สาระน่ารู้ประจำวันที่ 12 มีนาคม 2568

เอสซีลุยแนวราบ12โครงการ1.8หมื่นล้าน ทำเลบลูโอเชี่ยน

เอสซี ลุยแนวราบ 12 โครงการมูลค่า1.8หมื่นล้านรั้งตำแหน่งผู้นำบ้านลักชัวรีเจาะทำเล บลูโอเชี่ยนนำร่อง แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์-พระราม 3ขายแล้วกว่า900ล้าน

นายมงกุฎ เตโชฬาร Chief Operating Officer-Property Development Low Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ SC  เปิดเผยว่า ในปี 2568  บรษัทจะมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายรวมทั้งสิ้น 85 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 77,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบเปิดใหม่ในปีทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนธุรกิจที่สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ RethinktoReform เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ เติบโตสร้างคุณค่าได้อย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้ายอดขายบ้านแนวราบปีนี้ไว้ที่ 18,800 ล้านบาท 

เปิดบ้านหรู2แบรนด์ใหม่ ซันเล-แมทเทอร์ 

โดยจะมีโครงการ One-of-a-kind 2 โครงการภายใต้แบรนด์ SONLE RESIDENCES (ซันเล เรสซิเดนเซส) จะเปิดตัวในช่วงเดือนก.ค.ปีนี้ เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Sophisticated Modern Tropical ระดับราคาตั้งแต่ 200 ล้านบาท มีทั้งหมด 5 ยูนิต และแบรนด์ Matter  จะเปิดตัวในช่วงเดือนพ.ค.นี้ เป็นบ้านระดับราคาเริ่มต้นกว่า5 ล้านบาท 

“เรายังคงเป็นผู้นำบ้านหรูที่ 1 ในใจผู้บริโภค และมีโครงการบ้านหรูระดับราคา 30-80 ล้านบาท มากที่สุดในตลาดอสังหาฯ มีมากถึง 756 ยูนิต โดย 5 ทำเลยอดนิยม ประกอบด้วย ปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี, ราชพฤกษ์, บางนา, กรุงเทพกรีฑา และ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ที่วันนี้เอสซีมีโครงการครอบคลุมแล้วทุกโซนตอบโจทย์ในทุกทำเล” นายมงกุฎกล่าว

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ Senior Executive Vice President – Marketing & Innovation กล่าวว่า โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ถือเป็นโครงการแรกของเอสซี ในทำเลสุขสวัสดิ์-พระราม 3ที่ประสบความสำเร็จล่าสุดมียอดขายแล้วกว่า 900 ล้านบาท ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยโครงการออกแบบภายใต้แนวคิด “A Legacy of Your Success มรดกจากความสำเร็จ สะท้อนความยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา” 

บนที่ดิน 31 ไร่ คฤหาสน์หรู สไตล์ Empire จำนวน 46 หลัง มูลค่าโครงการรวม 2,400 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ลงตัว มีแบบบ้านให้เลือก 5 แบบ  มีขนาดพื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 439 – 850 ตารางเมตร ทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่ สุขสวัสดิ์ ใกล้ทางด่วน สาทร พระราม 3 เพียง 2 นาที เดินทางเชื่อมต่อเข้าออกเมืองได้สะดวกสบาย ด้วย 3 เส้นทางหลัก อาทิ ทางด่วนเฉลิมมหานคร สะพานภูมิพล (สะพานอุตสาหกรรม) ถ.พระราม 2 และติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง ราษฎร์บูรณะ-เตาปูน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี2570 เพียง 170 เมตร 

“ทำเลสุขสวัสดิ์-พระราม 3 ถือเป็นตลาด Blue Ocean ของเอสซีเรามองเห็นถึงการเติบโตของตลาดบ้านหรูระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไปเรียกได้ว่าเป็น ทำเลทอง”

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจของ เอสซี แอสเสท คือการร่วมมือกับ Grab จัดแคมเปญ “ดูบ้านใหม่ ไป Grab ฟรี” ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางไปดูบ้านใหม่ให้กับลูกค้า ในโครงการที่มีราคาตั้งแต่ 3-100 ล้านบาท ซึ่งแคมเปญนี้มาพร้อมกับดีลพิเศษ เช่น ส่วนลดสูงสุด 10 ล้านบาท ค่าส่วนกลางฟรีสูงสุด 10 ปี และส่วนลดจาก Grab สูงสุด 10 เท่ามูลค่าสูงสุด 5,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 68

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บิ๊กอสังหาฯจี้รัฐอัดยาแรงกระตุ้นกำลังซื้อ

บิ๊กอสังหาฯ ผนึกกำลังจี้รัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งคลอดยาแรงกระตุ้นกำลังซื้อ ลดโอน-จดจำนอง-แบงก์ชาติเร่งผ่อนคลาย LTV กู้วิกฤต ดึงกลุ่มกำลังซื้อสูงซื้อบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 กู้เต็ม 100%

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา โดยมีผลพวงมาจากเศรษฐกิจโตตํ่ากำลังซื้อหายไปจากตลาดประกอบกับ หนี้ครัวเรือนที่สูง หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขยายตัวต่อเนื่องซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ที่สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ

ในทางกลับกันมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย มีความจำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่าหนึ่งหลัง เพื่อต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงาน สถานศึกษาบุตรหลาน แต่ติดปัญหาว่า มีข้อกำจัดอยู่มาก ไม่สามารถกู้ได้100%โดยเฉพาะเกณฑ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio: Loan to Value) สำหรับสัญญาที่ 2(บ้านหลังที่ 2) และสัญญาที่ 3 ( บ้านหลังที่ 3) ที่ภาคเอกชนเรียกร้องมาโดยตลอด

รวมถึงมาตรการ ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง อสังหาริมทรัพย์ รายการละ 0.01% ที่หมดอายุลงเมื่อปีที่ผ่านมา สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน7ล้านบาท ล้วนเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขยับตัวได้ จากแรงจูงใจและหากไม่ได้รับการกระตุ้นต่อเนื่องจากมาตรการต่างๆของภาครัฐเกรงว่าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่

สะท้อนจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์สำรวจพบว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจาก ปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้าน ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวด ที่นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคาร สงเคราะห์  (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) มองว่าในส่วนของศูนย์ข้อมูลอสังหา ริมทรัพย์ มีความจำเป็นจะนําเสนอรัฐบาลให้พิจารณาในเชิงนโยบาย

ทั้งการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสอดคล้องกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มีการยื่นข้อเสนอไปก่อนหน้านี้ และเสนอให้ ธปท. มีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ LTV (Loan-to-Value) เพื่อให้ผู้กู้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น รวมถึง เสนอให้พิจารณาขยายระยะเวลาสิทธิการเช่าให้มากกว่า 30 ปี เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงในการอยู่อาศัยมากขึ้น

 ขณะที่ท่าทีของกระทรวงการคลังและธปท. มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะ ผ่อนปรนและเร่งออกมาตรการดังกล่าวออกมา หลังจาก 7องค์กรอสังหาริมทรัพย์ นำโดยนาย อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้แทนธปท.ชงแพกเกจเร่งฟื้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว

เสียงสะท้อนของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด(มหาชน)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจชบเซารายได้ซื้อที่อยู่อาศัยลดลงส่งผลต่อยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงแทบทุกค่าย

ทั้งนี้เมื่อดูตัวเลขศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เห็นได้ชัดว่าปีนี้ต้องระมัดระวัง สิ่งที่ต้องปรับตัว คือการเร่งระบายสต๊อกสินค้า เพื่อเก็บกระแสเงินสดไว้ในมือให้มากที่สุด รวมถึง แคมเปญ ตัวเร่งในการตัดสินใจอย่างไรก็ตาม ต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องทั้งต่ออายุมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ และจดจำนอง มาตรการ LTV ฯลฯ

เช่นเดียวกันกับ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่มองว่า มาตรการจากภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อตลาด ซึ่งนโยบายการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์เหลือ 0.01% หากได้รับการขยายระยะเวลาในปีนี้ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นการซื้อขาย

นอกจากนี้ หากมีการผ่อนปรนมาตรการ LTV จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อตลาด นอกจากนี้ ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการสนับสนุนอื่น เช่น การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือการออกโครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงตํ่า

อีกหนึ่งเสียงจาก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความเห็นว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจและการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงต่อเนื่อง หากมีการผ่อนมาตรการ LTV โดยให้บ้านหลังที่ 2-3 สามารถกู้ได้เต็มจำนวนจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัท เห็นด้วยอย่างยิ่งต้องการให้แบงก์ชาติพิจารณา ผ่อนคลาย LTV เพื่อช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ขณะความต้องการ ที่อยู่อาศัย นอกจากบ้านหลังที่ 1 เชื่อว่าผู้บริโภคยังมีความจำเป็นที่จะซื้อบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 ใกล้ที่ทำงานดังนั้นมองว่าการเก็งกำไรหายไปแล้ว

“การผ่อนคลาย LTV มีความจำเป็นต้องกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์อย่างมากในช่วง 1-2 ปีนี้ เพราะเห็นว่าโอเวอร์ซัพพลาย ไม่ใช่แค่ปีนี้จบอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีก 3 ปีถึงจะกลับมาขายได้ตามปกติ”

ทั้งนี้เสนอว่าต้องมีมาตรการ สำคัญ ระยะสั้นและระยะกลาง การกระตุ้นกำลังซื้อมีมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มองว่าไม่ควรจำกัดราคาที่7ล้านบาท รวมถึง ขอให้สถาบันการเงินผ่อนปรนการปล่อยสินเชื่อและ ขยายระยะเวลาเช่าควรเกิน 30 ปี

ทางด้านนายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่าเหตุผลที่เสนอให้ภาครัฐ ออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เนื่องจาก ปี 2567

พบว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ตํ่าสุดในรอบ 6 ปี สินเชื่อรายย่อยซื้อบ้านลดลงเหลือ 5.78 แสนล้านบาท ลดลงจากระดับ 7 แสนล้านบาทในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ลดลงมาเกือบครึ่ง มีผลกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับที่จะไปพิจารณามาตรการเร่งด่วน ส่วนการหารือเรื่องมาตรการ LTV กับธปท.

ก่อนหน้านี้เป็นการพูดคุยร่วมกันกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง รวมทั้งสถาบันการเงินนั้น ทางสมาคมฯ ได้ให้ข้อมูลว่าช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวช่วงโควิดในปี 2564 ถือว่าตกตํ่าสุดแล้ว แต่ยังมีมาตรการผ่อนคลาย LTV เข้ามาช่วยในไตรมาสสุดท้ายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 ซึ่งทำให้ตัวเลขดีขึ้นชัดเจน และส่งโมเมนตัมมาถึงปี 2566 แต่พอเข้าปี 2567 ตลาดอสังหาฯ กลับแย่ลงกว่าในช่วงโควิด เพราะมี LTV ที่เข้มงวด แม้ภาครัฐจะมีมาตรการต่างๆเข้ามาช่วยก็ตาม

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า 3 สมาคมอสังหาฯ ยื่นขอพิจารณาไป เช่น การขยายระยะเวลาลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองเหลือ 0.01% ให้สำหรับผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งบ้านมือหนึ่งและมือสองถึงวันที่ 31ธันวาคม 2568 ซึ่งกระทรวงการคลังรับไว้พิจารณา ส่วนมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ที่ได้คุยกับธปท. ซึ่ง ธปท.มองเห็นในภาพเดียวกันกับ 3 สมาคมฯว่า การปลดล็อกเกณฑ์ LTV ให้ผ่อนคลายลง จะช่วยกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยฟื้นขึ้นมาได้

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า เบื้องต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับลูกที่จะเร่งผลักดันการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และจดจำนอง รวมถึง การหารือกับ ธปท.ในการปลดล็อกนโยบาย LTV ซึ่งหากสามารถทำได้ควบคู่กันทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังจะช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี

เช่นเดียวกับ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมองว่า มีสัญญาณที่ดีที่ ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกมา ทั้งลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และจดจำนอง รวมไปถึงการผ่อนคลายLTV แม้จะอาศัยระยะเวลา แต่ไม่ว่าจะมีมาตรการฯออกมาในช่วงใด เชื่อว่าจะช่วยต่อลมหายใจให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลับมาติดเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศต่อไปได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มี.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน บรรดาผู้นำเข้าอาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มี.ค.2568 ที่ระดับ  33.74 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.80 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงระหว่างวันก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้ โดยเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ทว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน

ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways นอกจากนี้ เราประเมินว่า บรรดาผู้นำเข้าก็อาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

อีกทั้ง บรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยได้บ้าง จนกว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ทำให้เงินบาทอาจพอมีโซนแนวรับแถว 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

ขณะที่ โซนแนวต้านของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่แถว 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรามองว่า เงินบาทอาจกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงแกว่งตัวในกรอบ +0.27%/-0.45% ได้ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว ซึ่งจะเห็นได้ว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด จนอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เกิน 3 ครั้ง ในปีนี้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.70-33.83 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด และแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ กับแคนาดา

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์ยังพอมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาราว 7.74 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าและสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) จากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดา

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ กับสินค้านำเข้าจากแคนาดา

โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์  ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Tesla +3.8% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลง -1.70% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสที่จะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้ายุโรปได้

ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป ซึ่งได้ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาทิ Rheinmetall +3.1% จากความหวังว่าหลายประเทศในกลุ่ม EU จะเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (จากก่อนหน้าที่เชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 50% ในการลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง) ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ และ

แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 4.27% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังพอมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ทำให้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้ว่าเงินดอลลาร์จะเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด (ทยอยลด Long USD)

ทว่า ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากแคนาดา และรายงานข้อมูลยอดตำแหน่งงานเปิดรับที่ออกมาดีกว่าคาดก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์  ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.2-103.7จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นได้บ้าง ทว่า จังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 2.9% (+0.3%m/m)

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.2% (+0.3%m/m) เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เฟดยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และจะยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ อนึ่ง บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า (Fully Priced-In)

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ จบการลดดอกเบี้ยแถวระดับ 2.00%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.73-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ที่ถูกกระตุ้นจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้าที่อาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้รายงานที่ระบุว่า ยูเครนรับข้อเสนอการหยุดยิงในสงครามกับรัสเซียเป็นเวลา 30 วัน ก็เป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่กดดันค่าเงินดอลลาร์ฯ

โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินยูโรด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของเงินบาทในระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากอาจมีการปรับโพสิชันก่อนการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.60-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. ของสหรัฐฯ
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


‘เหงื่อออกเท้ามากเกินไป’..อย่าชะล่าใจ! ควรรีบพบแพทย์

  • เหงื่อออกเท้ามากกว่าบริเวณอื่นในร่างกาย ไม่แปลกที่เหงื่อจะออกที่เท้ามากกว่าบริเวณอื่น แต่ถ้าเหงื่อออกเท้ามากเกินไปไม่ควรชะล่าใจและรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กโดยเร็ว
  • ปัจจัยกระตุ้นให้เหงื่อออกเท้า อาทิ อากาศร้อนจัด เครียด วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน โรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน และพันธุกรรมจากคนในครอบครัว เป็นต้น
  • การลดเหงื่อออกเท้าที่ทำได้ด้วยตนเอง คือ ล้างเท้าให้สะอาดและซับเท้าให้แห้งสนิท ตัดเล็บเท้าให้สั้น ขัดเท้า ใช้ถุงเท้าหรือถุงน่องที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ

ถ้าคุณเป็นคนที่ ‘เหงื่อออกเยอะ เหงื่อออกง่าย (Excessive sweating)’ หรือ ‘โรคเหงื่อออกมากผิดปกติ’ ในการทางการแพทย์จะมีชื่อเรียกว่า Hyperhidrosis หมายถึง การที่เหงื่อออกมากเกินความจำเป็น ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายจะหลั่งเหงื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากเกินไป

โดยจะควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ แต่คนที่เป็นโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ จะมีการหลั่งเหงื่อ แม้ในภาวะที่ร่างกายไม่ได้ต้องการระบายความร้อน ซึ่งคนจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ จะมีเหงื่อออกมากเป็นบางบริเวณ หรือเฉพาะที่ โดยมักจะเป็นที่ รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือศีรษะ ในขณะที่บริเวณอื่นแห้งสนิทไม่มีเหงื่อ

การที่มีอาการเหงื่อออกเยอะ (Excessive sweating) เหงื่อออกง่ายนี้ มักจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนที่เหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาในการทำงานที่ต้องใช้มือเป็นหลัก หยิบจับสิ่งของไม่ถนัด หรือบางคนที่มีเหงื่อออกมากบริเวณรักแร้จนเปียกเสื้อ เห็นเป็นวง ก็ทำให้เสียบุคลิกภาพ ไม่มั่นใจตนเอง กังวลเรื่องกลิ่นตัวที่ตามมา และอาจจะมีผิวหนังติดเชื้อตามมาได้

ขณะเดียวกัน บางคนเหงื่อออกเท้า ออกมือจำนวนมาก แล้วมองว่าไม่เป็นไรเพราะเป็นธรรมชาติของร่างกาย แต่หากเหงื่อออกเท้ามากผิดปกติ ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดกลิ่นเหงื่อ กลิ่นเท้า ยังทำให้ขาดความมั่นใจและอาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง

จุดเริ่มที่ทำให้เหงื่อออกเยอะ

พล.ต.ต.นพ.วารินทร์ วชิรปัญญานุกูล ศัลยแพทย์อาวุโสผู้เชี่ยวชาญ ด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง รพ. พญาไท นวมินทร์ อธิบายว่า ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นกระบวนการต่างๆ ซึ่งกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ก็เป็นอีกกระบวนการทำงานที่สำคัญของร่างกาย ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอาหารที่เราทานเข้าไปให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายเกิดความร้อน

เมื่อร่างกายเกิดความร้อน ร่างกายก็จะมีกลไกในการควบคุมหรือระบายความร้อน นั้นออกมาในรูปแบบของ “เหงื่อ” เพื่อให้ความร้อนในร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือเรียกว่า การหลั่งเหงื่อ คือการถ่ายเทความร้อนที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ ในร่างกายออกไป

เหงื่อออกเท้าคืออะไร

รศ. นพ. ศิระ เลาหทัย ศัลยศาสตร์ทรวงอก โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เหงื่อออกเท้าเป็นกลไกปกติของร่างกายในการทำให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง ช่วยขับน้ำ ขับโซเดียม ป้องกันเชื้อแบคทีเรีย สร้างความสมดุลให้ร่างกาย ที่สำคัญฝ่าเท้ามีต่อมเหงื่อมากกว่าบริเวณอื่นในร่างกาย จึงไม่แปลกที่เหงื่อจะออกที่เท้ามากกว่าบริเวณอื่น แต่ถ้าเหงื่อออกเท้ามากเกินไปไม่ควรชะล่าใจและรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กโดยเร็ว

สาเหตุของ “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ”

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperthydrosis) คือ ภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก แม้ในสภาพอากาศปกติ ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะอาการออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (primary hyperhydrosis) และกลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhydrosis)

  • กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (Primary Hyperhydrosis)

กลุ่มนี้จะมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ ที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ซึ่งเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อออกในบริเวณบางส่วนของร่างกาย เช่น ใบหน้า ศีรษะ รักแร้ ฝ่ามือ ซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณฝ่ามือ อาจเรียกว่า ภาวะเหงื่อมือ หรือ เหงื่อออกมือ เป็นต้น มักพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ในกลุ่มวัยรุ่น ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 30-40 ของคนที่มีภาวะนี้ พบว่ามีญาติสายตรง หรือพ่อแม่ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายมีเหงื่อออกมากที่มือจนเขียนหนังสือหรือจับสิ่งของไม่ได้ ซึ่งภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาทั้งในแง่การทำงาน การเข้าสังคมและการดำรงชีวิตประจำวัน

  • กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhydrosis)

คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อในปริมาณมาก ออกทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในเวลานอน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของโรคอื่น ๆ เช่น

  • โรคไทรอยด์เป็นพิษ ทำให้ร่างการมีการเผาผลาญสูง
  • โรควัณโรคปอด
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะอ้วนมาก ๆ
  • หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
  • การรับประทานยาบางชนิด เป็นต้น

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เหงื่อออกเท้ามีมากมาย

  • อากาศร้อนจัด
  • ยืนติดต่อกันนานเกินไป
  • การออกกำลังกายและกิจกรรมต่าง ๆ
  • สวมรองเท้าหรือถุงเท้าที่คับแน่นเกินไป
  • เครียด วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน
  • โรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน
  • พันธุกรรมจากคนในครอบครัว
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชิด โดยเฉพาะยากลุ่มรักษาโรคซึมเศร้า 
  • เหงื่อออกเท้ามากแค่ไหนผิดปกติ

หากต่อมเหงื่อถูกกระตุ้นการทำงานมากกว่าปกติ ทำให้เหงื่อออกเท้ามากจนผิดปกติ (Hyperhidrosis) โดยไม่เกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ควรสังเกตอย่างละเอียด ถ้าเหงื่อออกเท้ามากเกินไปสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป อาการมีแต่แย่ลงไม่ดีขึ้น รวมถึงเหงื่อออกเท้าเยอะแม้นอนหลับ ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด

เหงื่อออกมาก ต้องตรวจและวินิจฉัย 

ในเบื้องต้นนั้นแพทย์จะต้องจำแนกคนไข้ก่อนว่ามีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติในระดับใด โดยดูจากลักษณะการออกของเหงื่อ เช่น คนไข้กลุ่มที่มีอาการในระดับทุติยภูมิ แพทย์จะทำการตรวจในด้านอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง เช่น การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์เพื่อหาภาวะไทรอยเป็นพิษ หรือการรักษาร่วมกันกับแพทย์เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ ในกรณีที่คนไข้มีภาวะอ้วนมากๆ หรือเป็นโรคอ้วน เป็นต้น ซึ่งอุบัติการณ์ของผู้ป่วยกลุ่ม primary hyperhidrosis มีการศึกษาพบว่า ประชากรกว่าร้อยละ 0.6 ถึง 1 มีอาการดังกล่าว

2 ทางเลือกของการรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

ในการรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกตินั้น มีทั้งการรักษาแบบผ่าตัดและไม่ต้องผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ร่วมกับคนไข้ในแต่ละราย ซึ่งมีตั้งแต่การรักษาโดยการกินยา หรือฉีดยา ไปจนถึงการผ่าตัด

  • การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด

จะเป็นการใช้ยาทาบางกลุ่มหรือการฉีดสารบางชนิด แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาดังกล่าว เป็นแค่การรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น เพราะวิธีนี้ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากอาการเหงื่อออกมากผิดปกติได้

  • การรักษาแบบผ่าตัดผ่ากล้อง

เป็นวิธีการรักษาชนิดเดียวในปัจจุบันที่ทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากอาการดังกล่าว โดยเรียกการผ่าตัดนี้ว่า Thoracoscopic sympathectomy ซึ่งอาศัยหลักการที่ว่าการหลั่งเหงื่อของร่างกายนั้น เกิดจากการสั่งการโดยสมอง ผ่านระบบประสาทอัตโนมัติแบบซึมพาเทติค (sympathetic nervous system) ซึ่งจะมีการส่งสัญญาณไปตามเส้นประสาทย่อยๆ ผ่านปมประสาทซิมพาเทติคถึงปลายทางที่บริเวณต่อมเหงื่อให้มีการหลั่งเหงื่อ ความรู้ดังกล่าวทำให้ศัลยแพทย์สามารถทำการผ่าตัดโดยทำลายปมประสาทบางส่วนที่ส่งสัญญาณมาบริเวณใบหน้า, มือหรือรักแร้ ทำให้ไม่มีสัญญาณสั่งการส่งมาที่ต่อมเหงื่อปลายทาง จึงทำให้ไม่มีการหลั่งเหงื่อเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นๆ

รักษาเหงื่อออกเท้ามากไปอย่างไร

วิธีการรักษาเหงื่อออกเท้ามากเกินไปเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำ หากอาการยังไม่ดีขึ้นอาจต้องรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า การฉีดโบทูลินัมท็อกซิน การบำบัดด้วยคลื่นไมโครเวฟ ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อยับยั้งการผลิตเหงื่อ โดยเป็นไปตามการวินิจฉัยและคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางเป็นสำคัญ

ผ่าตัดเหงื่อออกเท้าเป็นอย่างไร

ปัจจุบันการผ่าตัดเหงื่อออกเท้าไม่น่ากลัวอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic Lumbar Symphatectomy) ผ่านช่องท้องเพื่อเข้าไปหนีบเส้นประสาทของต่อมเหงื่อเท้าทั้ง 2 ข้าง โดยมีแผลเล็กขนาด 1 เซนติเมตร 3 จุดที่ด้านข้างของท้องแต่ละข้าง หลังผ่าตัดผู้ป่วยพักฟื้นไม่นานก็กลับบ้านได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

เทคนิคลดเหงื่อออกเท้าทำอย่างไร

การลดเหงื่อออกเท้าที่ทำได้ด้วยตนเอง คือ ล้างเท้าให้สะอาดและซับเท้าให้แห้งสนิท ตัดเล็บเท้าให้สั้น ขัดเท้าเพื่อกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ใช้ถุงเท้าหรือถุงน่องที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ เลี่ยงการใส่รองเท้าที่คับแน่นจนเกินไป หากเหงื่อออกที่เท้าไม่ลดลงควรพบแพทย์โดยเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ครบทุกกลุ่ม! เปิดโปรแกรม วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ไทยเป็นเจ้าภาพ

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568

โดย สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) มอบหมายให้ ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกระจายแข่งขันกัน 4 จังหวัดใหญ่ในประเทศไทย ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดภูเก็ต, จังหวัดนครราชสีมา และ กรุงเทพมหานคร

ซึ่งจากทั้งหมด 32 ทีม แบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เพื่อหาทีมแชมป์กลุ่ม และทีมอันดับ 2 ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป แบ่งกลุ่มเรียบร้อย! “วอลเลย์บอลหญิง 32 ชาติ” ลุยศึกลูกยางชิงแชมป์โลก 2025

โปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. เนเธอร์แลนด์ พบ สวีเดน
เวลา 20.30 น. ไทย พบ อียิปต์

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. สาธารณรัฐเช็ก พบ อาร์เจนตินา
เวลา 19.30 น. สหรัฐอเมริกา พบ สโลวีเนีย

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เบลเยียม พบ คิวบา
เวลา 20.30 น. อิตาลี พบ สโลวาเกีย

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. เปอร์โต ริโก พบ ฝรั่งเศส
เวลา 19.30 น. บราซิล พบ กรีซ

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. ญี่ปุ่น พบ แคเมอรูน
เวลา 20.30 น. เซอร์เบีย พบ ยูเครน

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. แคนาดา พบ บัลแกเรีย
เวลา 19.30 น. ตุรกี พบ สเปน

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เยอรมัน พบ เคนยา
เวลา 20.30 น. โปแลนด์ พบ เวียดนาม

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. สาธารณรัฐโดมินิกัน พบ โคลอมเบีย
เวลา 19.30 น. จีน พบ เม็กซิโก

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. เนเธอร์แลนด์ พบ อียิปต์
เวลา 20.30 น. ไทย พบ สวีเดน

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. สาธารณรัฐเช็ก พบ สโลวีเนีย
เวลา 19.30 น. สหรัฐอเมริกา พบ อาร์เจนตินา

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เบลเยียม พบ สโลวาเกีย
เวลา 20.30 น. อิตาลี พบ คิวบา

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. เปอร์โต ริโก พบ กรีซ
เวลา 19.30 น. บราซิล พบ ฝรั่งเศส

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. ญี่ปุ่น พบ ยูเครน
เวลา 20.30 น. เซอร์เบีย พบ แคเมอรูน

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. แคนาดา พบ สเปน
เวลา 19.30 น. ตุรกี พบ บัลแกเรีย

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เยอรมัน พบ เวียดนาม
เวลา 20.30 น. โปแลนด์ พบ เคนยา

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. สาธารณรัฐโดมินิกัน พบ เม็กซิโก
เวลา 19.30 น. จีน พบ โคลอมเบีย

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. สวีเดน พบ อียิปต์
เวลา 20.30 น. ไทย พบ เนเธอร์แลนด์

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. อาร์เจนตินา พบ สโลวีเนีย
เวลา 19.30 น. สหรัฐอเมริกา พบ สาธารณรัฐเช็ก

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. อิตาลี พบ เบลเยียม
เวลา 20.30 น. คิวบา พบ สโลวาเกีย

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. ฝรั่งเศส พบ กรีซ
เวลา 19.30 น. บราซิล พบ เปอร์โต ริโก

วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568
สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. ญี่ปุ่น พบ เซอร์เบีย
เวลา 20.30 น. ยูเครน พบ แคเมอรูน

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. ตุรกี พบ แคนาดา
เวลา 19.30 น. บัลแกเรีย พบ สเปน

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เคนยา พบ เวียดนาม
เวลา 20.30 น. โปแลนด์ พบ เยอรมัน

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. โคลอมเบีย พบ เม็กซิโก
เวลา 19.30 น. จีน พบ สาธารณรัฐโดมินิกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘เอคเซนเชอร์’ สำรวจความพร้อมองค์กร บนเส้นทางความท้าทายยุค ‘AI’’

งานวิจัยโดย “เอคเซนเชอร์” พบว่า องค์กรต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก ต่างมุ่งจะปรับขยายสเกลการใช้ AI แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่มีความพร้อมสำหรับการบริหารความเสี่ยง

เอคเซนเชอร์ รายงานว่า องค์กรต่างกําลังเร่งนํา AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตของรายได้ โดย 9 ใน 10 มีแผนที่จะใช้โมเดล Agentic AI ในอีกสามปีข้างหน้า

ทว่าองค์กรยังไม่มีขีดความสามารถรองรับการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการขยายสเกลการใช้ AI ให้เต็มศักยภาพและมีองค์กรเพียง 1% เท่านั้นที่มีการเตรียมพร้อมบริหารความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ ความเป็นส่วนตัว และด้านข้อมูล

ต้องมาพร้อม ‘ความรับผิดชอบ’

หากมองถึง สถานะการใช้ AI อย่างรับผิดชอบขององค์กร 48% มองว่า การใช้ AI อย่างรับผิดชอบ เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่จะผลักดันให้รายได้เติบโต

ที่น่าสนใจ เอเชียแปซิฟิกนับว่า มีความพร้อมโดยรวมที่เหนือกว่าองค์กรอื่นๆ ทั่วโลก 19% ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิก มีความพร้อมขององค์กรและความพร้อมในการดําเนินงาน ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 15%

แต่ทั้งนี้ยังมี ความไม่สมดุลระหว่างความพร้อมขององค์กรกับความพร้อมในการดําเนินงาน แม้จะมีความก้าวหน้ากว่าภูมิภาคอื่นๆ ในแง่การใช้ AI อย่างรับผิดชอบ โดย 78% มีความพร้อมขององค์กร แต่ 10% ยังขาดความพร้อมในดำเนินงานที่สอดคล้องกัน

อย่างไรก็ดี การลงทุนด้านการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 50% ในอีกสองปีข้างหน้า

ที่ไม่อาจมองข้าม ข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ AI 57% ระบุว่า ความเป็นส่วนตัวและการกํากับดูแลข้อมูล เป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ รองลงมาคือ ด้านความปลอดภัย 53%

กลยุทธ์เพิ่ม ‘ความสำเร็จ’

เอคเซนเชอร์แนะว่า การสร้างความสำเร็จ ควรวางหลักการและการกํากับดูแล AI การวางหลักการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ พร้อมกำหนดภาระความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับการออกแบบ การนำไปปรับใช้ และการใช้งาน, ประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับ AI โดยประเมินทั้งความเสี่ยงด้านความเป็นธรรม ความโปร่งใส ความถูกต้อง และผลกระทบต่อผู้คนที่ชัดเจน

นอกจากนี้ พัฒนาระบบทดสอบ AI อย่างรับผิดชอบที่น่าเชื่อถือ ดำเนินการทดสอบ AI อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความปลอดภัย มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่ครบถ้วน, ตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง พัฒนาระบบการตรวจสอบ AI แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตามมาตรการลดความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

รวมถึง ดูแลผลกระทบต่อพนักงาน ความยั่งยืน ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย โดยต้องแน่ใจว่าการใช้ AI สอดคล้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อจัดการผลกระทบที่เกิดกับพนักงาน การปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย ความยั่งยืน รวมทั้งมาตรการด้านความเป็นส่วนตัว/ความปลอดภัยทั่วทั้งองค์กร

เริ่มที่ ‘ความไว้วางใจ’

อึ้ง วี เหว่ย กรรมการผู้จัดการอาวุโสและผู้อำนวยการสายงานตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอคเซนเชอร์ เผยว่า ยุคที่มองว่าการใช้ AI อย่างรับผิดชอบเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อกําหนดนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะนี้การใช้ AI อย่างรับผิดชอบ กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญอันดับแรกขององค์กร

อย่างไรก็ตาม องค์กรยังมีความท้าทายรออยู่ เพราะมีความเสี่ยงด้าน AI เพิ่มขึ้น กฎระเบียบมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงห่วงโซ่คุณค่าที่เกี่ยวข้องกับ AI มีความซับซ้อนมากขึ้น 

การสำรวจพบว่า 69% ของผู้บริหารในอาเซียนเชื่อว่าการปลดล็อกศักยภาพของ AI อย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่นไว้ใจ (trust) เป็นพื้นฐาน

ความไว้วางใจคือรากฐานสำคัญของการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นตัวกำหนดว่าลูกค้าจะรู้สึกสบายใจในการแบ่งปันข้อมูลหรือไม่ และพนักงานจะยอมรับการใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในที่ทำงานหรือไม่ หากปราศจากความไว้วางใจ การนำ AI มาใช้จะช้าลง ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น และธุรกิจจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคุณค่าของ AI ได้อย่างเต็มที่

เพื่อสร้างและรักษาความไว้วางใจ องค์กรต้องดำเนินการเชิงรุก ตั้งแต่การสร้างการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง การสร้างความโปร่งใส และการปลูกฝังแนวปฏิบัติการใช้ AI อย่างรับผิดชอบในทุกภาคส่วน

โดยให้ความสำคัญกับจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความยั่งยืน และการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร

เรียวจิ เซคิโดะ ซีอีโอ (ร่วม) เอเชียแปซิฟิก เอคเซนเชอร์ วิเคราะห์ว่า ธุรกิจต่างๆ ในภูมิภาคต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งพวกเขาตระหนักดีว่า ความสำเร็จนั้นอยู่ที่การปรับตัวและใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีสร้างประสิทธิภาพและการเติบโตใหม่ๆ

แม้จะเพิ่มการลงทุนใน AI มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถดึงคุณค่าที่แท้จริงออกมาได้ โดยเฉพาะ Generative A Iและ Agentic AI ซึ่งจำเป็นต้องลงทุนในการสร้างความไว้วางใจกับพนักงานและลูกค้า

พื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและการนำ AI ไปใช้อย่างรับผิดชอบ เป็นหนทางเดียวที่จะสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้ในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ประโยค ขอความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ

การขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Can, Could และ Would กันก่อน

Can – ขอความช่วยเหลือ เพื่อนหรือคนสนิท

  • Can you help me?
    (แคน ยู เฮลพฺ มี)
    คุณสามารถช่วยฉันได้ไหม
  • Can you do me a favor please?
    (แคน ยู ดู มี อะ ฟะ’เวอะ พลีซ)
    คุณสามารถช่วยอะไรฉันสักนิดได้ไหม

Could – ขอความช่วยเหลือ อย่างสุภาพ

  • Could you help me?
    (คูด ยู เฮลพฺ มี)
    คุณพอจะช่วยฉันได้ไหม
  • Could you please help me out with…..?
    (คูด ยู พลีซ เฮลพฺ มี เอาทฺ วิธ)
    คุณพอจะช่วยฉันเกี่ยวกับ..ได้ไหม

Would – ขอความช่วยเหลืออย่างสุภาพ เป็นทางการ

  • Would you help me?
    (วูด ยู เฮลพฺ มี)
    คุณยินดีที่จะช่วยฉันไหม
  • Would you mind helping me?
    (วูด ยู ไมน์ดฺ เฮล’พิง มี)
    คุณพอจะช่วยฉันได้ไหม (ความหมายแบบเกรงใจมาก ๆ)
  • Would you please explain to me ……?
    (วูด ยู พลีซ เอคซฺ’เพลน ทู มี)
    คุณช่วยอธิบาย…ให้ฉันฟังหน่อยนะ

ประโยคขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ ง่ายๆ

สามารถใช้รูปแบบประโยคนี้ได้ กรณีที่เราขอความช่วยเหลือในเรื่องที่ไม่มากจนเกินไปนัก

  • Can you give me a hand for a minute?
    (แคน ยู กิฟว มี อะ แฮนดฺ ฟอร์ อะ มิน’นิท)
    คุณสามารถช่วยฉันสักพักได้ไหม
  • Could you lend me a hand?
    (คูด ยู เลนดฺ มี อะ แฮนดฺ)
    คุณพอให้ฉันยืมตัวหน่อยได้ไหม

ตัวอย่าง ประโยคขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ ที่ควรรู้

  • Is there any chance you have time to …?
    คุณพอมีเวลาที่จะ….ได้ไหม
  • Please help me with ….. .
    โปรดช่วยฉันในเรื่อง
  • Is it possible for you to …….. ?
    คุณพอที่จะทำ…ได้ไหม
  • I was wondering if you could please show me how to ….. .
    ฉันไม่แน่ใจว่าคุณพอที่จะทำให้ฉันดูในวิธี…ได้ไหม
  • Do you have any free time on ….?
    คุณมีเวลาว่างที่จะ..ได้ไหม
  • Do you know anything about ….?
    คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ .. หรือเปล่า
  • I was having a problem with ……. Do you think you can help me?
    ฉันกำลังมีปัญหาในเรื่อง… คุณคิดว่าคุณจะสามารถช่วยฉันได้ไหม

ตัวอย่าง ประโยคที่เราเข้าหาไปผู้อื่น และขอให้ช่วยเหลือ

  • If you don’t mind, I could really use your assistance with …. ?
    หากคุณไม่ว่าอะไร ฉันพอจะให้คุณช่วยในเรื่อง…ได้ไหม
  • If you don’t mind, I really need your help with …. .
    หากคุณไม่ว่าอะไร ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณในเรื่อง….จริง ๆ
  • I know (that) you’re good at ….. , and I really could use some help.
    ฉันรู้ว่าคุณเก่งในเรื่อง …. และฉันพอที่จะขอความช่วยเหลือได้
  • I heard (that) you’re really good at …. . Is there any chance you could help me?
    ฉันได้ยินมาว่าคุณนั้นเก่งในเรื่อง…จริง ๆ คุณพอจะช่วยฉันบ้างได้ไหม
  • Is there any chance that you could give me a hand with ….?
    พอเป็นไปได้ไหมที่คุณจะช่วยฉันในเรื่อง…ได้
  • I heard that you have a lot of experience with ….. , and I could really use your help.
    ฉันได้ยินมาว่าคุณมีประสบการณ์อย่างมากในเรื่อง … ฉันน่าจะพอขอความช่วยเหลือจากคุณได้บ้าง

ประโยคเสนอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ

เมื่อเจอคนตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เราอยากแสดงความมีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ พูดได้หลายแบบ ดังนี้

  • Let me help you. ให้ฉันช่วยคุณนะ
  • Do you want any help? คุณต้องการความช่วยเหลือไหม?
  • Do you need a hand? คุณต้องการให้ช่วยไหม
  • What can I do for you? มีอะไรให้ช่วยบ้างหรือเปล่า
  • Is there anything I can do for you? มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยคุณได้บ้างไหม
  • If you want me to help, please let me know. ถ้าคุณอยากให้ช่วย บอกได้เลยนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


“กาแฟ” กับผลกระทบต่อ “ผู้ป่วยเบาหวาน” ที่ควรใส่ใจก่อนดื่ม

หลายคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟสักแก้ว และมีงานวิจัยหลายชิ้นที่น่าเชื่อถือได้รายงานว่า การดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ สิ่งนี้ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคนสงสัยว่า กาแฟ หรือคาเฟอีน อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพของพวกเขาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กาแฟไม่ได้มีแค่คาเฟอีนเท่านั้น แต่ยังมีสารเคมีอื่นๆ อีกมากมาย และจากการวิจัยในปัจจุบัน พบว่าสารเคมีบางชนิดในกาแฟมีผลดีต่อสุขภาพ ในขณะที่บางชนิดอาจมีผลกระทบด้านลบ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลกระทบของกาแฟต่อโรคเบาหวานและความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและนำไปประกอบการตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างเหมาะสม

กาแฟดีต่อสุขภาพจริงหรือ? ไขข้อสงสัยเรื่องกาแฟกับโรคเบาหวาน

กาแฟมีสารเคมีหลายชนิดที่ส่งผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป ทั้งคาเฟอีนและโพลีฟีนอล

  • โพลีฟีนอล:
    • เป็นโมเลกุลที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
    • เชื่อว่าช่วยป้องกันโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง
  • สารต้านอนุมูลอิสระ:
    • ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
    • ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอาจช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้

นอกจากนี้กาแฟยังมีแร่ธาตุแมกนีเซียมและโครเมียม การเพิ่มปริมาณแมกนีเซียมที่ได้รับมีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กาแฟมีสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ จึงไม่ใช่แหล่งแร่ธาตุที่เชื่อถือได้มากที่สุด

กาแฟกับความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2

จากการวิจัย พบว่าการดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ในการศึกษาขนาดใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2556 พบว่า ผู้ที่เพิ่มปริมาณการดื่มกาแฟมากกว่า 1 ถ้วยต่อวัน ในช่วงเวลา 4 ปี มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลง 11% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการดื่มกาแฟ การศึกษายังพบอีกว่า ผู้ที่ลดปริมาณการดื่มกาแฟมากกว่า 1 ถ้วยต่อวัน มีโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้น 17%

กาแฟ: ตัวช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2

ในการทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปีถัดมา นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์งานวิจัย 28 ชิ้น ซึ่งรวมถึงผู้เข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 1 ล้านคน ผลการวิจัยพบว่า ทั้งกาแฟที่มีคาเฟอีนและกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ หลักฐานที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องบ่งชี้ว่า การดื่มกาแฟอาจช่วยป้องกันภาวะนี้ได้

กาแฟส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินอย่างไร?

กาแฟดำดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ชื่นชอบกาแฟดำ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าคาเฟอีนในกาแฟอาจลดความไวต่ออินซูลิน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่ก็มีสารประกอบอื่นๆ ในกาแฟ โดยเฉพาะแมกนีเซียม โครเมียม และโพลีฟีนอล ที่อาจมีบทบาทในการปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน ซึ่งอาจหักล้างผลกระทบของคาเฟอีน

ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญบางคนจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารประกอบต่างๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความไวต่ออินซูลิน

กาแฟส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินอย่างไร?

การออกกำลังกาย

จากการศึกษาเบื้องต้นขนาดเล็กในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า การดื่มคาเฟอีนก่อนออกกำลังกายอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ การศึกษาอีกชิ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ชี้ให้เห็นว่าการรับประทานอาหารเสริมคาเฟอีนอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำระหว่างออกกำลังกายได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าสิ่งนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดขึ้นภายหลังได้

กาแฟกับโรคเบาหวาน: ประโยชน์และความเสี่ยงที่ต้องรู้

กาแฟมีสารเคมีหลายชนิดที่ส่งผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป บางชนิดมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในขณะที่บางชนิดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่ากาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน คำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์ยังคงมีความหลากหลาย งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าคาเฟอีนอาจลดความไวต่ออินซูลิน ในขณะที่สารเคมีที่มีประโยชน์อื่นๆ ในกาแฟอาจช่วยลดผลกระทบเหล่านี้ได้

ด้วยเหตุนี้แพทย์บางท่านจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนไปดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือกาแฟที่มีน้ำตาลหรือครีมเทียมสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน วิธีที่ดีที่สุดในการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพคือการดื่มกาแฟดำ หรือใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/03/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a46,500.0046,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,012.0045,661.9247,400.00
ทองรูปพรรณ 90%2,710.8041,095.73n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,409.6036,529.54n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,355.0020,541.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,054.0015,978.64n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,121.0047,314.36n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/03/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6535.1534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.2834.2834.7834.2834.2834.2834.2834.2834.2834.28
แก๊สโซฮอล์ E2032.4432.4432.9432.4432.4432.4432.4432.4432.44
แก๊สโซฮอล์ E8530.7930.7930.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.2449.8449.8449.8443.24
เบนซิน 9542.9449.8143.4443.0942.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า