สาระน่ารู้ประจำวันที่ 10 เมษายน 2568

อัปเดต กรมโยธาฯสั่งระงับใช้ 60 อาคารเสี่ยง ทั่วประเทศหลังแผ่นดินไหว  

อัปเดตล่าสุด ศรต.ยผ. กรมโยธาฯสั่งระงับใช้ 60 อาคาร สีแดงเสี่ยงอันตราย ทั่วประเทศ หลังแผ่นดินไหว  จาก จำนวนที่ตรวจสอบ 7,649 อาคาร

ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย  สรุปผลการตรวจสอบอาคารภาครัฐที่ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ตั้งแต่ วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2568 ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด

พบว่ามีอาคาร รวมทั้งสิ้น จำนวน 7,649 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 7,200 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 389 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 60 อาคาร

ทั้งนี้ได้แบ่งอาคารออกเป็น3กลุ่ม ได้แก่ อาคารกลุ่มที่ 1 ได้แก่ อาคารสาธารณะ อาคารชุมนุมคน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน อาคารราชการ ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบร่วมกับ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับการร้องขอ

สรุป ดำเนินการตรวจสอบอาคารภาครัฐ สะสมตั้งแต่ วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2568 จำนวน 202 หน่วยงาน จำนวน 600 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 544 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้     สีเหลือง จำนวน 54 อาคาร/ โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน  2อาคาร

อาคารกลุ่มที่ 2 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ โรงแรม คอนโดมิเนียม หอพัก ห้างสรรพสินค้าที่เป็นของภาคเอกชน อาคารเหล่านี้ เป็นอาคารที่ต้องมีการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารทุกปีอยู่แล้ว

ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองมีผู้ตรวจสอบอาคารที่ขึ้นทะเบียน จำนวนมากกว่า 2,600 ราย สามารถค้นหาผู้ตรวจสอบอาคารได้ผ่านเว็บไซต์กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานรับผิดชอบแจ้งเจ้าของอาคารให้ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ตามหนังสือสั่งการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้สั่งการใหกรุงเทพมหานคร

ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ตามมาตรา 32 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน โรงมหรสพ โรงแรมตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป โรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป

สถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป อาคารชุดหรืออาคารอยู่อาศัย รวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และป้าย ให้ดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคาร โครงสร้างของตัวอาคารและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ของตัวอาคารโดยด่วน และรายงานผลการตรวจสอบ

ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น (กรุงเทพมหานคร) ทราบ พร้อมมาตรการควบคุมกรณีพบว่าอาคารมีความชำรุดในระดับต่าง ๆ  เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้พักอาศัยและผู้ใช้อาคาร

หากเจ้าของอาคารไม่ดำเนินการจะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งกรุงเทพมหานครได้แจ้งเจ้าของอาคารภาคเอกชนที่ต้องทำการตรวจสอบตามกฎหมายแล้วจำนวนประมาณ 11,000 แห่ง เพื่อดำเนินการตรวจสอบอาคารและรายงานให้กรุงเทพมหานครทราบ ซึ่งมีการแจ้งว่าได้มีการตรวจสอบแล้วจำนวน 2,470 แห่ง

อาคารกลุ่มที่ 3 ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัย ตึกแถว ห้องแถว และอาคารทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพมหานครกรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนผ่าน Traffyfondue ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2568 ได้รับแจ้งทั้งหมด 18,837 เรื่อง และดำเนินการแล้วเสร็จ 17,983 เรื่อง

สำหรับอาคารในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้สั่งการให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ร่วมกับวิศวกรขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและวิศวกรอาสาของเอกชนในพื้นที่

ร่วมกันดำเนินการเช่นเดียวกับส่วนกลางและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยสั่งการให้มีการตรวจสอบอาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล หรืออาคารหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้อาคาร ปัจจุบันได้มีผลการตรวจสอบอาคารในส่วนจังหวัด 76 จังหวัด จำนวน 7,049 อาคาร

สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 6,656 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 335 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 58 อาคาร

 สรุปผลการตรวจสอบอาคารภาครัฐที่ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ตั้งแต่ วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2568 ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น จำนวน 7,649 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 7,200 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 389 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 60 อาคาร

นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองมีช่องทางให้เจ้าของอาคาร ผู้ตรวจสอบอาคาร หรือพี่น้องประชาชน สามารถรับทราบข้อมูลต่าง ๆ และให้คำปรึกษาผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ของกรมฯ สื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ ปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองเปิดสายด่วนสำหรับขอรับคำปรึกษาและแจ้งเหตุที่หมายเลข 1531 / 02 299 4191 และ 02 299 4312 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ กรมฯ ได้สร้างความเข้าใจถึงเกณฑ์แบ่งสีระดับสถานะโครงสร้างอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวขั้นต้น และข้อปฏิบัติหลังการตรวจสอบอาคาร ดังนี้

สีเขียว

– สถานะโครงสร้างอาคารที่ได้รับการตรวจสอบขั้นต้น : โครงสร้างอาคารมีความเสียหายเล็กน้อยหรือไม่มีความเสียหาย

– คำแนะนำการใช้อาคาร : สามารถใช้งานอาคารได้ตามปกติ

– ข้อปฏิบัติหลังการตรวจสอบอาคาร : เจ้าของอาคารควรเฝ้าระวังสภาพความเสียหายของอาคารที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง และหากตรวจสอบพบการเปลี่ยนแปลงหรือพบสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอาคารของหน่วยงาน และแจ้งวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบต่อไป

สีเหลือง

– สถานะโครงสร้างอาคารที่ได้รับการตรวจสอบขั้นต้น : โครงสร้างอาคารมีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้แต่ต้องระมัดระวังภัยจากเศษวัสดุร่วงหล่นจากชิ้นส่วนโครงสร้างและส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคาร

– คำแนะนำการใช้อาคาร : สามารถใช้งานอาคารได้ต่อไป (บางส่วนหรือทั้งหมด) และอาคารต้องได้รับ

การตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

– ข้อปฏิบัติหลังการตรวจสอบอาคาร : จัดหาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญดําเนินงานสำรวจความเสียหาย

อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อยืนยันความปลอดภัยในการใช้งานอาคารและกำหนดวิธีซ่อมแซมที่เหมาะสมต่อไป

สีแดง

– สถานะโครงสร้างอาคารที่ได้รับการตรวจสอบขั้นต้น : โครงสร้างอาคารมีความเสียหายอย่างหนัก

มีสภาพไม่ปลอดภัย

– คำแนะนำการใช้อาคาร : ห้ามใช้งานอาคาร

– ข้อปฏิบัติหลังการตรวจสอบอาคาร : การเข้าภายในอาคาร ต้องได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ รวมถึงต้องจัดหาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญดำเนินการสํารวจความเสียหายอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อกำหนดวิธีการซ่อมแชมที่เหมาะสม ก่อนเปิดให้ใช้อาคารต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กรุงเทพฯ ในวันวิกฤติ !!

ไม่น่าเชื่อว่าจู่ๆ จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่คนกรุงเทพฯ เคยเผชิญมา 28 มีนาคม 2568 จะถูกจดจำอีกครั้งว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่วิกฤติที่สุด ทุกคนต่างพากันหนีตาย

โดยเฉพาะในอาคารสูงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น “บ้าน” “ที่ทำงาน” “ห้างสรรพสินค้า” และเพื่อประโยชน์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายมากมาย ทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจของผู้คน ครั้งนี้จึงขอมาถอดบทเรียนจากประสบการณ์ครั้งนี้นะคะ

สำหรับอาคารชุดในกรุงเทพมหานครผุดขึ้นทุกปีอย่างรวดเร็ว ซึ่งในจำนวนนี้ มีอาคารชุดที่ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP เป็นผู้บริหารจัดการอยู่มากพอสมควร

หลักการอพยพที่ถูกต้อง

โชคดีที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในบ่ายวันศุกร์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในโครงการจึงมีจำนวนไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม นิติบุคคลฯ ก็ได้รีบแจ้งไปยังผู้พักอาศัยทันที รวมถึงกำชับให้ปฏิบัติตัวตามหลักการอพยพที่ได้ซักซ้อมกันเป็นประจำทุกปี โดยการทยอยเดินลงมาตามบันไดหนีไฟ ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรง จึงทำให้ไม่เกิดอาการตื่นตระหนก

หัวใจสำคัญคือโครงสร้างทุกระบบสามารถใช้งานได้ตามปกติ

หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผู้บริหารและฝ่ายจัดการฯ ได้เร่งนำทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบโครงการของบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN และ โครงการอื่นๆ ที่ LPP รับบริหารจัดการในทุกพื้นที่ เพื่อประเมินความเสี่ยงและให้ความช่วยเหลือ โดยทุกโครงการ ผู้พักอาศัยสามารถทยอยกลับเข้าห้องชุดได้ภายใน 6ชั่วโมง สำหรับโครงการที่มีความปลอดภัยไม่เพียงพอ ก็จะมีการจัดลำดับความเสี่ยง ประเมินความเสียหาย สร้างความเข้าใจกับเจ้าของร่วมและผู้อยู่อาศัย ซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 5 อาคาร จาก 250 โครงการที่ LPP บริหารจัดการ

Visual Inspection

และในวันรุ่งขึ้น 29 มีนาคม 2568 LPP และ LPN รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ได้จัดทีมวิศวกรและผู้ชำนาญการร่วมเข้าตรวจสอบอาคารแบบ Visual Inspection ซึ่งเป็นการตรวจองค์ประกอบและระบบสำคัญของอาคาร ตรวจสอบโครงสร้างอาคาร และพบว่า โครงการต่างๆ ที่ LPP บริหารจัดการอยู่ ส่วนใหญ่มีโครงสร้าง เสา และคานที่แข็งแรง ห้องเครื่องไม่พบความผิดปกติใดๆ แนวท่อสุขาภิบาล ระบบแก๊สและดับเพลิง ระบบไฟฟ้า ส่วนใหญ่ไม่พบความผิดปกติ ระบบลิฟต์โดยสารที่มีปัญหาบ้างก็เร่งแก้ไขให้สามารถใช้งานได้ และจะดำเนินการตรวจสอบผลกระทบในจุดต่างๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป

การประกันแบบ All Risk

ในทุกโครงการจะจัดซื้อการประกันในแบบ All Risk ซึ่งครอบคลุมในทุกด้าน เช่น การเกิดอัคคีภัยหรือการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ฯลฯ เจ้าของร่วมที่พบความเสียหายภายในห้องชุดจึงสามารถแจ้งข้อมูลความเสียหาย พร้อมภาพประกอบผ่านช่องทางที่จัดเตรียมขึ้น โดยบริษัทจะมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เจ้าของร่วมและผู้อยู่อาศัยได้รับข่าวสารอย่างถูกต้องและรวดเร็ว สำหรับความเสียหายใดๆ ก็ตาม ทั้งส่วนกลางและภายในห้องชุด เจ้าหน้าที่นิติบุคคลฯ จะรวบรวมเพื่อแจ้งเคลมประกันต่อบริษัทประกันภัย และนัดหมายเข้าซ่อมแซม ทั้งนี้ LPP ได้จัดประชุมร่วมกับตัวแทนประกันภัยทุกแห่ง เพื่อสร้างความเข้าใจในขั้นตอนและกระบวนการ เพื่อดูแลให้เจ้าของห้องชุดสามารถเคลมประกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว

ความน่ารักของคนไทยเรา

คือการไม่ทิ้งกัน โดยช่วยกันสื่อสาร บอกต่อ ร่วมฟันฝ่า ให้พ้นจากทุกวิกฤติ เราจะพบเห็นกรรมการนิติฯ ที่ร่วมเดินตรวจสอบความเสียหายของโครงการ การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่นิติฯ ตอบคำถามของเจ้าของร่วมเพื่อให้คลายความวิตก ทำให้ได้นอนหลับอย่างไร้ความกังวลเมื่อได้กลับถึง “บ้าน” เพราะเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องฝ่าฟันการจราจรที่แสนสาหัสมาอย่างแน่นอน 

ท่ามกลางวิกฤติ เราได้เรียนรู้ที่จะร่วมใจในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการเคาะห้องผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวใน ช่วงนั้นเพราะลูกหลานไปทำงาน แล้วพาลงบันไดหนีไฟมา บางคนขออุ้มผู้สูงอายุเพื่อให้อุ่นใจว่าการเร่งเท้าก้าวลงบันไดต่อๆ กันจะไม่สะดุดและเกิดอันตราย มีการชะลอฝีเท้าเพื่อไม่ให้ชนคนข้างหน้าระหว่างการลงบันไดหนีไฟ 

ท่ามกลางความวิตกกังวลของผู้พักอาศัยจึงมีคำถามต่างๆ นานา มีคำเรียกร้อง มีความคาดหวัง บ้างก็ต่อว่ารุนแรง ทีมงานของ LPP เข้าใจดีว่าสิ่งต่างๆ นี้เกิดจากความวิตกกังวล และเราตระหนักในใจเสมอว่าเจ้าของร่วมและผู้อยู่อาศัยทุกท่านคือคนสำคัญที่เราต้องใช้ใจในการดูแล ในช่วงเวลาเดียวกัน กรรมการนิติฯ หลายท่านส่งกำลังใจมาให้ทีมงาน ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากคนส่งมอบคำขอบคุณ รอยยิ้ม ที่มีความหมายท่วมท้นในแววตา การโอบกอดให้กำลังใจกัน 

ในฐานะผู้บริหารของ LPP ขอฝากกระซิบถึงลูกค้าที่น่ารักของเราว่า เมื่อวิกฤติและความกังวลผ่านไป ฝากดูแลทีมงานของ LPP ด้วย เพราะเรา คือชุมชนที่น่าอยู่ ห่วงใย อาทรกันและกันนะคะ ความสุขเล็กๆ ที่เราต่างเป็นผู้ให้และผู้รับในคราวเดียวกัน เป็นสิ่งที่ต่างชาติพากันชื่นชม “The Unity of Thai People”

อย่างไรก็ตาม สัญญาณเตือนจากโลกได้กระตุ้นเตือนมาเป็นระยะๆ แล้ว จากที่ไม่เคยเกิด ก็เริ่มเกิด และอาจจะส่งสัญญาณในด้านอื่นๆ ตามมา คงยังไม่สายที่จะร่วมกันดูแลสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินชีวิตของเรา “ปรับเปลี่ยน” วันนี้ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกหลานและ Generation ต่อไปนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10 เม.ย.“แข็งค่าขึ้นมาก” ที่ระดับ 34.17 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่หากกลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ชัดเจนอาจกลับเข้าสู่ช่วง Sideways หลังจากแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงคืนที่ผ่านมาจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10เม.ย.2568ที่ระดับ  34.17 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  34.58 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงคืนที่ผ่านมา

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญ คือ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ทว่า เรามองว่า ราคาทองคำก็อาจยังไม่ได้มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นไปมากนัก ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดในช่วงนี้

 อีกทั้ง ราคาทองคำก็ยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม กอปรกับ ในช่วงตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า ความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงสหรัฐฯ และจังหวะการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจพอช่วยหนุนให้ เงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง หรือ อย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways

 ทำให้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่หากเงินบาท (USDTHB) กลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ชัดเจน เงินบาทก็อาจกลับเข้าสู่ช่วง Sideways หรือมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

อนึ่ง เรามองว่า ในช่วงเดือนเมษายน จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม เงินบาทยังคงมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าที่สำคัญ อย่าง โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ

ทำให้เรามองว่า เงินบาทยังพอมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ แม้ว่า ตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้างในช่วงนี้ ทั้งนี้ แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะระงับการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้กับบรรดาประเทศคู่ค้า

ทว่าสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนเป็น 125% ทำให้เรามองว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังมีความร้อนแรงอยู่ ซึ่งอาจกดดันให้ เงินหยวนจีนมีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways

ซึ่งในช่วงนี้ เงินบาทก็เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน (โดยเฉพาะ เงินหยวน Offshore) สูงกว่า 70% ทำให้ หากเงินหยวนจีนอ่อนค่าลง ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย และเงินบาทได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.35 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.94-34.69 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายลงบ้าง หลังล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นเวลา 90 วัน กับบรรดาประเทศต่างๆ

ยกเว้นจีน ที่สหรัฐฯ ได้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 125% เพื่อตอบโต้มาตรการทางการค้าล่าสุดของทางการจีน ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) กดดันการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงสหรัฐฯ ที่กลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ทยอยอ่อนค่าลง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงเช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับบรรดาประเทศต่างๆ เป็นเวลา 90 วัน

(ทว่าสินค้าจากจีนจะเผชิญภาษีนำเข้าในอัตราใหม่ที่สูงขึ้นเป็น 125%) ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้หุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างรีบาวด์ขึ้นแรง อาทิ Tesla +22.7%, Nvidia +18.7%  ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น +9.52%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงกว่า -3.50% ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ทว่า ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) บรรดาผู้เล่นในตลาดก็เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจาก สัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นยุโรปล่าสุด อาทิ สัญญาฟิวเจอร์สดัชนี STOXX50 ที่พุ่งขึ้นกว่า +8.8%

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการปรับลดความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน (ยกเว้นกับจีน)

ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลง จากแรงซื้อของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.28%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลง และการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 102.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.8-103.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะปรับตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) สามารถแกว่งตัวแถวโซน 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะการจ้างงานของสหรัฐฯ

พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (ลดลงจากที่เคยมองว่า เฟดอาจต้องลดดอกเบี้ย 4-5 ครั้ง ในปีนี้)

ส่วนในฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง อาจส่งผลให้ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.50%

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน หลังทางการสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนเป็น 125% 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.16-34.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.07 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทพลิกแข็งค่ากลับมาสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียหลายสกุล หลัง ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศชะลอการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ให้กับทุกประเทศ (ยกเว้นจีน) เป็นเวลา 90 วัน นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.00-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบด้วย จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ผลบอลแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีม: เปแอสเช ควง บาร์เซโลนา เปิดบ้านเฮก่อนนัดแรก

ผลการแข่งขันฟุตบอลยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 2024/25 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อคืนวันพุธที่ 10 เม.ย. 68 ผ่านมา มีแข่งขันกัน 2 คู่

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3-1 แอสตัน วิลลา

เปแอสเช เอาชนะ แอสตัน วิลลา 3-1 ในเลกแรกที่สนามปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ โดย แอสตัน วิลลา ได้ประตูนำก่อนจาก มอร์แกน โรเจอร์ส ในนาทีที่ 35 แต่ เปแอสเช ตีเสมออย่างรวดเร็วด้วยประตูของ เดซิเร ดูเอ ในนาทีที่ 19

ครึ่งหลัง ควิชา ควารัตสเคเลีย ทำประตูให้ เปแอสเช ขึ้นนำ และ นูโน เมนเดส ยิงประตูที่สามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ เปแอสเช ชนะ 3-1 ก่อนพบกันนัดสองที่บ้านของ แอสตัน วิลลา ในวันอังคารที่ 15 เม.ย.ต่อไป

บาร์เซโลนา 4-0 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

บาร์เซโลนา โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4-0 ในเลกแรกของรอบก่อนรองชนะเลิศ ราฟินญา ทำประตูแรกในนาทีที่ 25 ตามด้วยสองประตูของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในนาทีที่ 48 และ 66

ลามีน ยามาล ปิดท้ายลูกสี่ในนาทีที่ 77 ชัยชนะนี้ทำให้ บาร์เซโลนาเข้า ใกล้การเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยนัดสองจะกลับไปเตะที่บ้านของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในวันอังคารที่ 15 เม.ย.ต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


6 กลุ่มเสี่ยง “ฮีตสโตรก” อันตรายที่มาทุกหน้าร้อน

เตือนระวัง กลุ่มเสี่ยงฮีตสโตรก อันตรายจากอากาศร้อน ระวังป่วยโรคฮีตสโตรก โดยเฉพาะ 6 กลุ่มเสี่ยง ขอให้ดูแลสุขภาพของตนเองและหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดที่ร้อนจัด

“ฮีตสโตรก” หรือ โรคลมแดด เป็นภาวะอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทันทีเมื่อร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป ภาวะนี้อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที วันนี้จะพาไปรู้จักอาการของฮีตสโตรก วิธีป้องกัน และแนวทางการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยในวันที่อากาศร้อนจัด

ฮีตสโตรก คืออะไร?

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้สภาพอากาศโดยทั่วไปมีอุณหภูมิสูงขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอาจเจ็บป่วยจากโรคฮีตสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดได้

อาการของฮีตสโตรก

ฮีตสโตรก มีอาการสำคัญ ได้แก่ 

  • ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส
  • หน้ามืด 
  • เพ้อ กระสับกระส่าย 
  • มึนงง 
  • หายใจเร็ว 
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ 
  • ชัก เกร็ง 
  • ช็อก หมดสติ 

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

6 กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยง โรคฮีตสโตรก

  1. ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เช่น ผู้ที่ทำงานก่อสร้างหรือออกกำลังกาย
  2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว
  3. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง
  4. ผู้ที่มีภาวะอ้วน
  5. ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งผู้ที่มีภาวะอ้วนและนอนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อกลไกควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
  6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก โดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม ซึ่งในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว และออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้

วิธีลดความเสี่ยงภาวะฮีตสโตรก

  1. สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี
  2. ควรอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
  3. ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้งนานๆ
  4. สวมแว่นกันแดด กางร่ม สวมหมวกปีกกว้าง
  5. ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ เพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกายจากเหงื่อออก
  6. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  7. อย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดไว้กลางแจ้ง เนื่องจากอุณหภูมิภายในรถจะสูงกว่าภายนอก ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย ควรเลือกในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศไม่ร้อนมาก และเป็นเวลาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากสงสัยผู้มีอาการเจ็บป่วยจากภาวะอากาศร้อน ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยให้ดื่มน้ำเย็นและเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ให้อยู่ในที่ระบายอากาศที่ดี ถ้ามีอาการรุนแรงหรือหมดสติควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อาลีบาบารุกตลาดโลก เตรียมปล่อย ‘Qwen-3’ พร้อมขยายบริการ AI ในสิงคโปร์

อาลีบาบาทุ่มงบ 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ พัฒนาคลาวด์ และเอไอใน 3 ปี พร้อมเปิดบริการผ่านสิงคโปร์ เตรียมเปิดตัวโมเดล ‘Qwen-3’ และบริการเอไอใหม่หลายรายการ ใช้กลยุทธ์ราคาประหยัดท้าชนยักษ์เอไอตะวันตก

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจบริการคลาวด์ยักษ์ใหญ่จากจีน ประกาศแผนขยายบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับลูกค้าต่างประเทศอย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดลูกค้าในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น โดยเริ่มให้บริการผ่านศูนย์ข้อมูลของอาลีบาบาในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเพิ่มทางเลือกการให้บริการแบบแพลตฟอร์ม (platform-as-a-service)

การให้บริการผ่านศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ช่วยให้อาลีบาบาสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบของจีน นอกจากนี้ ด้านกลยุทธ์ราคา อาลีบาบาเสนอบริการในราคาที่ค่อนข้างต่ำกว่าตลาด เช่น เครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะสำหรับนักพัฒนาในราคาเพียง 1 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อดึงดูดผู้ใช้

อาลีบาบาปรับปรุงโมเดลเอไอขนาดใหญ่ของตัวเองหลายตัว ได้แก่ Qwen-Max และ QwQ-Plus โมเดลที่เน้นการใช้เหตุผล มีลักษณะคล้ายกับโมเดล DeepSeek นอกจากนี้ยังมีบริการใหม่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ได้แก่

  • AI Doc: เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และจัดการเอกสารหลากหลายรูปแบบ เช่น รายงานธุรกิจ คู่มือ และแหล่งข้อมูลอื่นๆ
  • Smart Studio: บริการสร้างเนื้อหาด้วยเอไอแบบสร้างสรรค์ ทั้งข้อความ ภาพ และวิดีโอ

ตามรายงานของ Bloomberg อาลีบาบากำลังเตรียมเปิดตัวการอัปเกรดที่สำคัญในเดือนเม.ย. โดยจะเปิดตัวโมเดลเรือธงรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Qwen 3” ซึ่งคาดว่าจะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า

นอกจากนี้ สำนักงานใหญ่ของอาลีบาบาที่ตั้งอยู่ในเมืองหางโจวของจีน ยังได้เปิดตัวผู้ช่วยเอไอเวอร์ชันใหม่ที่ชื่อว่า Quark ซึ่งเป็นเครื่องมือที่รวมความสามารถหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาแบบแชตบอตที่ช่วยตอบคำถาม และให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงลึกที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Quark เป็นเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่ครบวงจรมากขึ้น

อาลีบาบา คลาวด์ เป็นหนึ่งในธุรกิจสำคัญของอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ในวงการค้าปลีกออนไลน์ของจีน โดยเมื่อเดือนก.พ. กลุ่มบริษัทแม่ได้ประกาศว่าจะลงทุนอย่างน้อย 380,000 ล้านหยวน (ประมาณ 52,000 ล้านดอลลาร์) ในโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ และเอไอในช่วงสามปีข้างหน้าซึ่งมากกว่างบประมาณที่เคยลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา 

ในสนามการแข่งขันด้านบริการคลาวด์ระดับโลก อาลีบาบา คลาวด์ แม้จะเป็นผู้นำตลาดในประเทศจีน แต่ยังคงตามหลังยักษ์ใหญ่จากตะวันตกอย่าง Amazon Web Services และ Microsoft ที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลกอยู่ในขณะนี้ 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจเมื่อบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเริ่มนำเสนอบริการเอไอในราคาที่ประหยัดกว่ามาก ตัวอย่างเช่น DeepSeek โมเดลเอไอจากสตาร์ตอัปจีน ที่สามารถผลิตโมเดลเอไอประสิทธิภาพสูง แต่ใช้ต้นทุนในการพัฒนา และดำเนินการที่ต่ำกว่าบริษัทในซิลิคอน วัลเลย์

การที่อาลีบาบา คลาวด์ ขยายบริการสู่ตลาดต่างประเทศในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามธรรมดาในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในตลาดเทคโนโลยีเอไอระดับโลก

เพราะเมื่อผู้ให้บริการจากจีนสามารถนำเสนอบริการที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่ามาก อาจทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกหันมาพิจารณาทางเลือกจากบริษัทจีนมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


30 สำนวนภาษาอังกฤษ ได้ใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน

การเข้าใจ สำนวนภาษาอังกฤษ จะช่วยให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น เราได้รวบรวม 30 สำนวนภาษาอังกฤษที่มีความหมายแตกต่างกันและนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

ความรู้และความเข้าใจในความหมายสำนวนภาษาอังกฤษ (idiom) จะช่วยให้เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถสื่อสารได้มีประสิทธิภาพคล้ายกับเจ้าของภาษาได้มากขึ้น สำนวนภาษาอังกฤษ จะมีคำศัพท์หรือประโยคสั้น ๆ ที่มีความหมายแตกต่างจากความหมายหลักของคำศัพท์แต่ละคำที่ใช้ในสำนวนนั้น ๆ วันนี้เราได้รวบรวม 30 สำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้ในการทำงาน สำนวนที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน และสำนวนบอกรักมาไว้ให้ในบทความนี้

สำนวนภาษาอังกฤษ ในการทำงาน

  1. Work for peanuts = การทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนน้อย
  • He’s been working there for years, he’s still working for peanuts.
  1. Burning the midnight oil = ทำงานดึกดื่น
  • The team burned the midnight oil to finish the presentation for the meeting tomorrow.
  1. Go the extra mile = ทำเกินกว่าที่คาดไว้
  • To ensure customer satisfaction, our support team always goes the extra mile.
  1. On the same page = เข้าใจ คิดเห็นไปในแนวทางเดียวกัน
  • It’s important that we’re all on the same page before we proceed with the plan.
  1. Get the Sack = โดนไล่ออก
  • If you keep missing deadlines, you might get the sack.
  1. Hit the ground running = เริ่มงานด้วยความกระตือรือร้นและทำงานได้ดี
  • When she joined the team, she hit the ground running and immediately made an impact.
  1. Bring to the table = นำเสนอ
  • What new ideas can you bring to the table for our upcoming project?
  1. pass the buck = โยนความรับผิดชอบหรือความผิดให้ผู้อื่น
  • The manager was known for passing the buck whenever a project failed, blaming his team instead of himself.
  1. To give it your best shot = พยายามให้เต็มที่
  • We’re not sure if the new marketing strategy will work, but let’s give it our best shot.
  1. Climbing the corporate ladder = ไต่เต้าขึ้นไปในองค์กรหรือหน้าที่การงาน
  • He’s focused on climbing the corporate ladder and becoming a manager within the next two years.

สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

  1. Piece of cake = ง่ายมาก
  • The test was a piece of cake.
  1. Judge a book by its cover = ตัดสินแต่เพียงภายนอกที่เห็น
  • We shouldn’t judge a book by its cover; the restaurant might look shabby, but the food is amazing.
  1. Once in a blue moon = นาน ๆ ครั้ง
  • He visits his family once in a blue moon.
  1. Let the cat out of the bag = เผยความลับออกมา
  • Who let the cat out of the bag about the surprise party?
  1. Stab someone in the back = หักหลัง ทรยศ
  • I thought I could trust him, but he stabbed me in the back by spreading rumors about me.
  1. Let someone off the hook = ปล่อยให้คน ๆ นั้นไม่ต้องรับผิดชอบ
  • I’ll let you off the hook this time, but don’t let it happen again.
  1. Miss the boat = พลาดโอกาส
  • I didn’t apply in time and now I’ve missed the boat.
  1. Face the music = เผชิญหน้ากับความจริง
  • It’s better to confess and face the music now rather than let the situation get worse.
  1. Sit on the fence = ลังเลใจ
  • You can’t sit on the fence any longer—you need to choose a side.
  1. up in the air = ไม่แน่นอน
  • Our travel plans are still up in the air because we haven’t decided on a destination yet.

สำนวนบอกรักในภาษาอังกฤษ

  1. You’ve stolen my heart. เธอขโมยหัวใจฉันไป
  2. You’re the apple of my eye. เธอคือคนที่ฉันรักมากที่สุด
  3. I’m smitten with you. ฉันตกหลุมรักเธอ
  4. I’m head over heels for you. ฉันหลงรักเธอหมดหัวใจ
  5. You mean the world to me. เธอมีความหมายกับฉันมาก
  6. I’m crazy about you. ฉันคลั่งไคล้เธอ
  7. You take my breath away. เธอสวยหรือมีเสน่ห์มาก
  8. You are the love of my life. เธอคือรักของฉันในชีวิตนี้
  9. You made my day. คุณทำให้วันของฉันสดใส
  10. You light up my life. เธอทำให้ชีวิตฉันสว่างไสว

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


8 อาหารบำรุงสายตา และสุขภาพดวงตา ที่ไม่ใช่แครอทเท่านั้น

ประสาทสัมผัสทั้งห้า (การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส การดมกลิ่น และการรับรส) ล้วนมีความสำคัญต่อการเชื่อมต่อกับโลกที่อยู่รอบตัวเรา อย่างไรก็ตามผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าคนทั่วไปมองว่าการมองเห็นเป็นประสาทสัมผัสที่มีค่ามากที่สุด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับผู้ที่มีสายตาปกติ ความประทับใจแรกส่วนใหญ่ของเราและการรับรู้สภาพแวดล้อมรอบข้างนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของดวงตา การมองเห็นยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการเรียนรู้เกิดขึ้นผ่านเส้นทางประสาทตา และต่อไปนี้คือ 8 อาหารบำรุงสายตา และสุขภาพดวงตา ที่อยากแนะนำ

8 อาหารบำรุงสายตา และสุขภาพดวงตา

1. ปลาแซลมอน: แหล่งโอเมก้า 3 เพื่อสุขภาพดวงตา

กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่รู้จักกันดีในด้านการบำรุงสุขภาพสมอง อย่างกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) และกรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตา และปลาแซลมอนก็อุดมไปด้วยกรดไขมันเหล่านี้

“ปลาที่มีไขมันสูงมี DHA และ EPA ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตาตั้งแต่ในครรภ์” Ehsani อธิบาย “ในระหว่างการพัฒนาของทารกในครรภ์และในช่วงสองสามวันแรกของชีวิต ดวงตาจะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ DHA” คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์สามารถเริ่มต้นดูแลสุขภาพดวงตาของลูกน้อยได้โดยการรับประทานปลาแซลมอนระหว่างตั้งครรภ์

แม้ว่าประโยชน์ต่อดวงตาของ DHA และ EPA ที่พบในปลาแซลมอนจะเริ่มตั้งแต่ก่อนคลอด แต่ความสำคัญของสารอาหารเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปตลอดชีวิต “ในผู้ป่วยเบาหวาน การรับประทานปลาที่มีน้ำมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีน สัปดาห์ละสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าสามารถลดความเสี่ยงของความเสียหายต่อจอประสาทตาจากภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้” Kulp อธิบาย

Ehsani กล่าวว่าปลาแซลมอนเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย DHA มากที่สุด และเสริมว่ายังเป็นแหล่งของวิตามินเอและสังกะสี ซึ่งเป็นสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา “มีอาหารเพียงไม่กี่ชนิดที่จะให้สารอาหารบำรุงสายตาได้ครบถ้วนเช่นนี้” เธอกล่าว

2.บลอกโคลี: พลังผักเขียวบำรุงสายตา

บลอกโคลีมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมถึงความสามารถในการปกป้องสุขภาพดวงตา ประการแรก บลอกโคลีอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชันในดวงตาและช่วยป้องกันต้อกระจก จากการวิจัยพบว่า บลอกโคลีดิบ 1 ถ้วย มีวิตามินซี 81.2 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90% ของปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ชาย และมากกว่า 100% สำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้ บลอกโคลียังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในบลอกโคลีอาจช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ จากการทบทวนในเดือนกรกฎาคม 2566

ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในบลอกโคลีไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สารอาหารที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันในชื่อซัลโฟราเฟน (sulforaphane) อาจช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อดวงตาของบลอกโคลีได้เช่นกัน นักโภชนาการที่ขึ้นทะเบียน Lexi Moriarty, RDN, CSSD กล่าวว่า “ซัลโฟราเฟนมีผลต่อกระบวนการเกิดโรคบางชนิด และได้รับการแสดงให้เห็นว่ามีผลดีต่อความคืบหน้าของโรคในความผิดปกติของดวงตาที่พบบ่อย เช่น ต้อหิน”

3.มันเทศ: แหล่งเบต้าแคโรทีนที่เหนือกว่าแครอท

แครอทครองตำแหน่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพดวงตามาอย่างยาวนาน นั่นเป็นเพราะแครอทอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นรงควัตถุที่ให้สีส้มสดใสแก่ผักสีส้ม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแครอทจะมีเบต้าแคโรทีนสูง แต่จริงๆ แล้วมันเทศมีเบต้าแคโรทีนมากกว่า แครอทต้มหนึ่งหน่วยบริโภคให้เบต้าแคโรทีน 8.3 มิลลิกรัม ในขณะที่มันเทศอบในปริมาณเท่ากันมีเบต้าแคโรทีนถึง 11.5 มิลลิกรัม

“เบต้าแคโรทีนมีประโยชน์เพราะร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอ ซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็นที่ดี” Ehsani อธิบาย เธอกล่าวเสริมว่าเบต้าแคโรทีนในมันเทศช่วยให้ดวงตาของคุณปรับตัวในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น

เพื่อให้ได้รับเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีจากมันเทศมากที่สุด Harvard T.H. Chan School of Public Health แนะนำให้ต้มมันเทศทั้งเปลือก

4.ถั่ววอลนัท: พลังแห่งสารอาหารบำรุงดวงตา

ถั่ววอลนัทเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมสำหรับสุขภาพดวงตาและการมองเห็น เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินอี สังกะสี และกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วอลนัทมีกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ในรูปแบบพืช Kulp กล่าว ALA สามารถถูกร่างกายเปลี่ยนเป็น DHA และ EPA ได้ ดังนั้นวอลนัทจึงเป็นแหล่งโอเมก้าที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติที่ไม่ได้รับประทานปลาที่มีไขมัน

ALA ในวอลนัทอาจมีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ALA อาจช่วยปรับปรุงภาวะตาแห้งและภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวาน

Kulp อธิบายว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจส่งผลเสียต่อหลอดเลือดในดวงตา ดังนั้นอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ จึงสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพดวงตาในผู้ป่วยเบาหวานได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากสารอาหารเหล่านี้แล้ว Kulp ยังกล่าวถึงวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ทั่วไปในไขมันดี วิตามินอีและสารโพลีฟีนอลอื่นๆ ในวอลนัทช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ เธอกล่าว วอลนัทยังมีสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความเข้มข้นสูงในจอประสาทตา

5.ไข่แดง: อาหารเช้ายอดนิยมที่บำรุงสายตา

ไข่ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารเช้ายอดนิยมของชาวอเมริกัน อาจเป็นตัวเลือกที่ดีในการบำรุงสายตาของคุณ “ไข่แดงเป็นแหล่งของแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ลูทีน ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สูง” Moriarty อธิบาย “ลูทีนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ”

จากการศึกษาติดตามผลเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 พบว่าการบริโภคไข่ในปริมาณที่พอเหมาะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุในระยะท้ายได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสารอาหารชั้นนำเพื่อสุขภาพดวงตา ประโยชน์ของลูทีนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทั้งลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์อีกชนิดหนึ่งที่พบในไข่ สามารถปรับปรุงระดับเม็ดสีมาคูลาต่ำในผู้สูงอายุได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ซึ่งทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดในที่สุด

Moriarty อ้างถึงงานวิจัยเก่าชิ้นหนึ่งที่พบความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคไข่และการเพิ่มขึ้นของเม็ดสีมาคูลาในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ไข่แดงยังเป็นแหล่งของสารอาหารบำรุงสายตาอื่นๆ เช่น สังกะสีและวิตามินเอ

6.เคล และผักใบเขียวเข้มอื่นๆ: สุดยอดแหล่งลูทีนและซีแซนทีน

สถาบันโภชนาการและการกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา (Academy of Nutrition and Dietetics) ยกให้เคลเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพดวงตา เช่นเดียวกับผักใบเขียวเข้มอื่นๆ อย่างผักคอลลาร์ด ผักกาดเขียว และผักโขม ในทำนองเดียวกัน สถาบันจักษุแห่งชาติ (National Eye Institute) ยังชี้ให้เห็นว่าเคลดีต่อดวงตามากกว่าแครอทเสียอีก

เคลมีสารต้านอนุมูลอิสระลูทีนและซีแซนทีนในปริมาณที่สูงเป็นพิเศษ จึงอาจช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อตาที่เกิดจากแสงแดด และลดความเสี่ยงของปัญหาเกี่ยวกับดวงตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ Moriarty แนะนำผักใบเขียวเข้มที่อุดมไปด้วยลูทีน เช่น เคล โดยระบุว่าแคโรทีนอยด์เหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดถาวรได้

7.หญ้าฝรั่น: เครื่องเทศสีแดงสดใสเพื่อดวงตาสุขภาพดี

หญ้าฝรั่นเป็นสมุนไพรสีแดงสดที่ได้มาจากดอกหญ้าฝรั่น มีกระบวนการเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้แรงงานมาก เนื่องจากดอกแต่ละดอกให้เส้นหญ้าฝรั่นเพียงไม่กี่เส้น จึงมีราคาสูง แต่ถ้าคุณสามารถหามาได้ หญ้าฝรั่นถือเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพดวงตา

“หญ้าฝรั่นมีบทบาทหลายประการในการปกป้องสุขภาพดวงตา” Kulp กล่าว “มีการแสดงให้เห็นว่าสามารถลดความดันลูกตาในผู้ป่วยต้อหิน ปกป้องจอประสาทตาในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และปรับปรุงการมองเห็นในผู้ที่มีภาวะจอประสาทตาเสื่อมในระยะเริ่มต้น”

ไม่น่าแปลกใจที่หญ้าฝรั่นมีสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจอธิบายถึงประโยชน์มากมายต่อดวงตา จากการทบทวนในเดือนสิงหาคม 2563 มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนความสามารถในการรักษาของหญ้าฝรั่นในการช่วยรักษาโรคตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุและต้อหิน

8.พริกหวาน: แหล่งวิตามินซีสูงเพื่อดวงตาสดใส

พริกหวานอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อสุขภาพดวงตา ที่จริงแล้ว พริกหวานสีแดงขนาดเล็กเพียงผลเดียวก็มีปริมาณวิตามินซีเพียงพอต่อความต้องการรายวันของคนที่มีสุขภาพดี สารอาหารนี้ยังมีส่วนช่วยในการป้องกันต้อกระจกอีกด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยนักวิจัยจาก King’s College London พบว่าอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกถึง 20% และยังพบว่าสามารถชะลอการลุกลามของต้อกระจกในผู้เข้าร่วมการวิจัยบางรายได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/04/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a50,350.0050,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,261.0049,436.7651,250.00
ทองรูปพรรณ 90%2,934.9044,493.08n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,608.8039,549.41n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,467.0022,246.54n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,141.0017,302.87n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,379.0051,229.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/04/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9533.1533.1533.6533.1533.1533.1533.1533.1533.1533.15
แก๊สโซฮอล์ 9132.7832.7833.2832.7832.7832.7832.7832.7832.7832.78
แก๊สโซฮอล์ E2030.9430.9431.4430.9430.9430.9430.9430.9430.94
แก๊สโซฮอล์ E8529.2929.2929.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.7448.8449.8448.8441.74
เบนซิน 9541.4448.8141.9441.5941.44
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า