สาระน่ารู้ประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2567

อสังหาฯ ภูเก็ตรับอานิสงส์เศรษฐีต่างชาติ หนีสงครามดันยอดขาย – โอนพุ่ง

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่า ปี2567 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมูลค่ารวม 33,730 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 โต 7.1%
  • ขณะที่ยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 4,497 หน่วยเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเติบโตสูงถึง 259.8% และมีมูลค่า 40,190 ล้านบาทเติบโต 799%
  • ทำเลโดดเด่น “หาดบางเทา – หาดสุรินทร์” มีจำนวน 2,202 หน่วย หรือคิดเป็น 48.97% ของหน่วยยอดขายใหม่ 

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าถือหุ้นสัดส่วน 67.94% ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ในทำเลศักยภาพ บางเทา ในยาง และราไวย์ ซึ่งเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการพักอาศัยระยะยาวและท่องเที่ยว  นอกจากนี้ยังได้เข้าไปถือหุ้น BOTANICA Grand Avenue ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BOTANICA ในกลุ่มพูลวิลล่าอีก 30%

ทั้งนี้เนื่องจากภูเก็ตเป็นตลาดที่น่าสนใจเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีศักยภาพเติบโตไปได้อีกหลายปี หลังจากการเข้าถือหุ้นครั้งนี้การลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้จะดำเนินการภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” เจาะกลุ่มชาวต่างชาติรายได้สูง ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้นในยูเครน-รัสเซีย, ไต้หวัน-จีน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีสงครามเข้ามาอยู่ใน จ.ภูเก็ตมากขึ้น 

“ขณะที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้ในอนาคตจำนวนคนไทยที่จะเสียภาษีให้กับประเทศไทยมีน้อยลง ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวหรือพาลูกมาเรียนหรือเข้ามาเกษียณอายุ โดยเลือกภูเก็ตเป็นบ้านหลังที่ 2”

ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตแบ่งเป็น 4 ตลาดหลัก ได้แก่  ที่อยู่อาศัยสำหรับคนไทย ,คอนโดมิเนียมสำหรับคนที่มาทำงานในภูเก็ต, Leisure Residences สำหรับชาวต่างชาติเป็นหลัก และพูลวิลล่า

“ขณะนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในภูเก็ตไม่ถึง 10% เพราะเพิ่งเริ่มเข้าตลาด Leisure Condo สำหรับต่างชาติ ที่มี “ลากูน่า” เป็นเจ้าตลาด และมี ดีเวลลอปเปอร์ ท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้ามาลงทุนจำนวนมาก”

สำหรับภาพรวมยอดขายของ แอสเซทไวส์  9 เดือนแรกปี 2567 มียอดขาย 14,578 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนที่มาจากไทเทิลคิดเป็น 43% ของยอดขายสะสม ปัจจุบันไทเทิลมี Backlog ทั้งหมดราว 8,022 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการอื่นต่อเนื่องจนถึงปี 2570

ปัจจุบันแอสเซทไวส์ และไทเทิลมีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 31,500 ล้านบาท โดยล่าสุดแอสเซทไวส์ได้ปรับแผนเปิดตัวโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต โดยเปิดโครงการใหม่รวม 4 โครงการมากกว่าแผนที่วางไว้ มีมูลค่าทั้งหมด 15,500 ล้านบาท ประกอบด้วย

เดอะ ไทเทิล เชียโล่ ราไวย์  มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจนมียอดขายถึง 90% หลังเปิดขายได้เพียง 1 สัปดาห์
เดอะ โมเดวา  มูลค่า 6,200 ล้านบาท
เดอะ ไทเทิล อาร์ทริโอ บางเทา  มูลค่า 2,600 ล้านบาท เตรียมเปิดขายในเดือนต.ค.นี้
คาตาเบลโล  ในกะตะ มูลค่า 5,500 ล้านบาท มีแผนเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าการปรับแผนดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายของโครงการในภูเก็ตช่วงไฮซีซันนี้ให้เพิ่มขึ้นอีก 5,000 ล้านบาท

เวคิน ตั้งกุลวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต ในเครือแอสเซทไวส์ กล่าวว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับ Strategic Locations อย่างบางเทา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความงดงามของหาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเล และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งร้านอาหาร แหล่งไลฟ์สไตล์ สถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งกิจกรรมมากมาย รองรับความต้องการของทุกเจนในครอบครัว

และยังเป็นครั้งแรกของแบรนด์เดอะ ไทเทิล พัฒนาอาคารที่พักอาศัยที่มีโซน “Pet-Friendly” ภายในโครงการ ตอบโจทย์คนรักสัตว์ ให้คนและสัตว์เลี้ยงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพื่อให้โครงการเดอะ ไทเทิล เป็น “Heaven Bestination” ของทุกคน

“ขณะนี้อสังหาริมทรัพย์ในโซนบางเทา เริ่มมีราคาสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีความเป็นลักซ์ชัวรีมากขึ้น เราจึงนำเสนออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นไลฟ์สไตล์ และพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบคลุมทั้งกลุ่มครอบครัว ,คู่รัก,คนโสด, ดิจิทัลโนแมด และ กลุ่มผู้สูงอายุ”

ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยไม่ถึง 5% ขณะที่สัดส่วนลูกค้าต่างชาติมีมากกว่า 90% ส่วนใหญ่เป็นรัสเซีย ยูเครน และยุโรป ก่อนหน้านี้มีกลุ่มลูกค้าจีนด้วยแต่ดรอปลงไปช่วงหลังโควิดจากปัญหา เศรษฐกิจ ฟองสบู่อสังหาฯ และนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนใช้จ่ายภายในประเทศ คาดว่า 1-2 ปีข้างหน้าตลาดจีนกลับมาช่วยกระตุ้นการซื้ออสังหาฯ ได้ดีเพราะพฤติกรรมการซื้อของคนจีนคือ ซื้ออยู่กันเป็นหมู่บ้านในกลุ่มคนรู้จัก ซึ่งภูเก็ตเป็น “destination” ที่คนจีนชอบ และมักจะส่งลูกหลานมาเรียนเพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนถูกกว่าปักกิ่งบวกกับนโยบายของจีนที่ไม่อยากให้มีโรงเรียนนานาชาติเพื่อความเท่าเทียม และเสมอภาค

จากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มากขึ้นส่งผลให้ราคาที่ดินของภูเก็ตมีแนวโน้มแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเดิมไทเทิล มีที่ดินกว่า 80 ไร่ เมื่อแอสเซทไวส์เข้ามาก็มาถือหุ้นมีการลงทุนซื้อที่ดินเพิ่ม ส่งผลให้ปัจจุบันมีที่ดินกว่า 100 ไร่ เพียงพอให้พัฒนาโครงการใหม่ได้อีก 2 ปี และหากประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการในปีนี้บริษัทมีแผนจะซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า

นอกจากนี้บริษัทยังได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ “The Esquire” ให้บริการด้าน Property Management ครอบคลุมทั้งทีมนิติบุคคลช่วยบริหารจัดการภายในโครงการ บริการจัดหา และประสานผู้เช่า บริการซักรีด และบริการทำความสะอาดภายในห้องพัก ช่วยดูแลทรัพย์สิน และคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกคนภายในโครงการเดอะ ไทเทิล เพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายในทุกมิติ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


กระทรวงแรงงาน ช่วยผู้ประกันตน ม.33, 39 และ 40 มีบ้าน ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กระทรวงการคลัง ลงนาม MOU โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567 ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 ช่วยให้มีบ้านเป็นของตนเอง จองสิทธิ์ผ่าน SSO PLUS

“โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567” โดย สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กระทรวงการคลัง ลงนาม MOU ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 ช่วยให้มีบ้านเป็นของตนเอง จองสิทธิ์ผ่าน SSO PLUS

ลงทะเบียน โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567” ผู้ประกันตน ม.33, 39 และ 40

  • ลงทะเบียนเพื่อขอรับหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน และลงลำดับคิวเพื่อรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ผ่านทางแอปพลิเคชัน SSO PLUS ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 67 
     

เอกสารที่ต้องใช้ “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567” ผู้ประกันตน ม.33, 39 และ 40

  • หนังสือรับรองสถานะผู้ประกันตน
  • บัตรประชาชน 
  • ทะเบียนบ้าน
  • ทะเบียนสมรส/หย่า

เอกสารแสดงรายได้ 

  • กรณีประกอบอาชีพประจำ ใบรับรองเงินเดือน สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน 
  • กรณีประกอบอาชีพอิสระ สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน 

สำเนาทะเบียนการค้า รูปถ่ายกิจการ 

เอกสารหลักประกันมายื่นขอสินเชื่อกับ ธอส. ได้ภายในระยะเวลาที่ระบุในหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน ซึ่งจะเริ่มยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 67 ถึง 30 ธ.ค. 68

หรือก่อนกำหนดระยะเวลาดังกล่าว หาก ธอส. ให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการแล้ว 

อัตราดอกเบี้ยและวงเงินกู้ “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567” ผู้ประกันตน ม.33, 39 และ 40

ผู้กู้จะได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในช่วง 5 ปีแรก เพียง 1.59% ต่อปี ส่วนปีที่ 6 – 8 เท่ากับ MRR – 2.00% ต่อปี และปีที่ 9 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR – 0.50% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.545% ต่อปี) เพื่อซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย

ภายใต้วงเงินกู้ตามโครงการสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 3,400 บาท หากวงเงินกู้ส่วนที่เกิน 2 ล้านบาท สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นของธนาคารได้ 

สำหรับ ผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่ง หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ โทร.0 – 2645 – 9000 ghbank.co.th

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29 ต.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.76 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตราบใดที่ราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้29 ต.ค. 2567ที่ระดับ  33.76 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.82 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอาจเริ่มชะลอลงบ้าง

และเงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังพอมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้

 อีกทั้งบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก (Exporters) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซน 33.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นต้นไป ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ดี เรายังคงเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินบาท เนื่องจากเงินดอลลาร์ก็ยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้

นอกเหนือจากประเด็นการเพิ่มสถานะถือครองให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades เรามองว่าในระยะสั้น เงินดอลลาร์ก็อาจพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

จนกว่าความวุ่นวายและไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นจะลดลงชัดเจน ซึ่งอาจต้องเห็นการเจรจาต่อรองระหว่างพรรค LDP กับพรรคอื่นๆ เพื่อรวมรวบที่นั่งในสภาผู้แทนฯ ให้ได้เสียงข้างมาก อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา

สะท้อนว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างราว +/-0.19% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน  

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา

ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.74-33.85 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยจังหวะการรีบาวด์ขึ้นเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ของราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน โดยเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์ ตามการปรับเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับ Trump Trades

รวมถึงการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอ่อนค่าทะลุโซน 153 เยนต่อดอลลาร์ ตามแรงกดดันจากส่วนตัวระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น และความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นในระยะสั้น หลังพรรค LDP และพรรคพันธมิตร Komeito สูญเสียการครองอำนาจในสภาผู้แทนฯ (Lower House) ในการเลือกตั้งล่าสุด

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น อย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ The Magnificent 7 ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.27%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.41% ตามการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทว่า ภาพดังกล่าวก็กดดันตลาดหุ้นยุโรป ผ่านการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.4%, BP -1.4% หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงจากช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาราว -5%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.30% โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงถูกจำกัดลง จากความต้องการถือบอนด์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่ต่างรอจังหวะ “Buy on Dip”

ทว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่องชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ หรือมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -43bps ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกราว -86bps ในปีหน้า ซึ่งน้อยกว่าที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน)

เช่น กลับมาเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ซึ่งเรามองว่า อาจจะต้องเห็นภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงพอสมควร ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรายังคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades และการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำโดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.3 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่โซน 2,750-2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เป็นต้น

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน  โดยเฉพาะ Alphabet, AMD และ VISA ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ว่าพรรค LDP จะสามารถจับมือกับพรรคอื่นๆ เพื่อรวบรวมที่นั่งจนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้สำเร็จหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จัดใหญ่อีกครั้ง! สมาคมฯ หมากล้อม เชื่อมสัมพันธ์นักหมากล้อมเปิดศึกลุยไถ 2024

สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (ซีพีเอฟ) และ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (พีซีจี)  และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) จัดพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาหมากล้อมศึกลุยไถ 2024 เพื่อแลกเปลี่ยนฝีมือและประสบการณ์เชื่อมความสัมพันธ์ให้กับนักหมากล้อม 3 บริษัท ชิงถ้วยเกียรติยศและเงินรางวัลรวมกว่า 650,000 บาท

สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจากนายวิเชียร จึงวิโรจน์ นายกสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย, นายทนง ไทยวัฒนาพร ประธานชมรมหมากล้อม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), นายสมเกียรติ ด่านกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายงานขายในประเทศ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด, นายวสันต์ สินพิทักษ์สกุล  รักษาการประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) และนายนัฐพล กิตติไพศาลนนท์ กรรมการสมาคมกีฬาหมากล้อมฯ ร่วมเปิดงาน ณ อาคารเดอะ ธารา บมจ.ซีพี ออลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ

การแข่งขันกีฬาหมากล้อมลุยไถได้จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ด้วยการประสานความร่วมมือจาก สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ) และ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ปจำกัด (พีซีจี) เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนักหมากล้อม 2 บริษัท โดยในปี 2567 นี้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้ส่งตัวแทนนักกีฬาหมากล้อมของบริษัท ร่วมด้วย โดยทั้ง 3 บริษัท ได้ฝึกสอนบุคลากรของบริษัทและคัดเลือกเป็นตัวแทนนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน บริษัทละ 1 ทีม ทีมละ 8-17 คน รวมมีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 33 คน หากทีมใดเป็นฝ่ายชนะจะทำการแข่งขันต่อ ส่วนฝ่ายที่แพ้จะส่งนักกีฬากลุ่มใหม่เข้าทำการแข่งขันในรอบต่อไป รวมแข่งสูงสุด 23 รอบ ทีมชนะเลิศจะได้รับถ้วยและเงินรางวัลไปครอง จึงเป็นที่มาของชื่อการแข่งขันหมากล้อมลุยไถ ซึ่งจัดจะขึ้นระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม – 1 ธันวาคม 2567   ทีมชนะเลิศรับถ้วยและเงินรางวัลรวม 500,000 บาท ทีมรองชนะเลิศรับถ้วยและเงินรางวัล 150,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถร่วมชมการแข่งขันผ่านระบบออนไลน์ได้ทางเฟซบุ๊กสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย https://www.facebook.com/webthaigo

 สำหรับการแข่งขันหมากล้อมในรูปแบบลุยไถนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกคือรายการ Japan-China Super Go จัดโดย NEC ในปีค.ศ. 1984-1996  ระหว่างนักหมากล้อมมืออาชีพจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน ซึ่งเป็นรายการที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับนักหมากล้อมจีนอย่าง Nie Weiping และเป็นรายการที่ทำให้วงการหมากล้อมจีนเติบโตมาอย่างก้าวกระโดด ในปัจจุบันก็ยังมีการแข่งขันลุยไถในระดับมืออาชีพอีกหลายรายการ เช่น Nongshim Cup ที่มีประเทศเกาหลีใต้, จีน, ญี่ปุ่นเข้าร่วมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 – ปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง” โรคใกล้ตัวที่ถูกมองข้าม

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาจไม่เป็นที่พูดถึงบ่อยครั้งนัก หากแต่สร้างความลำบาก และลดความมั่นใจ สูญเสียบุคลิกภาพที่ดีไปหากได้มีอาการของโรค

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คืออะไร ?

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง กนกวลัย กุลทนันทน์หัวหน้าภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคที่มีอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ จากปฏิกิริยาภูมิแพ้และปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน ทำให้ผิวหนังแห้ง ระคายเคืองง่าย เกิดผื่นแดงคันตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย มักพบในเด็ก แต่ก็เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย อุบัติการณ์ของโรคนี้ในเด็กไทยพบประมาณร้อยละ 10-20 ส่วนผู้ใหญ่พบน้อยกว่า

สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น แพ้อากาศ ไอ จามบ่อย ๆ หอบหืด หรือมีโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวก็อาจเป็นโรคนี้ได้เนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรมอาจซ่อนเร้นอยู่โดยไม่เกิดอาการ

นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญคือสิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคาย หรือสารก่อภูมิแพ้ โดยผิวหนังของผู้ป่วยจะไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งสภาพทางกายภาพ เช่น ภาวะอากาศร้อนเกินไป เย็นเกินไป หรือสารเคมีที่ระคายผิวหนังรวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น แมลง เชื้อโรค เป็นต้น

อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในผู้ป่วย มี 3 แบบ ได้แก่

  • ผื่นระยะเฉียบพลัน คือมีผื่นบวมแดงมากและคัน มี ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ บางรายอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา
  • ผื่นระยะกึ่งเฉียบพลัน คือผื่นและตุ่มแดง คัน มีขุย อาจมีตุ่มน้ำบ้าง แต่ไม่พบน้ำเหลืองไหลซึมบนผื่น
  • ผื่นระยะเรื้อรัง คือผื่นจะมีสีไม่แดงมากหรือออกสีน้ำตาลอาจนูนหนา คัน มีขุย และเห็นร่องผิวหนังชัดเจน

ตำแหน่งที่พบผื่นแตกต่างกันได้ตามวัยของผู้ป่วย ในวัยทารก มักจะพบผื่นผิวหนังอักเสบบ่อยบริเวณใบหน้า ซอกคอ และด้านนอกของแขนขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ถูไถกับหมอน ผ้าปูที่นอนเพราะคันมาก ส่วนในเด็กวัยเรียนและวัยผู้ใหญ่ ผื่นผิวหนังอักเสบจะพบบ่อยบริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา และคอ สำหรับในรายที่เป็นมากๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะภูมิแพ้ทางจมูก ตา หรือ หอบหืดร่วมด้วย หรือบางรายอาจพบรอยโรคผิวหนังอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กลากน้ำนม ขอบตาคล้ำและมีรอยย่นใต้ตา ริมฝีปากแห้งเป็นขุย เส้นลายมือชัดลึก ขนคุด ผิวสากเหมือนหนังไก่ ผิวบริเวณหน้าแข้งแตกแห้งเป็นแผ่น เป็นต้น

อาการเริ่มแรกของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ประมาณร้อยละ 50 จะพบในเด็กช่วงขวบปีแรก และประมาณร้อยละ 85 จะพบในเด็กช่วง 5 ขวบปีแรก อาการโรคมักเป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น

เมื่อผู้ป่วยอายุเพิ่มขึ้น พบว่าประมาณร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้นเมื่ออายุ 10 ปี เด็กบางคนอาจยังคงมีอาการเรื้อรังต่อไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

ในขณะที่ผู้ป่วยบางคนอาจเริ่มมีผื่นภูมิแพ้ในช่วงวัยผู้ใหญ่ การวินิจฉัยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอาศัยจากลักษณะทางคลินิกเป็นส่วนใหญ่ การทดสอบทางผิวหนัง การเจาะเลือดตรวจแอนติบอดี้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ หรือการทดสอบการแพ้อาหาร

ไม่มีความจำเป็นสำหรับการวินิจฉัยโรคแต่ในกรณีที่ให้การรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว อาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น แพทย์อาจพิจารณาทำการทดสอบเหล่านี้ หรือเลือกการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อหาปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดโรคกำเริบ

เป้าหมายของการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

พยายามควบคุมอาการของโรค ป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ และให้อยู่ในช่วงสงบนานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าโรคจะหายไป

แนวทางการรักษา ได้แก่ การหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้อาการกำเริบ การทาสารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวหนัง ป้องกันผิวแห้ง เช่น โลชั่น ครีมบำรุงผิว ควรทาหลังอาบน้ำทันที และไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น

การใช้ยาทาลดการอักเสบของผิวหนัง 

ทาบริเวณผื่นที่มีอาการเห่อแดงอักเสบ เมื่อควบคุมอาการได้ควรลดการใช้ยาหรือหยุดยา ในรายที่ผื่นเป็นมากและเป็นบริเวณกว้าง แพทย์อาจให้ยารับประทาน ในปัจจุบันได้มีการรักษาโดยยาฉีด ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางการรักษาในโรคนี้ โดยแพทย์จะเลือกใช้ในรายที่มีอาการในระดับปานกลางถึงรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีทั่วไป ซึ่งควรอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ป่วยสงสัยว่ามีอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง โรคที่เป็นเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว เช่น การนอน การเรียนการทำงาน ความมั่นใจ และการเข้าสังคม ผู้ป่วยบางรายอาจเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าปกคลุมผิวหนังหลายๆ ส่วนของร่างกาย เนื่องจากความอาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ซึ่งหากมาพบแพทย์และทำการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันการกำเริบของผื่นได้ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต และทำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมสังคมได้อย่างปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คนไทยติดเน็ตหนึบ! ใช้งานพุ่งเฉลี่ยวันละ 9.20 ชั่วโมง

เผยผลสำรวจโครงการ Thailand Digital Outlook ประจำปี 2567 ดิจิทัลไทยดีขึ้นทุกมิติ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของไทยเพิ่มขึ้น ใช้งานอินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง 20 นาที จากเดิมเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง 25 นาที แรงงานดิจิทัลเฉพาะทางเพิ่มขึ้น เชื่อดิจิทัลไทยพร้อมแข่งในระดับโลก

ดร.เวทางค์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวว่า การดำเนินโครงการศึกษา Thailand Digital Outlook ประจำปี พ.ศ. 2567 ดำเนินการศึกษาตัวชี้วัดด้านการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลของประเทศไทย  พบว่าตัวชี้วัดด้านดิจิทัลของประเทศส่วนใหญ่ดีขึ้นในทุกมิติ เช่น

·       การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของครัวเรือนไทยอยู่ที่ร้อยละ 90.3 (21.7 ล้านครัวเรือน)  เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 89.5 (21.0 ล้านครัวเรือน)

·       ประชากรช่วงอายุ 16 – 74 ปี มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตคิดเป็นร้อยละ 90.7 (50.1 ล้านคน) เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 89.5 (49.2 ล้านคน)                   

·       แรงงานดิจิทัลที่ทักษะเฉพาะทางเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.63 แสนราย เป็น 2.78 แสนราย โดยมีผู้ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นในอาชีพ โปรแกรมเมอร์ และ ช่างเทคนิคปฏิบัติการด้าน ICT

ประชาชนกลุ่มเปราะบาง (บุคคลทั่วไปที่มีระดับรายได้ครัวเรือนอยู่ในช่วงร้อยละ 25 ที่ต่ำที่สุด) มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่ร้อยละ 74.60 (12.12 ล้านคน) เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ ร้อยละ 69.90 (11.23 ล้านคน)

·       สัดส่วนจำนวนนักศึกษาจบใหม่ระดับอุดมศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ร้อยละ 33.26 (101,411 ราย จากจำนวน 304,925 ราย) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 23.69

นอกจากนั้นแล้วพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง 20 นาที เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่เฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง 25 นาที โดยพบว่า ส่วนใหญ่ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการติดต่อสื่อสาร และการทำธุรกรรมทางการเงิน และการพักผ่อน/บันเทิง

สำหรับพฤติกรรมการซื้อสินค้า/บริการออนไลน์ของประชาชน เพิ่มสูงขึ้น พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ซื้อสินค้าออนไลน์จะมีการซื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากเดิม 375 บาท/ครั้ง เป็น 428 บาท/ครั้ง โดยมีสินค้าที่เป็นที่นิยมสูงสุดสามอันดับแรกคือ เสื้อผ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และหนังสือ ตามลำดับ โดยช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ E-Marketplace เช่น Shopee Lazada ซึ่งผู้ซื้อสินค้าออนไลน์นิยมใช้ช่องทางนี้สูงถึงร้อยละ 95.98 (16,501 ราย จากผู้ตอบ 17,193 ราย) ตามมาด้วย Social Commerce ได้แก่ Tiktok Line Facebook อยู่ที่ ร้อยละ 47.18 (8,111 ราย จากผู้ตอบ 17,193 ราย)

การดำเนินโครงการศึกษา Thailand Digital Outlook ประจำปี พ.ศ. 2567 ดำเนินการศึกษาตัวชี้วัดด้านการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลของประเทศไทย โดยอิงข้อมูลจาก OECD Going Digital toolkit และ กรอบ Measuring the Digital Transformation ของ OECD ซึ่งมีการสำรวจทั้งสิ้น 8 มิติ ประกอบด้วย 1) การเข้าถึง 2) การใช้งาน 3) นวัตกรรม 4) อาชีพ 5) สังคม 6) ความน่าเชื่อถือ 7) การเปิดเสรีของตลาด และ 8) การเติบโตและสภาพความเป็นอยู่

สำหรับในปี 2567 มีการนำเสนอตัวชี้วัดทั้งหมด 102 ตัวชี้วัด ซึ่งมีวิธีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถาม โดยสำรวจจำนวน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยบริการปฐมภูมิรวมจำนวน 51,187 ตัวอย่าง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสิ้น 35 หน่วยงาน

พร้อมกันนี้ ภายในงานได้จัดเวทีเสวนา ภายใต้หัวข้อ “การขับเคลื่อนดิจิทัลไทยแลนด์ (Digital Thailand)” โดยวิทยากรรับเชิญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งได้ร่วมกันพูดคุยหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์” ต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


10 อาชีพ ใช้ภาษาอังกฤษดี การันตีอนาคตสดใสแน่นอน

สวัสดีจ้าเพื่อนๆชาว วอลล์สตรีท อิงลิช เชื่อว่าหลายคนคงจะอยู่ในช่วงของการหางาน หรือแม้แต่คนที่ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าอยากจะทดลองทำงานอะไร แต่เรามีทักษะทางภาษาอังกฤษที่โดดเด่นอยู่แล้วนี่จะใช้เป็นจุดขายให้เราสำหรับอาชีพอะไรได้บ้าง วันนี้เราจะพาไปชมกัน


Programmer(โปรแกรมเมอร์)

หนึ่งในอาชีพที่มาแรงที่สุดในยุคปัจจุบัน จำเป็นจะต้องมีทักษะการ coding ระดับสุดยอด ซึ่งการ coding จำเป็นจะต้องใช้ภาษาอังกฤษ รวมไปถึงในการหาแหล่งความรู้ส่วนใหญ่สำหรับงานนี้ก็มักจะเป็นรูปแบบสากลซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก การที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีจะช่วยสนับสนุนการทำงานของอาชีพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Content Writer(นักเขียนคอนเท้น)

นักเขียนคอนเท้น ทำหน้าที่หลักคือการเขียนคอนเท้นเนื้อหาสำหรับนำเสนอบน เว็บไซต์ บล็อค โซเชียลมีเดีย ซึ่งหากเราพัฒนาเนื้อหาของเราเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมได้ จะเป็นการยกระดับเนื้อหาของเราให้มีความอินเตอร์มากยิ่งขึ้น เพิ่มการเข้าถึงจากกลุ่มผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อีกเพียบ

Social media manager(ผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย)

ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลจัดการสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆทั้ง Facebook Intragram Tiktok Youtube เป็นต้น ต้องคอยจัดการคอนเทนต์ต่างๆเพื่อให้เกิดผลลัพท์ต่อแบรนด์สูงสุด จึงจำเป็นต้องมีทักษะทางภาษาอังกฤษเพื่อช่วยในเรื่องของการเลือกคอนเทนต์มีที่มีความสากล เพื่อให้เข้าถึงคนจากทั่วโลก

Hotel Manager (ผู้จัดการโรงแรม)

ผู้จัดการโรงแรม มีหน้าที่ในการดูแลจัดการแผนกต่างๆในโรงแรม ต้องคอยรักษาความเรียบร้อยของโรงแรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน และต้องใช้ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีมากในการ ช่วยเหลือเหล่าแขกที่มาพักที่จากทั่วโลก และต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับโรงแรมอีกด้วย ทักษะภาษาอังกฤษจึงสำคัญกับอาชีพในตำแหน่งนี้มาก

International Business Manager (นักจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ)

ต้องการทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ ในการเจรจา ประสานงาน และนำเสนองานกับคู่ค้า หรือการร่วมมือกันกับบริษัทในต่างประเทศ การใช้ภาษาอังกฤษจึงเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของอาชีพนี้

Air hostess (พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน)

อาชีพในฝันของสาวๆหลายคน มีหน้าที่คอยต้อนรับและให้บริการบนเครื่องบิน ต้องพบปะกับเดินทางที่มาจากทั่วโลก จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารที่ดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในอาชีพที่ยังเป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Tour guide (ไกด์นำเที่ยว)

อาชีพสำหรับผู้มีใจรักในการบริการ มีความชื่นชอบในการท่องเที่ยว ต้องพานักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วทุกมุมโลกไปชมสถานที่ต่าง มีความเข้าใจในวัฒนธรรมและประวัติความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญที่สุดคือต้องมีทักษะในการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะสามารถถ่ายทอดให้กับสมาชิกทัวร์ได้ รวมถึงการเอ็นเตอร์เทนสร้างความสนุกสนานได้อีกด้วย

ESL teacher (ครูสอนภาษาอังกฤษ)

หรือชื่อเต็มคือ English as a Second Language Teacher ทำหน้าที่ในการสอนภาษาอังกฤษให้กับผู้ที่ไม่ได้มีภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษ โดยจะสอนไปในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การทำงาน การศึกษาต่อในต่างประเทศ

Editor(บรรณาธิการ)

อาชีพที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบปรับปรุงเนื้อหา ก่อนการเผยแพร่ ต้องมีการแก้ไขเนื้อหาการใช้ภาษาให้เหมาะสม ตรวจสอบแก้ไขคำผิด จึงต้องมีผู้มีความรู้ในด้านภาษาโดยเฉพาะ

Brand Strategist (นักวางกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์)

ทำการหน้าที่วางกลยุทธ์ ออกแบบ และกำหนดทิศทางในการพัฒนาแบรนด์ให้พัฒนายิ่งขึ้น ต้องมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษทั้งในเรื่องของการสื่อสาร และการนำเสนอ

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


10 ประโยชน์ดีๆ ของลูกหม่อน มัลเบอร์รี่ ป้องกันมะเร็ง-เบาหวาน

ผลไม้ในบ้านเรามีหลากหลายชนิดมากจริงๆ นะคะ ทานยังไงก็ไม่ครบเสียที เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยทาน “ลูกหม่อน” หรือ “มัลเบอร์รี่” เราเพิ่งได้ทานเมื่อไม่กี่วันก่อนเองค่ะ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ทานเพลินมากๆ ให้สีชมพูอมม่วงสวย น่านำมาทำขนมสุดๆนอกจากราคาสบายกระเป๋า รสชาติสดชื่นแล้ว ยังมีประโยชน์ดีๆ อีกเพียบเลยด้วยนะ 

10 ประโยชน์ดีๆ ของลูกหม่อน มัลเบอร์รี่

  1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ปริมาณน้ำตาลต่ำ และปรับปรุงการเผาผลาญของไขมันในร่างกาย จึงเหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือเป็นผู้ป่วยเบาหวาน
  2. บำรุงหัวใจให้แข็งแรง
  3. มีฤทธิ์เย็น ช่วยดับร้อน และให้ความสดชื่น ด้วยรสเปรี้ยวหวานที่เป็นเอกลักษณ์
  4. บำรุงสายตา ทำให้เส้นประสาทตาดี สายตาแจ่มใส
  5. แก้อาหารท้องผูก ทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น
  6. แก้อาการปวดเกร็งตามเท้า ข้อมือ ข้อเข่า
  7. บำรุงเส้นผมให้ดกดำ เงางาม
  8. ลดความดันโลหิต
  9. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคมะเร็ง และต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง
  10. ป้องกันโรคโลหิตจาง 

เห็นอย่างนี้แล้ว เย็นนี้อย่าลืมหา “ลูกหม่อน” หรือ “มัลเบอร์รี่” มาทานกันเยอะๆ นะคะ จะทานสดๆ หรือนำมาดัดแปลงเป็นส่วนประกอบของขนมหวานต่างๆ ก็ได้ ทานเพลินกันได้ทั้งบ้านเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,850.0043,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,840.0043,054.4044,450.00
ทองรูปพรรณ 90%2,556.0038,748.96n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,272.0034,443.52n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,278.0019,374.48n/a
ทองรูปพรรณ 40%994.0015,069.04n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,943.0044,615.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/10/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.7535.7536.3535.7535.7535.7535.7535.7535.7535.75
แก๊สโซฮอล์ 9135.3835.3835.9835.3835.3835.3835.3835.3835.3835.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.6433.6434.2433.6433.6433.6433.6433.6433.64
แก๊สโซฮอล์ E8533.3933.3933.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.3449.8449.8449.8444.34
เบนซิน 9543.9449.8144.4444.0943.94
ดีเซล32.9432.9433.4432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า