สาระน่ารู้ประจำวันที่ 06 พฤษภาคม 2568

พาที สารสินขึ้นแท่นประธานบอร์ดRMLลุยอสังหาฯหรู-โรงแรม

พาที สารสิน จากกัปตันนักการบิน เปลี่ยนสนามสู่วงการอสังหาฯตำแหน่งประธานบอร์ด ไรมอน แลนด์ (RML) ลุยธุรกิจโรงแรม-อสังหาฯหรู

“ พาที สารสิน ” ชายที่เคยเป็น CEO แห่งสายการบินโลว์คอสต์ไทยอย่าง “นกแอร์”  วันนี้กลับมาบนเวทีธุรกิจอีกครั้ง แต่ในบทบาทใหม่ ประธานกรรมการบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลักชัวรีระดับแนวหน้า ที่กำลังปรับทิศทางครั้งใหญ่เข้าสู่ธุรกิจ Hospitality Real Estate อย่างเต็มรูปแบบ การแต่งตั้งของพาที มีผลตั้งแต่ 2 พ.ค. 2568 และเกิดขึ้นภายใต้ฉันทามติของคณะกรรมการบริษัท ที่เห็นถึง “ทรัพยากรมนุษย์ที่มากด้วยวิสัยทัศน์และ DNA ของการให้บริการ”

 ผู้นำที่ “เข้าใจบริการจากหัวใจ”

หากมองย้อนกลับไปในเส้นทางของ พาที สารสิน เขาเป็นบุตรชายของ พงษ์ สารสิน อดีตประธานสภาหอการค้าไทย และนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลในยุคหนึ่งเคยเป็น นักบินสายการบินไทยและก้าวขึ้นเป็น CEO ของ นกแอร์ ในปี 2547 ด้วยวัยเพียง 40 ปี ในยุคนั้น พาทีไม่เพียงแต่ทำให้ “เครื่องบิน” เป็นของคนทั่วไป แต่ยังปฏิวัติภาพลักษณ์การเดินทางด้วยมุกตลกในการสื่อสารแบรนด์ การตลาดแบบใจถึง และความคิดสร้างสรรค์คิดนอกกรอบของอุตสาหกรรมการบินจนเป็นที่รู้จัก ทว่า วันนี้ เขากลับมาในโลกที่ต่างออกไปคือ อสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี แต่สิ่งที่เหมือนเดิม คือเขายังอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “ประสบการณ์” และ “การบริการ”

RMLรีแบรนด์อสังหาฯ หรู สู่บริการระดับโลก

“เราไม่ได้แค่สร้างตึก แต่เรากำลังสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัย” นี่คือแนวคิดของ RML หรือ ไรมอน แลนด์ บริษัทอสังหาฯ ที่รู้จักกันดีในหมู่ลูกค้าระดับอัลตร้าไฮเน็ตเวิร์ธ  ชื่อของโครงการในพอร์ต เช่น The River ริมเจ้าพระยา,185 ราชดำริ โครงการหรูข้างสวนลุม,One City Centre (OCC) อาคารสำนักงานเกรด A+ ใจกลางเพลินจิตเป็นบทพิสูจน์ถึง “รสนิยม” และ “การเลือกทำเล” ที่ไม่ใช่แค่ทำเลทอง — แต่คือ “ทำเลที่ใช่ในยุคหน้า”

ในวันนี้ RML กำลังเปลี่ยนเกมอีกครั้ง จากผู้พัฒนาอสังหาฯ สู่ผู้นำธุรกิจ โรงแรมและเรสซิเดนซ์ระดับโลก ภายใต้แนวคิด “แบรนด์เรสซิเดนซ์” ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และอาจต่อยอดสู่เชียงใหม่ หัวหิน หรือกระบี่ในอนาคต

กลยุทธ์ Hospitality Real Estate: เมื่ออสังหาฯ ต้อง “ให้บริการ”คำว่า “อสังหาริมทรัพย์” ไม่ได้แปลว่า “ทรัพย์ที่อยู่นิ่ง” อีกต่อไป เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน การซื้อบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือส่วนหนึ่งของ “ไลฟ์สไตล์”และนั่นคือสิ่งที่ RML เห็นโอกาส — นำโมเดลโรงแรม มาผนวกกับโครงการที่อยู่อาศัย

ยกตัวอย่างเช่นการสร้าง “คอนโดหรู” ที่บริหารโดยเชนโรงแรมระดับโลก เช่น Four Seasons, Mandarin Oriental หรือ Ritz-Carlton ที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับบริการระดับเดียวกับแขกโรงแรม แต่สามารถเรียกที่นี่ว่า “บ้าน”

จากอสังหาฯสู่สินทรัพย์ลงทุน

ภายใต้การบริหารโดย กรณ์ ณรงค์เดช  ประธานคณะกรรมการบริหาร  ทำให้ RML กลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้แค่ขาย “ที่อยู่” แต่ขาย “โอกาสการลงทุน” วันนี้ RML มีพอร์ตโครงการสะสมกว่า 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท และพื้นที่พัฒนารวมกว่า 1 ล้านตารางเมตร
แต่สิ่งที่บริษัทกำลังมองต่อไป คือ

การแปลงสินทรัพย์เหล่านี้เป็น REIT

การใช้โมเดลร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ

และการแตกไลน์ไปสู่บริการดิจิทัลหรือ Private Club สำหรับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม

 เมื่อประสบการณ์นำธุรกิจ บทบาทใหม่ของพาที อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมอสังหาฯ หรูในขณะที่ตลาดอสังหาฯ กำลังเผชิญความท้าทายจากภาวะดอกเบี้ยสูง หนี้ครัวเรือนพุ่ง และดีมานด์ที่อ่อนแรง สิ่งที่ RML กำลังทำ คือ เปลี่ยนสนามรบ จากตลาดในประเทศ สู่ตลาดบริการแบบไร้พรมแดนและหากจะมีใครเข้าใจ “ประสบการณ์ของผู้บริโภค” ได้ดีกว่าคนอื่น คนนั้นคือชายผู้เคยพาเครื่องบินเต็มลำเหินฟ้าท่ามกลางวิกฤต “ พาที สารสิน ” ซึ่งเข้ามาพา RML ทะยานอีกครั้ง? ต้องจับตามองต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คิ๊กออฟเมืองการบินอู่ตะเภา UTA เซ็นสัญญาก่อสร้าง 18 มิ.ย.นี้

คิ๊กออฟโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา UTA เซ็นสัญญาก่อสร้าง วันที่ 18 มิถุนายนนี้ ไม่รอรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน เหลือรอเจรจาสิทธิประโยชน์พื้นที่ปลอดอากรเมืองการบินอู่ตะเภา

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีซีซี เผยว่าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก
ภายใต้ลงทุนของบริษัท อู่ตะเภา เอวิเอชัน จำกัด หรือ UTA เตรียมเซ็นสัญญาก่อสร้างได้ ในวันที่  18 มิถุนายน 2568 นี้ 

จากนั้นอีอีซี จะออก Notice to Proceed หรือ NTP ซึ่งเป็นเอกสารที่จะออกให้แก่ผู้รับเหมา เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเริ่มต้นโครงการก่อสร้างอย่างเป็นทางการ เพราะจะไม่รอรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินแล้ว

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ในโครงการลงทุนเมืองการบินอู่ตะเภาเพิ่มเติม เช่น ขออนุญาตสรรพสามิต เปิดเป็นพื้นที่ขายเครื่องแอลกอฮอล์ได้  24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าที่มาเช่าพื้นที่สามารถขายได้ตลอดทั้งวัน ร้านอาหารก็ไม่ต้องเสียภาษีแบบดิวตี้ฟรี ซึ่งในกรอบอีอีซีดำเนินการได้ เพียงแต่ต้องหารือกับกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งตอนนี้หารือกันแล้วกว่า 80%  ไม่น่าติดปัญหา

ในส่วนของรันเวย์ เส้นที่ 2 มูลค่าการลงทุน 18,690 ล้านบาท ที่กองทัพเรือเปิดประมูลไปแล้ว และจะใช้เงินกู้ไปดำนินการ ซึ่งผู้ชนะประมูล คือ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถ้าทางอิตาเลียนไทยไม่เซ็นสัญญาเริ่มงาน ก็จะโดนยึดเงินประกัน

ขณะที่โครงการลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือ MRO อู่ตะเภา ยังต้องรอมติ ครม. ที่จะยกเลิกสิทธิในการลงทุนที่เคยให้กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากการบินไทยไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ซึ่งถ้าครม.มีมติก็จะเปิดเช่าพื้นที่ให้เอกชนลงทุน การบินไทยก็มีสิทธิที่จะเสนอโครงการเข้ามาได้

ดังนั้นในปี 2568 นี้น่าจะได้เห็นการลงทุน 3 โครงการในอู่ตะเภา ได้แก่

  1. การก่อสร้างรันเวย์ เส้นที่ 2 ของกองทัพเรือ ใช้เวลาสร้าง 4 ปี
  2. การก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และเมืองการบิน ของ UTA ซึ่งได้สัมปทาน ตามกำหนด คือ เดือนมิถุนายน 2568 อีก 2 เดือนเราจะได้เห็นเม็ดเงินลงทุน 2 ส่วนนี้เข้ามา
  3. การลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)ที่รอมติครม.

โดยการบินไทยกับบางกอกแอร์เวย์ส ก็มีแผนลงทุนจะเข้ามาลงทุน MRO หลักหมื่นล้านบาท และเมื่อรวมการลงทุนของ UTA ใน 4-5 ปีก็จะเป็นหลักแสนล้านบาท ช่วยทำให้พื้นที่สัตหีบ ระยอง ชลบุรี ก็มีเงินอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ

สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขณะนี้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ส่งให้อัยการตรวจสอบแล้ว  โดยอัยการจะใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน จากนั้นก็จะส่งให้เอกชนผู้ชนะประมูล คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด พิจารณา ถ้ายังไม่พอใจก็ต้องแก้ใหม่ ซึ่งก็อาจเกิดขึ้นได้ที่ เอรา วัน จะไม่ยอม

อย่างไรก็ตามถ้าอัยการส่งกลับมาก็เข้าบอร์ดอีอีซี อีกรอบ เพื่อให้อนุมัติสัญญาตามที่แก้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้น่าจะเข้าบอร์ดอีอีซีได้ คาดว่า เดือนกรกฎาคม 2568 น่าจะไป ครม.ได้เพราะหลุดไทม์ไลน์มาตั้งแต่ปี 2560 และถ้าเอกชนที่ชนะประมูลลงทุน ก็ต้องเป็นการพิจารณาของ ร.ฟ.ท.ที่จะดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าโครงการ 218,701.49 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นส่วนที่เอกชนลงทุน 194,004.14 ล้านบาท บนพื้นที่ 6,500 ไร่ รองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน ปี 2572  โดยเริ่มสร้าง เฟส 1 ก่อน ประกอบด้วย

  •  Airport Terminal

มีอาคารผู้โดยสารกว่า 157,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15.9 ล้านคนต่อปี มี 2 ทางวิ่ง ยาว 3,500 ม. รับเครื่องบินได้ทุกขนาด มี 60 หลุมจอด

  • Air Cargo & Logistics

รับขนส่งและกระจายสินค้ากว่าล้านตันต่อปี

  • Airport City

ประกอบด้วยศูนย์การค้าระดับโลก, MICE, Indoor Arena, โรงแรม, สนามแข่งรถ, ร้านอาหาร, Medical Tourism Hub, สนามแข่งฟอร์มูลาวัน และ Entertainment Complex

โดยทั้งหมดมี 4 เฟส เป็นสัมปทาน 50 ปี ของบริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ที่ประกอบด้วย Bangkok Airways, BTS และ Sino-Thai คาดแล้วเสร็จปี 2572

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้6พ.ค.”แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.93 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลนักลงทุนต่างชาติ ส่วนเงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนบ้างจากตลาดเปิดรับความเสี่ยงและทยอยคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้6พ.ค.2568 “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ  32.93 บาทต่อดอลลาร์จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  33.05 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมถึงช่วงวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงินฝั่งไทย เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.81-33.15 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของเงินดอลลาร์ ที่ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนเมษายน ที่ออกมาดีกว่าคาด

ทว่า เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการรีบาวด์ปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถรีบาวด์ขึ้นได้เกิน +100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดแถวโซนแนวรับ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ จีน

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาดบ้าง กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น จากที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า  

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตา ผลการประชุมเฟด (FOMC) และผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) พร้อมทั้ง รอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมเฟด (FOMC) แม้ว่าในการประชุมครั้งนี้ เฟดอาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ทว่าผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด จากทางประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีนี้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

▪ ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราคาดว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจอังกฤษ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษก็ทยอยชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 70% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 4 ครั้ง ในปีนี้  

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนในเดือนเมษายน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Caixin Services PMI) ที่จะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง พร้อมทั้งรอประเมินผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนมีนาคม ว่าจะยังสอดคล้องกับแนวโน้มวัฏจักร Virtuous Wage-Growth ที่จะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน หรือไม่

ซึ่งภาพดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ หาก BOJ คลายกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทางฝั่งมาเลเซีย บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.00% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 

▪ ฝั่งไทย – แม้เราจะประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนเมษายนจะชะลอลงสู่ระดับ -0.1%y/y (-0.1%m/m) ตามการปรับตัวลงของราคาพลังงานเป็นสำคัญ ทว่า อัตราเงินเฟ้อ “ติดลบ” ดังกล่าวจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยังไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ แนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อที่อาจต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายก็อาจทำให้ ธปท. มีเหตุผลในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า แม้เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นจนทะลุโซนแนวรับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่การแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอบ้าง และเงินบาทก็เสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up โดยในสัปดาห์ 6-9 พฤษภาคม เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ส่วนเงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง ตราบใดที่ตลาดยังเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงและทยอยคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวหนัก อนึ่ง ควรจับตาทิศทางราคาทองคำและการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินเอเชีย

อย่าง เงินหยวนจีน อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับเงินบาทในระดับที่สูงในระยะสั้นนี้ ในเชิงเทคนิคัลนั้น เงินบาทจะยังไม่กลับมายังอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า ตราบใดที่เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ทั้งนี้ แนวรับของเงินบาท (USDTHB) ได้ขยับลงมาแถว 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาท ในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา อาจชะลอลง เปิดโอกาสให้เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง “Sideways Up” ท่ามกลางแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งเงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนอยู่ ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจเพิ่มแรงซื้อสินทรัพย์ไทยได้ อย่างไรก็ดี ควรจับตาทิศทางราคาทองคำและสกุลเงินเอเชีย อาทิ เงินหยวนจีน อย่างใกล้ชิด

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าต่อได้ ตราบใดที่ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง และเฟดยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อีกทั้งไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากนัก อนึ่ง ควรระวังความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.75-33.35 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.05 บาท/ดอลลาร์ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.92-32.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในฝั่งที่แข็งค่ากว่าแนว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนครั้งใหม่ที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังคงได้รับอานิสงส์สำคัญจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก

และแรงหนุนต่อค่าเงินเอเชียในภาพรวมตามการคาดหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ น่าจะมีสัญญาณเชิงบวกในช่วงข้างหน้า อย่างไรก็ดี กรอบการแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด และน่าจะมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ กลับเข้ามาบางส่วนในช่วงก่อนการประชุม FOMC ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ 
 
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.80-33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของไทย ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้า สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงดัชนี PMI ภาคบริการเดือนเม.ย. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กระหึ่มโลก! “จ้าว ซินตง” สร้างประวัติศาสตร์เอเชียคนแรกคว้าแชมป์สนุกเกอร์โลก 2025

กลายเป็นที่จับตามองทั่วโลกสำหรับ จ้าว ซินตง นักสอยคิวจากประเทศจีน ที่สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาวเอเชียคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์สนุกเกอร์โลก 2025

โดย แม่นคิวแดนมังกรวัย 28 ปี สร้างเรื่องเหลือเชื่อเมื่อลงเล่นในฐานะมือสมัครเล่น ก่อนกรุยทางตั้งแต่รอบคัดเลือก จนก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ มาพบกับ มาร์ก เจ วิลเลียมส์ อดีตแชมป์โลก 3 สมัยชาวเวลส์ ที่ที่ครูซิเบิล เธียเตอร์ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ

ซึ่งผลการแข่งขันเป็นทางด้าน จ้าว ซินตง โชว์ฟอร์มหักปากกาเซียนเอาชนะ “จรวดทางเรียบ” ไปได้แบบ 18-12 เฟรม หยิบแชมป์โลก 2025 ไปครองได้แบบเหนือความคาดหมาย

จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ นักสอยคิวจากประเทศจีน สร้างประวัติศาสตร์มากมายไม่ว่าจะเป็นแชมป์โลกชาวเอเชียคนแรก, เป็นมือสมัครเล่นคนแรกที่ได้แชมป์ และเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ลงเล่นตั้งแต่รอบคัดเลือกก่อนหยิบแชมป์โลกสำเร็จ

นอกจากนี้ จ้าว ซินตง ที่พ้นโทษแบน 20 เดือน ในข้อหาล็อกผลการแข่งขันเมื่อปี 2023 จะได้อันดับโลกคืนโดยจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 11 ของโลกทันที

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไมเกรนขึ้น ทำไมไปหาหมอรักษาไมเกรน แต่กลับได้ยาต้านเศร้ากลับมา

เมื่อคุณไปหาหมอเพื่อรักษาไมเกรน แต่กลับได้ยาต้านเศร้ากลับมาแทน หลายคนอาจรู้สึกสงสัยและงงว่าทำไมหมอถึงจ่ายยาประเภทนี้ให้ มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอาการไมเกรนและการใช้ยาต้านเศร้ากันดีกว่า

ทำไมหมอถึงให้ยาต้านเศร้าเพื่อรักษาไมเกรน

ในบางกรณียาต้านเศร้า อาจถูกใช้ในการรักษาไมเกรนเพราะผลของยาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่การรักษาภาวะซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังมีผลดีต่อการบรรเทาอาการปวดหัวจากไมเกรนด้ว

  1. การเชื่อมโยงระหว่างไมเกรนและสารเคมีในสมอง ไมเกรนและภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กันในแง่ของสารเคมีในสมอง ทั้งเซโรโทนิน (serotonin) และ นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมทั้งอารมณ์และการรับรู้ความเจ็บปวด หากสารเคมีในสมองเหล่านี้มีความไม่สมดุล อาจทำให้เกิดไมเกรนหรือภาวะซึมเศร้าได้
  2. ยาต้านเศร้าสามารถช่วยควบคุมการตอบสนองต่อความเจ็บปวดได้ ยาต้านเศร้า เช่น TCA (เช่น Amitriptyline) สามารถปรับสมดุลสารเคมีในสมองและช่วยลดอาการปวดหัวจากไมเกรนได้ เพราะยานี้จะช่วยลดความไวของเส้นประสาทและทำให้การตอบสนองต่อการปวดลดลง
  3. ป้องกันและลดความถี่การเกิดไมเกรน ยาต้านเศร้ามักถูกใช้ในการรักษาไมเกรนที่เกิดขึ้นบ่อย (Chronic Migraine) หรือผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง การใช้ยาต้านเศร้าช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนในอนาคต และช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการ

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเศร้า

แม้ว่าการใช้ยาต้านเศร้าจะมีประโยชน์ในการรักษาไมเกรน แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น

  • ง่วงนอนหรืออ่อนเพลีย
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  • ปากแห้ง
  • เวียนศีรษะ

การใช้ยาต้านเศร้ารักษาไมเกรน ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

การใช้ยาต้านเศร้ารักษาไมเกรน ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง หากคุณมีอาการไมเกรนบ่อยๆ หรืออาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


7 C’s of communication สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ

หลักการสื่อสารภาษาอังกฤษ

องค์ประกอบหรือคุณสมบัติของการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดี มีอะไรบ้าง?

การสื่อสารภาษาอังกฤษ

7 C’s of Communication คือ รายการตรวจสอบ (checklist) ที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและเพิ่มโอกาสให้ผู้รับข้อมูลได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงตามความตั้งใจของผู้สื่อสาร

เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

7 C’s of Communication

สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ

1. ชัดเจน (Clear)
ในการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ข้อมูลที่สื่อสารต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ชัดในเนื้อหาสาระ ใช้คำที่มีความหมายตรงตัว ไม่ต้องตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิด

2. ถูกต้อง (Correct)
ความถูกต้องของข้อมูล หมายถึงเป็นข้อเท็จจริง (fact) ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับข้อมูลว่าไม่ได้ถูกหลอกให้หลงเชื่อ ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องทั้งไวยากรณ์และตัวสะกด

3. ครบถ้วน (Complete)
การสื่อสารควรเป็นการส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้รับข้อมูลควรทราบ ความครบถ้วนนี้จะต่างกันไปในแต่สถานการณ์ ไม่ตกหล่นเนื้อหาสาระที่สำคัญ เป็นข้อมูลที่สร้างแรงจูงใจ

4. หนักแน่นมีสาระ (Concrete)
ข้อมูลควรมีความจำเพาะเจาะจง หนักแน่น มีสาระ ไม่คลุมเครือหรือกว้างจนเกินไป มีข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ลดความน่าเชื่อถือ จำเพาะเจาะจงในประเด็นที่สื่อสาร มีความเป็นรูปธรรมในเรื่องที่สื่อสาร

5. กระชับ (Concise)
ข้อมูลควรกระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ชูเนื้อหาสาระหลักได้ชัดเจน ไม่กล่าววนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก

6. สมเหตุสมผล (Coherent)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กับประเด็นหลัก สร้างมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเพื่อให้ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เน้นไปในสิ่งที่เป็นไปได้

7. มีมารยาท (Courteous)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีลักษณะที่เป็นมิตร เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่มีประเด็นซ่อนเร้นหรือเหน็บแนมก้าวร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ไม่นำอคติใด ๆ มาบิดเบือนข้อมูลให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง คำนึงถึงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ ของผู้รับข้อมูล ไม่หักหาญหรือฝืนความรู้สึกนึกคิดของผู้รับ ใช้คำในเชิงบวก

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


‘ไมโครซอฟท์’ ชูแนวคิด ‘Frontier Firm’ พลิกโฉมองค์กรไทยสู่ผู้นำยุค ‘AI’

  • แนวคิด “Frontier Firm” จะทำให้องค์กรก้าวขึ้นไปเป็นแนวหน้าที่ผสานการทำงานของมนุษย์และ AI ได้อย่างลงตัว
  • AI agent ช่วยเติมเต็มศักยภาพองค์กรให้ทำงานฉลาดและคล่องตัวขึ้น
  • 90% ของผู้บริหารไทยมีแผนนำ AI agent เข้ามาภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า

“ไมโครซอฟท์” เผยข้อมูลล่าสุดจากรายงานวิจัย “Work Trend Index” ฉบับปี 2025 ทิศทางการปรับตัวขององค์กรในประเทศไทยและทั่วโลก

มุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” องค์กรระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรม ที่มีการผสานการทำงานของ AI และการสร้างทีมงานรูปแบบใหม่ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีพนักงานที่เป็นมนุษย์นำทีม และให้ทีมงานดิจิทัลอย่าง AI agent เป็นผู้ช่วยทำงานต่างๆ อย่างอัตโนมัติ

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ผลสำรวจปีนี้บอกว่าผู้บริหารในไทยตื่นตัวกันมากในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลักขององค์กร

โดยมีถึง 93% ที่มองว่าจะต้องคิดใหม่ วางทิศทางใหม่ให้ได้ในปีนี้ และเมื่อมองผลสำรวจในระดับโลก เห็นได้ชัดเจนว่าองค์กรชั้นนำกำลังลงมือปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ยกระดับ AI จากเครื่องมือใช้งานทั่วไปให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมคนใหม่

ขณะเดียวกันมุ่งส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI agent อย่างลงตัว ซึ่งองค์กรเหล่านี้เองที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมในฐานะ “Frontier Firm” เพื่อการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป

ความฉลาด พร้อมใช้ ‘ซื้อได้’

ประเด็นที่น่าสนใจพบว่า “ความชาญฉลาดแบบพร้อมใช้” เป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้ : ในอดีต ความชาญฉลาดหรือศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเสริมสร้างฐานความรู้ขององค์กร เป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการทำงาน แรงกาย หรือแรงใจ แต่ในยุค AI นี้ องค์กรระดับ Frontier Firm เริ่มมองเห็นแล้วว่าการมีเครื่องมือ AI หรือมีระบบ AI agent ทำงานแบบอัตโนมัติอยู่ภายในองค์กร 

นับเป็นการเติมเต็มช่องว่างด้านขีดความสามารถขององค์กร เพิ่มศักยภาพการทำงานอัจฉริยะ ช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างคล่องตัวกว่าในอดีต

ผลสำรวจเผยว่า ผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 90% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 82%) มีแผนที่จะนำ AI agent เข้ามาทำงานเคียงข้างพนักงานในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

เนื่องจาก AI agent สามารถทำความเข้าใจในเนื้องาน วางแผนงาน และทำงานบางส่วนโดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง โดยมีพนักงานเป็นผู้ดูแลและตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนที่สำคัญ หรือเท่ากับว่ามีแผนที่จะขยายองค์กรด้วย “ทีมงานดิจิทัล” ผ่าน AI นั่นเอง

แนวทางการสร้างทีมรูปแบบใหม่นี้ยังมีส่วนสำคัญที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพ และข้อจำกัดต่างๆ ในการเพิ่มปริมาณงานที่ทุกองค์กรทั่วโลกต่างเผชิญมาโดยตลอด

สอดคล้องกับผลการสำรวจที่บอกว่า 75% ของผู้บริหารไทย (เฉลี่ยทั่วโลก 53%) ต้องการให้องค์กรทำงานได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันพนักงานในองค์กรไทยถึง 88% (เฉลี่ยทั่วโลก 80%) รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะจัดการกับงานที่มีอยู่ล้นมือ

‘เพื่อนคู่คิด’ ชาวออฟฟิศในไทย

เตรียมพลิกผังองค์กร เมื่อพนักงานจับมือ AI ทำงานเป็นทีม : ผู้บริหารองค์กรไทยราว 68% (เฉลี่ยทั่วโลก 46%) บอกกับเราว่าองค์กรของพวกเขาเริ่มนำ AI agent เข้ามาเปลี่ยนกระบวนการการทำงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติเต็มตัวแล้ว

นับเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในทั้ง 31 ประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจ โดยเมื่อมองไปที่ภาพรวมระดับโลกแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรเริ่มมีทีมงานลูกผสมระหว่างพนักงานและ AI มากขึ้น โดยเฉพาะในสายงานบริการลูกค้า การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์

เมื่อหันไปสอบถามพนักงานว่าพวกเขาเลือกขอความช่วยเหลือจาก AI ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง พบว่าพนักงานไทยมีมุมมองแตกต่างจากคนทำงานทั่วโลกเล็กน้อย โดยเหตุผลอันดับหนึ่งคือสามารถเรียกใช้งาน AI ได้ทุกเวลา

โดยพนักงานไทยเล็งเห็นคุณค่าของ AI ในการนำเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ขณะที่คนทำงานในประเทศอื่นๆ ให้ความสำคัญกับความเร็วและคุณภาพของผลงานจาก AI มากกว่าความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย

พบด้วยว่า อัตราส่วนการใช้งาน AI agent ขององค์กรไทยที่สูงกว่าชาติอื่นๆ ทั้งยังสะท้อนออกมาในรูปของมุมมองที่พนักงานมีต่อ AI อีกด้วย โดย 56% ของพนักงานไทยมอง AI เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่แชร์ไอเดียกันในเวลาทำงาน ขณะที่ 43% มอง AI เป็นเครื่องมือที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น (เฉลี่ยทั่วโลก 46% และ 52% ตามลำดับ)

ก้าวไปอีกขั้นกับ ‘AI agent’

พนักงานทุกคนเป็นหัวหน้างานได้ ด้วยลูกน้องพลัง AI : ข้อมูลทั้งหมดในสองประเด็นที่ผ่านมาล้วนแสดงให้เห็นว่าการใช้งาน AI agent ในองค์กรมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น

โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหารไทยมองว่าทีมงานในองค์กรจะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในงานประจำวัน ทั้งการออกแบบระบบงานใหม่ด้วย AI (51%), การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน โดยมี AI agent หลายตัวทำงานร่วมกัน (51%), การฝึกสอน AI agent ให้เข้าใจเนื้องาน (56%) และการบริหารจัดการ AI agent ในภารกิจต่างๆ (46%)

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น พนักงานยังคงต้องการแรงสนับสนุนในด้านทักษะและความเชี่ยวชาญ โดยผู้บริหารตอบว่าคุ้นเคยกับแนวคิดและการใช้งาน AI agentเป็นอย่างดี (ไทย 78% และทั่วโลก 67%) มากกว่าพนักงาน (ไทย 53% และทั่วโลก 40%) แต่องค์กรส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความจำเป็นตรงจุดนี้แล้ว และยกให้การเสริมสร้างทักษะของพนักงานเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดขององค์กรในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

รายงาน Work Trend Index ประจำปีนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังก้าวไปอีกขั้น จากการทดลองใช้ AI สู่การใช้งานจริงและการปรับโครงสร้างองค์กรให้เข้ากับยุค AI มากยิ่งขึ้น

เราเชื่อว่าองค์กรและประเทศที่ปรับตัวให้ทำงานแบบ AI-first ได้ จะสามารถผสมผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตสู่ความสำเร็จได้มากกว่าที่เคย

สำหรับไมโครซอฟท์เอง พร้อมที่จะให้การสนับสนุนทุกองค์กร ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกและคำแนะนำที่ตอบโจทย์ในโลกยุค AI กับฟีเจอร์ใหม่ใน “Microsoft 365 Copilot” ที่จะเปิดโอกาสให้องค์กรทั่วโลกได้เข้าถึง AI agent ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมด้วยโมเดล AI ที่มีความสามารถมากขึ้นในหลายด้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ห้ามพลาด 7 ผักพื้นบ้าน ช่วยแก้อาการท้องผูก

อาการท้องผูกคงจะเป็นปัญหาใหญ่ของหลายๆคน เพราะนอกจากจะทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวแล้ว ยังทำให้ร่างกายอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรค ริดสีดวงได้ บางคนหาทางออกด้วยการใช้ยาระบาย ยาระบายหากคนใช้ไม่เป็นอาจทำให้ท้องร่วงจนถึงเข้าโรงพยาบาลได้ ดังนั้นในบทความนี้เราจะบอกถึง ผักพื้นบ้าน 7 ชนิดที่ควรรับประทานเพื่อแก้อาการท้องผูกอย่างได้ผล รับรองทานเข้าไปขับถ่ายออกมาอย่างแน่นอน

1.ผักบุ้ง

ผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ทั้งสด หรือปรุงสุก ก็ช่วยทำให้เราขับถ่ายได้อย่างดี เพราะผักบุ้งมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์นี้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้อุจจาระนิ่ม  อีกทั้งผักบุ้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับถ่ายของเสีย ทำให้กระเพาะอาหารดูดซึมได้ดีขึ้น หากใครที่ประสบปัญหา ท้องผูก การรับประทานผักบุ้ง ช่วยได้

2.ผักปลัง

ในผักปลังสามารถนำมารับประทานได้ ทั้ง ใบ ยอดอ่อน ลำต้น และราก โดยทุกส่วนจะมีเมือกลื่นๆที่ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ช่วยในการขับถ่ายของเสีย เป็นยาระบายอ่อนๆตามธรรมชาติ

3.ผักเชียงดา

ผักเชียงดามีฤทธิ์ช่วยแก้โรคริดสีดวงทวาร รักษาอาการท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ฟื้นฟูตับอ่อน ช่วยบำรุงสายตา ปรับความสมดุลของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมนำมาแกงรวมกับใบตำลึง ช่วยลดอาการท้องผูก

4.ตำลึง

ผักริมรั้วที่ทุกบ้านต้องมี เพราะดูแลรักษาง่าย แถมมีประโยชน์หลากหลาย นอกจากคุณสมบัติเด่นทางด้านการบำรุงสายตาแล้ว ตำลึงยังช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แถมยังช่วยขับสารพิษในลำไส้ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงผิว บำรุงกระดูกแก้อาการวิงเวียนศีรษะ  การรับประทานตำลึงอาจจะรับประทานสด หรือนำมาปรุงอาหารก็อร่อยทั้งนั้น

5.กุยช่าย

กุยช่ายมีฟอสฟอรัสและเส้นใยอาหาร สูงช่วยในการบำรุงกระดูกและระบบขับถ่ายเพราะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้เป็นอย่างดี ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยบำรุงน้ำนมและแก้อาการตกขาวในสตรีได้เป็นอย่างดี

6.กระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียวก็คล้ายๆกับผักปลัง มีเมือกลื่นๆอยู่ในตัวเอง  ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ป้องกันอาการบาดเจ็บ รักษาโรคกระเพาะอาหาร และเยื่อบุกระเพาะลำไส้ อีกทั้งเมือกที่อยู่ในกระเจี๊ยบเขียวเมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่ จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อย่างพรีไบโอติก  ช่วยให้ขับถ่ายได้คล่อง แถมยังช่วยกำจัดพยาธิตัวจี๊ดได้อีกด้วย

7.บวบ

บวบ ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการเจ็บคอ และรากของบวบยังเป็นยาระบายอ่อนๆ เพียงใช้รากต้มกับน้ำแล้วดื่ม ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งตัวบวบยังมีสรรพคุณอีกหลากหลาย ช่วยรักษาริดสีดวงทวารได้อีกด้วย

การรักษาอาการท้องผูกแบบธรรมชาติด้วยการหันมารับประทานอาหารเช่นผักผลไม้ที่มีกากใยสูง จะช่วยแก้อาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัย แถมยังมี)ระโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆด้าน ผักพื้นบ้านของไทย นอกจากจะหาง่าย คุณค่ายังมากมายแถมราคาถูก ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้ยาที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายของเราในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/05/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,200.0052,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,381.0051,255.9653,100.00
ทองรูปพรรณ 90%3,042.9046,130.36n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,704.8041,004.77n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,521.0023,065.18n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,183.0017,939.59n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,504.0053,114.98n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/05/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4448.8449.8448.8441.44
เบนซิน 9541.1448.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า