลในการเทรนโมเดล AI ข้อเสนอนี้ถูกมองว่าจะช่วยลดอิทธิพลของกูเกิลในการแข่งขันด้าน AI ซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยี

แผนดังกล่าวอาจทำให้กูเกิลเผชิญกับการต่อสู้ในวงการ AI ด้วยข้อจำกัดจากภาครัฐในขณะที่บริษัทต้องต่อสู้กับคู่แข่ง เช่น Meta และ Amazon ที่กำลังพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์จาก Bernstein กล่าวว่า “สิ่งสุดท้ายที่กูเกิลต้องการในตอนนี้คือการต่อสู้ด้วยมือข้างเดียวกับกฎระเบียบของรัฐในขณะที่การแข่งขันด้าน AI กำลังร้อนแรง”

ความเสี่ยงที่ยังไม่มีข้อสรุป

แม้ว่าข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จะสร้างความกังวลต่อนักลงทุน แต่บางคนเชื่อว่าการบังคับให้กูเกิลแตกธุรกิจเป็นไปได้ยาก นายอดัม โควาเซวิช ซีอีโอของ Chamber of Progress ชี้ว่าข้อเสนอเหล่านี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากศาล เนื่องจากเป็นการข้ามเกินกว่าขอบเขตของคำตัดสินของผู้พิพากษา

อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงยุติธรรมตั้งใจดำเนินการต่อไปก็ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการปราบปรามบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มุ่งครองตลาดอย่างไม่เป็นธรรมในสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นๆ พิจารณาปฏิบัติตามในการจัดการบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดในระดับโลก

นักลงทุนยังรอดูท่าที

ในขณะที่นักวิเคราะห์บางคนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกูเกิล นักลงทุนบางส่วนกลับมองว่าความเสี่ยงจากการบังคับให้ขายธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นที่รับรู้มานานแล้ว นักลงทุนยังคงรอดูท่าทีของศาลในคดีนี้ โดยยังไม่มั่นใจว่ากระบวนการนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของกูเกิลในระยะยาว

ในขณะที่หุ้นของอัลฟาเบทปิดตัวลดลง 1.5% หลังจากข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา นักวิเคราะห์เตือนว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการพิจารณาคดีนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในอนาคต

การพิจารณาแยกธุรกิจของกูเกิลออกจากกันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในวงการเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แผนการนี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อฐานธุรกิจหลักของบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อวงการ AI ที่กำลังเติบโต โดยข้อเสนอต่างๆ ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จะถูกเสนอให้ศาลพิจารณาภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


13 ผลไม้ไทยตระกูลเบอร์รี่ ช่วยต้านมะเร็งแบบไม่ต้องจ่ายแพง

ใครจะรู้ว่านอกจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นำเข้าจากต่างประเทศที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว ประเทศไทยของเราก็มีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่หลากหลายชนิด ที่ให้ทั้งรสชาติอร่อยและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะช่วยต้านมะเร็ง มีสารแอนโทไซยานินต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงวิตามินต่างๆ เป็นจำนวนมาก

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สไตล์ไทยเหล่านี้มีอะไรบ้างไปทำความรู้จักกันเลย

13 ผลไม้ไทยตระกูลเบอร์รี่

  1. ลูกหว้า
  2. มะเกี๋ยง
  3. มะเม่า
  4. มะขามป้อม
  5. ลูกหม่อน
  6. มะยม
  7. เชอรี่ไทย
  8. โทงเทงฝรั่ง
  9. ตะขบ
  10. ทับทิม
  11. เก๋ากี้
  12. มะเขือเทศ
  13. องุ่น

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีโดยมีกลไกหลักดังนี้

ใยอาหาร (ไฟเบอร์): เป็นเหมือนพรมปูพื้นในลำไส้ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นไปอย่างราบรื่น ใยอาหารแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
ใยอาหารที่ละลายน้ำ: พบมากในเนื้อเบอร์รี่ เมื่อสัมผัสกับน้ำจะเกิดเป็นวุ้น ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอล
ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ: พบมากในเปลือกเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มปริมาณกากในอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและช่วยในการขับถ่าย
วิตามินและแร่ธาตุ: เบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียม สังกะสี สารอาหารเหล่านี้ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น และยังช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร
สารพฤกษเคมี: สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเบอร์รี่ เช่น แอนโทไซยานินและฟลาโวนอยด์ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน
พลังงานต่ำ: เบอร์รี่มีปริมาณน้ำตาลต่ำและใยอาหารสูง ทำให้ให้พลังงานต่ำ คุณจึงสามารถรับประทานได้ในปริมาณที่มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักเพิ่ม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a41,550.0041,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,691.0040,795.5642,150.00
ทองรูปพรรณ 90%2,421.9036,716.00n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,152.8032,636.45n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,211.0018,358.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%942.0014,280.72n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,789.0042,281.24n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/10/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.6535.6535.9535.6535.6535.6535.6535.6535.6535.65
แก๊สโซฮอล์ 9135.2835.2835.5835.2835.2835.2835.2835.2835.2835.28
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5433.8433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8533.2933.2933.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.2449.8449.8449.8444.24
เบนซิน 9543.8449.8144.3443.9943.84
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า