สาระน่ารู้ประจำวันที่ 06 มีนาคม 2568

ราคาที่ดินใจกลางกรุงสูงทะลุเพดาน! โจทย์ใหญ่ดีเวลลอปเปอร์

ราคาที่ดินใจกลางกรุงยังคงปรับตัวสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลใจกลางเมือง สุขุมวิท สาทร เป็นที่จับตามองของดีเวลลอปเปอร์ที่มองเห็น ”โอกาส” ในการพัฒนาโครงการ

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มการซื้อขายที่ดินในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ว่า แม้ว่าราคาที่ดินจะสูงขึ้นทุกปี แต่ยังคงมีดีเวลลอปเปอร์จำนวนมากที่มองเห็น”โอกาส”ในการพัฒนาที่ดินเหล่านี้ เนื่องจากทำเลเหล่านี้ยังคงมีศักยภาพในการทำกำไรสูงในระยะยาว แม้จะต้องใช้เวลาในการพิจารณาการตัดสินใจซื้อขาย

ในปีที่ผ่านมา เราเห็นการซื้อขายที่ดินหลายแปลงในพื้นที่สำคัญเช่น ถนนสารสิน ที่บริษัท แสนสิริ เข้าซื้อที่ดินในราคา 3.9 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งถือเป็นดีลการซื้อที่ดินที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย นอกจากนี้ยังมีการซื้อที่ดินที่ติดถนน รัชดาภิเษก โดย AIA ที่มีราคาตารางวาละ 1.1 ล้านบาท แม้จะมีราคาสูง แต่กลุ่มนักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคงมองเห็นโอกาสในระยะยาว

แม้ว่าในภาพรวมของมูลค่าการซื้อขายที่ดินทั่วประเทศจะลดลงถึง 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ราคาที่ดินในย่าน ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ยังมีการเสนอขายในราคาที่สูงถึง4 ล้านบาทต่อตารางวา !ซึ่งบ่งบอกถึงความต้องการที่ยังคงมีอยู่ในทำเลเหล่านี้ เนื่องจากที่ดินในพื้นที่เหล่านี้ยังคงมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต โดยเฉพาะในย่าน สีลม สาทร และ สุขุมวิท ที่มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินสูงมาก!

ทำไมที่ดินในทำเลใจกลางเมืองถึงมีราคาแพง?

คำตอบคือ “ทำเลทอง” นั่นเอง ที่ดินในพื้นที่ CBD เป็นที่ต้องการสูงจากทั้งผู้พัฒนาอสังหาฯ และนักลงทุน เนื่องจากความสะดวกในการเดินทาง การเข้าถึงแหล่งธุรกิจ และความเป็นที่นิยมของผู้พักอาศัยในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะทำให้โครงการที่พัฒนาขึ้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระยะยาว แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงในช่วงเริ่มต้น
 การปรับราคาที่ดินในปีที่ผ่านมาอาจดูเหมือนเป็นการพุ่งสูงขึ้นจนเกินไปสำหรับผู้ซื้อบางราย แต่สำหรับผู้พัฒนารายใหญ่ที่มองภาพระยะยาวแล้ว ราคานี้ยังคงถือว่าเป็นการลงทุนที่”คุ้มค่า” การพัฒนาโครงการในทำเลนี้ยังคงมีความ”เสี่ยงต่ำ”ในแง่ของผลตอบแทนจากการขายหรือการเช่าในอนาคต

ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ราคาซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปีนี้ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ราคาที่ดินในปี 2567 ย่านวิทยุ-เพลินจิต-ชิดลม อยู่ในช่วง 3-4 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะที่ สุขุมวิทตอนต้น มีราคาตารางวาละ 2.5-2.9 ล้านบาท และ สีลม-สาทร ในช่วง 2-2.5 ล้านบาทต่อตารางวา

หลายคนมีคำถามว่า จะมีการปรับราคาที่ดินสูงขึ้นอีกหรือไม่? คำตอบคือ “คงสูงต่อเนื่อง” เนื่องจากที่ดินใน CBD ยังมีการเสนอขายที่ราคาสูง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าคอนโดมิเนียมหรือโครงการอสังหาฯ อื่นๆ ที่จะมีราคาสูงตามไปด้วย ทำให้ผู้พัฒนาอาจต้องหาทางเลือกในการจัดการต้นทุนและเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้จากที่ดิน เช่น การปรับใช้โมเดล เช่าหรือร่วมลงทุน (JV) แทนการขายกรรมสิทธิ์เพื่อรักษาผลตอบแทนจากการลงทุน

ในปี 2567 ราคาที่ดินในกรุงเทพมหานครยังคงสูงและน่าจับตามองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว การลงทุนในที่ดินยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มองเห็นโอกาสในระยะยาว แต่การปรับตัวของราคาที่ดินที่สูงเกินไปอาจสร้างความท้าทายให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม

สำหรับราคาที่ดินในปี 2568 คาดการณ์ว่า ราคาเสนอขายที่ดินในพื้นที่ CBD ในกรุงเทพมหานครยังคงมีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่ดินหากมีการปรับแล้วจะปรับแบบยกแผง เป็นประเด็นที่ค่อนข้างน่าจับตามองอย่างใกล้ชิดเนื่องจาก หากราคาที่ดินยังคงมีการปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีที่สิ้นสุด

นั้นย่อมหมายความว่า ผู้พัฒนาก็ยังคงต้องแบกรับกับปัญหาต้นทุนที่ค่อนข้างสูงซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาของสินค้าที่แน่นอนว่าต้องมีการปรับตัวสูงขึ้นและผู้บริโภคต้องเจอกับราคาของสินค้าที่ราคาสูงเกินว่าจะที่ซื้อหาได้

“เราจะเห็นว่าราคาเสนอขายที่ดินในหลายทำเลราคาค่อนข้างสูง ซึ่งที่ดินหลายแปลงแม้ว่าจะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูงแต่ก็ยังไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เนื่องจากผู้ซื้อมองว่าราคาเสนอขายค่อนข้างสูง จึงต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลและตัดสินใจค่อนข้างนาน”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บิวท์ ทู บิวด์ ดึงผู้รับเหมาเสริมทัพแก้ส่งมอบช้าโกยยอดพันล้าน

บิวท์ ทู บิวด์ หลังเผชิญปัญหาส่งมอบงานล่าช้า 1-6 เดือน เหตุงานล้นมือ!รับผู้รับเหมาจากค่าย ศุภาลัย แลนด์แอนด์เฮาส์ เอสซี เอสซีจี เสริมทีมตั้งเป้าโกยยอดปี68‘พันล้าน’

สุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจยังไม่ดี ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง และความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่องมาจากปี 2567 แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะปรับดีขึ้นกว่าปีก่อน แม้กระนั้นเพื่อความไม่ประมาททางบริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือ 1,000 ล้านบาทมีจำนวน 180-170 หลัง จากปีก่อนที่มียอดขาย900ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องการควบคุมมาตรฐานการก่อสร้างบ้านให้ดีที่สุดเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ “บิวท์ ทู บิวด์” ซึ่งช่วง  2 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านกับบริษัทเป็นจำนวนถึง 250 หลัง ในปี 2566 มีรายได้ 1,200 ล้านบาท และ 200 หลัง ในปี 2567 จนทำให้งานก่อสร้างล่าช้ากว่าที่กำหนดเริ่มตั้งแต่ 1-6 เดือน เพราะสร้างไม่ทันกับกำหนดระยะเวลาตามสัญญาของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ

“แม้ที่ผ่านมาจะรับกลุ่มผู้รับเหมากก่อสร้างรายย่อยกว่า 10 ทีม ที่เคยทำงานกับอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง แสนสิริ ศุภาลัย แลนด์แอนด์เฮาส์ เอสซี แอทเสท สัมมากร และ เอสซีจี เข้ามาช่วยสร้างบ้านให้กับลูกค้าก็ตาม เพราะงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ลดลง จึงหันมารับงานสร้างบ้าน ซึ่งเป็นสัญญาชั่วคราว ถ้าเศรษฐกิจดี ก็คงกลับไปรับเหมาโครงการเหมือนเดิม”

จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ลงเหลือ 1,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อและมีที่ดินอยู่แล้ว จึงต้องการบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความน่าเชื่อถือเข้าไปสร้างบ้าน ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปากในเรื่องคุณภาพและบริการที่คุ้มค่ามากกว่าเรื่องราคา ดังนั้นจึงต้องรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์เอาไว้ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

“การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดขายในครั้งนั้น ทำให้กลุ่มประสบปัญหาขาดแคลนทีมงานก่อสร้าง ทำให้เผชิญกับภาระงานล้นมือเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้การก่อสร้างและส่งมอบงานล่าช้าไป 1-6 เดือน กระทบลูกค้ากว่า 40% จนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ถึงส่งมอบเสร็จเรียบร้อย แต่ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ 1,100 ล้านบาท เป็นผลมาจากการชะลอตัวของตลาดในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ผ่านมา”

ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้มาจาก บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป หรือ ราคาเฉลี่ย 25,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 20% บริษัท บางกอกเฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด รับสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ย 22,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 30% และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด รับสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 18,000 บาทบาทต่อตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน50%

“ในช่วงโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาหาผู้สร้างบ้านที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง มีชื่อเสียง ความรับผิดชอบ และความน่าเชื่อถือ เนื่องจากขาดความมั่นใจในผู้รับเหมารายย่อยที่อาจทิ้งงานกลางคันในช่วงวิกฤติถือเป็นข้อได้เปรียบของ บิวท์ ทู บิวด์”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6มี.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.59 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจไม่อ่อนค่ารุนแรงมากนัก ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นได้ หรือ อย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6มี.ค.2568 ที่ระดับ  33.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.68 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways

และยังไม่สามารถกลับไปอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลประเด็นสงครามการค้า จากการที่ทางการสหรัฐฯ อาจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าบางรายงานจากเม็กซิโกและแคนาดา

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทก็เสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลงได้ทุกเมื่อ หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในเดือนมีนาคมนี้ ต้องจับตาท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรปหรือไม่

 เนื่องจากในช่วงนี้ เงินยูโร (EUR) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นพอสมควร ตอบรับความหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่เยอรมนี รวมถึงการปรับสถานะ Short EUR (มองเงินยูโรอ่อนค่าลง) ของผู้เล่นในตลาด ทำให้เงินยูโรก็เสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากเผชิญปัจจัยกดดันเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า แม้เงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากประเด็นนโยบายกีดกันทางการค้า แต่การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่รุนแรงมากนัก ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นได้ หรือ อย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways แต่หากมีปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก เข้าสู่ช่วงการปรับฐานอีกครั้ง ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้นำเข้า และโฟลว์ธุรกรรมน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้ ทำให้เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแถว 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.80 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์)

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.57-33.73 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์

หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน โดยยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นเพียง 7.7 หมื่นตำแหน่ง น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก

ขณะที่ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 จุด (ดัชนี เกิน 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัว) ดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก

อาทิ เงินยูโร (EUR) ที่ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ส่วนเงินเปโซของเม็กซิโก (MXN) และเงินแคนาดาดอลลาร์ (CAD) ก็แข็งค่าขึ้น หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลื่อนเวลาการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าบางรายการ อาทิ สินค้ากลุ่มยานยนต์ จากเม็กซิโกและแคนดา เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง USMCA

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความเสี่ยงสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อาจเลื่อนเวลาการเก็บภาษีนำเข้า สินค้ากลุ่มยานยนต์จากเม็กซิโกและแคนาดา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft +3.2% และ Tesla +2.6% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.12%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.91% หนุนโดย การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มการบินและอุตสาหกรรมทหาร ท่ามกลางความหวังว่า รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจะแก้ไขกฎเกณฑ์การกู้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร

เช่นเดียวกับบรรดาประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่ม NATO ที่อาจเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดลดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 75% ได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นและทรงตัวเหนือระดับ 4.30% ได้

สอดคล้องกับมุมมองของเราว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสทยอยปรับตัวขึ้นได้บ้าง และคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็ทยอยคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าลงบ้าง หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าบางรายการ

เช่น กลุ่มยานยนต์ จากเม็กซิโกและแคนาดา นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวลง สู่โซน 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-105.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) จะเผชิญแรงกดดันบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อีกทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาทองคำก็ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำยังคงสามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,920-2,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ท่ามกลางความเสี่ยงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

จะทำให้ ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) เพิ่มเติมอีก 25bps สู่ระดับ 2.50% และมีโอกาสที่ ECB จะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยต่อได้จนถึงระดับ 2.00% หรืออาจต่ำกว่า หากจำเป็น

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการส่งออก (Exports) รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ที่อาจยังคงสามารถขยายตัวได้ราว +6% ต่อปี

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims)

ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากผลกระทบของการปรับลดการจ้างงานของรัฐบาลสหรัฐฯ โดย DOGE นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.60-33.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเล็กน้อยตามภาพรวมของสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ เพราะเงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทในระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างจำกัด และตลาดยังคงติดตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า (รวมถึงฝั่งเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ที่ปธน. ทรัมป์กล่าวว่า มีภาษีศุลกากรไม่ยุติธรรมกับสินค้าสหรัฐฯ) อย่างใกล้ชิด และยังคงรอปัจจัยใหม่ ๆ มากระตุ้น โดยอาจจะเป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมายังมีภาพปะปน (ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด แต่ดัชนี ISM ภาคบริการและยอดสั่งซื้อภาคโรงงานออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด) 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.50-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ในตลาดการเงินไทย ผลการประชุม ECB และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เรื่องนี้เอาจริง! ONE ลงโทษแบน “เคียมรัน” และ “เฟอร์รารี” ตรวจพบสารต้องห้าม

ONE ประกาศแบน “เคียมรัน นาบาติ” นักสู้ชาวรัสเซีย และ “เฟอร์รารี แฟร์เท็กซ์” นักชกชาวไทย จากการแข่งขัน หลังทั้งคู่ถูกตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ “เคียมรัน” ชนะ “เฟอร์รารี” เป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

“เคียมรัน” และ “เฟอร์รารี” โคจรมาปะทะกันในฐานะคู่เอกภาคอินเตอร์ ของศึก ONE ลุมพินี 95 เมื่อ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเกมการชกในวันนั้นเป็นทางด้าน “เคียมรัน” ที่โชว์ทีเด็ดปล่อยหมัดฮุกซ้ายเข้าเต็มคาง “เฟอร์รารี” จนหลับกลางอากาศ ปิดเกมชนะน็อกไปได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ยกแรก พร้อมเพิ่มสถิติไร้พ่ายไฟต์ที่ 23 ให้กับตัวเอง

ล่าสุดหลังผ่านพ้นการแข่งขันไปได้ไม่ถึง 2 เดือน เจ้าหน้าที่จากองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ (International Doping Tests & Management: IDTM) ได้ระบุว่าจากการเก็บตัวอย่างของ “เคียมรัน” และ “เฟอร์รารี” ในช่วงการแข่งขันเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวกตามอ้างอิงจากองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบสากล

โดย “เคียมรัน” มีผลตรวจสารต้องห้ามเป็นบวก 3 ชนิด ขณะที่ “เฟอร์รารี” ตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก 2 ชนิด ซึ่งจากผลดังกล่าว ONE ในฐานะองค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลกที่มีการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในนักกีฬามาอย่างต่อเนื่อง จึงประกาศลงโทษแบน “เคียมรัน” จากการแข่งขันเป็นเวลา 1 ปี และลงโทษแบน “เฟอร์รารี” จากการแข่งขันเป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เก็บตัวอย่างไปตรวจสอบ พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ “เคียมรัน” ชนะน็อก “เฟอร์รารี” เป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

สำหรับองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวีเดน โดยในเดือน ก.ย.61 ได้ควบรวมกิจการกับองค์กรกีฬาปลอดสารต้องห้ามนานาชาติ (Drug Free Sport International: DFSI) เพื่อร่วมมือกันดำเนินงานต่อด้านการใช้สารต้องห้ามในวงการกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้ทำงานร่วมกับองค์กรกีฬาชั้นนำมากกว่า 300 แห่งทั่วโลก อาทิ NFL, MLB, NBA, NASCAR, PGA Tour, LPGA และ NCAA

ในการแข่งขันของ ONE นอกจากจะมีการตรวจสอบด้านสุขภาพเพื่อความปลอดภัยของนักกีฬาทุกคนแล้ว ยังมีการตรวจหาสารต้องห้ามสำหรับนักกีฬาตามกฎระเบียบและมาตรฐานสากลเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันจะเป็นไปด้วยปลอดภัย ความเท่าเทียม และความยุติธรรมระดับสูงสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


โรคไทรอยด์ กับ 8 สัญญาณเตือนภัย “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ”

เคยมีคนรอบข้างทักว่า เราอาจจะเป็น โรคไทรอยด์ เพราะเห็นว่าคอโป่ง คอบวมผิดปกติ ลองยืดคอแล้วลูบขึ้นลูบลงหลายรอบเลยทีเดียว แต่จริงๆ แล้วนอกจากคอโป่ง ยังมีอาการอื่นๆ ที่เป็นอาการเริ่มต้นของ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ อีกมากมาย มีอาการอะไรบ้าง มาเช็กกัน

รู้จักกับต่อมไทรอยด์

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบของต่อมไร้ท่อ ลักษณะก็จะคล้ายๆ กับปีกผีเสื้อที่กางออกแล้วครอบอยู่บริเวณด้านบนของหลอดลม ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ระดับไขมันในเลือด การทำงานของกล้ามเนื้อ ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ไปจนถึงควบคุมเรื่องอารมณ์และความรู้สึก โดยปกติแล้วต่อมไทรอยด์จะผลิตฮอร์โมนออกมาในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยเสริมให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่เมื่อวันใดที่ต่อมไทรอยด์เกิดทำงานหนักจนเกินไป ก็จะส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยง่าย มือสั่น ใจสั่น นอนไม่หลับ น้ำหนักลด หรือในผู้หญิงก็อาจเกิดประจำเดือนมาผิดปกติได้ ในบางรายหากมีอาการรุนแรงก็จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการโคม่า ตาเหลือง ตัวเหลือง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและมีน้ำท่วมปอดได้ รวมแล้วอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเรียกว่า ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ

สัญญาณเตือนภัย ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ

  1. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
  2. ใจสั่น อ่อนแรง
  3. เหงื่อออกง่าย ขี้ร้อนง่ายขึ้น
  4. หงุดหงิดง่ายกว่าเดิม อารมณ์แปรปรวน
  5. น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  6. ประจำเดือนผิดปกติ
  7. คอโต คอโป่ง
  8. อาจมีอาการตาโปนร่วมด้วย

สาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษ

จริงๆ แล้วสาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษมีอยู่หลายสาเหตุ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันโรคทำงานผิดปกติ โดยเข้าไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานหนักเกินไป และหากญาติพี่น้องมีประวัติเคยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีโอกาสเป็นไทรอยด์เป็นพิษมากกว่าผู้ชายอีกด้วย

ดังนั้นหากใครมีอาการดังกล่าว รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที ก่อนที่จะสายเกินไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘การ์ทเนอร์’ คาดอีก 2 ปี 40% ของข้อมูล AI รั่วไหลจะมาจาก ‘GenAI’ 

“การ์ทเนอร์” คาดการณ์ อีกสองปีข้างหน้า 40% ของการรั่วไหลข้อมูล AI เกิดจากการใช้ GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดว่าภายในปี 2570 ปัญหาข้อมูลรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับ AI มากกว่า 40% เกิดจากการใช้ Generative AI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

ปัจจุบัน ความนิยมใช้งาน GenAI ในหมู่ผู้ใช้งานทั่วไปเติบโตเร็วเกินกว่าแนวทางการพัฒนาด้านการกำกับดูแลข้อมูลและมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศ (Data Localization) เนื่องจากต้องใช้พลังการประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Computing) สำหรับรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้

ยอร์ก ฟริตช์ รองประธานนักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์ กล่าวว่า การถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยไม่ตั้งใจมักเกิดขึ้นเนื่องจากขาดการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ

โดยเฉพาะเมื่อมีการรวม GenAI เข้าไว้ในผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ โดยไม่มีคำอธิบายหรือการประกาศที่ชัดเจน องค์กรต่าง ๆ เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาที่พนักงานสร้างขึ้นผ่านการใช้เครื่องมือ GenAI

แม้เครื่องมือเหล่านี้จะสามารถใช้ในแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ได้รับอนุมัติ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากมีการป้อนคำสั่งที่ละเอียดอ่อนไปยังเครื่องมือ AI และ APIs ที่โฮสต์ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถระบุได้

‘ปัญหา’ มาจากช่องว่าง ‘มาตรฐาน’

การขาดแนวปฏิบัติที่ดีและมาตรฐานที่สอดคล้องกันทั่วโลกสำหรับการใช้งาน AI รวมถึงการกำกับดูแลข้อมูล ทำให้เกิดความท้าทายเพิ่มขึ้น และเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกตลาด รวมถึงบังคับให้องค์กรต้องพัฒนากลยุทธ์ขึ้นเฉพาะแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของการขยายการดำเนินงานไปสู่ระดับโลกและรับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการ AI

ความซับซ้อนของการจัดการการไหลเวียนข้อมูลและการรักษาคุณภาพตามนโยบาย AI ในแต่ละประเทศนั้นอาจทำให้การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ องค์กรต้องลงทุนด้านการกำกับดูแล AI ขั้นสูงและเพิ่มความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนพร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความจำเป็นนี้อาจผลักดันให้ตลาดบริการด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ AI เติบโตยิ่งขึ้น รวมถึงโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุมกระบวนการทำงานของ AI

การ์ทเนอร์แนะว่า องค์กรต้องรีบดำเนินการก่อนที่การกำกับดูแล AI จะกลายเป็นข้อบังคับของโลก โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การกำกับดูแล AI หรือ AI Governance จะกลายเป็นข้อกำหนดของกฎหมายและข้อบังคับ AI ที่มีอำนาจบังคับใช้ทั่วโลก

องค์กรที่ไม่สามารถนำโมเดลการกำกับดูแลและการควบคุม AI มาใช้ได้อย่างบูรณาการ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะองค์กรที่กำลังขาดทรัพยากรเพื่อการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันการเปลี่ยนแปลง 

เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการรั่วไหลของข้อมูล AI โดยเฉพาะจากการใช้และถ่ายโอนข้อมูล GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม และเพื่อให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติตามกฎระเบียบ

กลยุทธ์สำหรับองค์กร

  • เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลด้านข้อมูล: องค์กรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศและตรวจสอบการถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยที่ไม่ตั้งใจ ด้วยการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลให้ครอบคลุมถึงแนวทางสำหรับข้อมูลที่ประมวลผลด้วย AI รวมถึงการประเมินผลกระทบของการสืบย้อนข้อมูลและการถ่ายโอนข้อมูลสำหรับประเมินผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวแบบสม่ำเสมอ
  •  จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล: จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเพิ่มการกำกับดูแล AI และมีการสื่อสารที่โปร่งใสเกี่ยวกับการใช้งาน AI และการจัดการข้อมูล โดยคณะกรรมการเหล่านี้ต้องรับผิดชอบการกำกับดูแลทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ พร้อมมีการสื่อสารและการรายงานการตัดสินใจ
  • เสริมสร้างความปลอดภัยข้อมูล: ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การเข้ารหัส และการปกปิดตัวตนเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่างเช่น ตรวจสอบพื้นที่การประมวลผลที่ปลอดภัย หรือ Trusted Execution Environment (TEE) ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เฉพาะ และใช้เทคโนโลยีการปกปิดตัวตนขั้นสูง เช่น Differential Privacy เมื่อข้อมูลต้องออกจากภูมิภาคเหล่านี้
  • ลงทุนในผลิตภัณฑ์ TRiSM: วางแผนและจัดสรรงบประมาณสำหรับผลิตภัณฑ์และความสามารถด้านการจัดการความไว้วางใจ ความเสี่ยง และความปลอดภัย (TRiSM) ที่ปรับแต่งสำหรับเทคโนโลยี AI รวมถึงการกำกับดูแล AI การกำกับดูแลความปลอดภัยข้อมูล การกรองและแก้ไขคำสั่ง และการสร้างข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างแบบสังเคราะห์ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 องค์กรที่ใช้การควบคุม AI TRiSM จะใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมายน้อยลงอย่างน้อย 50% พร้อมลดการตัดสินใจผิดพลาด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อยากอวยพร โชคดีนะ นอกจาก Good Luck มีอะไรอีกบ้าง?

Good Luck น่าจะเป็นคำยอดฮิตติดปากใครหลายคนเวลาอยากอวยพรใครให้โชคดี แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วในภาษาอังกฤษยังมีอีกหลายวลีที่ใช้แทนคำว่า Good Luck ได้ ใครอยากมีคำใหม่ ๆ ไปใช้อวยพรเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จัก ตามมาดูที่นี่ได้เลย

  • Best wishes. / Best of luck! / Wish you luck! / All the best = ขอให้โชคดี
  • Hope you do well. = ขอให้ทำออกมาได้ดี
  • You can do it. = เธอทำได้!
  • Have a blast. = -ขอให้มีช่วงเวลาที่ดี
  • I’ll pray for you. = ฉันจะภาวนาให้เธอ
  • Hope it works out! = ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
  • Smooth sailing. = ขอให้ทึกอย่างเป็นไปด้วยดี
  • Break a leg! = โชคดี (เป็นสำนวนที่เหมือนการพูดแก้เคล็ด)
  • Blow them away! = ทำเต็มที่ให้เขาประทับใจ
  • I’ll keep my fingers crossed. = ขอให้โชคดี (สำนวนที่สื่อถึงการไขว้นิ้วอวยพร)
  • May the force be with you. = ขอให้พลังสถิตอยู่กับเธอ
  • May luck in your favor. = ขอให้โชคเข้าข้าง
  • To infinity and beyond! = ขอให้ก้าวผ่านมันไปได้
  • Knock the wood! = ขอให้โชคดีแบบนี้ตลอดไป
  • You’re going to be amazing! = เธอจะวิเศษสุด ๆ ไปเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


5 อาหารแนะนำกินคู่กับ “กาแฟดำ” ช่วยลดน้ำหนักอย่างเห็นผล และรวดเร็ว

การผสมผสานอาหารที่ดีที่สุดกับกาแฟดำ ด้วยการผสมผสานอาหารบางชนิดเข้ากับกาแฟดำอย่างมีกลยุทธ์ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและทำให้การเดินทางของคุณยั่งยืนยิ่งขึ้น นี่คือ 5 อาหารที่คุณสามารถทานคู่กับกาแฟดำเพื่อการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วและสุขภาพโดยรวมที่ดี

5 อาหารแนะนำกินคู่กับ “กาแฟดำ”

1.อะโวคาโด เมื่อทานคู่กับกาแฟดำที่ช่วยเพิ่มพลังงานและกระตุ้นการเผาผลาญ อะโวคาโดจะมอบส่วนผสมที่ลงตัวของไขมันดีและคาเฟอีน ช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่และลดความอยากอาหารในช่วงสาย

2.ไข่ การทานไข่คู่กับกาแฟดำสามารถช่วยเพิ่มสมาธิ ปรับปรุงประสิทธิภาพการออกกำลังกาย และทำให้คุณรู้สึกอิ่มและพึงพอใจได้นานหลายชั่วโมง

3.กรีกโยเกิร์ต เป็นตัวเลือกอาหารเช้าหรืออาหารว่างที่น่าพึงพอใจและอุดมด้วยสารอาหาร ลองเพิ่มผลเบอร์รี่สดหรือโรยเมล็ดเจียเพื่อเพิ่มใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ คุณก็จะได้มื้ออาหารที่สมดุล

4.ถั่วและเมล็ดพืช เมื่อทานคู่กับกาแฟดำ ถั่วและเมล็ดพืชจะช่วยควบคุมความหิวและให้สารอาหารที่จำเป็นซึ่งส่งเสริมการเผาผลาญที่ดีต่อสุขภาพ การทานถั่วหรือเมล็ดพืชสักหยิบมือกับกาแฟในตอนเช้าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการคงพลังงานและลดความอยากอาหารตลอดทั้งวัน

5.ผลเบอร์รี่ การทานผลเบอร์รี่คู่กับกาแฟดำสามารถเพิ่มรสชาติให้กับเครื่องดื่มยามเช้าของคุณ พร้อมทั้งให้สารอาหารสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเผาผลาญไขมันและสุขภาพโดยรวม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/03/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a46,350.0046,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,002.0045,510.3247,250.00
ทองรูปพรรณ 90%2,701.8040,959.29n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,401.6036,408.26n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,351.0020,481.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,051.0015,933.16n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,111.0047,162.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/03/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.3535.3535.8535.3535.3535.3535.3535.3535.3535.35
แก๊สโซฮอล์ 9134.9834.9835.4834.9834.9834.9834.9834.9834.9834.98
แก๊สโซฮอล์ E2033.1433.1433.6433.1433.1433.1433.1433.1433.14
แก๊สโซฮอล์ E8531.6931.6931.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.9449.8449.8449.8443.94
เบนซิน 9543.6449.8144.1443.7943.64
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า