แสนสิริเร่งรุกแนวราบ-ลักชัวรีดันไตรมาสแรกยอดทะลุ1.5 หมื่นล้าน

สนสิริลุยเปิดโครงการแนวราบ-ลักชัวรี รับสัญญาณฟื้นตัวขานรับมาตรการรัฐ-แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ดันยอดขายไตรมาสแรกโต 25% ยอดขาย1.5หมื่นล้านตุนเงินสด เสริมสภาพคล่อง
แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนทางการเงินภายในประเทศ “แสนสิริ” หนึ่งในผู้นำวงการอสังหาฯ ไทย กลับเดินเกมเชิงรุก ท่ามกลางกระแสฟื้นตัวที่เริ่มก่อตัวอย่างมีนัยสำคัญ
วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน แสนสิริ เผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ไม่เพียงสะท้อนเสถียรภาพของบริษัทในภาวะตลาดเปลี่ยนผ่าน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงพลังการฟื้นตัวของกำลังซื้อ โดยมียอดขายรวมกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโต 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายได้รวมอยู่ที่ 6,891 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 814 ล้านบาท
แม้จะเผชิญพายุเศรษฐกิจ แต่ยังคงรักษาฐานะการเงินได้มั่นคง พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์รักษาสภาพคล่องเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ล่าสุดบริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Bond) ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก โดยคาดว่าจะเปิดจองในช่วงปลายมิ.ย.นี้

นอกจากกลยุทธ์การเงินแล้ว “แผนธุรกิจเชิงรุก” โดยปัจจุบันมี Backlog รอรับรู้รายได้มากกว่า 22,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดโครงการใหม่และรับรู้รายได้จากโครงการพร้อมโอนอีกหลายโครงการในพอร์ต ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต
แรงหนุนภายนอก-โอกาสจากนโยบายรัฐ
ปัจจัยบวกจากภาครัฐและเศรษฐกิจมหภาค กำลังช่วยเปิด “หน้าต่างแห่งโอกาส” ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายกลางถึงบน ได้แก่
- มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท
- การผ่อนคลายเกณฑ์ Loan-to-Value (LTV) ชั่วคราว
- แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง หลังธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%
ทั้งหมดนี้คือแรงเสริมที่ทำให้ “กำลังซื้อ” เริ่มกลับมา โดยเฉพาะใน กลุ่มแนวราบระดับบน ซึ่งแสนสิริถือไพ่เหนือคู่แข่ง ทั้งในแง่แบรนด์ ความเชี่ยวชาญ และส่วนแบ่งตลาด
บุกตลาดแนวราบ-ลักชัวรี
ข้อมูลจากแสนสิริสะท้อนว่า เซ็นทิเมนต์ในตลาดบ้านแนวราบเริ่มพลิกกลับมาเป็นบวก ทั้งในกลุ่มกลางถึงบน โดยเฉพาะสินค้าระดับลักซ์ชัวรีที่บริษัทยังคง “ปั้นมือ” ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งโครงการในไตรมาสนี้ ได้แก่
นาราสิริ บางนา กม.10 บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ราคา 60–150 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซล 24–25 พ.ค.
เวีย 34 คอนโดมิเนียมหรูแบบ Low Rise ใจกลางสุขุมวิท ห่าง BTS ทองหล่อเพียง 350 เมตร
เดมี พระราม 9 – เหม่งจ๋าย ทาวน์โฮมระดับพรีเมียมบนทำเลหายาก ราคาสูงถึง 27.9 ล้านบาท คาดว่าจะ Sold Out ทันทีที่เปิดขาย
คอนโดพร้อมโอนในภูเก็ต เช่น The Base Rise และ The Base Bukit รองรับทั้งดีมานด์อยู่อาศัยและนักลงทุนต่างชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
UHG พลิกสำนักงานปั้น‘โรงแรม’ กำไร 3 เท่า! โอเวอร์ซัพพลาย

UHG พลิกกลยุทธ์แก้เกมออฟฟิศโอเวอร์ซัพพลาย ปรับฟังก์ชันกลายเป็น‘โรงแรม’ นำร่อง 200 ห้อง เดอะ ควอเตอร์ ลาดพร้าวดีลูกคิดแล้วกำไรเพิ่ม 3 เท่า!
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่านใจกลางเมืองเริ่ม “อิ่มตัว” ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานต้องเผชิญความท้าทายจากภาวะอุปทานล้นเกิน (oversupply) หนึ่งในผู้เล่นที่สามารถ “หันหัวเรือ” ได้ทันสถานการณ์ เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หรือ UHG ด้วยแนวทางคิดที่ไม่ยึดติดกับ “รูปแบบดั้งเดิมของทรัพย์สิน” และการอ่านสัญญาณตลาดอย่างเฉียบคม
UHG กำลังปักหมุดกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่เพียงแค่ “เปลี่ยนทำเล” แต่ยัง “เปลี่ยนฟังก์ชัน” สินทรัพย์เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวอย่างมั่นคงอีกด้วย
พลิกเกมจาก CBD สู่ “ไข่ขาวเมืองกรุง”
ในขณะที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ยังคงยื้อกันบนพื้นที่ทองคำย่านธุรกิจใจกลางเมือง (CBD) อย่างสีลม สาทร อโศก วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ UHG กลับเลือกก้าวออกมายืนบนรอยต่อของเมือง ในพื้นที่ที่พวกเขานิยามว่า “ไข่ขาวของกรุงเทพฯ” หรือพื้นที่รอบนอกที่ยังไม่ถูกใช้จนเต็มศักยภาพ แต่เชื่อมต่อเมืองได้อย่างสะดวกสบายผ่านโครงข่ายรถไฟฟ้า
“เราไม่ได้มองแค่การท่องเที่ยว แต่มองการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมคนเมืองในอีก 5-10 ปีข้างหน้า”
เพราะทำเลรอบนอกในแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ เช่น สายสีส้ม และส่วนต่อขยายของสายสีน้ำเงิน คือหัวใจของแผนขยายธุรกิจในเฟสถัดไป แม้จะอยู่นอกโซนศูนย์กลางธุรกิจ แต่ “ไข่ขาว” กลับมีองค์ประกอบครบ ทั้งที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร ชุมชนท้องถิ่น และต้นทุนที่ดินที่ยังคุมได้ ช่วยให้ UHG เดินเกมระยะยาวโดยไม่แบกรับความเสี่ยงเกินตัว
ปรับทรัพย์สินเปลี่ยนฟังก์ชันจากออฟฟิศสู่โรงแรม
หัวใจของยุทธศาสตร์ใหม่ของ UHG ไม่ได้อยู่แค่ “ที่ไหน” แต่คือ “อย่างไร” ท่ามกลางภาวะตลาดอาคารสำนักงานซบเซา บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ “Asset Conversion” หรือการดัดแปลงการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วให้ตอบโจทย์มากกว่าเดิม ยกตัวอย่าง การปรับพื้นที่สำนักงานกว่า 7,000 ตารางเมตร ภายในโครงการ “เดอะ ควอเตอร์ ลาดพร้าว” ซึ่งเดิมถูกใช้เป็นออฟฟิศเช่า ให้กลายเป็นโรงแรมขนาด 200 ห้องเต็มรูปแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569
“จากเดิมรายได้สำนักงานเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 50 ล้านบาท เมื่อปรับเป็นโรงแรม คาดรายได้แตะ 160 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า”
โดยการลงทุนครั้งนี้ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท และสะท้อนภาพรวมของโมเดลธุรกิจ UHG ที่เน้นสร้าง “ผลตอบแทนที่ยั่งยืน” จากการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์

Hybrid Hospitality ทางรอดโรงแรมยุคใหม่
ภายใต้แบรนด์ “The Quarter” โรงแรมของ UHG ไม่ใช่แค่ที่พัก แต่คือ “พื้นที่ใช้ชีวิต” แบบไฮบริดที่ผสานความเป็นที่พัก โรงแรม และ Co-Working Space ไว้ในที่เดียว รองรับกลุ่มนักเดินทางยุคใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่น ทั้งในการทำงานและพักผ่อนที่ใช้ระยะเวลาในการพักยาวขึ้น
จากข้อมูลภายใน บริษัทพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป ซึ่งกลับเข้ามาไทยต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2566 เริ่มหันมาเลือกโรงแรมที่มีบริการระยะยาว (Long Stay) มากขึ้น 4-7 คืนต่อทริป ขณะที่กลุ่มครอบครัวมองหาห้องพักแบบ Family Room ซึ่ง UHG ก็ปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโครงการ The Quarter ที่ทยอยปรับห้องและบริการใหม่ให้สอดรับเทรนด์นี้
“โรงแรมไม่ได้แข่งกันแค่เรื่องราคา แต่แข่งกันที่ความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้เข้าพักทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการ”
ขยายพอร์ตเติบโตจากฐานแข็งแกร่ง
ปัจจุบัน UHG มีโรงแรมในเครือ 18 แห่ง รวมกว่า 3,000 ห้อง พื้นที่สำนักงานให้เช่ารวมกว่า 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังเดินหน้าเปิดตัวโครงที่มีอาคารสำนักงานภายใต้แบรนด์ “ฮิลล์” อีก 3 แห่ง คือ ฮิลล์ รัชโยธิน ฮิลล์ รามคำแหง และฮิลล์ สุขุมวิท แม้ในภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานจะไม่สดใส แต่ UHG ยังคงมองเห็นโอกาส! โดยเร่งอัตราการเช่าและปรับรูปแบบบริการให้ตอบโจทย์องค์กรขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น
ปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัททำรายได้รวม 3,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 668 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนถึง 20% และตั้งเป้าเพิ่มขึ้นอีก 2-5% ในปี 2568 ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
UHG ไม่ได้แค่เปลี่ยนสำนักงานให้กลายเป็นโรงแรม แต่กำลังเปลี่ยน “วิธีคิด” ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ยุทธศาสตร์ครั้งนี้สะท้อนบทเรียนสำคัญว่า การยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ของทรัพย์สิน อาจ ”ไม่ใช่” ทางรอดในวันที่โลกเปลี่ยนเร็วเกินคาด จากออฟฟิศให้กลายเป็นโรงแรมที่สร้างกำไร 3 เท่า ”ไม่ใช่” เพราะโชคช่วย แต่เพราะการอ่านเกมอย่างแม่นยำ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14พ.ค. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility จากทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ที่สามารถมีทั้งจังหวะย่อตัวลง สลับกับการรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อ-ขายทองคำ ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้14พ.ค2568 ที่ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเราประเมินว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว
อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ก็อาจจะต้องการทยอยขายทำกำไรในโซนดังกล่าวบ้าง แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้จริง
เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าต่อไปยังโซน 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยากนัก หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) ทยอยปิดสถานะ Cut Losses
ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะฝั่งบอนด์ ส่วนแรงขายหุ้นไทยช่วงนี้ ถือว่า เหนือความคาดหมายของเรา ที่ประเมินว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจช่วยหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อหุ้นไทยได้
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility จากทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ที่แม้จะอยู่ในช่วงการพักฐาน Correction แต่ก็สามารถมีทั้งจังหวะย่อตัวลง สลับกับการรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อ-ขายทองคำ ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน
โดยรวมเรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ชัดเจน อาจทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ขณะที่โซนแนวรับสำคัญอาจขยับขึ้นมาแถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับถัดไปในช่วง 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ตามเดิม
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.40 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.19-33.38 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนล่าสุด ออกมา +2.3% ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI +2.8% ตามคาด)
ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะทยอยสูงขึ้นได้ จากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยสะท้อนออกมาในรายงานอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่หนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.50% อีกครั้ง
ทั้งนี้ เงินบาทยังเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม ทิศทางราคาทองคำ ซึ่งมีทั้งจังหวะย่อตัวลง ก่อนที่จะได้แรงหนุนจากโฟลว์ซื้อ Buy on Dip จากผู้เล่นในตลาดบางส่วน (ซึ่งอาจรวมถึงฝั่งผู้เล่นที่ต้องการ take profits สถานะ Short ทองคำ) ทำให้ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นมากบ้าง และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา (แต่โดยรวม เราคงมองว่า ราคาทองคำจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เงินบาทเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility ขึ้นกับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยมี Beta ราว 0.3-0.5)
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างปรับตัวสูงขึ้น นำโดย Nvidia +5.6%, Tesla +4.9% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.61% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.72%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อ +0.12% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้อานิสงส์จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน (ZEW Survey) ล่าสุด ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาผสมผสาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นชัดเจน
ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-On) กอปรกับ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ล่าสุดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 10% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้) ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4.50% โดยเราคงคำแนะนำเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้ (เน้น Buy on Dip) โดยเฉพาะในช่วงโซนสูงกว่า 4.30%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 101 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.9-101.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากทั้งการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำ ของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้างและยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,249 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ ส่วน BOE และ ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว -50bps หรือ 2 ครั้ง
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังโดย EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ WTI ในระยะสั้นได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.29-33.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ประกอบกับมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณขายสุทธิของต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.15-33.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์เงินหยวนและสกุลเงินในภูมิภาค สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เมย์-วิว-บาส-เฟม นำทัพ! นักแบดไทยซ้อมสนามจริงก่อนลุย โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025

ทัพนักแบดมินตันไทย นำโดย รัชนก, กุลวุฒิ, เดชาพล-ศุภิสรา ลงซ้อมสนามจริงก่อนลุยศึก โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 พร้อมเผยความพร้อม-เป้าหมายในรายการซูเปอร์ 500
ความเคลื่อนไหวของทัพนักกีฬาแบดมินตันไทยก่อนเข้าสู่การแข่งขันรายการ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025” รายการระดับ BWF World Tour Super 500 ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 475,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16.15 ล้านบาท) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13–18 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา นักแบดมินตันไทยได้ลงซ้อมในสนามแข่งขันจริง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นสนามและทิศทางลม นำโดย “เมย์” รัชนก อินทนนท์, “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์, “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์, “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน, “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย, “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบรรลือกิจ, “เม” ศุภนิดา เกตุทอง, และ “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์
“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ที่จับคู่กับ “โนแอล” ภูวนัตถ์ เปิดใจถึงการซ้อมร่วมกันว่า “สภาพร่างกายพร้อมเต็มที่ พยายามใช้สิ่งที่ซ้อมมาปรับใช้ในแมตช์จริง โดยหวังจะทำผลงานให้ดีขึ้นในแต่ละรอบ” ขณะที่ โนแอล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้เล่นร่วมกับพี่ปอป้อแชมป์โลก ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้คำแนะนำที่มีประโยชน์มากมาย”
“เมย์” รัชนก อินทนนท์ เผยว่า “ตอนนี้เน้นความสนุกกับการเล่นแบดมินตันมากขึ้น แม้สภาพร่างกายจะเปลี่ยนไปตามวัย แต่ยังอยากเล่นให้เต็มที่ในทุกทัวร์นาเมนต์ โดยตั้งเป้าเข้ารอบรองชนะเลิศในรายการนี้ เพื่อให้แฟนๆ มีความสุข”
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ กล่าวว่า “รู้สึกพร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ การแข่งขันในบ้านเกิดมีความพิเศษ อยากทำให้ดีที่สุด และตั้งเป้าผ่านถึงรอบ 8 คนสุดท้าย”
ด้านคู่ผสม “บาส-เฟม” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ศุภิสรา เพียวสามพราน ซึ่งปัจจุบันอยู่อันดับ 11 ของโลก เผยว่า “เริ่มต้นปีนี้ได้ดี มีแชมป์ 2 รายการติด ช่วยเพิ่มความมั่นใจ แม้จะมีบางรายการที่สะดุด แต่ตอนนี้ร่างกายฟิตสมบูรณ์ พร้อมลุยทั้งรายการในบ้านและอีก 4 รายการถัดไป”
ขณะที่ “อันนา-มูนา” นันทน์กาญจน์ และ เบญญาภา เอี่ยมสอาด หญิงคู่มือ 21 ของโลก กล่าวว่า “ฟื้นตัวเต็มที่หลังจากป่วย ทำให้พลาดรายการสุธีรมาน คัพ ครั้งนี้ซ้อมเต็มที่ หวังทำผลงานให้ดีโดยไม่กดดันตัวเอง”
สำหรับโปรแกรม โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 จะเริ่มรอบคัดเลือกในวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 9.00 น. และรอบเมนดรอว์เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
เสี่ยงโรคแพนิคหรือเปล่า? 10 อาการแพนิคที่ไม่ควรมองข้าม เช็กตัวเองด่วน!

10 สัญญาณอันตราย เสี่ยงโรคแพนิค เช็กตัวเองกันว่าคุณเครียด ตกใจ กลัว จนอาจกำลังเสี่ยงโรคแพนิคโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า
โรคแพนิค คืออะไร
หมอมีฟ้า จาก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า โรคแพนิค เป็นภาวะทางจิตเวชอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อย โดยพบได้ 2-5% ของประชากร อย่างไรก็ตาม การมีอาการแพนิคหนึ่งครั้ง (panic attack) ไม่ได้แปลว่ามีโรคแพนิค (panic disorder) เพราะฉะนั้นลองมาดูที่อาการกันว่า แพนิค (ตกใจ กลัว) มากแค่ไหน ถึงเข้าขั้นเสี่ยงเป็นโรคแพนิค
10 สัญญาณอันตราย เสี่ยงโรคแพนิค
ผู้ป่วยโรคแพนิคจะมีอาการทางร่างกายหลายๆ อย่าง (อย่างน้อย 4 อาการ) ขึ้นมา พร้อมๆ กัน ได้แก่
- ใจสั่น
- หัวใจเต้นแรงหรือเร็วมาก
- หายใจไม่อิ่ม หายไม่ออก (บางคนจะบอกว่า หายใจไม่เข้า)
- รู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก
- รู้สึกมึนหัว โคลงเคลง เหมือนจะเป็นลม
- เหงื่อแตก
- ตัวสั่น
- คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน
- มือไม้ชาๆ ซ่าๆ หรือรู้สึกอ่อนแรง
- รู้สึกเย็บวาบ หรือ ร้อนวูบ
หากมีอาการแพนิค (panic attack) เพียงครั้งเดียว เช่น ตอนลงทะเลครั้งแรกในการเรียนดำน้ำ ตอนต้องพูดต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ แล้วไม่ได้มีอาการอีกซ้ำๆ ไม่มีผลอะไรต่อการใช้ชีวิต ก็ไม่นับว่าเป็นโรคแพนิค (panic disorder)
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเสี่ยงโรคแพนิค ต้องเป็นอาการแพนิค ซ้ำๆ โดยที่ไม่ได้เกิดจากยา สารต่างๆ โรค หรือสาเหตุทางกายอื่นๆ เพราะหากเป็นจากเหตุอื่น อาจเป็นอันตรายได้
อันตรายของโรคแพนิค
ในครั้งแรกๆ อาการจะเกิดขึ้นแบบคาดเดาไม่ได้ แต่เมื่ออาการเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกทนไม่ไหว อยากออกจากจุดนั้น ถ้าขับรถก็ต้องจอด บางคนอยากลงจากเครื่องบิน ทำให้มักเกิดความกังวลตามมาว่า จะเกิดอาการแล้วไม่มีใครช่วยได้ หรืออยู่ในจุดที่หนีไม่ได้ เช่น อยู่ในรถสาธารณะแล้วลงไม่ได้ หรือรถติดอยู่บนทางด่วน
ในบางกรณี โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจจะเชื่อมโยงอาการกับสถานที่ที่เคยมีอาการ เช่น บันไดเลื่อน ลิฟท์ รถไฟฟ้า แล้วเริ่มมีอาการที่คาดเดาได้ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าเดินทาง บางรายมีภาวะซึมเศร้าตามมา หรือ หันไปดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดเพื่อบรรเทาอาการ แล้วเกิดเป็นอีกปัญหาตามมาเรื่อยๆ
โรคแพนิค อาจเป็นโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความที่อยู่ๆ อาการหลายๆ อย่างดังกล่าว ก็เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ป่วยมักกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ กลัวจะเป็นบ้า หรือกลัวว่าจะตาย (ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคหัวใจ)
อาการต่างๆ มักจะขึ้นถึงจุดสูงสุดใน 10-15 นาที จากนั้นก็จะค่อยๆ เบาลง และมักจะหายไปในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง บางคนมีความเครียด อยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน แต่บางรายก็มีอาการขึ้นมาเองได้ จากระบบประสาทออโตโนมิคที่ทำงานผิดปกติ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้ป่วยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในช่วงที่มีเครียดหรือกังวลอะไร
หากมีอาการแพนิค ควรทำอย่างไร
หากผู้ป่วยมีอาการครั้งแรก ควรรีบไปห้องฉุกเฉิน เนื่องจากมีหลายภาวะที่ทำให้เกิดอาการคล้ายแพนิคได้ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคปอด โรคธัยรอยด์ อาการนำของโรคลมชัก เป็นต้น
จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมก่อนว่า ไม่ใช่อาการของโรคใดโรคหนึ่ง
นอกจากนี้ สารบางตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้ เช่น คาเฟอีนที่มากเกินไป พิษกัญชา อาการถอนจากสารเสพติดหลายชนิด เป็นต้น
วิธีรักษาผู้ป่วยโรคแพนิค
- ใช้ยา
มีทั้งยาที่กินเพื่อป้องกันและรักษา ได้แก่
- กลุ่มยาลดอาการ กินเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น เช่น ยา Benzodiazepine เช่น Alprazolam, Clorazepate, Diazepam เป็นต้น หลังกิน ยาจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ภายใน 15-20 นาที
- กลุ่มยาต้านซึมเศร้า ที่ช่วยให้อาการแพนิคเกิดขึ้นถี่น้อยลง จนค่อย ๆ หายไป รวมทั้งช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ผลของการใช้ยาจะค่อยๆ เห็นผลใน 2 สัปดาห์
- ควบคุมลมหายใจ (Breathing exercise)
เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ามีอาการแพนิค สามารถใช้เทคนิคควบคุมการหายใจเข้าออกเพื่อลดอาการแพนิคได้ ดังนี้
- นั่งพัก ตั้งสติ
- หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ เหมือนตอนนั่งสมาธิ หรือเล่นโยคะ โดยหายใจออกให้ยาวกว่าหายใจเข้า เพื่อเอาคาร์บอนออกไซด์ออกไปให้หมดก่อน
- หายใจเข้านับ 1-2-3-4 หายใจออกนับ 1-2-3-4-5-6
เนื่องจากเวลามีอาการ ผู้ป่วยมักจะหายใจเร็ว คือหายใจตื้นๆ ถี่ๆ ซึ่งจะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดหนักขึ้นไปอีก ผู้ป่วยหลายรายไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉุกเฉิน เนื่องจากอาการลดลงไปมากเมื่อหายใจอย่างถูกวิธี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำอวยพรเพื่อนภาษาอังกฤษ ความหมายสุดซึ้ง

ในวันเกิดของเพื่อน ชาวต่างชาติมักเขียน หรือกล่าวอวยพรที่มีความหมายลึกซึ้ง วัยรุ่นสมัยใหม่ในไทยเอง ก็นิยมเขียนอวยพรเป็นภาษาอังกฤษให้เพื่อนบนโซเชียลมีเดีย ในการเขียนหรือกล่าวคำอวยพรภาษาอังกฤษ สามารถใช้ประโยคไหนได้บ้างเพื่อให้ได้ความหมายสุดซึ้ง ตามบทความของเราไปดูกัน
อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบสั้น ความหมายดี
- “Cheers to another fabulous year! Happy birthday!”
(ยินดีด้วยกับอีกปีที่น่าทึ่ง! สุขสันต์วันเกิด!)
- “Happy birthday, buddy! Let’s celebrate your awesomeness!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาฉลองความเยี่ยมยอดของคุณกัน!)
- “Happy birthday! May your day be as bright as your smile.”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้สดใสเหมือนรอยยิ้มของคุณ)
- “Happy birthday! Wishing you a day filled with joy and laughter.”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้เต็มไปด้วยความสุขและการหัวเราะ)
- “Happy birthday, buddy! Let’s make today unforgettable!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาทำให้วันนี้เป็นวันที่จำไม่ลืมกัน!)
- “Wishing you all the best on your birthday. Have a blast!”
(ขอให้คุณสมปรารถนาทุกสิ่งในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกสนานนะ!)
อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบยาว ลึกซึ้งกินใจ
- “To my amazing friend, happy birthday! You deserve all the happiness in the world.”
(สุขสันต์วันเกิด! เพื่อนที่น่าทึ่งของฉัน เธอควรได้รับความสุขทุกอย่างในโลก)
- “Happy birthday! Thank you for being an amazing friend. Here’s to many more years of friendship!”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง ต่อไปนี้ก็จะมีมิตรของเราอีกหลายปี!)
- “To my dear friend, happy birthday! May your day be as amazing as you are!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อนที่รัก! ขอให้วันนี้เป็นวันที่น่าอัศจรรย์เช่นเดียวกับคุณ!)
- “Wishing you endless happiness and success on your birthday. Enjoy!”
(ขอให้คุณมีความสุขและมีประสบความสำเร็จอย่างไม่สิ้นสุดในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกนะ!)
- “Sending you lots of love and hugs on your special day. Happy birthday!”
(ส่งความรักและการกอดมาให้คุณในวันพิเศษของคุณ สุขสันต์วันเกิดนะ!)
- “Happy birthday to the most amazing friend! Your presence brings joy and warmth to my life every day.”
(สุขสันต์วันเกิดสำหรับเพื่อนที่น่ารักที่สุด! ความเป็นมิตรของคุณนำความสุขและความอบอุ่นมาสู่ชีวิตของฉันทุกวัน)
- “As you celebrate another year of life, I want you to know how much your friendship means to me. Happy birthday, dear friend!”
(ในขณะที่คุณฉลองอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ฉันอยากให้คุณรู้ว่ามิตรภาพของคุณมีความหมายสำหรับฉันแค่ไหน สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนที่รัก!)
- “To my closest friend, may your birthday be as special as you are to me. Thank you for being an extraordinary friend.”
(สำหรับเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ขอให้วันเกิดของคุณเป็นวันพิเศษเหมือนที่คุณเป็นคนพิเศษของฉัน ขอบคุณสำหรับการเป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
2 ปี ‘พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์’ติดสปีดราชการไปถึงไหน?

ในยุคที่โลก รวมถึงประเทศไทย กำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ Digital Adoption & Transformation หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ขับเคลื่อนองค์กร จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ
ภาครัฐกำลังปรับตัวก้าวเข้าสู่ e-Government อย่างเป็นรูปธรรม โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่การทำงานที่คล่องตัวขึ้น แต่เพื่อให้การบริการประชาชน สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส และสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อการพัฒนาดิจิทัลของประเทศในระยะยาว

ความก้าวหน้านี้สะท้อนผ่าน ผลสำรวจรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ประจำปี 2024 (UN E-Government Survey 2024) ที่เผยแพร่โดยองค์การสหประชาชาติ พบว่า ไทยขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 52 ของโลก (จากอันดับ 55 ในปี 2022) และรั้งอันดับที่ 15 ของเอเชีย ในด้านการพัฒนา e-Government แม้ยังอยู่ในระดับกลางของภูมิภาค แต่ศักยภาพของไทยในการก้าวสู่ระดับสูงกว่ายังคงเปิดกว้างอย่างมาก
เบื้องหลังความก้าวหน้าของความสำเร็จ เริ่มต้นขึ้นหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ที่วางกรอบสำคัญกำหนด ให้หน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนต้องปรับการทำงาน และเปลี่ยนรูปแบบบริการสู่ e-Services ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การทำงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญโปร่งใส และมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยบริการของรัฐที่เชื่อมโยงกัน
โดยมี 4 หน่วยงานสำคัญร่วมขับเคลื่อน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้ปลอดภัย น่าเชื่อถือ ใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ย้อนไทม์ไลน์ 2 ปี ระบบ ‘ราชการไทยเป็นดิจิทัล’ แค่ไหน ?”
หลัง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บังคับใช้ ผ่านมากว่า 2 ปี เวลาอาจดูไม่นาน แต่กลับพบว่า ระบบราชการบ้านเรารุดหน้าเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการกำหนดให้ราชการทุกภาคส่วน ต้องมี วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับเริ่มต้น คือต้องมีช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งเอกสารผ่านอีเมล์กลางของหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการให้บริการ e-Services ที่ตอนนี้หน่วยงานราชการเกือบ 100% มีอีเมล์ที่เป็นช่องทางกลางในการติดต่อสำหรับหน่วยงานภายนอกและประชาชนแล้ว
พร้อมขยับสู่ วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับมาตรฐานที่ครอบคลุมบริการที่มีความซับซ้อนเช่น การยื่นคำขอ การชำระค่าธรรมเนียม การออกใบอนุญาตต่างๆ ที่วันนี้สามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์แล้ว ซึ่งไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ แต่ยังเสริมความโปร่งใส ลดความซับซ้อน และช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี
โดยในปี 2567 มีหน่วยงานที่พร้อมออกใบอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว 45 หน่วยงาน กว่า 335 ใบอนุญาต ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐทางออนไลน์ ในรูปแบบ e-Service ได้แล้ว 2,623 บริการ โดยกว่า 84.31% พึงพอใจต่อบริการ e-Service ของรัฐ นี่นับเป็นสัญญาณดีที่ถือเป็นก้าวสำคัญของราชการไทยที่เปลี่ยนจากบริการแบบเดิมๆ มุ่งสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น
Digital ID: กุญแจสำคัญสู่บริการ e-Services ภาครัฐที่ง่ายและปลอดภัย
หนึ่งในกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้บริการ e-Services ของภาครัฐมากขึ้นคือการเปลี่ยนวิธีการพิสูจน์และยืนยันตัวตน จากเดิมที่ต้องเดินทางไปยังหน่วยงาน พร้อมเอกสารมากมาย มาสู่การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือที่เรียกว่า Digital ID ที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดย Digital ID เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะ “ไขประตู” ไปสู่การบริการ Digital One Stop Services หรือการเชื่อมโยงบริการภาครัฐต่าง ๆ ไว้ที่เดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปัจจุบันภาครัฐมีระบบยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้อย่าง ThaID ของกรมการปกครอง ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางออนไลน์เพื่อเข้าใช้บริการต่าง ๆ ของรัฐได้อย่างปลอดภัย และภาครัฐเองก็สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้เข้าใช้บริการเป็นตัวจริงหรือไม่
ETDA ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ‘ธุรกิจผู้ให้บริการ Digital ID’ ได้วางแนวทางและมาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเพื่อรับรองความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ Digital ID ให้ประชาชนมั่นใจว่าข้อมูลส่วนตัวจะได้รับการคุ้มครองตามที่กฎหมาย และมาตรฐานกำหนด ผ่านแนวทางการใช้งานที่น่าเชื่อถือ เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของการทำธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น นอกจากการวางมาตรฐานแล้ว ETDA รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ยังเดินหน้าผลักดันส่งเสริมให้เกิดการใช้งาน Digital ID ตาม “กรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 พ.ศ. 2565 – พ.ศ. 2567” หรือ Digital ID framework ที่ประสบความสำเร็จ
ในการขยายการใช้งาน Digital ID อย่างแพร่หลายมากขึ้นผ่านบริการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น แอปเป๋าตัง มีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน แอป ThaID มียอดผู้ใช้กว่า 22 ล้านคน พร้อมสานต่อสู่ Digital ID framework ระยะที่ 2 (ปี 2568–2570) ที่เร่งเครื่องตั้งเป้าให้เกิดการใช้ Digital ID เชื่อมโยงบริการ e-Services ของภาครัฐให้ได้ทั้งหมด เพื่อลดปัญหาการปลอมแปลงตัวบุคคลและการฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันภายใต้การผลักดันของ ETDA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งเครื่องเชื่อม Digital ID กับ e-Services ของภาครัฐ แล้วกว่า 449 บริการ
ก้าวถัดไปของ e-Government กับเป้าการเชื่อมโยง e-Services ให้ไร้รอยต่อผ่านแพลตฟอร์มกลาง
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ตอนนี้ภาครัฐเข้าสู่การปฏิบัติงานด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับมาตรฐาน ทั้งการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานในสำนักงานให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ มีการใช้ e-Document ลงลายมือชื่อ ด้วย e-Signature บริหารจัดการงานเอกสารผ่านระบบ e-Saraban พร้อมปรับบริการแก่ประชาชนด้วยระบบ e-Services ที่เชื่อมโยง Digital ID มาช่วยพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็วมากขึ้น แต่เป้าหมายของภาครัฐไม่ได้หยุดเท่านี้ เพราะหากจะก้าวสู่การเป็น ราชการอิเล็กทรอนิกส์ ให้ได้สำเร็จหน่วยงานที่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ทั้ง กพร. DGA กระทรวง ดีอี รวมถึง ETDA เอง ต่างเห็นตรงกันว่า ควรเร่งสปีดให้ e-Services เชื่อมต่อและเชื่อมโยงกัน เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างไร้รอยต่อ และสะดวกมากที่สุด
ซึ่งในปี 2568 นี้ ภาครัฐมีแผนจะเชื่อมโยงบริการ e-Services ทั้งหมดเข้าด้วยกันผ่าน ‘แพลตฟอร์มกลาง’ ที่จะรวมทุกบริการภาครัฐ ซึ่งตอนนี้มีแพลตฟอร์มกลางสำหรับการให้บริการ e-Services ภาครัฐอยู่ด้วยกัน 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ ระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal), ระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) เพื่อให้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์, ระบบศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง (Government Data Exchange: GDX) ระบบศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลและทะเบียนดิจิทัลระหว่างหน่วยงานของรัฐ, ระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจ หรือ NSW และทาง www.data.go.th ซึ่งทุกแพลตฟอร์ม ประชาชน เอกชน ภาคธุรกิจ จะสามารถเข้าใช้บริการได้ด้วยการใช้ Digital ID เพื่อเข้าถึงข้อมูล และบริการต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดเวลา ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการขอรับบริการ และยังสามารถเข้าถึงบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย โดยภายในปี 2570 นี้คาดว่าจะสามารถเชื่อมโยง e-Services ภาครัฐเข้าสู่แพลตฟอร์มกลางเหล่านี้ได้สำเร็จไม่น้อยกว่า 1,352 บริการ
จากจุดเริ่มต้นของ ‘พ.ร.บ.การปฏิบัติงานราชการทางอิเล็กทรอนิกส์’ สู่การยกระดับภาครัฐไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการอัปเกรดระบบราชการสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่คือการวางรากฐานประเทศให้พร้อมเดินหน้าในโลกอนาคต ที่ทุกบริการต้องรวดเร็ว โปร่งใส และเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อให้ “ชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล” เกิดขึ้นจริงกับคนไทยทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ข้าวโอ๊ต” ไม่ใช่ทุกคนที่กินแล้วดี เช็ก 3 กลุ่มที่ควรระวัง!

ถ้าพูดถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หลายคนมักนึกถึง “ข้าวโอ๊ต” เป็นอย่างแรก เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นธัญพืชที่อุดมด้วยไฟเบอร์ ช่วยให้อิ่มนาน คุมคอเลสเตอรอล และดีต่อระบบขับถ่าย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับการกินข้าวโอ๊ต และบางคนอาจมีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากกินด้วยซ้ำ
ข้าวโอ๊ต ไม่ใช่แค่อาหารลดน้ำหนัก แต่ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีต่อร่างกายในระยะยาว ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดคอเลสเตอรอล บำรุงระบบย่อย และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง หากเลือกทานข้าวโอ๊ตที่ผ่านกระบวนการน้อย ไม่เติมรสหวาน และทานร่วมกับอาหารหลากหลาย จะทำให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มที่
ประเภทของข้าวโอ๊ต และความแตกต่าง
โอ๊ตมีล (Oatmeal)
- ลักษณะเป็นผงหยาบ ได้จากการบดเมล็ดข้าวโอ๊ต
- เมื่อนำไปต้มจะคล้ายโจ๊ก มีไฟเบอร์สูง และอิ่มท้องนาน
โรลโอ๊ต (Rolled Oats)
- ลักษณะเป็นเกล็ดแบน ได้จากการนึ่งและบดด้วยลูกกลิ้ง
- ใช้ทำมูสลี่ กราโนล่า หรืออบเป็นขนมได้
ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูป (Instant Oats)
- ผ่านการนึ่งและปรุงรสมาก่อนแล้ว
- เพียงเติมน้ำร้อนก็สามารถทานได้ทันที สะดวกแต่ควรเลือกแบบไม่เติมน้ำตาล
ข้าวโอ๊ต กี่แคล
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 389 kcal |
คาร์โบไฮเดรต | 66 g |
โปรตีน | 17 g |
ไขมัน | 7 g |
ใยอาหาร | 11 g |
ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต
- มีใยอาหารสูง (โดยเฉพาะเบต้ากลูแคน)
- ช่วยลดไขมัน LDL และควบคุมน้ำตาลในเลือด
- อิ่มนาน แคลอรีต่ำ เหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก
- มีโปรตีน วิตามิน B และสารต้านอนุมูลอิสระ
3 กลุ่มคนที่ควรระวังในการกินข้าวโอ๊ต
1. คนที่มีปัญหาระบบย่อยอาหารหรือเป็นโรคลำไส้
ใครที่มีโรคลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน IBS (Irritable Bowel Syndrome) หรือระบบย่อยไม่ดี เมื่อกินข้าวโอ๊ตซึ่งมีไฟเบอร์สูง อาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้องได้ เพราะลำไส้ของคนกลุ่มนี้ยังไม่พร้อมย่อยไฟเบอร์ชนิดนี้อย่างเต็มที่
คำแนะนำ
- เริ่มจากปริมาณน้อยๆ และดูปฏิกิริยาร่างกาย
- เลือกข้าวโอ๊ตที่ผ่านการปรุงสุกดี เช่น ต้มให้นิ่ม
- ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ให้เปลี่ยนไปกินข้าวกล้องหรือมันเทศแทน
2. ผู้ที่แพ้กลูเตน (แม้ข้าวโอ๊ตจะไม่มีกลูเตน)
แม้ว่าโดยธรรมชาติข้าวโอ๊ตจะไม่มีกลูเตน แต่หลายยี่ห้ออาจปนเปื้อนกลูเตนจากกระบวนการผลิต เช่น ใช้สายการผลิตเดียวกับข้าวสาลี คนที่แพ้กลูเตนแบบรุนแรง จึงควรระวัง
คำแนะนำ
- อ่านฉลากให้ชัด เลือกยี่ห้อที่เขียนว่า “Gluten-Free” เท่านั้น
- ถ้าทานแล้วมีอาการ เช่น ผื่นขึ้น แน่นท้อง ท้องเสีย ควรหยุดทันที
3. คนที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระวังกับดัก!
แม้ข้าวโอ๊ตจะดีต่อคนเป็นเบาหวานเพราะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่ถ้านำไปปรุงแบบใส่นมข้น น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง หรือท็อปปิ้งหวานต่างๆ ก็จะกลายเป็นกับดักที่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งได้
คำแนะนำ
- ใช้ข้าวโอ๊ตแบบไม่ปรุงรส (Rolled oats หรือ Steel-cut oats)
- ปรุงรสด้วยผลไม้สด เช่น กล้วย แอปเปิ้ล หรือถั่วแทน
- อย่าหลงเชื่อคำว่าเมนู Healthy ตามร้านอาหารโดยไม่ดูส่วนผสม
แล้วข้าวโอ๊ตเหมาะกับใคร?
- คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง
- คนที่ต้องการเพิ่มใยอาหารในชีวิตประจำวัน
- ผู้ที่ออกกำลังกายและอยากได้พลังงานยั่งยืน
แม้ว่าข้าวโอ๊ตจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ต้องพิจารณาตามสภาพร่างกายของแต่ละคน เพราะสิ่งที่ดีสำหรับคนหนึ่ง อาจไม่เหมาะกับอีกคน ดังนั้นควรฟังร่างกายตัวเองเป็นหลัก และถ้ามีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,850.00 | 50,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,294.00 | 49,937.04 | 51,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,964.60 | 44,943.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,635.20 | 39,949.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,482.00 | 22,471.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,153.00 | 17,477.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,413.00 | 51,748.23 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |