สาระน่ารู้ประจำวันที่ 10 มกราคม 2568

ทำเลเพลินจิต-ชิดลม-วิทยุข้ามชาติปักหมุดสำนักงาน5ปีอัตราเช่าแซงซีบีดี

ทำเลทอง ‘เพลินจิต-ชิดลม-วิทยุ’ ดึงดูดบริษัทข้ามชาติปักหมุดผู้เช่ารายใหญ่หมุดสำนักงาน 5 ปีอัตราเช่าแซงซีบีดีจากปัจจุบันอัตราการเช่าเพิ่มขึ้น 5% และมีค่าเช่าเฉลี่ยสูงสุดในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 1,090 บาท/ตร.ม./เดือน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เผชิญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จากผลกระทบของอุปทานที่เพิ่มขึ้น! และวิถีการทำงานใหม่ ทำให้ความต้องการเช่าสำนักงานมีความไม่แน่นอน แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มีบางพื้นที่ที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ หนึ่งในพื้นที่สำคัญ คือ โซน เพลินจิต ชิดลม วิทยุ  ทำเลทองที่ดึงดูดบริษัทข้ามชาติและผู้เช่ารายใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง

ณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า ทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตและการลงทุนในอนาคต ได้แก่ เพลินจิต ชิดลม และ วิทยุ  ที่หลายฝ่ายจับตามอง! แม้ว่าอุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid) เข้ามามีบทบาททำให้หลายบริษัทปรับ “ลดขนาด” พื้นที่สำนักงาน แต่ทำเลนี้ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้เช่าจำนวนมาก

พื้นที่สำนักงานในโซนนี้ประกอบด้วยอาคารสำนักงานถึง 38 แห่ง รวมพื้นที่ให้เช่า 940,000 ตารางเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกรุงเทพฯ แม้อัตราการเช่าจะลดลงจากระดับสูงสุดที่ 95% ในปี 2562 เหลือเพียง 76% ในปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไป จะพบว่าอาคารในทำเลนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับย่านอื่นๆ ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุปทานในพื้นที่นี้เติบโตขึ้นถึง 30% หรือ 220,000 ตารางเมตร สูงกว่าการเติบโตของย่านใจกลางธุรกิจ หรือ ซีบีดี (CBD : Central Business District)  ซึ่งมีอัตราการเติบโตเพียง 24%

การที่โซนเพลินจิต ชิดลม และ วิทยุ ยังคงรักษาความยืดหยุ่นได้ดีนั้น เป็นผลจากทำเลที่ตั้งมีความสะดวกในการเดินทาง มีทั้งระบบขนส่งสาธารณะที่ยอดเยี่ยม และอาคารสำนักงานเกรดเอที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสีเขียว 
 “การมีอาคารเกรดเอในทำเลที่ดี ทำให้พื้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง แม้จะมีอุปทานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ แต่ทำเลนี้ยังคงมีความต้องการที่สูงจากผู้เช่ารายใหญ่ ทำให้ 5 ปีที่ผ่านมา อุปทานโซนนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก แต่ความต้องการเช่ากลับเติบโตได้สูงกว่า อัตราการเช่าเพิ่มขึ้น 5% และมีค่าเช่าเฉลี่ยสูงสุดในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 1,090 บาท/ตารางเมตร/เดือน สะท้อนถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง”

หากมองไปอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2572 ทำเล เพลินจิต ชิดลม วิทยุ  จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ! เนื่องจากพื้นที่สำหรับการพัฒนาอาคารสำนักงานทั้งในรูปแบบ Freehold และ Leasehold  เริ่ม “จำกัด” มากขึ้น เพราะพื้นที่หายาก ทำให้การพัฒนาอาคารใหม่ในพื้นที่ “ลดลง” เป็น “โอกาส” สำคัญ สำหรับเจ้าของทรัพย์สินที่มีอาคารสำนักงานคุณภาพสูงในพื้นที่นี้ ที่จะรักษาผู้เช่าและเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินได้มากขึ้น

โครงการที่มีการพัฒนาในพื้นที่นี้มีเพียงไม่กี่โครงการ เช่น โครงการ CPN Siam Square ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 โดยจะมีพื้นที่สำนักงานกว่า 25,000 ตารางเมตร แม้จะมีโครงการพัฒนาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ก็ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ และอาจแล้วเสร็จหลังปี 2572

การเปลี่ยนแปลงในตลาดอาคารสำนักงาน “ไม่ใช่” แค่เพียงจำนวนพื้นที่ให้เช่าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับแนวโน้มการย้ายสู่อาคารคุณภาพสูงด้วย ผู้เช่ารายใหญ่และบริษัทข้ามชาติจำนวนมากเริ่มมองหาพื้นที่ที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มของการต่ออายุสัญญาเช่าและการย้ายสำนักงานในกรุงเทพฯ ทำเลเพลินจิต ชิดลม และวิทยุ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

โดยอาคารเกษรทาวเวอร์ พาร์คเวนเจอร์ และ สยามพิวรรธน์ทาวเวอร์  แม้จะมีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี แต่ยังคงมีศักยภาพที่ดีด้วยอัตราค่าเช่าที่สูงกว่า 1,300 บาท/ตารางเมตร/เดือน และอัตราการครอบครองที่มากกว่า 90% สะท้อนให้เห็นว่าแม้มีอุปทานใหม่เข้ามา แต่คุณภาพของอาคารและทำเลที่ตั้งยังคงมีความสำคัญมากในการดึงดูดผู้เช่า

หนึ่งในโครงการที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน คือ วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (โอซีซี) อาคารสำนักงานเกรดเอ สร้างเสร็จในปี 2566 แม้จะมีอัตราการครอบครองในช่วงแรก 75% และ 70% แต่โครงการนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น คาดว่าอัตราการเช่าจะเพิ่มขึ้นถึง 90% ภายในปี 2568 ส่งผลดีต่อมูลค่าของทรัพย์สินในอนาคต เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


6 สมาคมอสังหาฯยื่นหนังสือนายกฯ- รมว.มหาดไทย -คลัง-ธปท. ออกมาตรการกระตุ้น

6 สมาคมอสังหาฯ ยื่นหนังสือนายกฯ- รมว.มหาดไทย -คลัง-ธปท.พิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯปี68 ต่ออายุมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียม ต่ออายุมาตรการวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2568 ลง50%เพื่อลดภาระภาคเอกชนและประชาชน

จากแนวโน้มว่าปี2568 จะเป็นอีกปีที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับภาวะยากลำบาก! ผู้ประกอบการต้องตั้งรับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว และยังคงเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนสูง! กดดันการใช้จ่ายอย่างหนักโดยเฉพาะสินทรัพย์คงทนอย่าง “ที่อยู่อาศัย” ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่นเดิม กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาต่อเนื่อง  ท่ามกลางปัจจัยบวกมีเพียงเล็กน้อย 


ล่าสุด วันนี้ (9 ม.ค.2568) 6 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจ รับสร้างบ้าน สมาคมการขายและการตลาดอลังหาริมทรัพย์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ยื่น เอกสารสำเนาหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี  แพทองธาร ชินวัตร, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย,นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์

หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2567 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลออกมาเพื่อขับเคลื่อนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโต หลังแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัว จากสภาพเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลง อย่างไรก็ดี ในปี 2568 ยังคงเป็นอีกปีที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับภาวะยากลำบาก ผู้ประกอบการต้องตั้งรับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว และยังคงเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนที่มีอัตราสูงขึ้น กดดันการใช้จ่ายอย่างหนักโดยเฉพาะ สินทรัพย์คงทนอย่าง “ที่อยู่อาศัย” 

ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ชเซาอย่างต่อเนื่อง โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศช.) ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว2.3 – 3.3% จากการใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่ “การ ท่องเที่ยว” เป็นเพียงเครื่องยนต์เดียวเท่านั้นที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี

ประกอบกับถึงแม้ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด 19 แต่ยังคงมีความเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูงและฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก ผม ในนามประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมซึ่งอยู่ในกลุ่มประกอบกับถึงแม้ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด 19 แต่ยังคงมีความเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูงและฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก


อิสระ บุญยัง ในนามประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมซึ่งอยู่ในกลุ่มสมาคมการค้า 6 สมาคม คือ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจ รับสร้างบ้าน สมาคมการขายและการตลาดอลังหาริมทรัพย์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงนำประเด็น ข้อเสนอมายังภาครัฐ เพื่อพิจารณาต่ออายุมาตรการอสังหาริมทรัพย์ และพิจารณาเพิ่มเติมมาตรการกระดุ่นเครษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในการช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและหยุงการจ้างงานเพิ่มเติม โดยคาดว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยให้ GOP เติบโตเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.8% ดังนี้


1. ขอพิจารณาต่ออายุมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
ในอสังหาริมทรัพย์ และค่าจดทะเบียนการจำนองจากการซื้อที่อยู่อาศัย คือ การลดอัตราค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จากอัตราร้อยละ 2 เป็น ร้อยละ 0.01 และค่าจดทะเบียนการจำนองจากอัตราร้อยละ 1เป็นร้อยละ 0.01 โดยหลักเกณฑ์มูลค่าการซื้อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 7 ล้านบาท รวมถึงสามารถใช้ได้กับการซื้อที่อยู่อาศัยทั้ง บ้านสร้างใหม่และบ้านมือสอง ซึ่งได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และขอให้พิจารณาต่ออายุจนถึงวันที่
31 ธันวาคม 2568

2.ขอพิจารณาต่ออายุมาตรการวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางผ่านธนาคารของรัฐ

3. ขอพิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2568 ลง ร้อยละ 50 เพื่อลดภาระของภาคเอกชนและภาคประชาชนในภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวไม่แข็งแรง

4. ขอพิจารณาผลักดัน ในการพิจารณาลดขนาดที่ดินของโครงการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม เพื่อสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และขนาดของครอบครัวที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมาตารการ ดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการเพื่อแก้ไขประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง เรื่องกำหนดนโยบายการ จัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม

ในการนี้กลุ่มสมาคมการค้าทั้ง 6 สมาคม จึงขออนุญาตนำเรียนประเด็นดังกล่าวข้างต้น มายังท่านเพื่อโปรดพิจารณาต่ออายุมาตรการอสังหาริมทรัพย์ และพิจารณาเพิ่มเติมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในบางมาตรการ พร้อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากท่าน ในการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบให้กับภาษธุรกิจและประชาชนในช่วงเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเปราะบาง และหากผลการพิจารณาเป็นประการใด ขอความกรุณาท่านแจ้งให้ทราบในโอกาสแรก ด้วย จักขอขอบพระคุณยิ่ง

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

อิสระ บุญยัง
ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต 
นายกสมาคมอาคารชุดไทย

นายสุนทร สถาพร
นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ 
นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย

นายโอฬาร จันทร์ภู่
นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

นายปรีชา ศุภปิติพร 
นายกสมาคมการขายและการตลาดอวังหาริมทรัพย์

ประวิทย์ อนุศิริ 
นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10 ม.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.55 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ตลาดรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.80 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10 ม.ค.2568 ที่ระดับ  34.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทจะเผชิญความผันผวนในลักษณะ Two-Way Volatility ซึ่งอาจชี้ชะตาแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาทในระยะถัดไปได้ โดยจะขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ ซึ่งจะเริ่มในช่วง 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

โดยในกรณีที่ เงินบาททยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อทดสอบโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ สอดคล้องกับสัญญาณจากกลยุทธ์ Trend-Following ที่เราได้ประเมินไว้ก่อนหน้า

แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลุดโซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน ก็อาจทำให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาท (USDTHB) จะกลับมาแกว่งตัวในลักษณะ Sideways หรือมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ได้

ในช่วงระหว่างวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจยังเป็นการทยอยขายสุทธิสินทรัพย์ไทยได้

ทั้งนี้ เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หรือยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่านั้น จะขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น ทำให้ราคาทองคำก็เสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility ด้วยเช่นกัน โดยเรามองว่า ราคาทองคำอาจมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ในกรณีที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาตามคาด หรือแย่กว่าคาดเล็กน้อย เช่น ยอดการจ้างงานฯ เพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ถึง 1.6 แสนตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวแถว 4.2% หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 4.3%

เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เพิ่มเติมบ้าง จากราว 72% ล่าสุด เป็น มากกว่า 80% ได้ กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจย่อตัวลงบ้าง หนุนทั้งราคาทองคำและค่าเงินบาท ทว่าเงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่าไปมากนัก โดยอาจะยังติดโซน 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์

แต่หากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน เช่น ยอดการจ้างงานฯ เพิ่มขึ้น เกิน 2.5 แสนตำแหน่ง อย่างที่นักวิเคราะห์ของทาง Bloomberg Economics ประเมินไว้ ส่วนอัตราการว่างงานอาจทรงตัว หรือ

เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลมากขึ้น ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 2 ครั้ง ที่ระบุไว้ใน Dot Plot ตามภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อได้

โดยอาจเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทดสอบโซนแนวต้าน 4.75% ได้ไม่ยาก กดดันราคาทองคำและค่าเงินบาทได้พอสมควร โดยในกรณีนี้ อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซน 34.75-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.80 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 34.54-34.64 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้นแถวโซน 2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงค่ำวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย (โดยเฉพาะ Michelle Bowman และ Jeffrey Schmid) ซึ่งมุมมองดังกล่าวของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็มีส่วนหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ยังคงปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับ ญี่ปุ่น กว้างมากขึ้น กดดันค่าเงินเยนญี่ปุ่นในช่วงคืนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนหลังเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวขึ้นกว่า +1.2% ในช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมน้ำมันดิบได้

แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันพฤหัสฯ เพื่อไว้อาลัยอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ทว่า หากประเมินจากการเคลื่อนไหวของสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ปรับตัวลดลงเกิน -0.5%

อาจสะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทั้งการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0  และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.42% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +1.7% รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หลังราคาน้ำมันดิบและแร่โลหะต่างปรับตัวสูงขึ้น นำโดย Rio Tinto +1.8%, Shell +1.3% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวลดลงใกล้โซน 4.64% ก่อนที่จะทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.68% หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย และบางส่วนก็มองว่า นโยบายการเงินของเฟดในปัจจุบันอาจไม่ได้อยู่ในระดับตึงตัวอย่างที่คิด อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงถูกจำกัดอยู่บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย

 ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุน

ตามการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงและแกว่งตัวเหนือโซน 158 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 109.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 109-109.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025)

สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,690 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะกลาง เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 72% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.54-34.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.23 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับน่าจะมีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่นก่อนการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในคืนนี้

อย่างไรก็ดี Sentiment ของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียและเงินหยวนยังคงอ่อนแอ เนื่องจากตลาดยังคงรอประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากแนวโน้มความตึงเครียดในประเด็นการค้าระหว่างประเทศตามแนวนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนธ.ค. รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนม.ค. 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอล ไทยแลนด์ลีก ฤดูกาล 2024-2025 วันที่ 11-12 ม.ค. 68

การแข่งขันวอลเลย์บอล ไทยแลนด์ลีก ฤดูกาล 2024-2025 ที่จะจัดระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 – วันที่ 9 มีนาคม 2568

โดยเดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 8 ซึ่งถือเป็นช่วงสัปดาห์แรกของเลกสอง จะแข่งขันกันระหว่างวันที่ 11-12 มกราคม 2568 เราไปดูกันว่าโปรแกรมการแข่งขันของทั้งทีมชาย และทีมหญิง มีอะไรกันบ้าง

โปรแกรม “มาดามหลุยส์” วอลเลย์บอลหญิง ไทยแลนด์ลีก 2024-2025

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568
เวลา 12.00 น.
แก่นนคร ม.การกีฬาแห่งชาติ วีซี พบ นครราชสีมา คิวมินซี วีซี

เวลา 15.00 น.
สุพรีม ทิพย ชลบุรี-อี.เทค พบ แฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ ราชมงคลธัญบุรี วีซี

เวลา 18.00 น.
นครปฐม เอสเอสอาร์ยู พบ ม.ขอนแก่น ขอนแก่นสตาร์

โปรแกรม “มาดามหลุยส์” วอลเลย์บอลชาย ไทยแลนด์ลีก 2024-2025

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2568
เวลา 12.00 น.
ว.นครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ พบ ประเสิรญนิกรกุล

เวลา 15.00 น.
เอโฟร์เอส เกาะกูด คาบาน่า พบ นครราชสีมา คิวมินซี วีซี

เวลา 18.00 น.
ไดมอนด์ ฟู้ด ไฟน์เซฟ สมุทรสาคร พบ พิษณุโลก วีซี

สำหรับสัปดาห์นี้จะแข่งขันกันระหว่างวันที่  11-12 มกราคม 2568 ที่ สนามกีฬานครนครปฐม จ.นครปฐม แฟนๆ สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ในราคา 100 บาท ชมได้ทุกคู่ หรีอรับชมการถ่ายทอดสดทุกนัด ผ่าน True ID รวมทั้งฟรีทีวีผ่านทางช่อง ONE31 และ GMM25

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“หลับลึก” คืออะไร เป็นแบบไหน จะรู้ได้อย่างไรว่าหลับมีคุณภาพ

การนอนหลับลึก คือช่วงเวลาสำคัญของการนอนหลับที่ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เป็นช่วงที่ร่างกายจะเข้าสู่โหมดซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง หลายคนอาจเข้าใจว่าการนอนหลับเพียงพอแค่ 7-8 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงแล้ว คุณภาพของการนอนหลับ โดยเฉพาะการนอนหลับลึกนี่แหละที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราอย่างมาก

การหลับลึกคืออะไร

ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แนะนำว่า ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ควรนอนหลับประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ร่างกายของเรามีวงจรการนอนหลับหลัก 4 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะ Non-REM 3 ระยะ
  2. ระยะ REM 1 ระยะ

สองช่วงแรกของระยะ Non-REM เกิดขึ้นขณะที่ร่างกายเริ่มเข้าสู่การหลับ ระยะ Non-REM ที่สามเรียกว่า “การนอนหลับลึก” เป็นระยะที่ยาวนานที่สุดในบรรดาระยะ Non-REM ทั้งสาม ในช่วงนี้ อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจของร่างกายจะช้าลง คลื่นสมองจะช้าและมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติแล้ว จะรู้สึกยากมากที่จะปลุกคนในระยะการนอนหลับลึก

ในช่วงการนอนหลับลึก ร่างกายจะเติมเต็มพลังงาน ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และสร้างเสริมเนื้อเยื่อและกระดูก นอกจากนี้จากการศึกษาในอดีตยังพบว่าการนอนหลับลึกช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพสมอง โดยช่วยพัฒนาและเก็บรักษาความทรงจำ เสริมสร้างความสามารถทางด้านสติปัญญา และช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทำไมการนอนหลับลึกจึงส่งผลต่อโรคสมองเสื่อม?

เนื่องจากการนอนหลับลึกมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพสมอง การนอนหลับไม่เพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง เช่น โรคสมองเสื่อม รวมถึงโรคอัลไซเมอร์

  • การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 2021 พบว่า ผู้ที่มีอายุ 50-60 ปี ที่นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีความเสี่ยงในการพัฒนาโรคสมองเสื่อมในภายหลังสูงขึ้น
  • งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายน 2021 รายงานว่า การนอนหลับลึกอาจช่วยกำจัดโปรตีนที่เป็นพิษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ ออกจากสมองได้
  • การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2023 ได้ให้หลักฐานที่บ่งชี้ว่า การนอนหลับลึกอาจช่วยป้องกันการสูญเสียความจำในผู้สูงอายุที่มีระดับเบต้า-อะมิโลิดในสมองสูง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโรคอัลไซเมอร์

Medical News Today ได้พูดคุยกับ ดร. เดวิด เมอร์ริลล์ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุและผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพสมองแปซิฟิก ณ สถาบันประสาทวิทยาแปซิฟิก ในซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย เกี่ยวกับการศึกษานี้

เขาได้กล่าวว่า การศึกษานี้มีความหมายสำคัญหลายประการ รวมถึงการสูญเสียการนอนหลับคลื่นช้า อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้สำหรับโรคสมองเสื่อม ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือโรคอัลไซเมอร์

“เรารู้ว่าอายุและพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ข่าวดีก็คือ เรากำลังค้นพบวิธีการมากมายในการปรับปรุงปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งคุณภาพการนอนหลับเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน” ดร. เมอร์ริลล์กล่าว

เมื่อถูกถามถึงวิธีการที่ผู้คนสามารถนอนหลับได้เพียงพอเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม ดร. เมอร์ริลล์กล่าวว่า ให้เน้นที่นิสัยและกลยุทธ์ด้านพฤติกรรม

การชี้แจงความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับ การแก่ และความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม

สำหรับการศึกษานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาช ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ได้ตรวจสอบข้อมูลจากผู้เข้าร่วมการศึกษา 346 คน ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งลงทะเบียนเข้าร่วมการศึกษาโรคหัวใจ Framingham Heart Study ผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้เข้ารับการตรวจสอบการนอนหลับแบบข้ามคืนสองครั้ง โดยมีระยะห่างประมาณ 5 ปี ระหว่างการตรวจสอบแต่ละครั้ง

นักวิจัยรายงานว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ปริมาณการนอนหลับลึกของผู้เข้าร่วมแต่ละคนลดลงระหว่างการตรวจสอบทั้งสองครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงการสูญเสียการนอนหลับคลื่นช้าอันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ยังได้ติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษาตั้งแต่เวลาที่เข้ารับการตรวจสอบการนอนหลับครั้งที่สองจนถึงปี 2018 เพื่อค้นหาการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม

“การตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคสมองเสื่อมเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา” ดร. แมทธิว เพซ รองศาสตราจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์จิตวิทยาและสถาบันเทอร์เนอร์เพื่อสุขภาพสมองและจิตใจ ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย และผู้เขียนอาวุโสของการศึกษานี้ กล่าวกับ Medical News Today

“เนื่องจากเราไม่มีการรักษาแบบประจักษ์ใด ๆ ที่สามารถหยุดยั้งหรือย้อนกลับโรคสมองเสื่อมได้อย่างถาวร เราจึงสนใจที่จะทำความเข้าใจวิธีการที่สามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ตั้งแต่แรกเริ่ม” เขากล่าว

“เพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลสำหรับแนวทางการป้องกันโรคสมองเสื่อม เราสนใจที่จะชี้แจงว่าการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตามอายุที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในการนอนหลับตามอายุมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมหรือไม่” เขากล่าวเสริม

การลดลงของการนอนหลับลึกเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม

จากการวิเคราะห์ข้อมูล นักวิจัยพบผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด 52 ราย แม้ว่าจะได้ปรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงอายุ เพศ และการใช้ยานอนหลับแล้ว นักวิจัยก็พบว่า การลดลงของการนอนหลับลึกในแต่ละเปอร์เซ็นต์ในแต่ละปีมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อมถึง 27%

คำอธิบายเพิ่มเติม:

  • การลดลงของการนอนหลับลึก: หมายถึงการที่เราสามารถนอนหลับลึกได้น้อยลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเสื่อมของสมอง
  • ความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม: หมายถึงโอกาสที่เราจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ความจำและสติปัญญาเสื่อม
  • การปรับปัจจัยต่างๆ: หมายถึงการนำปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น อายุ เพศ และการใช้ยา มาพิจารณา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Phrasal Verbs Get ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง?

การใช้ Phrasal Verbs “Get”

เรียนภาษาอังกฤษ Phrasal Verbs GET ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง? พร้อมตัวอย่างประโยค

Phrasal Verbs

Phrasal Verbs หรือ Two word verb คือ กริยาวลี เป็นการนำกริยามารวมกับ adverb, preposition หรือทั้งสองคำ แล้วทำให้ความหมายของคำกริยาเปลี่ยนไปจากเดิม มาทำความเข้าใจหลักการใช้ Phrasal Verbs กันค่ะ

กริยาวลี (Phrasal Verbs) คือ กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำกริยาตามด้วย adverb, preposition หรือทั้งสองคำบุพ แล้วมีความหมายใหม่ ที่แปลตรงตัวไม่ได้

เช่น see off หมายถึง ไปส่ง (เช่น ที่สนามบิน)
มาจาก see เป็นกริยา แปลว่า เห็น
รวมกับ off ที่เป็นบุพบท แปลว่า ออกจาก

หลักการใช้ Phrasal Verbs

หลักการใช้ Phrasal Verbs แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1. Separable verbs

คือ กริยาวลีที่สามารถแยก verb กับ preposition ได้ มักเป็นกริยาวลีที่ต้องการกรรม

2. Inseparable Verbs

คือ กริยาวลีที่ถ้ามีกรรมมารับจะไม่สามารถแยก verb กับ preposition จากกันได้ โดยกรรมจะวางไว้หลังกริยาวลีเสมอ

การใช้ Phrasal Verbs GET ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง?

phrasal verbs ของ Get มีมากมายหลายคำมากและแต่ละคำอาจจะมีได้หลายความหมาย วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จะเน้นเรื่องการใช้ Phrasal Verbs get ที่เรามักเจอบ่อยๆ ในข้อสอบและใช้กันทั่วไป เราไปดู phrasal verbs get ในความหมายต่างๆ พร้อมกับตัวอย่างประโยคและคำแปลกันเลย

Get (something) across/over (to someone) แปลว่า สื่อสารไปถึง, สื่อสารให้เข้าใจ

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • I’m not sure how to get my point across to you.
    ฉันไม่แน่ใจว่าจะยกประเด็นของฉันมาอธิบายกับคุณอย่างไรดี
  • The message is finally getting across to the public.
    ในที่สุดข้อความก็เริ่มแพร่กระจายสู่สาธารณะ

Get along/on (with) แปลว่า เข้ากันได้ดี

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • Emily cannot get along with her boyfriend.
    เอมิลี่ไปกันไม่ได้กับแฟนของเธอ (เข้ากันไม่ได้)
  • My grandparents have been married for over 50 years and they still get along!
    คุณตาคุณยาย(หรือคุณปู่คุณย่า)ของฉันได้แต่งงานมานานกว่า 50 ปีแล้วและพวกเขายังคงเข้ากันได้ดี(ยังคงรักกันดี)

**หมายเหตุ : get along with ใช้กันมากในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ส่วน get on with ใช้กันมากในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ แต่จะเลือกใช้แบบไหนก็ไม่ผิด

Get around แปลว่า ไปไหนมาไหน, เคลื่อนไปรอบๆ ตัว

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • Anna get around by bicycle, but her brother gets around on foot.
    อันนาไปไหนมาไหนด้วยรถจักรยาน แต่พี่ชายของเธอไปมาด้วยการเดิน
  • You can use my car to get around while you’re here.
    เธอสามารถใช้รถของฉันไปไหนมาไหนระหว่างที่เธออยู่ที่นี่ได้นะ

Get around to (something) แปลว่า ท้ายที่สุดก็ได้ทำบางสิ่งบางอย่าง, ต้องพยายามทำบางสิ่งบางอย่าง

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • I finally got around to doing my homework. I didn’t do it for several days.
    ในที่สุดฉันก็ได้ทำการบ้านเสียที ฉันไม่ได้ทำมันมาตั้งหลายวันแล้ว
  • It always takes me ages to get around to replying to letters.
    ฉันมักต้องใช้เวลามากมายในการพยายามตอบจดหมายพวกนี้

Get away (from) แปลว่า ปลีกตัว (ไปพักผ่อน)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • We love to get away from everything and relax in the country.
    เราชอบที่จะหนีจากทุกสิ่งและไปผ่อนคลายในชนบท
  • We’re hoping to get away for a few days and have a nice getaway.
    เราหวังว่าจะได้หลบไปพักผ่อนสักสองสามวันและมีที่พักผ่อนดีๆ

หมายเหตุ : getaway ที่เขียนติดกันใช้เป็นคำนามหมายถึงแผนการพักผ่อนวันหยุด หรือ สถานที่พักผ่อนวันหยุด ก็ได้นะคะ อย่างเช่น Hawii is a nice getaway in winter.

Get away with (something) แปลว่า ทำบางสิ่งสำเร็จโดยหลบเลี่ยงความผิด เช่น โกงข้อสอบ, ขโมย

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • The students didn’t get away with cheating in the exam. They were caught.
    นักเรียนโกงการสอบไม่สำเร็จ พวกเขาถูกจับได้เสียก่อน
  • The bank robbers got away with robbing the bank. The police never found them.
    โจรปล้นธนาคารและหลบหนีไปได้ ตำรวจไม่พบร่องรอยของพวกเค้าเลย

Get back แปลว่า กลับบ้าน, กลับมา

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • What time did you get back last night?
    เมื่อคืนเธอกลับบ้านกี่โมง?
  • The train was held up so we didn’t get back home until midnight.
    รถไฟเสียเวลาเราจึงกลับบ้านไม่ได้จนถึงเที่ยงคืน

Get back into (something) แปลว่า ย้อนกลับไปทำงานเดิม หรือ งานที่ผัดผ่อนเอาไว้

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • I’ll get back to work as soon as I’ve finished this game.
    ฉันจะกลับไปทำงานทันทีที่จบเกมส์นี้
  • We’ve talked enough about this issue, so let’s get back to the main topic of the meeting.
    เราพูดกันมากพอแล้วเกี่ยวกับปัญหานี้ ดังนั้นเรากลับมาที่หัวข้อหลักของการประชุมกันเถอะ

Get between แปลว่า เป็นคนกลาง, เข้าไปอยู่ระหว่างของสองสิ่ง

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • The dog got between the archer and the target.
    สุนัขเข้าไปอยู่ระหว่างนักยิงธนูกับเป้าหมาย
  • The teacher got between Sutee and Sombat to stop them from fighting.
    คุณครูเข้าไปขวางสุธีกับสมบัติเพื่อหยุดยั้งการต่อสู้
  • I hope you won’t let these stupid rumors get between us.
    ฉันหวังว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ข่าวลือโง่ๆ เหล่านี้มาขวางกั้นระหว่างพวกเรา

Get down to (something) แปลว่า เริ่มเอาจริงเอาจังกับบางสิ่งบางอย่าง

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • Dinner is finished and now it’s time to get down to business.
    รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาทำธุรกิจการงานอย่างจริงจังเสียที
  • Read the text all the way through before you get down to translating it.
    อ่านเนื้อหาทั้งหมดโดยตลอดก่อนที่คุณจะลงมือแปลอย่างจริงจัง

Get by แปลว่า มีพอเพียงที่จะอยู่รอดได้ (มักใช้เกี่ยวกับเรื่องการเงิน)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • I have enough money to get by until next week.
    ฉันมีเงินพออยู่ได้ถึงอาทิตย์หน้า
  • I can get by with little money.
    ฉันสามารถอยู่ได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย

Get in (a car, a taxi, a van, etc.) แปลว่า ขึ้นพาหนะขนาดเล็ก (พาหนะที่เราไม่สามารถขึ้นไปยืนหรือเดินภายในนั้นได้)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • We opened the door of the taxi and got in the back seat.
    เราเปิดประตูรถแท็กซี่แล้วขึ้นไปนั่งเบาะหลัง
  • Get in the car—I’ll tell you what happened on the way.
    ขึ้นรถสิ ฉันจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง

Get on (a bus, a train, an airplane, a bike, a horse, etc.) แปลว่า ขึ้นพาหนะขนาดใหญ่ (พาหนะที่เราสามารถขึ้นไปยืนหรือเดินภายในได้ หรือ ขึ้นขี่พาหนะเช่น มอเตอร์ไซต์, จักรยาน, ม้า, เป็นต้น)

ตัวอย่างประโยค เช่น
How did he manage to get on the wrong plane.
เขาจัดการอย่างไรถึงได้ขึ้นเครื่องบินผิด
Lisa helped an old lady get on the bus today.
วันนี้ลิซ่าได้ช่วยหญิงชราขึ้นรถโดยสาร

Get in/into (a place, city or something) แปลว่า เข้า (เมือง สถานที่ ฯลฯ)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • When did you get in? I didn’t even hear the door open.
    คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงเปิดประตูเลย
  • Mark did well and got into the University of Western Australia.
    มาร์คทำได้ดี และได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย

Get away with (something) แปลว่า ทำบางสิ่งสำเร็จโดยหลบเลี่ยงความผิด เช่น โกงข้อสอบ, ขโมย

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • The students didn’t get away with cheating in the exam. They were caught.
    นักเรียนโกงการสอบไม่สำเร็จ พวกเขาถูกจับได้เสียก่อน
  • The bank robbers got away with robbing the bank. The police never found them.
    โจรปล้นธนาคารและหลบหนีไปได้ ตำรวจไม่พบร่องรอยของพวกเค้าเลย

Get off (someone or something) แปลว่า เอาออกไป (มักใช้กับอะไรที่อยู่บนสิ่งต่างๆ)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • Hey, get your feet off the table!
    เฮ้ เอาเท้าของเธอออกไปจากโต๊ะซะ
  • Can you get your stuff off my bed?
    เธอจะเอาข้าวของของเธอออกไปจากเตียงนอนชั้นได้มั๊ย

Get off แปลว่า พ้นโทษโดยได้รับโทษเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้รับโทษใดๆเลย

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • His lawyer got him off, although we all knew he was guilty.
    ทนายความช่วยให้เขาพ้นโทษแม้ว่าเราทุกคนรู้ว่าเขามีความผิด
  • I can’t believe that known criminal got off with such a light sentence.
    ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าอาชญากรที่รู้กันอยู่ชัดๆจะหลุดพ้นด้วยคำพิพากษาที่เบามาก

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


‘ซิสโก้’ ผ่า 6 เทรนด์ดิจิทัล ขับเคลื่อนภูมิทัศน์ธุรกิจปี 2568

  • ปัจจุบัน AI อาจมีความสำคัญเหนือกว่าคลาวด์ หรืออินเทอร์เน็ตในฐานะ “ตัวพลิกโฉมเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลง
  • การใช้ประโยชน์จาก AI นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
  • ธุรกิจมีโจทย์หินที่ต้องรับมือเรื่องช่องว่างด้านทักษะ ความยั่งยืน และความปลอดภัย
  • ความท้าทายหลักๆ ที่ไม่อาจก้าวข้ามยังคงเป็นเรื่อง “ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน” 
  • เมื่อ AI เข้าถึงได้ง่ายและแพร่หลายมากขึ้น “การควบคุม” และ “การกำกับดูแลข้อมูล” จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ

ปีที่ผ่านมาภูมิทัศน์ทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ…

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย แสดงทัศนะว่า หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การมี AI แบบสร้างสรรค์ หรือ Generative AI ในโลกธุรกิจและใช้ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์

ด้วยผลกระทบในวงกว้างในปัจจุบัน AI อาจมีความสำคัญเหนือกว่าคลาวด์ หรืออินเทอร์เน็ตในฐานะ “ตัวพลิกโฉมเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่ธุรกิจจะรับมือกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่องว่างด้านทักษะ ความยั่งยืน และความปลอดภัย

อุปสรรคที่ไม่คาดคิดของ AI

ซิสโก้ คาดการณ์ “6 แนวโน้ม” ทางเทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งจะกำหนดภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยในปี 2568 ประกอบด้วย

1. AI ยังคงมีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ แต่การนำมาใช้งานจริงกลับพบอุปสรรคที่ไม่คาดคิด: เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ AI กลายเป็นประเด็นหลักในโลกธุรกิจ แรงกดดันในการนำ AI มาใช้งานยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

ทุกบริษัทที่ร่วมผลการสำรวจความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้เมื่อปี 2567 รายงานว่า มีความเร่งด่วนในการนำโซลูชัน AI มาใช้เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา

เมื่อองค์กรต่างๆ เริ่มนำ AI มาใช้ พวกเขาก็ตระหนักว่าการใช้ประโยชน์จาก AI นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มีเพียง 21% ของบริษัทในไทยที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI

นอกจากนี้ เริ่มปรากฏชัดว่าต้องใช้อะไรบ้างจึงจะประสบความสำเร็จ แม้ว่า AI จะเป็นการลงทุนที่มีความสำคัญ แต่หลายบริษัทกำลังพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้

ด้านความท้าทาย หลักๆ ยังคงเป็นเรื่อง “ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน”ซึ่งมีช่องว่างในด้านการประมวลผล เครือข่ายศูนย์ข้อมูล และความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงด้านอื่นๆ

โดยมีเพียง 33% ของบริษัททั้งหมดที่มี GPU ที่รองรับความต้องการด้าน AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และน้อยกว่าครึ่ง (47%) ที่มีความสามารถในการปกป้องข้อมูลในโมเดล AI ด้วยการเข้ารหัสแบบ end-to-end รวมถึงการตรวจสอบความปลอดภัย การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบทันที

ท้าทาย ‘การกำกับดูแล’

2. เมื่อ AI เข้าถึงได้ง่ายและแพร่หลายมากขึ้น “การควบคุม และ “การกำกับดูแลข้อมูล” จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ: เมื่อ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น ประเด็นการถกเถียงจะมุ่งเน้นไปที่การใช้งานอย่างรับผิดชอบ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ การคุ้มครองข้อมูล กฎหมาย anti-discrimination และมาตรฐานคุณภาพของ AI

ดังนั้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดมาตรฐานและกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรมและเพิ่มความปลอดภัยของ AI 

แน่นอนว่าผู้นำธุรกิจจะต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการนำกรอบการทำงานมาใช้เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบของระบบ AI และจัดการกับปัญหาด้านจริยธรรม รวมถึงข้อมูลบิดเบือนที่เกิดจากการใช้ AI 

องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องนำกรอบการทำงานด้าน AI ที่มีรับผิดชอบมาใช้ ทำการประเมินความเป็นส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงพัฒนาและนำแผนการจัดการเหตุการณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้ AI อย่างรอบคอบ พร้อมรับมือแรงกดดันที่สอดคล้องไปกับกฎหมายหรือข้อกำหนดของแต่ละท้องถิ่นมากขึ้น

เปลี่ยนโฉม ‘ความปลอดภัย’

3. ความปลอดภัยทางไซเบอร์ยกระดับสู่การทำงานด้วย “ระบบอัตโนมัติ” ขณะที่เครือข่ายจะทำหน้าที่ทั้งเชื่อมต่อและปกป้องทุกสิ่ง:

เครือข่ายจะไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อการเชื่อมต่ออีกต่อไป เมื่อมีอุปกรณ์และบริการเชื่อมต่อมากขึ้น ความเสี่ยงและความซับซ้อนของการโจมตีจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เครือข่ายจะกลายเป็นเสาหลักสำคัญในการจัดการเวิร์คโหลด และทำหน้าที่เป็นทั้งด่านแรกและด่านสุดท้ายในการป้องกันความปลอดภัย และจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อการโจมตีใช้วิธีการเคลื่อนที่แบบแนวราบ (lateral movement attacks) ที่เข้าถึงจุดเดียวเพื่อแทรกซึมเข้าสู่ส่วนที่เหลือของเครือข่ายและเจาะลึกเข้าไปในระบบขององค์กร

AI จะเปลี่ยนโฉมความปลอดภัย โดยช่วยทีมรักษาความปลอดภัยจัดการเครื่องมือง่ายขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และการตัดสินใจของมนุษย์ให้แม่นยำมากขึ้น และทำให้ขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนเป็นแบบอัตโนมัติ

อย่างไรก็ดี ขอบเขตใหม่ของความปลอดภัยไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีโคซิสเต็มของพันธมิตรและเวนเดอร์ด้วย

เติมพลังเส้นทาง ‘ความยั่งยืน’

4. บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการรักษาสมดุลระหว่าง “ความยั่งยืน และการเติบโต” ในยุคที่ขับเคลื่อนด้วย AI:

การแข่งขันด้าน AI จะยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ระดับการใช้พลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอนในทุกระดับ

ในโลกที่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และการลดการปล่อยคาร์บอนมีความสำคัญมาก บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องหาโซลูชันที่สร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านความยั่งยืนกับโอกาสการเติบโตจาก AI

กำหนดอนาคต ‘แรงงาน’

5. มนุษย์และ AI จะอยู่ร่วมกันในแรงงานยุคต่อไป: อนาคตของการทำงานจะไม่ใช่การเลือกระหว่างมนุษย์หรือเครื่องจักรเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง

AI จะพัฒนาจากการเป็นเพียงผู้สนับสนุนงาน สู่การเป็น “ส่วนสำคัญของแรงงานในอนาคต” ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะในอุตสาหกรรมต่างๆ

ซิสโก้พบว่า พนักงานที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ในการทำงานจะมีผลงานที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ AI ทั้งในด้าน คุณภาพของงาน ผลผลิต และประสิทธิภาพ การมีทักษะที่เหมาะสมในการใช้ประโยชน์จาก AI จะมีความสำคัญ และพนักงานทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะของตนเองเพื่อเท่าทันยุคสมัย

‘ความไว้วางใจ’ องค์ประกอบสำคัญ

6. องค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต้องอาศัยการสร้าง “คุณค่าขององค์กร” ควบคู่ไปกับการสร้าง “ความไว้วางใจ”:

การกลับมาทำงานที่บริษัทควรเป็นแรงดึงดูด ไม่ใช่ข้อบังคับ เมื่อมองภาพอนาคตของการทำงาน จะเป็นการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งบทบาทในการทำงานจะพัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และผู้คนจะแสวงหาความยืดหยุ่นในการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ

ทั้งนี้ “ความไว้วางใจ” เป็นองค์ประกอบสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการ นายจ้างต้องไว้วางใจว่าพวกเขาได้จ้างคนที่เหมาะสมสำหรับบทบาทที่เหมาะสม และพนักงานจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในทำนองเดียวกัน พนักงานต้องไว้วางใจว่าความพยายามของพวกเขาจะได้รับการยอมรับ พร้อมโอกาสในการเติบโตและพัฒนา

ความไว้วางใจจะกลายเป็นความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทน องค์กรที่สร้างและรักษาความไว้วางใจนี้ไว้ได้ จะมีประสิทธิภาพและผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ชา 6 ชนิดสรรพคุณเยี่ยม แก้ไอ เจ็บคอ หวัด คัดจมูกครบวงจร

ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือช่วงที่ต้องเจอฝุ่นละอองมาก ๆ อาการเจ็บคอ เป็นหวัด คัดจมูก และอาการไอมักจะตามมาทันที แต่บางครั้งการทานยาอาจไม่ใช่ทางเลือกแรกที่หลายคนต้องการ แบบนี้แล้วสาว ๆ ลองหันมาดื่มชาอุ่น 6 ชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ดูกันไหมคะ? ซึ่งชาแต่ละชนิดไม่เพียงแค่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ยังมีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการเจ็บคอและหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยชาทั้ง 6 ชนิดที่ควรลองดื่ม เมื่อรู้สึกไม่สบายตัวจากอาการเหล่านี้ คือ

1.ชาเปปเปอร์มินต์

ชาเปปเปอร์มินต์เป็นหนึ่งในชาอันดับต้น ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและไอได้อย่างดีเยี่ยม เปปเปอร์มินต์มีสารเมนทอลที่ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้นและช่วยลดการอักเสบที่คอ นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาอาการไอที่เกิดจากเสมหะได้เป็นอย่างดี หากคุณรู้สึกคัดจมูกหรือเจ็บคอ การดื่มชาเปปเปอร์มินต์จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

2.ชาขิง

ชาขิงไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น แต่ยังเป็นตัวช่วยในการบรรเทาอาการหวัดและเจ็บคอได้ดีมาก โดยขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ชาขิงจึงช่วยลดอาการเจ็บคอและช่วยบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี การดื่มชาขิงร้อน ๆ จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นอีกด้วยค่ะ

3.ชามะนาวผสมน้ำผึ้ง

ชาแบบง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ ชามะนาวผสมน้ำผึ้ง ซึ่งมีทั้งรสชาติที่สดชื่นและยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้เป็นอย่างดี มะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนน้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการทำให้คอชุ่มชื้นและบรรเทาอาการไอได้ดี หากดื่มชามะนาวผสมน้ำผึ้งบ่อย ๆ จะช่วยลดอาการเจ็บคอและไอ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ชาโสม

ชาโสมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยแก้หวัดและอาการเจ็บคอได้ โสมมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ชาโสมสามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากการเป็นหวัด และยังช่วยบรรเทาอาการไอที่เกิดจากการอักเสบในทางเดินหายใจ การดื่มชาโสมจึงช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากอาการเจ็บป่วย

5.ชาใบกระเพรา

หลายคนอาจไม่รู้ว่าชาใบกระเพราก็มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการหวัดและไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใบกระเพรามีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และยังช่วยบรรเทาอาการไอที่เกิดจากเสมหะ ชาใบกระเพราจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและลดการอักเสบในคอได้เป็นอย่างดี ดื่มแบบอุ่น ๆ จะช่วยให้ร่างกายของสาว ๆ อบอุ่นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

6.ชาดอกคาโมมายล์

ชาอีกชนิดที่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการเจ็บคอและหวัดได้ดี คือ ชาดอกคาโมมายล์ มีคุณสมบัติในการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและบรรเทาอาการอักเสบในทางเดินหายใจ การดื่มชาคาโมมายล์ช่วยลดอาการคัดจมูกและทำให้อาการไม่สบายคอรู้สึกดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยให้หลับสบายขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นการฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่ป่วยได้เป็นอย่างดี

การดื่มชาเป็นทางเลือกที่ดีในการบรรเทาอาการเจ็บคอ การเป็นหวัด คัดจมูก และอาการไอ โดยไม่ต้องพึ่งพายามากนัก  โดยชาสมึนไพรธรรมชาติที่ได้แนะนำไว้ทั้ง 6 ชนิด ล้วนมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อรู้สึกไม่สบายตัว ลองเลือกชาชนิดใดชนิดหนึ่งมาดื่มดู รับรองว่าอาการของคุณผู้หญิงจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,650.0043,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,827.0042,857.3244,250.00
ทองรูปพรรณ 90%2,544.3038,571.59n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,261.6034,285.86n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,272.0019,283.52n/a
ทองรูปพรรณ 40%989.0014,993.24n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,930.0044,418.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/01/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.9535.9536.4535.9535.9535.9535.9535.9535.9535.95
แก๊สโซฮอล์ 9135.5835.5836.0835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.58
แก๊สโซฮอล์ E2033.8433.8434.3433.8433.8433.8433.8433.8433.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.5449.8449.8449.8444.54
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า