สาระน่ารู้ประจำวันที่ 21 เมษายน 2568

ถอดรหัสตลาดที่อยู่อาศัยEEC จุดเปลี่ยน หรือ จุดพักใหญ่?

ถอดรหัสตลาดที่อยู่อาศัยEEC จุดเปลี่ยน หรือ จุดพักใหญ่ หลังโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยส่งสัญญาณชะลอตัวจากปีก่อนหน้าทั้งในแง่จำนวนและมูลค่าติดลบ 6.7% และ7.8% ตามลำดับ

พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC)เป็น”ขุมทรัพย์เมืองใหม่”ที่นักลงทุนไทยและต่างชาติสนใจ ทว่าตัวเลขจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยล่าสุดได้สะท้อนว่าภาพเศรษฐกิจไม่ได้โตแบบก้าวกระโดดเหมือนในอดีตอีกต่อไป!โดยในปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวม 48,095 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 119,663 ล้านบาท”ลดลง”จากปีก่อนหน้าทั้งในแง่จำนวน -6.7% และมูลค่า -7.8% ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณการชะลอตัวที่ต้องจับตามอง!

แนวราบครองตลาดแต่ชะลอตัว

ตัวเลขจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบ ยังคงเป็นขวัญใจของผู้บริโภค ด้วยสัดส่วนถึง 68.8% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด แต่ก็ลดลงถึง -8.7% ในด้านจำนวน และ -6.3% ในด้านมูลค่า เทียบกับปี 2566 ส่วน อาคารชุด/คอนโด แม้จะครองสัดส่วน 31.2% แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นภาวะตกต่ำ ลดลง -1.9% ในจำนวน และหนักถึง -11.1% ในมูลค่า

การลดลงนี้ ไม่ได้สะท้อนแค่กำลังซื้อที่ลดลง แต่ยังอาจชี้ให้เห็นถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ระมัดระวังมากขึ้น พร้อมเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ “ตอบโจทย์” มากกว่าแค่ทำเลดีหรือราคาโดนใจ

ชลบุรี รั้งแชมป์ 

เมื่อแยกดูตามจังหวัด ชลบุรียังคงเป็น “แม่เหล็กหลัก” ของ EEC ด้วยยอดการโอนกรรมสิทธิ์ 32,797 หน่วย มูลค่า 85,983 ล้านบาท ถึงแม้จะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงนำโด่ง เหตุผลคือการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และแหล่งงาน ทาวน์เฮ้าส์ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดในชลบุรี คิดเป็นกว่า 7,875 หน่วย สะท้อนภาพของผู้ซื้อกลุ่ม middle-class ที่ยังคงมองหา “บ้านในเขตอุตสาหกรรม” ที่จับต้องได้

ระยอง – ฉะเชิงเทราทรงตัว

 ระยองและฉะเชิงเทรามีสัญญาณ”หดตัว” โดยเฉพาะฉะเชิงเทราที่ลดลงถึง -16% ในด้านจำนวน และ -17.1% ในด้านมูลค่า ซึ่งอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการดึงดูดประชากรแฝงที่น้อยกว่าชลบุรี

บ้านใหม่ vs มือสอง

    แม้ในแง่จำนวน บ้านมือสองจะยังคงเหนือกว่าบ้านใหม่สัดส่วน 59:41 แต่มูลค่าการโอนเริ่มใกล้เคียงกันบ้านใหม่ 49% vs มือสอง 51% ซึ่งอาจบอกเราได้อย่างหนึ่งว่า “บ้านใหม่กำลังกลายเป็นของที่น่าลงทุน” มากขึ้นในสายตาผู้บริโภค ในปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ 13,606 หน่วย 41,771 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองอยู่ที่ 19,491 หน่วย 42,842 ล้านบาท แนวโน้มนี้อาจสะท้อนทั้งคุณภาพการก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์มากขึ้น หรือแม้แต่โปรโมชั่นของผู้ประกอบการที่แข่งขันกันดุเดือดมากกว่าตลาดมือสอง

บ้าน2 –3 ล้านได้รับความนิยมสูงสุด

 กลุ่มราคาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือช่วง 2– 3ล้านบาท ทั้งในแง่จำนวนและมูลค่า ซึ่งตอกย้ำว่า “กลุ่มชนชั้นกลาง” ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดอสังหาฯ แนวราบใน EECโดยมีมูลค่าการโอนสูงถึง 26,743 ล้านบาท คิดเป็น 31.6% ของมูลค่าทั้งหมดในปี 2567แม้ภาพรวมของปี 2567 จะดูเป็นปีแห่งการ “พักฐาน” ของตลาด แต่คาดการณ์สำหรับปี 2568 กลับเต็มไปด้วยความหวัง ว่าจะมีการฟื้นตัวทั้งในแง่ จำนวน เพิ่มขึ้น 2.4%และ มูลค่า เพิ่มขึ้น 1.2%

โดยมีการคาดการณ์หน่วยโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 49,259 หน่วย และมูลค่ารวมราว 121,137 ล้านบาทนี่คือสัญญาณบวกเล็ก ๆ ว่าตลาดอาจกำลัง “ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป” แทนที่จะกลับมาแบบพุ่งแรงในทันที

แม้เสียงแห่งความคึกคักของตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน EEC จะเบาลงในปี 2567 แต่สำหรับนักลงทุนที่มองเห็น “โอกาส” มากกว่าแค่ “ราคา”ทำ ปีนี้อาจเป็นปีที่น่าจับตาไม่น้อยเพราะบางครั้ง ตลาดที่เงียบที่สุด ก็คือช่วงที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด… สำหรับคนที่ “มองออก”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เทรนด์คอนโดปี68 เมื่อผู้ซื้อ เน้นคุณค่า –ไลฟ์สไตล์มากกว่าราคา

“คอลลิเออร์ส ประเทศไทย” ชี้เทรนด์คอนโดปี68 เมื่อผู้ซื้อ เน้นคุณค่า –ไลฟ์สไตล์ ดีมานด์เฉพาะกลุ่ม วิวแม่น้ำ คอนโดแคมปัส ใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่ราคาถูกหรือทำเลใกล้รถไฟฟ้า

ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 แม้ปีนี้จะไม่เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงหรือแรงกระเพื่อมในวงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ตัวเลขที่ปรากฏในช่วง 3 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา

กลับซ่อนสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่อาจกำหนดอนาคตของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไปอีกหลายปีข้างหน้า แม้จะไม่มีข่าวฮือฮา หรือยอดขายแบบ sold out ภายในไม่กี่วันเหมือนในอดีต

ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 14 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมทั้งหมดประมาณ 19,837 ล้านบาท ด้วยอุปทานเปิดขายใหม่ทั้งหมด  5,656 ยูนิต

ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 72.1% แต่พบว่าจากอุปทานเปิดขายใหม่ทั้งหมดสามารถขายได้เพียง 2,110 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายเฉลี่ย 37%  เท่านั้น

แม้จะยังไม่เรียกว่า “แย่” ในเชิงตัวเลข ถือว่าห่างไกลจากภาพของตลาดคอนโดมิเนียมในยุคทอง ที่อัตราการขายช่วงเปิดตัวเคยพุ่งสูงถึง 60–70% อย่างต่อเนื่อง และตัวเลขเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงข้อมูลธรรมดา

คือกระจกสะท้อนความเป็นจริงชุดใหม่ที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญอย่างตรงไปตรงมา ความเป็นจริงที่ผู้บริโภคไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่ราคาถูกหรือทำเลใกล้รถไฟฟ้าอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นดีมานด์เฉพาะกลุ่มที่มองหาสิ่งที่ตอบโจทย์เฉพาะตัวมากกว่า ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ มีพฤติกรรมที่แตกต่าง

พวกเขามองหาที่อยู่อาศัยที่ใช้ชีวิตได้จริงมากกว่าการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น และพวกเขายินดีจะรอ หากยังไม่เจอโครงการที่ “ใช่จริง” สิ่งที่น่าสนใจคือ ในขณะที่โครงการในย่านชานเมืองเปิดตัวหนาแน่นแต่กลับขายได้น้อย โครงการที่มีจุดขายเฉพาะตัว เช่น วิวแม่นํ้า ทำเลติดศูนย์ธุรกิจ หรืออยู่ในโซนที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชัดเจน

นั่นหมายความว่าในยุคที่ตลาดไม่ใช่ผู้ขายเป็นฝ่ายเลือกอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นผู้ซื้อเป็นผู้มีอำนาจตัดสินอย่างแท้จริง ผู้พัฒนาจึงต้องยกระดับความเข้าใจผู้บริโภคให้ลึกขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่การแข่งขันไม่ใช่เรื่องของ“ใครเปิดก่อน ใครถูกกว่า” แต่คือ “ใครเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากกว่ากัน” และ “ใครสามารถเปลี่ยนโครงการหนึ่งให้กลายเป็นการใช้ชีวิตที่คนอยากเป็นเจ้าของ

ดังนั้นตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2568 ไม่ใช่ตลาดที่ใครเข้ามาก็ขายได้อีกต่อไป หากไม่มีจุดขายที่ชัดเจน เข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย และไม่มีความเข้าใจในบริบทใหม่ของผู้บริโภค โครงการเหล่านั้นจะถูกกลืนหายไปในตลาดที่แน่นขนัดด้วยตัวเลือก ในวันที่ลูกค้าไม่ได้เลือกแค่ “คอนโด” แต่เลือก “ชีวิต” ที่ต้องการ การเข้าใจความฝันของเขาให้ได้ก่อน คือจุดเริ่มต้นของการขายที่ยั่งยืน

ข้อแนะนำของฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จากภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ ณ ไตรมาสแรกของปี 2568 พบว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วง “การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง” อย่างมีนัยสำคัญ

โดยผู้ซื้อมีแนวโน้มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการพิจารณาเพียงปัจจัยราคาและทำเล มาให้ความสำคัญกับคุณค่าในการอยู่อาศัย ไลฟ์สไตล์ และความเชื่อมั่นในแบรนด์มากยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับตัวของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ ดังนี้

สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาควรมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีความแตกต่าง (Differentiation) อย่างชัดเจน ทั้งในด้านแนวคิดของการออกแบบ (Design Concept) ทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในระยะยาว รวมถึงการสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์อย่างเป็นระบบ

ผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดของความสำเร็จ มากกว่าการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้การลงทุนในข้อมูลและการวิจัยตลาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและบริหารโครงการ เช่น การวิเคราะห์ Big Data หรือการใช้ระบบ CRM เพื่อเข้าใจและติดตามความต้องการของลูกค้า จะช่วยให้สามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้ตรงจุด และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว

ขณะผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในบริบทที่ตลาดมีอุปทานหลากหลายและแข่งขันสูง ผู้ซื้อควรพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยโดยอิงจากมูลค่าเชิงคุณภาพ มากกว่าราคาขายเพียงอย่างเดียว โดยควรประเมินถึงศักยภาพของทำเล การออกแบบที่รองรับการอยู่อาศัยจริง และความมั่นคงของผู้พัฒนาโครงการในระยะยาว

รวมถึงตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านสาธารณูปโภค การบริหารจัดการภายในโครงการ และคุณภาพของวัสดุก่อสร้างอย่างรอบด้าน ในยุคที่ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก “ตลาดผู้ขาย” สู่ “ตลาดผู้ซื้อ” การตัดสินใจซื้อจึงควรอยู่บนฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ได้ที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งในมิติของการใช้ชีวิตและการลงทุนอย่างยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21เม.ย. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 33.27 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ จับตาทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำ ด้านฟันด์โฟลว์ยังมีความผันผวนอยู่

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้21 เมษายน 2568 “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ  33.27 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  33.44 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 33.24-33.46 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบ Sideways ในช่วงวันศุกร์

 เนื่องจากเป็นวันหยุดของตลาดการเงินฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ เนื่องในวันหยุด Good Friday ทว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงเช้าวันจันทร์ หลังความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงกดดันความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ

 ส่งผลให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการทยอยเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ราคาทองคำก็สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้า หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (Correlation ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ยังคงสูงถึง 82%)

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น สู่ระดับแข็งค่าสุดในรอบเกินครึ่งปี ตามการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ และแรงซื้อบอนด์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงทยอยอ่อนค่าลง

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนเมษายน รวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla และ Alphabet ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ของยูโรโซนและอังกฤษ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ

และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ส่วน BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 3-4 ครั้ง ในปีนี้  

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

โดยล่าสุด ความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดคาดว่า BOJ มีโอกาสราว 41% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้

ในส่วนของนโยบายการเงิน เราคาดว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) และรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

 ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมีนาคม เพื่อประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทย เริ่มเผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด

หลังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ยอดการส่งออกเร่งตัวขึ้นและขยายตัวได้เกิน +10%y/y ตามการเร่งนำเข้าสินค้า จากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทมีแนวโน้มชะลอตัวลงบ้าง

ทำให้เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยในสัปดาห์ 21-25 เมษายน นั้น เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อาจสูงราว 1 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากบรรดาบริษัทจดทะเบียน)

ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด (ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทราว 82% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา) หลังราคาทองคำเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรพอสมควร

ซึ่งหากราคาทองคำย่อตัวลง เข้าสู่ช่วงการพักฐาน ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ ในเชิงเทคนิคัลนั้น เงินบาทจะกลับมายังอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่าได้อีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

ทั้งนี้ แนวรับของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวต้านจะอยู่แถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.85 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลง โดยเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ

ทว่า ยังคงต้องจับตาทิศทางเงินหยวนจีนและราคาทองคำ อย่างใกล้ชิด ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนอยู่ ซึ่งจะขึ้นกับบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยต้องรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนไทยด้วยเช่นกัน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้นบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่ออกมาสดใส อาจช่วยหนุนการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.65 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.35 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.18-33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นตามอานิสงส์จากราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนแอลงท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ประเด็นที่ขัดแย้งระหว่างปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานเฟด

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.10-33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของ PBOC และตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมี.ค.  ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เลสเตอร์ พบ ลิเวอร์พูล : เทรนต์ฮีโร่, แม็ค อัลลิสเตอร์คุมกลาง! ตัดเกรดแข้งหงส์บุกเชือดจิ้งจอก

ลิเวอร์พูล บุกเฉือน เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 จากประตูชัยของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ซัดด้วยเท้าซ้ายเป็นครั้งแรก พร้อมโชว์ฟอร์มแน่นอนหลายคนทั้ง ฟาน ไดค์, กราเฟนแบร์ก และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่คุมแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม เช็กคะแนนแข้ง “หงส์แดง” เกมลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2024/25 ได้ที่นี่

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หายเจ็บกลับมาพร้อมสวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยนำ ลิเวอร์พูล บุกเฉือน เลสเตอร์ 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งให้ “หงส์แดง” เข้าใกล้การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้

อลีสซง เบ็คเกอร์ : 6.5

แทบไม่มีงานหนักให้ต้องทำ ยืนตำแหน่งได้ดี คอยทำหน้าที่สั่งการเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมทีมหลุดสมาธิ

คอเนอร์ แบรดลี่ย์ : 6.5

ช่วงต้นเกมมีเล่นหลุดไปบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ยกระดับฟอร์มขึ้นมา การวิ่งทะลุทะลวงทำได้ดี แต่การเปิดบอลยังต้องปรับปรุง ขณะที่เกมรับไม่มีอะไรต้องตำหนิ

อิบราฮิม่า โกนาเต้ : 7

มีบางจังหวะเตะบอลสะเปะสะปะ รับมือกับ เจมี่ วาร์ดี้ และ แพทสัน ดาก้า ได้อยู่หมัด การเขี่ยบอลโด่งทำได้ดี 

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ : 7.5

เล่นด้วยความมั่นใจ คอยตะโกนสั่งเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา เคลียร์บอลเด็ดขาด ขึ้นไปกดดันแนวรับ เลสเตอร์ ในจังหวะเตะมุม

คอสตาส ซิมิกาส : 7

ฟอร์มการเล่นคงเส้นคงวา รับมือกับจังหวะสวนกลับได้ดี ขณะเดียวกันก็วิ่งขึ้นเติมเกมรุกได้โดดเด่น มีลุ้นทำประตูแต่ยิงไปติดเซฟโกล

ไรอัน กราเฟนแบร์ก : 7.5

ครองบอลเหนียวแน่น ทำหน้าที่เชื่อมเกมแดนกลาง ตัดเกมไม่ให้ เลสเตอร์ ได้มีจังหวะขึ้นไปสร้างความอันตราย 

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ : 8

คุมพื้นที่ในแผงมิดฟิลด์ได้หมด พยายามวิ่งหาพื้นที่ว่างเพื่อรับบอล คอยสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม ขณะเดียวกันยังช่วยลงมาเล่นเกมรับ

โดมินิค โซโบซไล : 6

ฟอร์มไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก แต่ไม่มีอะไรต้องตำหนิ มีจังหวะได้ลุ้นยิงไกลแต่ติดเซฟโกล 

โกดี้ คักโป : 6

ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยหลังหายจากอาการบาดเจ็บ การกระชากลากเลื้อยถือว่าพอใช้ได้แต่การเปิดบอลยังขาดความแม่นยำ

หลุยส์ ดิอาซ : 7

ตอนอยู่ตำแหน่งหน้าเป้าอาจไม่ค่อยมีโอกาสมากนัก แต่หลังจากขยับไปริมเส้นฝั่งซ้าย ฟอร์มอันตรายมากขึ้น เล่นงานแนวรับเลสเตอร์ได้ตลอด ขาดแค่จังหวะจบสกอร์เท่านั้น 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ : 7.5

สามารถปั่นป่วนเกมรับ เลสเตอร์ ได้ตลอด มีโอกาสลุ้นทำประตูแต่ซัดไปชนเสา เล่นงาน ลุค โธมัส ได้ตลอด จังหวะเปิดบอลยังคงอันตราย 

ตัวสำรองที่ได้ลงสนาม

ดีโอโก้ โชต้า (แทน โกดี้ คักโป น. 60) : 6.5

ลงมาปั่นป่วนได้ดี มีลุ้นโหม่งทำประตู 2 ครั้งแต่พลาดเป้า เหมาะเป็นตัวสำรองมากกว่าตัวจริง 

ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ (แทน โดมินิค โซโบซไล น. 71) : 7

ช่วยเพิ่มพลังในแดนกลาง ทำให้ทีมเล่นเกมรุกได้ดุดันมากขึ้น ประสานงานกับ โม ซาลาห์ ได้ดี 

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (แทน คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ) น. 71) : 8

การเปิดบอลยังคงอันตรายเหมือนเดิม ที่สำคัญจังหวะจบสกอร์สุดเฉียบคม ทั้งๆ ที่เป็นการยิงด้วยเท้าซ้าย เหมาะสมที่จะเป็นฮีโร่ของทีม

เคอร์ติส โจนส์ (แทน หลุยส์ ดิอาซ น. 90) :-

ไม่สามารถให้คะแนนได้

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


เมื่อ ‘ไมเกรน’ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำความเข้าใจกับคนรอบข้างอย่างไร

  • ไมเกรนส่งผลด้านอารมณ์ต่อผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไมเกรนมักถูกคนรอบข้างเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ผู้ป่วยต้องสร้างความเข้าใจให้แก่คนรอบข้าง
  • สาเหตุ หรือ ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นอาการไมเกรน ในแต่ละคนแตกต่างกันไป อาจเกิดจากสภาวะแวดล้อม อากาศ อาหาร หรือตัวบุคคล
  • โรคไมเกรน แม้ว่าจะรักษาได้ไม่หายขาด แต่สามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการปวด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการได้

“ปวดหัวแล้วทำไมไม่กินยาล่ะ”

“ลาหยุดทำไม ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่นา”

“ปวดหัวก็ไปนอนสิ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

คำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดที่คนปวดหัวหลายๆ คนมักจะได้รับจากคนรอบข้าง แต่จริงๆ แล้ว การปวดหัวอย่าง ปวดไมเกรน ไม่ใช่ว่าจะเป็นแล้วหายได้ทันที 

“โรคไมเกรน” เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบสูง โดยประชากร 7 คน จะพบคนเป็นไมเกรน 1 คน ทำให้มีการประมาณการว่าในประเทศไทยมีคนเป็นโรคไมเกรนถึง 10 ล้านคน

โดยโรคไมเกรนมักพบในคนวัยทำงานเป็นผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือต้องหยุดงาน เกิดความสูญเสียด้านเศรษฐกิจในระดับครอบครัวและประเทศ เป็นโรคที่เกิดความทุพพลภาพเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในกลุ่มคนทำงานมาตลอดทุกปี

ปวดหัวแบบไหน?เรียกว่า ไมเกรน

ผศ.นพ.รังสรรค์  เสวิกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าโรคไมเกรนเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้  แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันตั้งแต่แรก 

ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บ ๆ เป็นระยะ ๆ  แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อ ๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก  โดยจะค่อย ๆ ปวดมากขึ้นที่ละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ บรรเทาอาการปวดลงจนหาย  ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที  เช่น สายตาพร่ามัว หรือ มองเห็นแสงกระพริบ ๆ  อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้

เช็กความต่างอาการปวดไมเกรน กับปวดหัวอื่นๆ 

อาการปวดไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อ ๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย  ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่

โรคปวดศีรษะไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์  ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้

จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น

  • อาการปวดศีรษะไมเกรนจะแตกต่างจากอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นอย่างไร

ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้

อาการปวดหัวอาจจะเกิดจากความผิดปกติของส่วนต่าง ๆ ภายในกะโหลกศีรษะ เช่น สมอง เยื่อหุ้มสมอง โพรงน้ำในสมอง หลอดเลือดสมอง หรืออาจจะเกิดจากความผิดปกติของกะโหลกศีรษะเอง รวมทั้งอวัยวะต่าง ๆ รอบกะโหลก ได้แก่ ตา หู จมูก โพรงอากาศหรือไซนัส คอ และกระดูกคอ

นอกจากนั้นแล้วอาการปวดศีรษะอาจจะเกิดจากโรค หรือภาวะต่าง ๆ ที่เกิดแก่ร่างกายแล้วส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น  เช่น ไข้หวัดใหญ่

ดังนั้น  การที่จะทราบว่าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากโรคไมเกรนแพทย์ต้องทำการวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของอาการปวดศีรษะ  อาการที่เกิดร่วมด้วย รวมทั้งผลการตรวจร่างกายระบบต่าง ๆรวมทั้งการทำงานของสมองที่เป็นปกติ  แต่อย่างไรก็ดี โรคไมเกรนบางประเภทก็อาจทำให้สมองทำงานผิดปกติไปชั่วคราวในระหว่างที่เกิดอาการปวดขึ้นได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องทำการวินิจฉัยแยกโรคให้ได้

รวมพฤติกรรมที่อาจทำให้ ปวดไมเกรน

  • นอนหลับไม่เพียงพอ

พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนหลับไม่เป็นเวลา พฤติกรรมการนอนน้อย อีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดไมเกรน ดังนั้นคุณควรนอนให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และพยายามนอนให้ได้เวลาเดิมทุกคืน

  • ความเครียด 

ความเครียด ความกังวลเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดโรคไมเกรน และอาการของโรคจะแย่ลงไปอีก หากคุณทั้งเครียดและเป็นไมเกรนในเวลาเดียวกัน

  • กินข้าวไม่ตรงเวลา กินข้าวไม่ครบมื้อ 

หากคุณบริโภคอาหารไม่ครบมื้อ คุณอาจกำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นไมเกรนระยะแรกได้ง่าย เพราะการที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป จะส่งผลให้รู้สึกปวดศีรษะได้

  • กินอาหารบางประเภทมากเกินไป

รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา อดอาหาร หรือรับประทานอาหารบางประเภทมากเกินไป เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของยีสต์ สารกันบูด ผงชูรส ในอาหารจานด่วน ราเม็ง/บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก และอาหารหมักดอง

  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป

หากคุณดื่มกาแฟมากเกินไป ก็อาจทำให้อาการไมเกรนแย่ลง แต่ในทางกลับกัน หากคุณเลิกดื่มกลางคัน ก็อาจส่งผลให้คุณรู้สึกปวดหัวไมเกรนขึ้นมาได้ ดังนั้นควรพยายามจำกัดการดื่มในแต่ละวัน ให้ได้ปริมาณที่พอเหมาะจะดีที่สุด

  • อยู่ในที่ ที่มีแสงจ้า

การที่สายตาโดนแสงแดด หรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ในทันที หรืออยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากเกินไป สามารถทำให้อาการไมเกรนของคุณกำเริบได้เช่นกัน

  • แพ้กลิ่น

ผู้ที่มีจมูกไวต่อกลิ่น มักมีแนวโน้มที่จะเป็นไมเกรน โดยกลิ่นที่มักเป็นสาเหตุของโรคนี้ เช่น น้ำหอม ดอกไม้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ควันบุหรี่ ฝุ่น เป็นต้น

ปวดไมเกรนส่งผลต่อสุขภาพจิต

พญ.ฐิติพร ศุภสิทธิ์ธำรง จิตแพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าวว่า แม้ว่าไมเกรนจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่คนรอบข้างอาจไม่เข้าใจถึงอาการและความรุนแรง และอาจคิดว่าผู้ป่วยพูดถึงอาการรุนแรงเกินจริง แต่อันที่จริงแล้ว ไมเกรนไม่ใช่อาการปวดศีรษะทั่ว ๆ ไป แต่เป็นโรคทางระบบประสาท เมื่อเริ่มปวด อาการปวดอาจยาวนานนับชั่วโมงหรือต่อเนื่องหลายวัน

นอกจากอาการทางกาย เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนแล้ว ไมเกรนยังส่งผลด้านอารมณ์ต่อผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไมเกรนมักถูกคนรอบข้างเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ผู้ป่วยจึงอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและเครียดว่าไม่มีใครเข้าใจ อีกทั้งยังกังวลว่าไมเกรนอาจจะกำเริบอีก  ไมเกรนเรื้อรังจึงอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย ราว 60% ของผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรังมักเป็นโรควิตกกังวล โดยครึ่งหนึ่งมีอาการซึมเศร้า และประมาณ 25% เป็น PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือสภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง

ควรทำอย่างไรให้คนรอบข้างเข้าใจ

ผู้ป่วยสามารถสร้างความเข้าใจให้แก่คนรอบข้างได้โดยพูดคุยอธิบายอาการของไมเกรนและผลกระทบของโรค โดยอ้างอิงข้อเท็จจริงและผลการตรวจวินิจฉัย เพราะไมเกรนอาจเกิดขึ้นได้นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมด้านสังคม เช่น ไปทำงาน ไปรับประทานอาหารกับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบได้

ทั้งนี้ควรพูดคุยสื่อสารอย่างเปิดเผยให้สมาชิกในครอบครัว เช่น สามี ภรรยา และบุตร เข้าใจถึงตัวโรคมากขึ้น เพราะระหว่างที่ปวดไมเกรน ผู้ป่วยอาจต้องการความช่วยเหลือเรื่องงานบ้าน ทำอาหาร หรือต้องการอยู่เพียงตามลำพังในห้องมืด ๆ ไม่มีแสงสว่างมากระตุ้นอาการ เมื่อต้องอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจควรเลือกใช้คำที่เข้าใจได้ง่าย และย้ำให้ลูกเข้าใจว่าพ่อหรือแม่ต้องการเวลาพักผ่อนตามลำพังเมื่อมีอาการ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยใจหรือเข้าใจผิดว่าพ่อหรือแม่ไม่ต้องการให้เวลากับลูก

หากจำเป็นต้องไปทำงาน ควรแจ้งให้ที่ทำงานทราบถึงอาการที่มี รวมถึงความจำเป็นในการหยุดพักเพื่อจัดการกับไมเกรน พูดคุยกับที่ทำงาน ขอปรับเปลี่ยนตารางการทำงานหรือทำงานนอกเวลางานแทนเพื่อชดเชยเวลาที่ลาป่วยไป

เมื่อปวดไมเกรน ดูแลสุขภาพจิตอย่างไร

การจัดการกับความเครียด การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการรับประทานอาหารครบห้าหมู่ สามารถช่วยลดความถี่ของไมเกรนและยังช่วยในเรื่องสุขภาพจิตได้เช่นกัน

จัดการกับความเครียด จัดสรรเวลาในแต่ละวันเพื่อทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิ โยคะ งานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น เพื่อจัดการระดับความเครียด

นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจกระตุ้นไมเกรนได้ ผู้ป่วยควรเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา ไม่ดูโทรทัศน์หรือโทรศัพท์ก่อนนอน 

รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของไนเตรท คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจไปกระตุ้นไมเกรนได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยควรสังเกตว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นอาการ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีปฏิกิริยาต่างกัน โดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสาเหตุของไมเกรน เช่น ฮอทดอก ชีสที่ผ่านการบ่ม ไวน์แดง และถั่วเหลือง

ท้ายที่สุดนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจธรรมชาติและความรุนแรงของไมเกรน แต่การให้ข้อมูลแก่คนรอบข้างก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และลดความวิตกกังวลเรื่องคนใกล้ชิดไม่เข้าใจในตัวโรค การพูดคุยสื่อสารเรื่องไมเกรนจึงช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยวและจัดการกับไมเกรนและสุขภาพจิตได้ดียิ่งขึ้น 

ผลกระทบหรือปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไมเกรน

ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือเสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมาก ๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ บ้างก็จะวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง

ดูแลตนเองระหว่างเป็นโรคไมเกรน

ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ  เมื่อทราบว่าเป็นไมเกรนแล้ว ควรจะออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยป้องกันอาการปวด เมื่อปวดศีรษะไมเกรนควรรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว  ถ้าปวดบ่อยมากควรจะพบแพทย์เพื่อรับประทานยาป้องกันไมเกรน

วิธีการป้องกันโรคไมเกรน

ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือการรับประทานยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป  แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12เดือนจึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่

โรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะนั้นมีมากมายหลายสาเหตุ ที่จะเกิดจากเนื้องอกในสมองนั้นพบไม่มาก ถ้ามีอาการปวดศีรษะเรื้อรังหรือปวดรุนแรงมาก ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุสำหรับโรคปวดศีรษะไมเกรนนั้นแม้จะเป็นโรคที่เรื้อรัง  แต่สามารถที่จะควบคุมให้โรคสงบลงได้ทั้งโดยวิธีธรรมชาติ โดยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม ในกรณีที่จำเป็นก็อาจต้องใช้ยาสักระยะหนึ่ง

แพทย์จะมีการตรวจวินิจฉัยอย่างไรว่าผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน

การที่จะทราบว่าอาการปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด อาการที่เกิดร่วมด้วย  ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด ดังนี้

  • ลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด : ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
  • อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้ ตาแดง ตาโปน น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้  เวียนหัว
  • ความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า  มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง เดินเซ
  • ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด แสงจ้า ๆ อาหารบางชนิด
  • ปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา

รวมทั้งแพทย์จำต้องสอบถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วย ในกรณีที่จำเป็นบางครั้งอาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยแยกโรคที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกับโรคไมเกรน

การรักษาผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน

 วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญได้แก่ การบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ

การบรรเทาอาการปวดศีรษะนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา  เช่น  การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป

สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือ การรับประทานยาป้องกันไมเกรน  แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่  ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาไมเกรนให้หายขาดได้ แต่ก็มีวิธีควบคุมอาการให้สงบลงได้ดังกล่าวแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


30 สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาหาร (Food Idioms)

เพื่อน ๆ เคยเป็นกันไหมคะเวลาดูหนัง ฟังเพลง หรือพูดคุยกับชาวต่างชาติแล้วได้ยินคำศัพท์หรือประโยคที่เกี่ยวกับอาหารหรือมีชื่ออาหารอยู่ แต่ฟังยังไงก็ยังไม่เข้าใจซะที หรือบางทีแปลได้แล้วแต่ก็เหมือนไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่ นั่นเพราะเค้าไม่ได้หมายความตามที่พูด แต่ใช้ Food Idioms หรือสำนวนที่เกี่ยวกับอาหารแต่ไม่ได้หมายถึงอาหารในบทสนทนานั่นเอง!

วันนี้ วอลล์สตรีท อิงลิช มีตัวอย่าง Food Idioms ที่ชาวต่างชาติมักใช้กันเป็นประจำมาฝาก ตามมาดูกันได้เลยว่ามีคำว่าอะไรบ้าง แล้วอย่าลืมนำไปลองใช้กันดูน้าาา

  1. A piece of cake = ง่ายมาก
  2. A hard nut to crack = เข้าใจยาก (มักใช้พูดถึงคนที่ดูลึกลับ)
  3. Apples and oranges = แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
  4. Apple of one’s eye = ผู้เป็นที่รัก, แก้วตาดวงใจ
  5. Bad egg = ตัวปัญหา
  6. Big cheese = คนสำคัญ (VIP)
  7. Bread and butter = รายได้หลัก, รายได้เลี้ยงชีพ
  8. Bring home the bacon = หาเลี้ยงครอบครัว
  9. Butter up = ประจบประแจง
  10. Cool as a cucumber = ใจเย็น, สุขุม
  11. Cream on the crop = คนเก่ง, หัวกะทิ
  12. Don’t cry over spilt milk = อย่ามัวแต่เสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
  13. Eat humble pie = ยอมรับผิด
  14. Egg someone on = การยุยงให้ใครบางคนทำอะไรบางอย่าง
  15. Full of beans = พลังเยอะเหลือล้น
  16. Have bigger fish to fry = มีงานที่สำคัญกว่าให้ทำ
  17. Icing on the cake = โชคสองชั้น
  18. In a nutshell = โดยสรุป, แบบคร่าว ๆ
  19. In the soup = ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
  20. Know your onions = รู้ลึก รู้จริงในเรื่องนั้น
  21. One smart cookie = คนเก่ง, ฉลาดมาก
  22. Pie in the sky = ฝันลม ๆ แล้ง ๆ, วาดวิมานกลางอากาศ
  23. Pull all of one’s eggs in one basket = เชื่อมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากไป
  24. Sell like hot cakes = ขายดิบขายดี
  25. Spice things up = ทำให้ตื่นเต้นมากขี้น
  26. Spill the beans = เปิดเผยความจริง, เผยความลับ
  27. Stew in one’s own juice = ถูกทิ้งให้แค้นใจและผิดหวังตามลำพัง
  28. To have a bun in the oven = ตั้งครรภ์
  29. Use your noodle = ใช้ความคิด
  30. Walk on the eggshells = ระมัดระวังเป็นอย่างมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


‘เว็บเบราว์เซอร์’ ช่องโหว่ฮิต เป้าหมาย ‘ตัวร้ายไซเบอร์’

“พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์” เผย เหตุการณ์ภัยคุกคามบนไซเบอร์เกือบครึ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เกี่ยวข้องกับช่องโหว่บน “เว็บเบราว์เซอร์”

รายงานเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ระดับโลกล่าสุดจาก Unit 42 พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ผู้ให้บริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก เผยว่า ปัจจุบันโจรไซเบอร์ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ เปลี่ยนจากการใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่และการขโมยข้อมูลแบบเดิม ไปสู่การมุ่งขัดขวางการดำเนินธุรกิจ

โดยมีการใช้ AI ช่วยในการโจมตี และอาศัยบุคคลภายในสร้างภัยคุกคาม รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ความปลอดภัย (44%) มีความเกี่ยวข้องกับเว็บเบราว์เซอร์

กลยุทธ์เดิมๆ ไม่เพียงพอ

ปิยะ จิตต์นิมิตร ผู้จัดการประจำประเทศไทยของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า การเปลี่ยนเป้าหมายจากการกรรโชกทรัพย์ทั่วไปมาเป็นการขัดขวางการดำเนินธุรกิจทุกส่วน ทำให้องค์กรจำเป็นต้องทบทวนมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์ก่อนที่จะถูกโจมตี โดยเฉพาะในภาคส่วนต่างๆ ที่พึ่งพาระบบคลาวด์และผู้ให้บริการภายนอก

การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของอาชญากรไซเบอร์อย่างรวดเร็วสะท้อนถึงความจำเป็นอันเร่งด่วนที่องค์กรต่างๆ ในไทยจะต้องยกระดับความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ยุคปัจจุบันคนร้ายยกระดับจากการเรียกค่าไถ่และกรรโชกทรัพย์ปกติมาเป็นการโจมตีที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อขัดขวางการดำเนินกิจการองค์กรจึงควรนำหลักการซีโรทรัสต์มาใช้และผนวกความสามารถของระบบรักษาความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยรับมือกับภัยคุกคามที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

ฟิลิปปา ค็อกส์เวลล์ รองประธานและหุ้นส่วนผู้จัดการ Unit 42 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เผยว่า อาชญากรไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ไม่ได้เพียงแค่ต้องการขโมยข้อมูลอีกต่อไป แต่ประสงค์ที่จะยับยั้งการดำเนินกิจการทั้งหมด”

ดังนั้นแนวทางความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไปที่จะรับมือกับจุดบอดที่มองไม่เห็นและปัญหาที่ทวีคูณความท้าทายที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญในวันนี้

ขณะเดียวกัน ธุรกิจจึงควรเริ่มติดตั้งโซลูชั่นระบบรักษาความปลอดภัยแบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้ก้าวนำภัยคุกคามที่นับวันยิ่งอันตรายขึ้น พร้อมรับมือกับอันตราย และให้การปกป้องระบบแบบเรียลไทม์โดยสมบูรณ์

พยายาม ‘กรรโชกทรัพย์’ ให้ได้สูงสุด

Unit 42 พบประเด็นสำคัญในรายงานการรับมือเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ระดับโลกประจำปี 2568 ดังนี้

  • การขัดขวางการดำเนินกิจการกลายเป็นเป้าหมายหลัก: ผู้โจมตีหันมาให้ใช้การทำลายระบบเพื่อให้ธุรกิจหยุดชะงักและกรรโชกทรัพย์ให้ได้สูงสุด  แทนการขโมยข้อมูลแบบเดิม โดยในปี 2567 นั้น เหตุการณ์ภัยไซเบอร์ราว 86% นำไปสู่การหยุดชะงักหรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจ
  • ภัยจากบุคคลภายในองค์กรเพิ่มขึ้นอย่างมากและเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ: จำนวนเหตุการณ์เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2567 โดยมีเป้าหมายที่บุคลากรทางเทคนิคแบบสัญญาจ้างในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริการด้านการเงิน สื่อ และผู้รับเหมาทางการทหารของภาครัฐ เทคนิคที่ใช้ก็มีความซับซ้อนมากขึ้น
  • การขโมยข้อมูลเกิดขึ้นเร็ว: ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยเหตุการณ์โจรกรรมข้อมูลราว 25% เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง และเกือบ 20% ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
  • พื้นที่เสี่ยงต่อการโจมตีมีขอบเขตกว้างขึ้น: เหตุการณ์ภัยไซเบอร์ราว 70% เกี่ยวข้องกับต้นทางการโจมตีอย่างน้อย 3 ช่องทาง จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรทั้งในส่วนอุปกรณ์ปลายทาง เครือข่าย ระบบคลาวด์ และช่องโหว่จากมนุษย์ โดยเว็บเบราว์เซอร์ยังคงเป็นจุดอ่อนหลัก และใช้เป็นช่องทางการโจมตีกว่า 44% ผ่านการทำฟิชชิง ลิงก์เปลี่ยนเส้นทางที่อันตราย และการดาวน์โหลดมัลแวร์
  • ฟิชชิงกลับมาเป็นต้นทางหลักของการโจมตี: การโจมตีราว 23% เริ่มต้นจากการทำฟิชชิง แซงหน้าการใช้ช่องโหว่แบบอื่นๆ ขึ้นเป็นต้นตอการโจมตีหลัก โดยอาศัยเจเนอเรทีฟเอไอ (GenAI) เข้ามาช่วยให้การทำฟิชชิงขยายพื้นที่ได้มากขึ้น ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม และยากแก่การตรวจจับ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ผัก 5 ชนิดที่ควรกินช่วงหน้าร้อน ป้องกันภาวะขาดน้ำในร่างกายได้

ในช่วงหน้าร้อน สาวๆ จำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ โดยวิธีที่สามารถป้องกันร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ดีและสามารถทำตามได้ง่ายก็คือ การกินผักที่มีปริมาณน้ำสูงนั่นเอง วันนี้เราจึงรวมผัก 5 ชนิดที่แนะนำให้สาวๆ กินในช่วงหน้าร้อน เพื่อป้องกันร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำมาแชร์ให้สาวๆ ได้หามากินกันค่ะ และนี่คือผัก 5 ชนิดควรกินในหน้าร้อน

ผัก 5 ชนิดควรกินในหน้าร้อน


1.แตงกวา
แตงกวาคือ ผักที่ประกอบไปด้วยน้ำเกือบ 95% อีกทั้งยังมีสารอาหารที่สำคัญ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินเค ที่สำคัญแตงกวายังจัดเป็นผักที่มีแคลอรีต่ำ เพราะแตงกวาประมาณ 50 กรัม มีปริมาณแคลอรีเพียง 8 แคลอรีเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องของแคลอรีแต่อย่างใด สำหรับในช่วงหน้าร้อนแบบนี้แนะนำให้สาวๆ กินแตงกวาให้มากๆ เพราะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี

2.บวบ
บวบประมาณ 124 กรัม ประกอบไปด้วยน้ำมากกว่า 90% แถมยังให้ไฟเบอร์ 1 กรัม ซึ่งส่วนประกอบทั้งสองชนิดนี้ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญและเหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก เนื่องจากช่วยให้อิ่มนาน และเนื่องจากบวบให้ปริมาณน้ำสูง จึงมีปริมาณแคลอรีต่ำ โดยปริมาณบวบ 120 กรัม ให้แคลอรีเพียง 20 แคลอรีเท่านั้นเอง


3.ผักกาดแก้ว
ผักกาดแก้ว จัดเป็นผักที่มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงสุขภาพร่างกาย โดยผักกาดแก้ว 1 ถ้วย เทียบเท่า 70 กรัม ให้ปริมาณน้ำมากกว่า 60 มิลลิลิตร ให้โฟเลต 5% ของความต้องการของร่างกายต่อวัน และยังให้ไฟเบอร์อีก 1 กรัม นอกจากนี้ผักกาดแก้วยังอุดมด้วยวิตามินเคและวิตามินเอสูง โดยวิตามินทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญที่ช่วยรักษามวลกระดูก พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกด้วย

4.กะหล่ำดอก
กะหล่ำดอกเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังเป็นผักที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดีเลยทีเดียว โดยดอกกะหล่ำ 1 ถ้วย หรือประมาณ 100 กรัม ให้ปริมาณน้ำประมาณ 60 มิลลิลิตร แถมยังให้ใยอาหาร 3 กรัม อีกด้วย นอกจากนี้กะหล่ำดอกยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 15 ชนิด รวมทั้งโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ค่อนข้างพบได้ยาก โดยโคลีนจัดเป็นสารอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญอาหาร และมีความจำเป็นต่อสุขภาพอย่างมากเลยทีเดียว


5.กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีอุดมด้วยแคลอรีต่ำ แต่ให้ไฟเบอร์และสารอาหารสูง โดยในกะหล่ำปลีอุดมด้วยวิตามินซี วิตามินเค โฟเลต และแร่ธาตุหลากหลายชนิด จึงช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งช่วยในการลดการอักเสบและช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ อีกทั้งกะหล่ำปลียังมีสารกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะมะเร็งปอด

นอกจากผักทั้ง 5 ชนิดนี้แล้ว ยังมีผลไม้ที่แนะนำให้กินในช่วงหน้าร้อนเพื่อป้องกันร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำอีกด้วย เช่น ส้มโอ มะเขือเทศ และสตรอเบอร์รี โดยผักและผลไม้เหล่านี้มีปริมาณน้ำสูง จึงเหมาะแก่การกินในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเสี่ยงต่อการขาดน้ำสูงมาก ยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองในช่วงหน้าร้อนนี้กันด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/04/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,850.0052,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,423.0051,892.6853,750.00
ทองรูปพรรณ 90%3,080.7046,703.41n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,738.4041,514.14n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,540.0023,351.71n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,198.0018,162.44n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,547.0053,774.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/04/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4448.8449.8448.8441.44
เบนซิน 9541.1448.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า