LIV-24ปฏิวัตินวัตกรรมสมาร์ตเทคชูโซลูชั่นส์ลดต้นทุน

‘LIV-24’ ปฏิวัตินวัตกรรมสมาร์ตเทค ชูโซลูชั่นส์ลดต้นทุนในภาคอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตได้ถึง 20% พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และขีดแข่งขันภาคอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในอสังหาริมทรัพย์สู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นเส้นทางที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “LIV-24” ในการต่อยอดนวัตกรรม สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง โดยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ บรรจุภัณฑ์ การบิน สิ่งทอ
นิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด (LIV-24) กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรม Smart Industrial Tech Solutions มีบทบาทสำคัญในการช่วย “ลดต้นทุน” และ “เพิ่มประสิทธิภาพ” การดำเนินงานให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ทั่วประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับสากล
“เทคโนโลยีของเรา ช่วยลดต้นทุนในภาคอุตสาหกรรมได้ถึง 20% พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม”
จากจุดเริ่มต้นในปี 2562 “LIV-24” ก่อตั้งขึ้นด้วยภารกิจชัดเจนในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) IoT (Internet of Things) และระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ มาช่วยยกระดับความปลอดภัยในโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทแม่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือแสนสิริ จากนั้นจึงขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
จุดแข็งเทคโนโลยี AI-Driven Real-Time
จุดเด่นของ LIV-24 คือการใช้ AI CCTV Analytics, Visitor Management System (VMS) และ IoT เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจจับเหตุผิดปกติแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ศูนย์ Command Centre ของบริษัทสามารถตอบสนองและเข้าระงับเหตุฉุกเฉินได้ภายในเวลาเฉลี่ย 5 นาที ซึ่งช่วยลดความเสียหายและความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่เปิดให้บริการ LIV-24 ดูแลโครงการกว่า 180 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีสถิติการจัดการเหตุการณ์อันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สินเป็น “ศูนย์”
“เราไม่ได้ขายแค่เทคโนโลยี แต่ขายความเชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัย ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายหรือความล่าช้าในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน”
ขยายฐานธุรกิจ สู่การพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรม
ในปี 2567 LIV-24 ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างชัดเจน ด้วยการแยกธุรกิจจัดตั้ง บริษัท LIV-24 จำกัด เพื่อรุกตลาดอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง พร้อมร่วมมือกับภาครัฐ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึงพันธมิตรเอกชนหลายราย เพื่อบูรณาการเทคโนโลยี Smart Industrial Tech Solutions เข้ากับภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
ยกตัวอย่าง Smart Tech สร้างมาตรฐานใหม่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ BGC Glass (บางกอกกล๊าส) ติดตั้งระบบ AI CCTV Analytics เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยในสำนักงานและคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบตรวจสอบ Guard Tour ที่ช่วยยืนยันคุณภาพการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
Bangkok Aviation Fuel Services (BAFS) ใช้ระบบ “LIV-24 NEXUS” กล้อง CCTV แบบกระจายศูนย์ (Distributed Smart Architecture) ช่วยลดต้นทุนซ่อมแซมระบบ CCTV ลงถึง 70% ลดเวลาการซ่อมบำรุงสูงสุด 75% พร้อมระบบ AI ตรวจจับเหตุผิดปกติ 24 ชั่วโมง ช่วยยกระดับความปลอดภัยในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ต้องดำเนินงานตลอด 365 วัน
หรือ V.T. Garment ติดตั้งระบบ IoT ตรวจสอบและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับระบบไฟฟ้าและสัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ ช่วยลดความเสียหายและหยุดชะงักในการผลิต พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจวัดความชื้นในห้อง Server ป้องกันความเสียหายจากน้ำรั่วซึม
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต
“LIV-24” ไม่เพียงเจาะตลาดอุตสาหกรรมทั่วไปเท่านั้น ล่าสุดได้เข้าร่วมหารือกับสภาหอการค้าไทย และทีม Food Innovation ภายใต้การนำของ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เพื่อวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food Industry) ที่เป็นเมกะเทรนด์สำคัญ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี LIV-24 นำเสนอ Smart Solutions เช่น ระบบ AI ตรวจจับการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตอาหาร
ระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Data Privacy) เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ไบโอเมตริกซ์ ป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อาหาร การยกระดับมาตรฐานเหล่านี้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการและผู้บริโภค เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านอาหารแห่งอนาคตที่แข่งขันได้ในเวทีโลก
เตรียมเข้าตลาดหุ้นปี 2571
ปี 2567 LIV-24 ทำรายได้รวม 116.5 ล้านบาท เติบโต 78% จากปี 2566 ทำได้ 65.4 ล้านบาท ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 140% แตะ 280 ล้านบาท พร้อมขยายฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมหลากหลายกลุ่ม ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบบริหารจัดการเครื่องจักร ระบบขนส่ง และการจัดการพลังงานน้ำเสีย
“เรามุ่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน”
เป้าหมายระยะกลางของ LIV-24 คือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2571 ด้วยรายได้ 2,000 ล้านบาท จากฐานลูกค้ามากกว่า 500 โครงการทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่งผุดบ้านแฝดฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยวจับต้องได้

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดตัวบ้านแฝดคอนเซ็ปต์ GAIA เน้นพื้นที่ความสุขเสมือนบ้านเดี่ยว จำนวน 60 หลัง ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ชูจุดเด่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ย้ำว่า การพัฒนาสินค้าในครึ่งปีหลังนี้ต้องตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องความคุ้มค่าและฟังก์ชั่นที่มากกว่าความสวยงาม โดย “GAIA”หรือ “ไกอา” ที่จับความต้องการไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะครอบครัวที่ต้องการพื้นที่พักผ่อนและฟังก์ชั่นใช้งานที่ยืดหยุ่น รองรับการใช้ชีวิตติดบ้านมากขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 คือคำตอบที่ผสมผสานธรรมชาติและนวัตกรรมอย่างลงตัว ซึ่งแนวคิด GAIA แบ่งออกเป็น 4 จุดขายหลัก ได้แก่
G: Grove ป่าเล็ก ๆ สร้างบรรยากาศสงบ
A: Aeris สายลมช่วยระบายอากาศ
I: Innovation นวัตกรรมวัสดุและพลังงานสะอาด
A: Arbor พื้นที่กลางแจ้งเปิดรับธรรมชาติ
ด้วยฟังก์ชั่น “Happy Space” ที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านสู่พื้นที่พักผ่อน นับเป็นการพลิกนิยามบ้านแฝดแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นบ้านเดี่ยวขนาดย่อมที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงและความสุขที่แท้จริง
บ้านแฝด GAIA เปิดตัวใน 6 โครงการหลัก 5 ทำเลศักยภาพ ราคาตั้งแต่ 3.89-4.55 ล้านบาท โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 60 หลัง มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนกลยุทธ์เน้นคุณภาพและความโดดเด่นเพื่อตอบรับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวในครึ่งปีหลังนี้
“ในช่วงที่ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายและเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น เราจึงต้องยกระดับโปรดักส์บ้านให้ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องฟังก์ชั่นและความคุ้มค่า เพื่อสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ” นายสมนึกกล่าว
นอกจากนี้ การเลือกนำสไตล์บ้านเดี่ยวมาผสมกับรูปแบบบ้านแฝด ยังเป็นการขยายตลาดใหม่ที่เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งวางใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตอบรับกับเทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการบ้านที่ใช้งานได้จริง มีพื้นที่ส่วนตัว และสอดคล้องกับวิถีชีวิตหลังโควิด-19 ที่เน้นการใช้เวลาในบ้านมากขึ้น
ในภาพรวม เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งไม่เพียงแค่ขายบ้าน แต่ยังสร้าง “พื้นที่ความสุข” และ “ไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” ผ่านคอนเซ็ปต์ GAIA ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าบ้านแฝดก็สามารถเป็นบ้านเดี่ยวได้อย่างแท้จริง และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ซื้อบ้านที่มองหาคุณภาพในราคาที่จับต้องได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17มิ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทระหว่างวันอาจยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักทั้ง BOJ FED และ BOE รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17มิ.ย. 2568ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลงได้ ซึ่งอาจกดดันให้บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า
ทั้งทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจย่อตัวลง (อ่อนค่าลง) ได้ไม่ยาก ทำให้เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ และการแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายนัก ยกเว้น ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง
(แต่หากปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในระยะสั้น ทำ All-Time High ใหม่ต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทอาจเปลี่ยนไป โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจยิ่งเร่งการเข้าซื้อทองคำ และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง)
หรือในกรณีที่ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งอาจมาจากสามปัจจัยได้ อาทิ 1. เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงในระยะสั้น หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน หรือ ขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด (เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ)
2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด และ 3. เฟดส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ใน Dot Plot ใหม่ ((เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) และกลับกันมีโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะสะท้อนแนวโน้มการไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟดได้)
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างวันก็อาจยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักในสัปดาห์นี้ (BOJ, เฟด และ BOE)
รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น
โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.39-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีภาคการผลิตโดย NY Fed (Empire Manufacturing Index) เดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ -16 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก
ทว่า เงินบาทก็ทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังว่า ทั้งสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจคลี่คลายลงได้ ตามรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของทางการอิหร่านได้ส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอลโดยเร็ว
ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ต่างเผชิญแรงกดดัน โดยราคาทองคำ (XAUUSD) ก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (ทั้งนี้ เงินเยนญี่ปุ่นยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันนี้) หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังว่าการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจยุติลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบ
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงเต็มที่ เพื่อรอลุ้นทั้งการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และผลการประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.94%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.36% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลงบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ก็เผชิญแรงกดดันบ้างตามการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทยารายใหญ่ อย่าง Novo Nordisk -3.5% และ Roche -2.5%
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเริ่มทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด
(โดยเฉพาะในส่วนของ Dot Plot ใหม่) ก็ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในโซน 4.40%-4.50% เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หาก Dot Plot ใหม่ของเฟด
สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงในปีนี้ (และอาจรวมถึงในปีหน้า) จากที่เคยประเมินไว้ และน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์แข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
และเริ่มทยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-98.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจทยอยคลี่คลายลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอล รวมถึงแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) เดือนพฤษภาคม รวมถึงข้อมูลตลาดบ้าน
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ก่อน เพื่อรอประเมินความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันที่ 18 มิถุนายน นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
และในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน โดย ZEW (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมิถุนายน
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่าง แนวโน้มการเจรจายุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.45-32.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ…โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพราะแม้จะมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าตามทิศทางของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ (ท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน) และสัญญาณ Outflows ในตลาดพันธบัตรไทย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีแรงประคองจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากตัวเลขผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กที่ออกมาอ่อนแอกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
โปรแกรมถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิงไทย ศึกเนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์สอง

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สอง กลุ่ม 5 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ในสัปดาห์ที่สอง จะอยู่ในกลุ่ม 5 ร่วมกับ ญี่ปุ่น, อิตาลี, สาธารณรัฐเช็ก และ บัลแกเรีย

โปรแกรม วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์สอง
วันที่ 18 มิถุนายน 2568
เวลา 16.00 น. ไทย พบ ญี่ปุ่น
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 19 มิถุนายน 2568
เวลา 16.00 น. ไทย พบ อิตาลี
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 21 มิถุนายน 2568
เวลา 15.30 น. ไทย พบ สาธารณรัฐเช็ก
ถ่ายทอดสด : VBTV
วันที่ 22 มิถุนายน 2568
เวลา 12.00 น. ไทย พบ บัลแกเรีย
ถ่ายทอดสด : VBTV
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขข้อสงสัย Preposition of time คำบุพบทบอกเวลา เข้าใจง่ายใช้ได้จริง!

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง
in, on, at ใช้ต่างกันอย่างไร
สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้
- in ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวหรือไม่เฉพาะเจาะจง โดยจะใช้พูดถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ปี เดือน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาในแต่ละวัน เช่น
– in 2025 (ปี)
– in June (เดือน)
– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night
– in winter (ฤดูกาล)
– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)
– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)
หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น
My sister starts school in August.
(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)
- on ใช้กับวันและการระบุวันที่แบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงสิ่งที่เราระบุชัดลงไปได้ เช่น วันหยุดต่าง ๆ ในปฏิทินหรือวันในแต่ละสัปดาห์ เช่น
– on Monday
– on 1st June
– on New Year’s Day
– on my birthday
หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น
Valentine’s Day is on February 14.
(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภา)
- at ใช้กับการพูดถึงเวลาแบบเฉพาะเจาะจง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น
– at 7 a.m.
– at noon
– at night
– at midnight
– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)
หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น
Let’s meet at noon.
(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน
คำบุพบทบอกเวลา อื่น ๆ ที่พบบ่อย
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน
- by หมายถึง “ไม่เกิน” หรือก่อนถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้เมื่อพูดถึงจุดสิ้นสุดของเวลา เช่น
I’ll finish the report by Monday.
(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)
- for และ since
นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้
– I have lived here for 15 years.
(ผมอยู่ที่นี่ 15 ปีแล้ว)
– I have lived here since 2010.
(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)
- before กับ after หมายถึง “ก่อน” และ “หลัง” เช่น
– I had lunch before the meeting.
(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)
– Let’s go out after dinner.
(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)
- from … to … ใช้บอกเวลาจากช่วงหนึ่งไปถึงอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่า เรียนภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นอาจยังไม่เจอบุพบทตัวนี้ แต่ถือว่าเป็นคำที่มีความจำเป็นมาก เพราะใช้กับการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น
The store is open from 8 AM to 6 PM.
(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
อาเซียนตื่นตัวเศรษฐกิจดิจิทัล หวั่นไทยล้าหลังเวียดนาม

ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ประเทศในอาเซียนเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล หวั่นไทยตามหลังเวียดนาม แนะรัฐบาลเร่งปรับกลยุทธ์และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับเทคโนโลยีใหม่
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก กลุ่มประเทศในอาเซียนกำลังผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก โดยมีรัฐบาลเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน

ทั้งนี้ประเทศไทยเองมีการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ยังคงตามหลังประเทศเวียดนามที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น
เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “Call to Action: Learning from the Best Practices” ซึ่งได้รวบรวมผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการกว่า 50 คน เพื่อระดมสมองในการหาทางออกในการยกระดับขีดความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศไทย และได้เสนอแนะ 8 แนวทางที่สามารถใช้ในการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
นายคอลินน์ ดินน์ กรรมการผู้จัดการจากบริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) กล่าวในการประชุมว่า การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นต้องเริ่มจากการมีนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างก็มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่โดดเด่น ซึ่งประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาในด้านนี้ให้เทียบเท่ากับคู่แข่งในภูมิภาค
ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งสำคัญ โดยจะต้องมุ่งเน้นการสร้างทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนผ่านการฝึกอบรมและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในส่วนของภาครัฐนั้นจะต้องพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และต้องมีความปลอดภัยสูงเพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการใช้งาน
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในภาครัฐและภาคเอกชนยังเป็นอีกหนึ่งข้อเสนอที่สำคัญ โดยต้องมีการพัฒนาระบบ AI ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทั้งในระดับเยาวชนและผู้สูงอายุ พร้อมทั้งมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในส่วนของการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลนั้น ทางการประชุมเสนอให้มีการสร้างแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการแข่งขัน และเป็นของคนไทย เช่น แพลตฟอร์มด้านการเกษตร ท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงความง่ายในการใช้งานและการเข้าถึงที่เหมาะสมกับทุกคน
การระดมสมองในครั้งนี้ยังได้เสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนา Digital Government ซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการให้บริการที่เป็นมิตรกับประชาชน (Citizen-Centric) โดยการรวมบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ง่ายขึ้น ผ่านระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษานั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และสามารถแข่งขันในระดับสากลได้
ในท้ายที่สุด การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ได้สร้างแนวทางและวิสัยทัศน์ที่สำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลสามารถนำข้อเสนอแนะต่างๆ มาปรับใช้และดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีความยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกอย่างแน่นอน
การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องและมั่นคงในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิธีกินกระเทียมสด ลดไขมันในเลือดอย่างไรให้ได้ผล

หลายคนเคยได้ยินว่าการ กินกระเทียมสดมีประโยชน์ต่อหัวใจ และช่วยลดไขมันในเลือดได้จริง แต่วิธีกินที่ถูกต้องนั้นสำคัญมาก เพราะสารสำคัญอย่าง “อัลลิซิน” ในกระเทียมจะสลายไปง่ายหากเตรียมหรือกินไม่ถูกวิธี บทความนี้จะพาไปดูวิธีกินที่ได้ผลจริงและข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม
กินกระเทียมสดลดไขมันได้อย่างไร
การกินกระเทียมสด มีสารสำคัญชื่อ “อัลลิซิน” (Allicin) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันไม่ดี) และอาจช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) ได้ โดยอัลลิซินจะถูกสร้างขึ้นเมื่อกระเทียมถูกบด ทุบ หรือเคี้ยว ทำให้เอนไซม์อัลลิเนส (alliinase) ทำงานและเปลี่ยนสาร alliin ให้กลายเป็น allicin
วิธีเตรียมกระเทียมสดให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- ปอกกระเทียมสด 1–2 กลีบ
- บดหรือทุบให้แหลก แล้วพักทิ้งไว้ 10–15 นาที เพื่อให้สารอัลลิซินสร้างตัวเต็มที่
- กินทันทีหลังพัก หรือจะกินพร้อมน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อลดกลิ่นฉุน
- กินตอนท้องว่างก่อนอาหารเช้า 15–30 นาที จะช่วยดูดซึมได้ดี
เคล็ดลับ
- หลีกเลี่ยงการนำไปผัดหรือทอด เพราะความร้อนสูงจะทำลายอัลลิซิน
- หากกลัวกลิ่นปาก ให้ตามด้วยใบสะระแหน่ หมากฝรั่ง หรือแอปเปิลสด
วิธีเสริมรสให้กินง่ายขึ้น
- ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
- สับละเอียดแล้วโรยในสลัดหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
- ผสมในน้ำมะนาวหรือน้ำแอปเปิลแล้วดื่ม
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
- สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป: วันละ 1–2 กลีบ
- หากมากเกินไป อาจระคายเคืองกระเพาะหรือทำให้ลมหายใจมีกลิ่นแรง
- ไม่ควรกินกระเทียมสดเกิน 5 กลีบต่อวัน เพราะอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารและเลือด
ข้อควรระวังในการกินกระเทียมสด
- ผู้ที่ทานยาละลายลิ่มเลือด หรือกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยง เพราะกระเทียมมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด
- คนที่มีโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน ควรเริ่มจากปริมาณน้อย เพราะกระเทียมสดมีความเผ็ดร้อนสูง
- ไม่ควรกินกระเทียมสดพร้อมยา เพราะอาจรบกวนการดูดซึมของยาได้ในบางกรณี
การกินกระเทียมสดเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันในเลือดได้หากทำอย่างถูกวิธี ควรทุบหรือบดแล้วพักก่อนกิน เพื่อให้ได้สารอัลลิซินเต็มที่ กินในปริมาณพอเหมาะ และควรปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือกินยาประจำ การใส่ใจกระบวนการเล็กๆ แบบนี้จะทำให้กระเทียมกลายเป็นยาจากธรรมชาติที่ทรงพลัง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,050.00 | 52,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,365.00 | 51,013.40 | 52,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,028.50 | 45,912.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,692.00 | 40,810.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,514.25 | 22,956.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,177.75 | 17,854.69 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,487.05 | 52,863.68 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.09 | 29.09 | – | – | – | – | – | – | – | 29.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.54 | 49.24 | 49.84 | 49.24 | – | – | – | – | – | 41.54 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.21 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |