สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568

‘เทคโนโลยี’ทางรอดก่อสร้างไทยรับมือต้นทุนสูง แรงงานหาย รายได้หด

SCB EIC ชี้ ภาคก่อสร้างไทยจะรอด ต้องเร่งใช้เทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือหลัก รับมือต้นทุนสูง แก้ปัญหา แรงงานหาย รายได้หด

ในวันที่ต้นทุนสูง แรงงานหาย รายได้หด และงานใหม่ไม่เข้า… การนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือ “ความอยู่รอด” ของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติรอบด้าน ภาคก่อสร้างไทยที่มีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 8% ของ GDP กำลังเข้าสู่ภาวะชะงักงันจากหลายแรงกดดัน ทั้ง Productivity ที่ต่ำสุดในกลุ่มบริการ การขาดแคลนแรงงานพื้นฐาน การแข่งขันจากผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะจีน และต้นทุนวัสดุที่พุ่งไม่หยุดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน

ข้อมูลจาก SCB EIC ชี้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยเพียง 2.7% ต่อปี ต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างชัดเจน ขณะที่ภาคบริการอื่น เช่น โรงแรมหรือร้านอาหาร มีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 5.1%ไม่เพียงเท่านั้น ภาคก่อสร้างยังเผชิญความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการรัฐ และราคากลางที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้รับเหมา โดยเฉพาะรายเล็กและรายกลาง

ผู้รับเหมาต้องปรับตัว ก่อนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เทรนด์อาคารเขียว อาคารอัจฉริยะ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กลายเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หยิบมาใช้คัดเลือกผู้รับเหมา โครงการใหม่ในอนาคตอาจกำหนดเงื่อนไขด้านความปลอดภัย มลภาวะ และการจัดการขยะก่อสร้างอย่างเข้มงวด “สิ่งปลูกสร้างยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วหรือขนาดอีกต่อไป แต่ที่ความยั่งยืน และความปลอดภัยของแรงงานและสิ่งแวดล้อม”

เทคโนโลยีคือคำตอบ (แต่ต้องลงทุนและร่วมมือ)

เทคโนโลยีที่จะกลายเป็น Game Changer ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้แก่

  • BIM (Building Information Modeling): แบบจำลองเสมือนจริงที่บริหารโครงการแบบ 3 มิติ ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การจัดซื้อ การควบคุมต้นทุน ไปจนถึงส่งมอบงาน
  • 3D Printing: ช่วยลดของเสีย ลดเวลา และลดแรงงาน
  • AI และ Sensor: ใช้วางแผนงาน สร้างแบบจำลอง พยากรณ์อากาศ ตรวจจับอุบัติเหตุ หรือควบคุมเครื่องจักรในพื้นที่อันตราย
  • Smart Wearable: เช่น หมวกอัจฉริยะ กล้อง AR/VR หรือยูนิฟอร์มลดการบาดเจ็บจากการยกของหนัก

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีเหล่านี้ยังจำกัดอยู่ในวงของผู้รับเหมารายใหญ่หรือโครงการขนาดใหญ่เท่านั้น

ทางรอดของผู้รับเหมารายกลาง-เล็ก  ต้องปรับตัว ถ้าไม่ปรับตัว…คือรอวันหายไปจากตลาด ผู้รับเหมากลุ่มกลางและเล็กกำลังกลายเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่มีแนวโน้มจะถูกกลืนหายไปจาก Supply chain หากไม่เร่งปรับตัวด้วยการยกระดับความสามารถในการใช้ BIM หรือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมารายใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีแล้ว“ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยี เราก็ไม่มีจุดแข็งพอที่จะอยู่ในห่วงโซ่อุปทานอีกต่อไป”

บทบาทของภาครัฐต้องช่วยผลัก 

เพื่อให้เกิดการปรับตัวอย่างเป็นระบบ ภาครัฐควรเข้ามาสนับสนุนผ่านการ

  • บังคับใช้ BIM กับโครงการภาครัฐขนาดใหญ่
  • ลดภาษีสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยี
  • สนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้รับเหมารายย่อยที่ลงทุนในเทคโนโลยี
  • ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติผ่านความร่วมมือแบบ PPP

การจะอยู่รอดในวันพรุ่งนี้ ต้องกล้าลงทุนวันนี้การเปลี่ยนผ่านของภาคก่อสร้างไทย ไม่ใช่เพียงการ “รอด” จากวิกฤติในปัจจุบัน แต่คือการ “สร้างภูมิคุ้มกัน” ระยะยาวให้สามารถรับมือกับความผันผวนในอนาคต ทั้งด้านแรงงาน ต้นทุน และมาตรฐานใหม่ของอาคาร

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ตลาดรับสร้างบ้านฟื้น!ไตรมาส2ยอดโตรับดีมานด์ผู้มีเงินออม

ตลาดรับสร้างบ้านฟื้น สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เผยยอดไตรมาส2 โตแรง รับดีมานด์ผู้มีเงินออม ชี้โอกาสทองครึ่งปีหลัง ลุยอีเวนต์ใหญ่ สร้างเชื่อมั่นตลาด

ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 2 ปี 2568 พลิกฟื้นชัดเจน หลังผู้บริโภคที่มีเงินออมเริ่มตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดครบวงจร เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ประจำปีในเดือนกันยายน หวังส่งแรงกระตุ้นต่อเนื่องสู่ไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาด

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกในไตรมาส 2 เติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความพร้อมทางการเงิน และมีเงินออมเพื่อใช้ในการปลูกสร้างที่อยู่อาศัย

“ในตลาดยังมีผู้บริโภคที่มีดีมานด์อยู่จำนวนมาก และเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในแบรนด์รับสร้างบ้านที่มีมาตรฐาน ทั้งด้านการก่อสร้าง การออกแบบ และการบริหารโครงการที่โปร่งใส” นายอนันต์กร กล่าว

หนึ่งในแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันยอดขายในไตรมาสนี้ คือกระแสตอบรับจากงาน “รับสร้างบ้าน FOCUS 2025” ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะแบบบ้านในช่วงราคาตั้งแต่ 2.5–10 ล้านบาท ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งจากครอบครัวรุ่นใหม่ และกลุ่มวัยเกษียณที่มองหาบ้านหลังใหม่เพื่อการใช้ชีวิตในระยะยาว

กลยุทธ์สื่อสารสร้างความมั่นใจ

ความสำเร็จของตลาดในไตรมาสนี้ยังสะท้อนถึงพัฒนาการด้านการสื่อสารของสมาชิกสมาคมฯ ที่หันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ไปจนถึง TikTok ในการสร้างการรับรู้แบรนด์ และสื่อสารมาตรฐานการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ สร้างบ้าน ไปจนถึงบริการหลังการขาย

แนวทางดังกล่าวช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้านในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน พร้อมสร้างความมั่นใจในกระบวนการทำงานและคุณภาพวัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสากล

ช่วงเวลาทองของผู้บริโภค

แม้ต้นปีตลาดจะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายไตรมาสแรกหดตัว แต่ในไตรมาส 2 ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือ “โอกาสทอง” ที่ควรรีบตัดสินใจก่อนต้นทุนวัสดุและค่าแรงจะปรับขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนพลังงาน

“ลูกค้าหลายรายที่ชะลอการตัดสินใจตั้งแต่ต้นปี เริ่มกลับมาเดินหน้าโครงการอีกครั้ง เพราะมองว่าในช่วงนี้ยังสามารถควบคุมต้นทุนได้ ก่อนจะมีการปรับราคาบ้านในอนาคต” นายอนันต์กร กล่าว

นอกจากแรงจูงใจด้านราคาแล้ว ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้าง และความโปร่งใสของผู้รับเหมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ

ลุยอีเวนต์ใหญ่ หนุน Q3 โตต่อ

เพื่อรักษาโมเมนตัมของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง สมาคมฯ เตรียมเดินหน้าอีเวนต์ใหญ่ประจำปีในเดือนกันยายน พร้อมด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ครอบคลุมทุกกลุ่มราคา และการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย หรือกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณที่ต้องการบ้านเพื่อการใช้ชีวิตระยะยาว

“ในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดรับสร้างบ้าน เราจึงวางกลยุทธ์เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ และการยกระดับบริการของสมาชิก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค” นายอนันต์กรกล่าว

ครึ่งปีหลังเส้นทางแห่งความหวัง

แม้ตลาดยังเผชิญปัจจัยลบหลายประการ ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง แต่ HBA มองว่าความต้องการสร้างบ้านโดยใช้เงินออมยังมีอยู่ในระดับที่แข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่าการลงทุน

ในภาพรวม HBA ประเมินว่าแนวโน้มของตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังยังคงเป็นบวก หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้เร็ว ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และเน้นสร้างความแตกต่างด้านบริการและคุณภาพให้ชัดเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้23มิ.ย. ” อ่อนค่าลงเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up ท่ามกลางปัจจัยกดดันเงินบาท ทั้ง ปัญหาการเมืองภายในของไทยสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23มิ.ย.2568 ที่ระดับ  32.85 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.71-32.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังตลาดรับรู้ผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ ผ่าน “Operation Midnight Hammer” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทางการอิหร่านอาจตอบโต้สหรัฐฯ

ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกิน +2% ส่วนเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งยังพอได้รับอานิสงส์บ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง และการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม กนงและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนมิถุนายน

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดจับตาใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรส ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาล Trump 2.0 ที่ต้องการให้ประธานเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย

และนอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และลุกลาม บานปลาย มากขึ้น หลังสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (Operation Midnight Hammer ที่มีการใช้อากาศยานกว่า 125 ลำ ในการโจมตีครั้งนี้)
โดยต้องจับตาการตอบโต้ของฝั่งอิหร่าน ที่ล่าสุด มีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจเลือกปิดช่องแคบฮอร์มุซ เป็นการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ที่อาจพุ่งสูงขึ้นราว 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับราคาปัจจุบัน ได้

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน พร้อมกับรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) ของเยอรมนี ในเดือนมิถุนายน เช่นกัน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินทิศทางการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB และ BOE :ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 89% ที่ ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ ส่วน BOE มีโอกาส 96% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้ง ราว 50bps ในปีนี้

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนมิถุนายน รวมถึง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 52% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ 

▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้ง นโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทย ให้แน่ชัดก่อน ทว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ หนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า


สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น กดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up ท่ามกลางปัจจัยกดดันเงินบาท ทั้ง ปัญหาการเมืองภายในของไทย ที่อาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) เสี่ยงเผชิญแรงขายจากภาวะปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น

จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งต้องจับตาการตอบโต้ของทางการอิหร่าน หลังสหรัฐฯ ได้โจมตีทางอากาศใส่โครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซได้จริง (มิใช่เพียงการขู่ เหมือนในอดีต) ก็อาจส่งผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าเงินบาทจะพอได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำก็ตาม แต่เรามองว่า อิหร่านอาจเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทางการทหารที่รุนแรง ซึ่งจะเสี่ยงต่อการให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้แบบเต็มรูปแบบ และไม่คุ้มค่าในเชิง Risk-Reward ทำให้เราประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจไม่ได้ลุกลาม บานปลายเป็นวงกว้าง ในเชิงการเผชิญหน้าทางการทหาร แต่ยังมีผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลกพอสมควร ทำให้ราคาทองคำอาจได้รับอานิสงส์ น้อยกว่า ราคาน้ำมันดิบ (โดยเฉพาะในกรณีที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ) อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ลุมลาม บานปลาย แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.20 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-33.00 บาท/ดอลลาร์ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.90-32.92 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.07 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดของวันทำการก่อนหน้า 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องไปทดสอบระดับ 32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด มากขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังปธน. ทรัมป์ ประกาศว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีอย่างครั้งใหญ่ต่อโรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่าน ขณะที่ตลาดยังคงอยู่ในบรรยากาศ Risk off และรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่าอิหร่านจะตอบโต้อย่างไร รวมถึงประเด็นระหว่างไทยและกัมพูชา

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.75-33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า รวมถึงดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น อียู อังกฤษ และสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จบสัปดาห์สอง! FIVB ประกาศอันดับโลก 18 ชาติที่เข้าแข่งขันเนชันส์ลีก 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 สัปดาห์สอง ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568 ปิดฉากลงเรียบร้อย

โดยจากทั้งหมด 18 ชาติ ในการแข่งขันครั้งนี้ต่างมุ่งเป้าทำผลงานให้ดีที่สุด ล่าสุด สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ประกาศอันดับโลกใหม่หลังจบสัปดาห์สอง

ปรากฏว่า เบอร์ 1 ของโลกยังคงเป็น อิตาลี ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเก็บแต้มไปได้มากถึง 456.91 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 บราซิล มี 417.92 คะแนน และ อันดับ 3 โปแลนด์ 369.04 คะแนน

ขณะที่ “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” หล่นไปอยู่ที่ 19 ด้วยการมี 173.10 คะแนน ถือเป็นชาติที่อันดับโลกหล่นมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยหล่นไปถึง 5 อันดับ ส่วนทีมที่ก้าวกระโดดมากที่สุดคือ ฝรั่งเศส ที่พุ่งจากอันดับ 21 มาอยู่ที่ 15 ของโลก

อันดับโลก วอลเลย์บอลหญิง ล่าสุด ของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB)

อันดับ 1 : อิตาลี 456.91 คะแนน
อันดับ 2 : บราซิล 417.92 คะแนน
อันดับ 3 : โปแลนด์ 369.04 คะแนน
อันดับ 4 : ตุรกี 368.54 คะแนน
อันดับ 5 : ญี่ปุ่น 347.08 คะแนน
อันดับ 6 : จีน 346.75 คะแนน
อันดับ 7 : สหรัฐอเมริกา 338.10 คะแนน
อันดับ 8 : เนเธอร์แลนด์ 262.59 คะแนน
อันดับ 9 : โดมินิกัน 254.02 คะแนน
อันดับ 10 : แคนาดา 245.38 คะแนน
อันดับ 11 : เซอร์เบีย 234.19 คะแนน
อันดับ 12 : เยอรมนี 234.08 คะแนน
อันดับ 13 : สาธารณรัฐเช็ก 208.84 คะแนน
อันดับ 14 : เบลเยียม 190.65 คะแนน
อันดับ 15 : ฝรั่งเศส 182.65 คะแนน
อันดับ 19 : ไทย 173.10 คะแนน
อันดับ 20 : บัลแกเรีย 169.78 คะแนน
อันดับ 34 : เกาหลีใต้ 107.88 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


พุงป่อง ‘ท้องอืด’ ไม่ใช่อิ่ม กินเยอะ  อาจเพราะ ‘ภูมิแพ้แฝง’

พุงป่อง มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ไม่สบายตัว  อาจไม่ใช่เพราะอิ่มจากอาหารที่ทาน เกิดขึ้นได้จาก “ภูมิแพ้แฝง”ด้วย 

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ไม่สบายตัวหลังรับประทานอาหาร เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย และมักถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงเรื่องปกติของการกินมากเกินไป หรืออาหารไม่ย่อย
แต่สำหรับบางราย อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายถึงภาวะที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนกว่า นั่นคือ “ภูมิแพ้อาหารแฝง“(Food Intolerance) หรือภูมิแพ้แฝง ที่แตกต่างจากภูมิแพ้อาหารเฉียบพลันอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ภูมิแพ้แฝงคืออะไร? ทำไมถึงทำให้ท้องอืด?

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ “ภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy)” เป็นอย่างดี เพราะจะแสดงอาการรวดเร็ว รุนแรง อาจเกิดขึ้นเพียงระบบเดียวหรือหลายระบบก็ได้และค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่น ผื่นขึ้น ปากบวม อาเจียน ท้องเสีย หรือเกิดภาวะช็อก หายใจติดขัด แน่นหน้าอก หอบ ซึ่งอาการรุนแรงอย่างหลังจำเป็นต้องรีบพบแพทย์ทันที

เนื่องจากเมื่อร่างกายรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไปเพียงเล็กน้อย จะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีชนิด IgE  ให้ทำงานเกินกว่าปกติ  โดยร่างกายจะเข้าใจผิดว่าสิ่งที่รับประทานเข้าไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงเกิดปฏิกิริยาแบบเฉียบพลันทันที  โดยอาการมักเกิดภายใน 2-30 นาทีและไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ขณะที่ภูมิแพ้อาหารแฝง พญ.รุ้งทิวา พุฒิพิทยาธร  อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย อธิบายไว้ว่า ภูมิแพ้อาหารแฝง คือภาวะที่ไม่สามารถย่อยอาหารหรือเมตาบอไลท์องค์ประกอบของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรคที่มาจากปฏิกริยาที่เกิดจากอาหาร

ส่งผลต่อกระเพาะอาหาร ลำไส้และร่างกาย พบได้ประมาณ 15 – 20 % ของประชากรและพบมากขึ้นในกลุ่มโรคลำไส้แปรปรวน โดย 50 – 80 % ในกลุ่มนี้อาการจะเป็นมากขึ้นสัมพันธ์กับอาหารที่ทานไม่ได้

อาการ จะพบอาการทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ท้องอืด มีลมแก๊สในทางเดินอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย และระบบอื่นๆทางร่างกายโดยสัมพันธ์กับปริมาณอาหารในกลุ่มที่ไม่สามารถย่อยได้ที่ทานเข้าไป ถ้ายังทานมากอาการจะยิ่งรุนแรง

ตัวอย่างลักษณะกลุ่มโรคที่เป็นภูมิแพ้อาหารแฝง

1.ภาวะย่อยนมวัวไม่ได้ (Lactose Intolerance) คนไข้จะมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หลังทานผลิตภัณฑ์ที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ

2.ภาวะย่อยฟรักโทสไม่ได้ โดยน้ำตาลฟรักโทสพบในผลไม้รสหวาน คนไข้จะมีอาการทางเดินอาหารหลังทานผลไม้

3.ภาวะย่อยแอลกอฮอล์ไม่ได้ (Alcohol Dehydrogenase Deficiency) คนไข้จะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง ร้อนตามตัวหลังดื่มสุรา

4.ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD Deficiency) จะมีเม็ดเลือดแดงแตก จากการทานอาหารประเภทถั่วปากอ้า ไวน์แดง บลูเบอร์รี่ ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกอ่อน

5.Intolerance of Short Chain Fermentable Carbohydrate คือไม่สามารถย่อยอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีการดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และมักอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติสูง (Fermentable Oligosaccharides Disaccharides Monosaccharide and Polyols; FODMAPS) คนไข้จะมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หลังทานอาหารในกลุ่มนี้

6.ไมเกรน (Migraine) สามารถถูกกระตุ้นได้หลังทานอาหารกลุ่ม High Biogenic Amine เช่น แอลกอฮอล์, ช็อกโกแล็ต, ชีส, ผงชูรส, แอสปาแตม, คาเฟอีน, ถั่ว และอาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรท์

7.กลุ่มอาการ Mast Cell ถูกกระตุ้นโดยอาการจะเกิดขึ้นหลังทานอาหารประเภท เผ็ด อาหารแปรรูป อาหารที่ผ่านการถนอมอาหาร แอลกอฮอล์ โดยคนไข้จะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง คัน ผื่นขึ้น ท้องเสีย ปวดท้อง

อาการที่บ่งบอกว่าอาจมีภูมิแพ้อาหารแฝง

นอกเหนือจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้องหลังรับประทานอาหารแล้ว ภูมิแพ้อาหารแฝงยังสามารถแสดงออกผ่านอาการอื่นๆได้อีกด้วย เช่น

  • ระบบทางเดินอาหาร ท้องผูก ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน จุกเสียดท้อง มีแก๊สมาก
  • ผิวหนัง สิวอักเสบ ผิวแห้ง ผิวบวม ผื่นคัน ลมพิษ ผื่นแดงตามร่างกาย
  • ระบบทางเดินหายใจ ไอเรื้อรัง จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ไซนัสอักเสบ หอบหืด
  • ระบบกระดูกและข้อต่อ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
  • ระบบประสาท ปวดหัวเรื้อรัง ไมเกรน
  • อาการอื่น ๆ นอนไม่หลับ ไม่สบายตัว อ่อนเพลีย น้ำหนักเพิ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอบตาดำ

อาหารที่พบบ่อยว่าภูมิแพ้อาหารแฝง

อาหารทุกชนิดสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้อาหารแฝงได้ ตัวอย่างอาหารที่มักจะถูกพบว่าเป็นสาเหตุของภูมิแพ้อาหารแฝง ได้แก่

  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม ชีส โยเกิร์ต เนย ครีม เวย์โปรตีน
  • ธัญพืชที่มีกลูเตน ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต
  • ไข่ ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกกระทา
  • ถั่วเปลือกแข็ง อัลมอนด์ วอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ
  • ถั่วเมล็ด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง
  • เนื้อสัตว์ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อแกะ
  • อาหารทะเล กุ้ง ปู ปลา หอย
  • ผัก มะเขือเทศ พริก แครอท มันฝรั่ง
  • ผลไม้ ส้ม สตรอเบอร์รี่ กีวี่ สับปะรด
  • เครื่องเทศ พริกไทย ขิง ข่า กระเทียม
  • เครื่องดื่ม กาแฟ ชา ไวน์ เบียร์

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีภูมิแพ้อาหารแฝง?

การวินิจฉัยภูมิแพ้อาหารแฝงทำได้ยากกว่าภูมิแพ้อาหาร เนื่องจากอาการมักไม่รุนแรงและไม่แสดงผลทันทีหลังกินอาหาร แต่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยระบุตัวการได้

1. บันทึกพฤติกรรมการกินและอาการ จดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละวันและอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด จะช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอาหารและอาการ

2.การงดอาหารและทดลองกลับมารับประทาน เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี โดยการงดอาหารต้องสงสัยทีละชนิดเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ จากนั้นค่อยๆ ทดลองกลับมารับประทานทีละน้อย เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย

3.การตรวจเลือดหาภูมิต้านทาน IgG หากภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารอาหารที่ทดสอบชนิดใด ก็สามารถบอกได้ว่าผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะแพ้อาหารแฝงชนิดนั้นๆ  สามารถรู้ได้ถึง 222 ชนิดในการตรวจครั้งเดียว ต้องรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการประมาณ 7 วัน

การจัดการกับภูมิแพ้อาหารแฝง

พญ.กานต์พิชชา พตั่งฮวดพาเจริญ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 3 ให้ข้อมูลเรื่อง ท้องอืด ผื่นขึ้นบ่อย หรือเพราะ “แพ้อาหารแฝง” ไม่รู้ตัวไว้ว่า แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้อย่างน้อยประมาณ 6 เดือน เช่น หากแพ้ข้าวเจ้า ก็อาจหันไปทานลูกเดือยทดแทน รวมกับการบำรุงร่างกายด้วยการอาหารที่ช่วยทำให้ระบบลำไส้แข็งแรง อย่างกลูตามีน แมกนีเซียม และโปรไบโอติก นั่นเอง

หลังจากเว้นระยะการงดทานสิ่งที่แพ้ไปแล้ว 6 เดือน ก็สามารถกลับมาทานอาหารที่แพ้ได้อีกครั้ง แต่ต้องไม่ลืมว่า แม้กลับมาทานได้ก็มีโอกาสแพ้ได้อีก และสิ่งที่ไม่เคยแพ้ก็มีโอกาสแพ้ได้ในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้อาหารแฝงขึ้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เคลียร์ชัด! see, watch, look ใช้ยังไงไม่ให้สับสน

สำหรับคนที่เริ่ม เรียนภาษาอังกฤษ นอกจากเรื่อง Grammar ที่ทำให้งงได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่ทำให้งงมากกว่าคือคำศัพท์ โดยเฉพาะคำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน หากคำที่เหมือนกันมีเพียงสองคำ (เช่น do กับ make) การแยกความแตกต่างก็ถือว่าทำได้ไม่ยาก แต่ถ้ามี 3 คำล่ะ! จะทำยังไงดี วันนี้เราจะพาทุกคนโดยเฉพาะใครที่เพิ่ง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไปหาคำตอบกับความแตกต่างของ see, watch และ look คำกริยาที่อยู่ในกลุ่มคำศัพท์พื้นฐาน แต่มีความแตกต่างกันจนทำให้หลายคนใช้ผิด

สามคำนี้ใช้ต่างกันอย่างไร

เพื่อให้เข้าใจง่ายสำหรับคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วกำลังสับสนเรื่องนี้ เราขอแนะนำให้พิจารณาสามคำนี้จากระดับความตั้งใจในการมอง ซึ่งถ้าดูจากเรื่องนี้ เราจะสรุปได้ว่า

1. see หมายถึง “มองเห็น” ใช้กับสิ่งที่เราเห็นโดยอัตโนมัติ

อาจจะโดยไม่ตั้งใจ หรือมีความตั้งใจในระดับที่น้อยมาก เป็นการมองเห็นที่เกิดจากธรรมชาติของสายตา ไม่ได้เกิดจากการเพ่งดู เช่น

– I see a bird outside the window.

(ฉันเห็นนกตัวหนึ่งอยู่นอกหน้าต่าง)

– Did you see that man over there?

(เธอเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นมั้ย)

2. look หมายถึงมองไปยังบางสิ่ง ในระดับที่มีความตั้งใจ

ส่วนใหญ่ใช้กับการมองโดยเจาะจงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการมุ่งความสนใจหรือเบนสายตาไปที่สิ่งนั้น คำที่มักจะพบคู่กันคือ look at … หรือ look for … เช่น

– Look at the sky. It’s so beautiful today!

(ท้องฟ้าวันนี้สวยมาก เธอลองมองดูสิ!)

– She looked at me and smiled.

(เธอมองมาที่ผม แล้วก็ยิ้ม)

– Don’t look at your phone while walking.

(อย่าดูแต่โทรศัพท์ขณะกำลังเดินอยู่)

3. watch หมายถึงจ้องดูบางสิ่งแบบต่อเนื่อง

มักใช้กับการเฝ้าดูบางสิ่งที่เคลื่อนไหว จึงเป็นการมองที่ต้องใช้ความตั้งใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับสองคำก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น

– I love to watch movies on weekends.

(วันหยุดฉันชอบดูหนัง)

– We watched the football match last night.

(เมื่อคืนพวกเราดูฟุตบอล)

ตัวอย่างการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน

ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วว่า see, watch และ look ต่างกันยังไง แต่การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผลดี นอกจากรู้ความหมายของคำแล้ว จะต้องนำไปใช้จริงได้ด้วย เราพบสามคำนี้ได้ในหลายสถานการณ์ ซึ่งต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น:

  1. ใช้ see ในการบอกทาง

A: How do I get to the Museum?

(พิพิธภัณฑ์ไปทางไหนครับ)

B: Go straight ahead and take the second right. You’ll see the sign for it.

(ตรงไปเรื่อย ๆ เลี้ยวขวาตรงแยกที่สอง ก็จะเห็นป้ายครับ)

  1. ใช้ look ในบทสนทนาเกี่ยวกับการ shopping 

A: I’m looking for a dishwasher.

(ผมกำลังมองหาเครื่องล้างจานอยู่ครับ)

B: Are you looking for freestanding or built-in one?

(คุณกำลังมองหารุ่นที่ไม่ต้องติดตั้ง หรือติดตั้งแบบบิ้วท์อินครับ)

  1. ใช้ watch ในบทสนทนา

A: What are you doing right now?

(ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่)

B: I’m watching a movie on Netflix. Let me call you back later.

(ผมกำลังดูหนังใน Netflix อยู่ ไว้ผมโทรกลับนะครับ)

  1. ตัวอย่างการใช้ทั้งสามคำในสถานการณ์เกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย

– See:

I saw your post on Instagram.

(ผมเห็นโพสต์ของคุณบนอินสตาแกรมแล้ว)

– Look:

Look at what my friend shared.

(ดูสิว่าเพื่อนผมแชร์อะไรมา)

– Watch:

I watched a funny video just now.

(ผมเพิ่งดูวิดีโอตลก ๆ อันหนึ่งจบไป)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


IoT พลิกโฉมไซต์ก่อสร้างไทย เพิ่มประสิทธิภาพ–ลดต้นทุน

LWS เปิดแนวคิดใช้ IoT เปลี่ยนพื้นที่ก่อสร้างเป็น “ไซต์งานอัจฉริยะ” ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเร่งความเร็วในยุคที่ต้นทุนพุ่งสูง

ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต่างมองหา “ตัวช่วยใหม่” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโครงการ หนึ่งในทางออกสำคัญที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นคือการนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) มาปรับใช้ในภาคก่อสร้าง

 แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) บริษัทในเครือของ L.P.N. Development ได้เสนอแนวทางการปรับโฉม “ไซต์ก่อสร้างดั้งเดิม” ให้กลายเป็น “พื้นที่อัจฉริยะ” ผ่านการเชื่อมโยงอุปกรณ์และระบบดิจิทัลที่สามารถติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมทุกองค์ประกอบภายในโครงการได้แบบเรียลไทม์

“IoT ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีแฟนซี แต่คือเครื่องมือที่จับต้องได้จริง และช่วยลดต้นทุนได้สูงถึง 29% เมื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง”
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท LWS

4 นวัตกรรม IoT เปลี่ยนเกมก่อสร้าง

LWS ได้ระบุ 4 แนวทางการประยุกต์ใช้ IoT ที่เห็นผลจริงในงานก่อสร้าง ได้แก่:

ติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์
ระบบ IoT ช่วยติดตามตำแหน่งและสถานะของเครื่องมือ ชิ้นส่วน และยานพาหนะได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญหาย และวางแผนซ่อมบำรุงล่วงหน้า (Predictive Maintenance)

ควบคุมระยะไกล
แม้ไม่อยู่หน้างาน ก็สามารถสั่งการหรือควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยลดจำนวนคนงานและเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารไซต์งาน

ยกระดับความปลอดภัย

เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะที่ตรวจจับสัญญาณชีพ, ระบบติดตามตำแหน่งคนงาน, และเซ็นเซอร์เตือนภัยต่าง ๆ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนความเสี่ยงและหยุดงานโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่ปลอดภัย

ตรวจสอบคุณภาพงานอัตโนมัติ

เซ็นเซอร์บ่มคอนกรีตฝังในโครงสร้างช่วยวัดอุณหภูมิ ความแข็งแรง และความชื้นแบบเรียลไทม์ ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และใช้วางแผนงานต่อได้อย่างแม่นยำ

ลงทุน IoT ไม่แพงอย่างที่คิด

แม้หลายฝ่ายยังลังเลเพราะกังวลเรื่องต้นทุน แต่ข้อมูลจากบริษัท MetamindZ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์เริ่มต้นเพียง 1.02 ล้านบาท และซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มอีกประมาณ 1.7 ล้านบาท รวมถึงค่าบำรุงรักษารายปีเฉลี่ย 340,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ “จ่ายครั้งเดียวแต่คุ้มค่าในระยะยาว”

“เมื่อเทียบกับผลประหยัดต้นทุนถึง 29% ถือว่าการลงทุนด้าน IoT คือโอกาส ไม่ใช่ภาระ”
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ

วางกลยุทธ์ให้แม่น ใช้ IoT อย่างมีประสิทธิภาพ

LWS ยังเสนอแนวทางในการนำ IoT มาใช้ในโครงการก่อสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่

เริ่มจาก “โครงการนำร่อง” ที่วัดผลได้จริง

เลือกเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับขนาดและลักษณะงาน

บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีระบบ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ

พัฒนาบุคลากรให้เข้าใจเทคโนโลยีและใช้เป็น

อนาคตก่อสร้างไทยอยู่ที่ “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม”

“การนำ IoT มาใช้ไม่ได้แค่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังเร่งความเร็วในการทำงาน ลดต้นทุนทางการเงิน และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สุดท้ายแล้ว IoT คือรากฐานสำคัญที่จะพาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน”

ในวันที่ธุรกิจก่อสร้างเผชิญแรงกดดันจากราคาที่ดิน ค่าแรง และต้นทุนวัสดุ เทคโนโลยีอย่าง IoT อาจไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ที่ผู้ประกอบการไทยควรมองให้ไกล และเริ่มต้นให้เร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


กินหอมใหญ่ดิบหรือสุกถึงจะดี? เคล็ดลับเลือกกินให้ได้ประโยชน์

หอมใหญ่ เป็นผักที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน ด้วยกลิ่นเฉพาะตัวและคุณประโยชน์ที่หลากหลาย แต่จะกินแบบไหนถึงจะดี? มาหาคำตอบในบทความนี้กัน

กินหอมใหญ่แบบไหนถึงจะดี

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหอมใหญ่มีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากมาย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาโวนอยด์ เควอร์เซทิน (Quercetin) และกำมะถันธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

หอมใหญ่ดิบ VS หอมใหญ่สุก แบบไหนดีกว่า?

  • หอมใหญ่ดิบ
    การกินแบบดิบจะช่วยคงสารอาหารไว้ได้มาก โดยเฉพาะสารเควอร์เซทินที่ช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือด อย่างไรก็ตาม หอมดิบอาจระคายกระเพาะหรือทำให้ท้องอืดได้ในบางคน ควรกินในปริมาณพอเหมาะ
  • หอมใหญ่สุก
    การผ่านความร้อน เช่น ผัด ต้ม หรืออบ อาจทำให้บางสารลดลง แต่จะช่วยให้ร่างกายย่อยง่ายขึ้นและลดกลิ่นฉุน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหาร

วิธีทำให้หอมใหญ่คงคุณค่าสูงสุด

  • หากต้องการกินแบบสุก แนะนำให้ อบหรือตุ๋นด้วยไฟอ่อน แทนการทอด
  • หั่นแล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที ก่อนปรุง จะช่วยให้สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
  • ไม่ควรแช่หอมที่หั่นแล้วไว้นาน เพราะจะสูญเสียคุณค่าและอาจเกิดการปนเปื้อน

เมนูแนะนำจากหอมใหญ่ ทำง่าย ดีต่อสุขภาพ

การใส่หอมใหญ่ลงในอาหารประจำวันเป็นวิธีที่ช่วยเสริมสุขภาพแบบง่ายๆ ลองดูไอเดียเมนูเหล่านี้ได้เลย

1. สลัดหอมใหญ่สด

หั่นหอมเป็นเส้นบางๆ แช่น้ำเย็นเพื่อลดกลิ่นฉุน แล้วคลุกกับน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และเกลือเล็กน้อย

2. หอมใหญ่ตุ๋นซุปใส

ใส่หอมใหญ่ลงไปตุ๋นในน้ำซุปไก่หรือซุปผัก จะให้รสหวานตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องเติมผงชูรส

3. ข้าวผัดหอมใหญ่ไข่

เมนูง่ายๆ ที่หอมกรุ่น ทำโดยใช้หอมใหญ่ผัดกับไข่ ข้าว และซอสเล็กน้อย ได้ทั้งกลิ่นและความหวานตามธรรมชาติ

4. หอมใหญ่อบชีส

หั่นหอมเป็นวงๆ วางบนถาด อบพร้อมชีสและผักอื่นๆ เป็นเมนูว่างที่ทั้งอร่อยและดูดี

การเลือกกินหอมใหญ่ให้ได้ประโยชน์สูงสุดขึ้นอยู่กับวิธีการเตรียมและสภาพร่างกายของแต่ละคน หากคุณย่อยหอมดิบได้ดี การกินสดจะช่วยรักษาสารต้านอนุมูลอิสระได้มากที่สุด แต่การปรุงสุกอย่างเหมาะสมก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการย่อยอาหารเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,400.0052,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,387.0051,346.9253,300.00
ทองรูปพรรณ 90%3,048.3046,212.23n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,709.6041,077.54n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,524.1523,106.11n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,185.4517,971.42n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,509.8453,209.17n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9533.2533.2533.7533.2533.2533.2533.2533.2533.2533.25
แก๊สโซฮอล์ 9132.8832.8833.3832.8832.8832.8832.8832.8832.8832.88
แก๊สโซฮอล์ E2031.0431.0431.5431.0431.0431.0431.0431.0431.04
แก๊สโซฮอล์ E8529.3929.3929.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.8449.5449.8449.5441.84
เบนซิน 9541.5449.5142.0441.6941.54
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า