ดัชนีอสังหาฯ Q1/2568 ลดฮวบ 10.7% ลุ้นฟื้นตัวจากมาตรการรัฐ

ดัชนีอสังหาฯ Q1/2568 ลดฮวบ 10.7% ทั้งอุปสงค์และอุปทาน ท่ามกลางการชะลอการตัดสินใจของผู้ซื้อ ความหวังในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับมาตรการรัฐออกมาช่วงครึ่งปีหลัง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย พบกับภาวะชะลอตัวที่เห็นได้ชัดทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน
โดยดัชนีรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหมวดที่อยู่อาศัยลดลงถึง 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลลัพธ์นี้มาจากการชะลอตัวในด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ลดลงถึง 13.6% ขณะเดียวกันจำนวนโครงการที่สร้างเสร็จและจดทะเบียนในพื้นที่เดียวกันก็ลดลงกว่า 33.9%

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการลดลงในครั้งนี้มาจากการชะลอการตัดสินใจของผู้ซื้อที่รอคอยการประกาศ มาตรการรัฐ เกี่ยวกับ การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง และการผ่อนคลายเงื่อนไข Loan-To-Value (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ทว่า การคาดการณ์จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ยังคงมีความหวังในช่วงครึ่งปีหลัง โดยดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 คาดว่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยถึง 80.9 จุด โดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง และการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการซื้อขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดจากสถาบันการเงินและภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการฟื้นตัวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และยังต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันสะท้อนถึงแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ภาครัฐก็ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นที่เชื่อว่าจะช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี2568
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เจาะลึก “ที่ดิน RCA” พุ่งไม่หยุด สู่ทำเลทอง “มิกซ์ยูส” ใจกลางกรุงฯ

พลิกโฉม “ที่ดิน RCA” สู่ทำเลทองแห่งใหม่ใจกลางเมือง ทุนใหญ่รุมปักหมุด “มิกซ์ยูส” ชิงส่วนแบ่งตลาดที่ดินทำเลอนาคต เผยราคาประเมินพุ่งไม่หยุด เฉลี่ยสูงกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางวา
โครงการรอยัล ซิตี้ อเวนิว หรือ RCA หรือ “ที่ดินย่าน RCA” บริเวณเส้นทางโครงการรถไฟสายบางซื่อ – คลองตัน 1 ในพื้นที่สำคัญที่อยู่ภายใต้การดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รวมพื้นที่ประมาณ 124,844 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 78 ไร่ 11 ตารางวา
โดย รฟท. ได้ให้บริษัท นารายณ์ร่วมพิพัฒน์ จำกัด เช่าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2535 สัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2565 อายุสัญญาเช่า 30 ปี
ทั้งนี้ในปีสุดท้ายชำระค่าเช่า ค่าธรรมเนียม รวม 14,774,664.86 บาท แต่เนื่องจากพื้นที่ย่าน RCA เป็นแหล่งท่องเที่ยว รฟท.จึงขยายสิทธิ์การใช้ประโยชน์ให้
ปัจจุบันทาง บริษัท นารายณ์ร่วมพิพัฒน์จำกัด ได้ชำระค่าเช่าที่ดินในปี 2565-2566 มาแล้ว โดยอัตราค่าเช่าที่ทั้ง 78 ไร่ อยู่ที่ 9 ล้านบาทต่อปี เป็นตัวเลข ณ ปี 2531
ล่าสุดแหล่งข่าวจากบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความคืบหน้าสัญญาพื้นที่ย่าน RCA (บริเวณเส้นทางโครงการรถไฟสายบางซื่อ – คลองตัน)
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาการต่อสัญญาดังกล่าวรวมทั้งเงื่อนไขสัญญากับเอกชนผู้เช่ารายเดิม โดยให้สิทธิสัญญาสัมปทานตามกฎหมาย ระยะเวลา 30 ปี คาดว่าการเจรจาแล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือน
ในอดีตย่านสถานบันเทิงที่คึกคักอย่าง RCA หรือ Royal City Avenue กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการที่ภาครัฐกำหนดให้พื้นที่นี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนา
ปัจจุบัน RCA ได้ถูกยกระดับสู่ทำเลทองแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยจุดเด่นที่สำคัญหลายประการ
นอกจากนี้ทำเลที่ดินสามารถเข้าถึงสถาที่สำคัญที่โดดเด่นไม่น้อย โดยพื้นที่ RCA ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 เชื่อมต่อกับถนนสายหลักหลายสาย ทั้งถนนเพชรบุรีตัดใหม่, ถนนอโศก-ดินแดง, และถนนรัชดาภิเษก
อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อที่สำคัญนี้ทำให้การเดินทางสะดวกสบายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังอยู่ใกล้ทางด่วนพิเศษศรีรัช และในอนาคตจะมีสถานีรถไฟฟ้าสายสีเทา (วัชรพล-พระราม 9-ท่าพระ) เพิ่มเข้ามา ซึ่งจะยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับทำเลนี้
ไม่เพียงเท่านั้นโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบ RCA เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น รพ.ปิยะเวท, รพ.กรุงเทพ, ห้างสรรพสินค้า อย่าง เซ็นทรัลพระราม 9, ฟอร์จูนทาวน์, อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ และโรงแรมชั้นนำ ทำให้เป็นทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้านศักยภาพของที่ดิน RCA ซึ่งเป็นที่ดินขนาดใหญ่และผังเมืองที่เปิดกว้างสำหรับโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ RCA จึงกลายเป็นเป้าหมายของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่ต้องการสร้างโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-Use)
ทั้งคอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน, โรงแรม, และรีเทล เพื่อตอบรับความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยและผู้ทำงานในอนาคต
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของทำเล ส่งผลให้มูลค่าประเมินที่ดินในพื้นที่ RCA มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากเทียบกับในอดีตที่ทำเลนี้ถูกประเมินราคาต่ำกว่า 300,000 บาทต่อตารางวา
ปัจจุบันราคาประเมินโดยกรมธนารักษ์สำหรับที่ดินที่ติดถนนพระราม 9 อยู่ที่ประมาณ 500,000-600,000 บาทต่อตารางวา แต่ราคาซื้อขายจริงในตลาดสูงกว่านั้นมาก
จากข้อมูลการซื้อขายล่าสุดและจากการประเมินของบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ พบว่าที่ดินแปลงใหญ่ใน RCA มีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 1-1.3 ล้านบาทต่อตารางวา
สำหรับที่ดินที่พัฒนาเป็นอาคารสูงได้ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพของทำเล และเป็นราคาที่เทียบเคียงได้กับทำเลทองชั้นนำอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ เช่น สุขุมวิทตอนกลาง, อโศก, หรือทองหล่อได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้การเข้าซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสิงห์ เอสเตท, ทีซีซี แลนด์ หรือกลุ่มมหาทุนรายอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง
ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า RCA ไม่ใช่เพียงแค่ย่านสถานบันเทิงอีกต่อไป แต่ได้ก้าวขึ้นเป็น “ทำเลทองแห่งอนาคต” ที่มีมูลค่าสูงและเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่น่าจับตามองมากที่สุดสำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันที่ 14 ก.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.28บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแนวโน้มจะอ่อนค่าได้มากน้อยขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด และความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14ก.ค. ที่ระดับ 3228บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 32.44บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.50 บาทต่อดอลลาร์)
แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่า เงินบาทกลับสามารถทยอยแข็งค่าขึ้น ตามอานิสงส์การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ล่าสุด สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาศัยจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในการปรับสถานะถือครอง ทยอยขายเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง (Sell on Rally)
สัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ส่วนเงินดอลลาร์ก็ทยอยแข็งค่าขึ้น
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก พร้อมรอลุ้น รายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่าน รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน
และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนจะเข้าสู่ช่วงงดให้สัมภาษณ์ (Blackout period) พร้อมรอติดตาม รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ขณะเดียวกัน ตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ กลุ่มการเงิน อย่าง JP Morgan, Bank of America และ Goldman Sachs รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยี อย่าง ASML, TSMC และ Netflix เป็นต้น
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมิถุนายน และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ อย่าง อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) เดือนพฤษภาคม ยอดการจ้างงาน และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ในเดือนมิถุนายน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Survey) ในเดือนกรกฎาคม พร้อมทั้งรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากสหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนอัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บกับสินค้าจากบรรดาประเทศในสหภาพยุโรป
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน ประจำเดือนมิถุนายน อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึง ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports)
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ส่วนทางฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 60% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps ในปีนี้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์มองว่า BI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% เพื่อรอประเมินสถานการณ์โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เดือนมิถุนายน ที่อาจยังสามารถขยายตัวในเกิน +15%y/y จากอานิสงส์การเร่งนำเข้าสินค้าจากไทย ก่อนเผชิญมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีของไทย ตามแนวโน้มการเติบโตของ Data Center อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้ ยอดการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลง โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทใกล้โซนแนวต้านในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยปรับสถานะถือครอง ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
กอปรกับความเสี่ยงการเมืองในประเทศไทย อาจกดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เงินบาทจะอ่อนค่าได้มากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ จากการประเมินในเชิงเทคนิคัล การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทมีโซนแนวต้านแรกแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (โซนแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวรับจะอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจยังคงเป็นปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงระยะสั้นต่อไป
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.80 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สรุปผลวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 ประจำวันที่ 14 ก.ค. 68

ผลการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สาม เมื่อวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568
สรุปผลวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 นัดสุดท้าย
- เกาหลีใต้ แพ้ ฝรั่งเศส 0-3 เซต (17-25, 19-25 และ 21-25)
- เซอร์เบีย ชนะ ตุรกี 3-0 เซต (25-18, 25-20 และ 25-18)
- เยอรมนี ชนะ โดมินิกัน 3-1 เซต (25-20, 25-13, 21-25 และ 25-21)
- เนเธอร์แลนด์ แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (23-25, 26-28 และ 18-25)
- สาธารณรัฐเช็ก แพ้ เบลเยียม 1-3 เซต (25-19, 23-25, 17-25 และ 21-25)
- ญี่ปุ่น แพ้ บราซิล 0-3 เซต (17-25, 18-25 และ 20-25)
- บัลแกเรีย แพ้ โปแลนด์ 0-3 เซต (13-25, 19-25 และ 17-25)
- ไทย แพ้ แคนาดา 2-3 เซต (25-17, 23-25, 28-30, 25-23 และ 13-15)
- จีน ชนะ สหรัฐฯ 3-2 เซต (18-25, 19-25, 25-21, 25-16 และ 18-16)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ความดันโลหิตต่ำ” ดีกว่า “ความดันโลหิตสูง” จริงหรือ?

ความดันโลหิตสูง และ ความดันโลหิตต่ำ ต่างเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่ส่งผลร้ายต่อหัวใจ สมอง และอวัยวะสำคัญอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อปล่อยให้เรื้อรังโดยไม่ควบคุม ความดันโลหิตสูงมักเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะที่ความดันโลหิตต่ำอาจทำให้เวียนหัว หน้ามืด หรือหมดสติจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ดังนั้น การรู้จักระดับความดันที่เหมาะสม การสังเกตอาการ และปรับพฤติกรรมให้เหมาะจึงเป็นกุญแจสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจในระยะยาว
- ค่าความดันโลหิตที่สูงกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท เป็นสัญญาณของความเสียหายของอวัยวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ปวดหลัง ชา/อ่อนแรง การมองเห็นเปลี่ยนไปหรือพูดลำบาก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ในระดับเดิมนานๆ มีโอกาสเป็นโรคหัวใจตีบตันเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน 7 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีค่าความดันปกติ
- ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า Orthostatic Hypotension อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลม เนื่องจากสมองได้รับเลือดไม่เพียงพอ และบ่งบอกถึงปัญหาและอาการร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้
ผู้ที่มีค่า “ความดันโลหิตต่ำ” มักจะคิดว่ามีสุขภาพดี ไม่มีปัญหา แต่ในความจริงแล้วทั้งความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำ ต่างมีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน ที่สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่อันตรายได้ในที่สุด
ความดันโลหิต คืออะไร
พญ. กานต์ชนา อัศวธิตานนท์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคหัวใจ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ระบุว่า ความดันโลหิต คือ ค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง เกิดจากกระบวนการของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากค่าความดันโลหิต คือ ความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำ ค่าความดันโลหิต เป็นหน่วยมิลลิเมตรปรอท (mmHg) โดยวัดได้ 2 ค่า ได้แก่
- ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจเต็มที่
- ความดันโลหิตค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตที่เกิดจากการคลายตัวของหัวใจ
การเตรียมตัวเพื่อวัดความดันโลหิต
- ก่อนวัดความดันโลหิต 30 นาที ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายอย่างหนัก รวมถึงไม่อยู่ในภาวะโกรธ วิตกกังวล หรือเครียด
- ควรนั่งพักก่อนทำการตรวจวัดความดันประมาณ 5-15 นาที นั่งหลังพิงพนักเก้าอี้ เท้า 2 ข้าง วางราบกับพื้น ห้ามนั่งไขว่ห้าง
- ไม่ควรพูดคุย ขณะที่กำลังวัดความดัน
- วัดความดันโลหิต วันละ 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเช้าและช่วงเย็น โดยแต่ละช่วงเวลาให้วัดอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 นาที ควรวัดติดต่อกัน 7 วัน หรืออย่างน้อย 3 วัน
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ค่าปกติของความดันโลหิต โดยเฉลี่ยคือประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดยวัดจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น โดยหากวัดได้ค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปถือว่ามีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตมีความแตกต่างกันในแต่ละในช่วงวัย
ปัจจุบัน ค่าความดันโลหิตที่ยอมรับได้ในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ควรตํ่ากว่า 150/90 มิลลิเมตรปรอท ขณะที่อายุน้อยกว่า 60 ปี หรือผู้ป่วยเบาหวาน และผู้มีภาวะไตเสื่อม ค่าความดันโลหิต ควรตํ่ากว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
การเทียบค่าความดันโลหิต ดังนี้
ระดับความดันโลหิต | ค่าความดันโลหิตตัวบน | และ / หรือ | ความดันโลหิตตัวล่าง |
ความดันโลหิตที่ดี | ต่ำกว่า 120 | และ | ต่ำกว่า 80 |
ความดันโลหิตปกติ | 120 – 129 | และ / หรือ | 80 – 84 |
ความดันโลหิตค่อนข้างสูง | 130 – 139 | และ / หรือ | 85 – 89 |
ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย | 140 – 159 | และ / หรือ | 90 – 99 |
ความดันโลหิตสูงปานกลาง | 160 – 179 | และ / หรือ | 100 – 109 |
ความดันโลหิตสูงมาก | ตั้งแต่ 180 ขึ้นไป | และ / หรือ | ตั้งแต่ 110 ขึ้นไป |
ทั้งนี้ ค่าความดันโลหิตสูงอาจไม่ได้หมายถึงการเป็นความดันโลหิตสูงเสมอไป เพราะสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ เช่น มีความเครียด ความตื่นเต้น หรือการดื่มชา/กาแฟ เป็นต้น
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
พบว่าผู้มีอาการความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและตรวจไม่พบสาเหตุ แต่หากมีการตรวจพบมักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องอาจนำไปสู่ความพิการหรืออันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้แล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
- อายุ – ความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- เพศ – ความดันโลหิตสูงพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่า ทั้งนี้ ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลังอายุ 65 ปี
- พันธุกรรม
- การรับประทานอาหารรสเค็มจัด
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ขาดออกกำลังกาย
อาการของผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ แม้ว่าค่าความดันโลหิตที่อ่านได้จะสูงถึงระดับที่อันตรายก็ตาม บางกรณีอาจพบอาการเวียนศีรษะ ตึงต้นคอ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเช้าหลังตื่นนอน นอกจากนี้อาจพบอาการใจสั่น อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว หรือมีเลือดกำเดาไหล แต่อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นจนกว่าความดันโลหิตสูงจะถึงขั้นรุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตสูง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม เช่น อาหารสำเร็จรูป และอาหารหมักดอง
- งดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ทำจิตใจให้แจ่มใส ลดความวิตกกังวลและความเครียดลง
- ปรึกษาแพทย์เรื่องการรับประทานยา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ความดันสูง เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
โดยปกติแล้ว หากวัดค่าความดันโลหิตได้ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้นต่ออวัยวะภายในร่างกายจากโรคความดันโลหิตสูง และตรวจความเสี่ยงโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้แพทย์พิจารณาควบคุมความดันโลหิตสูงด้วยวิธีต่างๆ เช่น การปรับพฤติกรรม หรือการรับประทานยา และมักต้องนัดหมายแพทย์เป็นประจำ เพื่อปรึกษาแพทย์และอ่านค่าความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
หากมีความดันโลหิตสูง แต่ปล่อยทิ้งไว้ให้ความดันโลหิตสูงอยู่ในระดับเดิมนานๆ อาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพ และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น มีโอกาสเป็นโรคหัวใจตีบตัน 3-4 เท่า และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน 7 เท่าของผู้ที่มีความดันปกติ
วิกฤตความดันโลหิตสูง คือ ค่าความดันโลหิตที่วัดได้นั้นสูงกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท เมื่อวัดความดันโลหิตแล้วได้ค่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวัดความดันอย่างถูกต้องและรับการรักษา เนื่องจากภาวะนี้เป็นสัญญาณของความเสียหายของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ปวดหลัง ชา/อ่อนแรง การมองเห็นเปลี่ยนไปหรือพูดลำบาก
ทั้งนี้ แม้ความดันโลหิตสูงจะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กก็มีความเสี่ยงเช่นกัน สำหรับเด็กบางกลุ่ม ภาวะความดันโลหิตสูงเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ แต่ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และขาดการออกกำลังกาย
ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
โดยทั่วไปในทางการแพทย์ ความดันโลหิตของผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) และความดันโลหิตของผู้สูงอายุที่ต่ำกว่า 100/70 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) จะถูกจัดว่าเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ หากมีค่าความดันโลหิตต่ำอย่างสม่ำเสมอ แต่รู้สึกสบายดี แพทย์อาจตรวจติดตามผลในระหว่างการตรวจประจำปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตต่ำอาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือเป็นปัญหาสุขภาพ แต่สำหรับคนจำนวนมาก ภาวะความดันโลหิตต่ำอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลมได้ และกรณีที่รุนแรง ความดันโลหิตต่ำอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ด้วย
สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ
สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำนั้น มีได้ตั้งแต่ภาวะขาดน้ำ จนถึงความผิดปกติทางการแพทย์ที่ร้ายแรง สิ่งสำคัญคือ ต้องค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้องแต่เนิ่นๆ
- ความดันโลหิตลดลงเมื่อยืนหรือหลังรับประทานอาหาร
- การตั้งครรภ์ เนื่องจากระบบไหลเวียนโลหิตขยายตัวอย่างรวดเร็วในระหว่างตั้งครรภ์ ความดันโลหิตจึงมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตจะกลับสู่ระดับก่อนตั้งครรภ์หลังจากคลอด
- โรคในหัวใจ เช่น โรคทางลิ้นหัวใจ หัวใจวาย และภาวะหัวใจล้มเหลว
- ผลกระทบจากโรคอื่นๆ เช่น ปัญหาต่อมไร้ท่อ โรคพาราไทรอยด์ ภาวะต่อมหมวกไตไม่เพียงพอ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากโรคเบาหวาน
- ภาวะขาดน้ำ อาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรง วิงเวียนศีรษะ และเหนื่อยล้า
- เสียเลือดมาก การสูญเสียเลือดจำนวนมาก เช่น จากการบาดเจ็บสาหัสหรือเลือดออกภายในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรุนแรง
- การติดเชื้อรุนแรง
- การขาดสารอาหาร ได้แก่ วิตามิน B-12 โฟเลตและธาตุเหล็ก อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ได้เพียงพอ
การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาสำหรับโรคพาร์กินสัน และยากล่อมประสาทบางชนิด
อาการความดันต่ำ
สำหรับบางคน ความดันโลหิตต่ำเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความดันโลหิตลดลงอย่างกะทันหัน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
- วิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นลม
- ตาพร่ามัว
- คลื่นไส้
- อ่อนเพลีย
- ขาดสมาธิ
- ช็อก
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตต่ำ
- เพิ่มสารอาหาร และรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการนอนดึก และเวลานอนไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป
- ไม่ควรยืนนานๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบทอย่างรวดเร็วเกินไป
- ใช้ยาอย่างระมัดระวัง โดยแจ้งให้แพทย์ทราบถึงปัญหาความดันโลหิตต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง
ความดันต่ำ เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
แม้บางคนมองว่าอาการวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นครั้งคราวอาจเป็นปัญหาเล็กน้อย เช่น เป็นผลมาจากภาวะขาดน้ำเล็กน้อย หรือน้ำในอ่างอาบน้ำร้อนเกินไป แต่จะเห็นได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ร่างกายอาจกำลังบอกอะไรกับเราก็ได้ ดังนั้น จึงไม่ควรชะล่าใจ แต่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีอาการวิงเวียนหรือหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน ควรวัดความดันในท่ายืนด้วย โดยเริ่มต้นวัดความดันในท่านอนก่อน หลังจากนั้นลุกขึ้นยืน วัดความดันภายในเวลา 1 และ 3 นาทีหลังจากลุกขึ้นยืน หากความดันโลหิตตัวบนในท่ายืนต่ำกว่าท่านอน ≥ 20 mmHg แสดงถึงภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลมได้ เนื่องจากสมองไม่ได้รับเลือดเพียงพอ และบ่งบอกถึงปัญหาและอาการที่ร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตที่ตามมาได้ ได้แก่
- เกิดความสับสนโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- ตัวซีด เย็น
- หายใจเร็วและตื้น
- ชีพจรเต้นอ่อน หรือเต้นเร็วผิดปกติ
- มีอาการช็อก
เราต่างทราบกันว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ใส่ใจและให้ความสำคัญกับภาวะความดันโลหิตสูง แต่ภัยของโรคความดันโลหิตต่ำกลับถูกมองว่าไม่มีปัญหา ด้วยเหตุนี้ จึงมักจะพบผู้ที่มีอาการวิงเวียนหน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น แม้แต่ความดันโลหิตต่ำในระดับปานกลางก็สามารถทำให้วิงเวียนศีรษะ อ่อนแรง หน้ามืด และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหกล้ม รวมถึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ความดันโลหิตเป็นภาวะที่สามารถเป็นได้กับทุกเพศทุกวัย ดังนั้น ควรหมั่นวัดระดับความดันโลหิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิตในร่างกาย แต่หากเกิดอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Yahoo เตรียมกลับมาผงาดในโลกออนไลน์อีกครั้ง ด้วยแผนสุดยิ่งใหญ่ในยุค AI

แม้ Yahoo จะครบรอบ 30 ปี แต่ Jim Lanzone ซีอีโอของบริษัท ยืนยันว่าพวกเขายังคงอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์
จากความตกต่ำ สู่การพลิกฟื้น: ภารกิจท้าทายของ Jim Lanzone
ในปี 2021 Jim Lanzone เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ Yahoo บริษัทที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ในยุคอินเทอร์เน็ต ก่อนจะถูกมองข้ามและกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน เขาตอบรับข้อเสนอจาก Apollo Global Management บริษัท Private Equity แห่งใหม่ ที่เข้าซื้อกิจการต่อจาก Verizon ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนล่าสุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเปลี่ยนมือบริหาร เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่รับงานนี้ Lanzone ตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นว่า “ผมรักการพลิกฟื้นธุรกิจ”
ประวัติของ Lanzone พิสูจน์คำกล่าวนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ในปี 2001 เขานำ AskJeeves เว็บไซต์ค้นหาที่ซบเซา (ราคาหุ้นเคยดิ่งจาก 196 เหรียญสหรัฐ เหลือไม่ถึง 1 เหรียญสหรัฐ) กลับมาผงาดอีกครั้ง จนกระทั่ง IAC Corp ของ Barry Diller เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่า 1.85 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วงทศวรรษ 2010 ในบทบาทที่ CBS Interactive และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลของ CBS เขาก็ได้นำพา CBS เข้าสู่ยุคสตรีมมิ่งได้อย่างน่าทึ่ง สำหรับ Yahoo ที่กำลังฉลองครบรอบ 30 ปีในเดือนนี้ อาจเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเขา
ประวัติศาสตร์ของ Yahoo เต็มไปด้วยโอกาสที่พลาดไปมากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทมหาชนที่เคยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถูกขายให้กับบริษัท Private Equity ในราคาเพียง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 Yahoo พลาดโอกาสครั้งสำคัญในการซื้อ Google และเกือบจะได้ Facebook มาอยู่ในมือด้วยราคา 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่ Terry Semel ซีอีโอในขณะนั้นจะขอเจรจาใหม่จนข้อตกลงล่มไป บุคลากรผู้ก่อตั้ง WhatsApp ก็เคยทำงานที่นี่
นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการที่น่าจับตาอย่าง Flickr, Tumblr และ Huffington Post ก็ถูกขายทิ้งไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Yahoo ถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ที่มีลำดับความสำคัญต่ำของ Verizon ซึ่งเลือกที่จะรวม Yahoo เข้ากับ AOL และเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Oath แทนที่จะพยายามฟื้นฟูความยิ่งใหญ่เดิม
“อัญมณีที่ถูกซ่อน”: มุมมองที่แตกต่างของ Jim Lanzone
ในขณะที่บางคนมองว่าโอกาสของ Lanzone แทบเป็นศูนย์ แต่เขากลับมองเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป Lanzone เชื่อว่า Yahoo คือ “อัญมณีที่ถูกซ่อน” ที่หลายคนมองข้ามไป “ถ้าคุณตัดชื่อ Yahoo ออกไป แล้วมองแค่ตัวธุรกิจในปี 2021 คุณจะเห็นรายรับหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ” เขากล่าว
Lanzone ไม่เสียเวลากับความผิดพลาดในอดีต “ผมคิดว่าเรื่องราวของโอกาสที่ Yahoo พลาดไปมันน่าเบื่อและซ้ำซาก” เขากล่าวแทนที่จะคร่ำครวญถึงความรุ่งโรจน์ในการค้นหาที่หายไป Lanzone มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสิ่งที่ Yahoo ทำได้ดีอยู่แล้ว “เราไม่ต้องกังวลว่าเราไม่ใช่ใคร” เขาเลิกกิจการที่ขาดทุน เช่น แผนกเทคโนโลยีโฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพ และเข้าซื้อกิจการบางอย่างอย่างเงียบๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด เช่น Wagr แอปพลิเคชันเดิมพันกีฬา เพื่อนำ Yahoo Sports เข้าสู่ยุคการพนัน เขายังดึงผู้บริหารที่มีความสามารถเข้ามาเสริมทีม เช่น Ryan Spoon อดีตหัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของ ESPN ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้า Yahoo Sports
ผลลัพธ์ที่ได้คือผลกำไรที่เพิ่มขึ้น และฐานผู้ชมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง Lanzone อ้างว่า Yahoo เป็นการเข้าซื้อกิจการของ Apollo ที่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้เร็วที่สุด แม้ว่าข้อมูลทางการเงินที่แท้จริงจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเนื่องจาก Yahoo เป็นบริษัทเอกชน แต่ทีมสื่อสารของ Yahoo ได้จัดเตรียมเอกสารที่เต็มไปด้วยข้อมูลเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของ Lanzone ว่า Yahoo ยังคงมีศักยภาพที่น่าจับตา Comscore บริษัทที่วัดปริมาณการเข้าชม จัดอันดับให้ Yahoo เป็นอันดับ 1 ในหมวดข่าวสาร อันดับ 1 ในด้านการเงิน และอันดับ 3 ในด้านกีฬา นอกจากนี้ยังเป็นรองแค่ Gmail ในบริการอีเมล Lanzone เปิดเผยว่าเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มีผู้คน “หลายร้อยล้านคน” ใช้ Yahoo ทุกเดือน
AI คือหัวใจ: Yahoo กับการก้าวสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์
หนึ่งปีหลังจาก Lanzone เข้ารับตำแหน่ง โลกเทคโนโลยีก็ถูกพลิกโฉมด้วยการมาถึงของ ChatGPT ในขณะที่ Yahoo มีประวัติการพลาดโอกาสในเทคโนโลยีพลิกโลกครั้งสำคัญก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา โซเชียล หรือมือถือ Lanzone ยืนยันว่า Yahoo จะไม่พลาดโอกาสในยุค AI นี้อีกครั้ง “ผมอยากให้คำว่า ‘AI’ เป็นอัตโนมัติเสียที จะได้ไม่ต้องพูดบ่อยๆ” เขากล่าว แม้ Yahoo จะไม่สร้างโมเดลภาษาของตัวเอง หรือทุ่มเงิน $1 แสนล้านดอลลาร์ไปกับศูนย์ข้อมูล แต่พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญด้าน Machine Learning ภายในองค์กร และร่วมมือกับบริษัทภายนอกเพื่อนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพ Sierra เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ตัวแทนบริการลูกค้า
หนึ่งในการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดที่สุดของ Lanzone ด้าน AI คือการเข้าซื้อกิจการ Artifact ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมข่าวสารที่ขับเคลื่อนด้วย AI สร้างโดย Kevin Systrom และ Mike Krieger ผู้ร่วมก่อตั้ง Instagram เมื่อทั้งคู่ตัดสินใจยุติธุรกิจ Artifact Lanzone เป็นหนึ่งในหลายๆ ผู้ที่ต้องการครอบครองเทคโนโลยีเบื้องหลัง ซึ่ง Artifact ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของหน้าแรกที่ Yahoo เปิดตัวใหม่เมื่อต้นปีนี้ “แทนที่จะรวมเทคโนโลยีของพวกเขาเข้ากับผลิตภัณฑ์ของเรา เรากลับทำในทางกลับกัน” Lanzone กล่าว “โดยพื้นฐานแล้ว Yahoo News ก็คือ Artifact นั่นเอง” Systrom เห็นด้วย “เราเป็นพันธมิตรกับ Yahoo เพราะพวกเขาเสนอข้อเสนอที่ดี และยังวางแผนที่จะนำผลงานของเราไปสู่ผู้คนนับล้าน” เขากล่าว
ลำดับต่อไปสำหรับการปรับปรุงด้วย AI คือ Yahoo Finance ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องมือการลงทุนสำหรับผู้บริโภค และอาจถือเป็นเพชรยอดมงกุฎของบริษัท Lanzone กล่าวว่าเขาได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์แล้ว Yahoo ไม่ได้พยายามแข่งขันกับ CNBC ในเรื่องข่าวการเงินอีกต่อไป แต่จะมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การพลิกโฉมครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง “คุณจะทำเงินได้มากขึ้น คุณจะประหยัดเงินได้มากขึ้น และเราจะใช้ AI เพื่อทำสิ่งนั้นให้คุณ” เขากล่าว
แผนการในอนาคต: การเชื่อมโยงผู้ใช้กับประสบการณ์ Yahoo ที่ครอบคลุม
แม้ว่าการใช้บริการของ Yahoo อย่าง Finance หรือ Weather อาจไม่ได้หมายถึงการหลงใหลในสีม่วง ซึ่งเป็นสีประจำแบรนด์ แต่ Lanzone เชื่อมั่นว่าผู้ใช้ Yahoo Finance จะถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของ Yahoo และใช้บริการอื่นๆ การเสริมความแข็งแกร่งให้กับความพยายามนี้คือการให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้ใช้ในอนาคต: Yahoo ได้ทำข้อตกลงกับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 100 ราย เพื่อช่วยสร้างให้เป็นแหล่งรวมเนื้อหาไวรัล เขากล่าวว่า ในแง่หนึ่ง บริษัทกำลังกลับคืนสู่ภารกิจดั้งเดิมในการนำเสนอข้อมูลมากมายบนอินเทอร์เน็ตสู่ผู้ชมจำนวนมาก และในการรวมตัวกันเชิงสัญลักษณ์ เขายังได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับ Jerry Yang ผู้ร่วมก่อตั้งในการประชุมพนักงานทั้งหมด ซึ่งบ่งบอกถึงการฟื้นฟูมรดกที่สำคัญ
“ทำไมผู้คนถึงมาที่ Yahoo ในฐานะพอร์ทัล? ทำไมพวกเขาถึงรักมันมาก? ทำไมมันถึงมีประโยชน์กับพวกเขามาก?” เขากล่าว “คุณสามารถตอบสนองความต้องการประจำวันของผู้ใช้ได้ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ที่พวกเขาตื่นนอนด้วยสภาพอากาศและข่าวสาร ไปจนถึงสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้และเครื่องมือสื่อสารของพวกเขา” แม้ความเชื่อทั่วไปใน Silicon Valley คือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะถูกตอบสนองโดย Chatbot ตัวแทนที่รอบรู้เกือบสมบูรณ์แบบในไม่ช้า ไม่ใช่หน้าแรก แต่ Lanzone ได้แสดงตัวเลขการเติบโตของ Yahoo พร้อมกล่าวว่า “ไม่เร็วขนาดนั้น”
Lanzone ค่อนข้างจะปกปิดเรื่องจุดจบของเขา “Yahoo ก็เหมือนกับบริษัทช่วงปลายก่อน IPO ทั่วไป” เขากล่าว “สำหรับสิ่งนั้นมีเพียงสามผลลัพธ์เท่านั้น: คุณถูกซื้อกิจการ, มีการเสนอขายหุ้น IPO หรือคุณยังคงเป็นบริษัทเอกชนตลอดไป เรายังไม่มีอะไรจะประกาศ เราอยู่ในโหมดการสร้าง (building mode)” การเป็นบริษัทเอกชนตลอดไปดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเมื่อ Apollo ทำการขาย Reed Rayman หุ้นส่วน ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานของ Yahoo กล่าวว่า Lanzone จะ “นำ Yahoo ผ่านช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” ในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ซบเซาในปัจจุบัน การเสนอขายหุ้น IPO ในระยะใกล้ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนการกำกับดูแลการควบรวมกิจการ ยักษ์ใหญ่รายใดรายหนึ่งอาจเข้าซื้อกิจการบริษัทไปได้ จำได้ไหมว่า Microsoft เคยพยายามซื้อบริษัทที่กำลังประสบปัญหาด้วยเงินเกือบ $5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2008? และที่น่าสนใจคือ Microsoft เป็นผู้จัดการดัชนีการค้นหาของ Yahoo และ AI กำเนิดส่วนใหญ่ของมันอยู่แล้ว
สำหรับตอนนี้ Lanzone ดูมีความสุขที่จะดำเนินต่อการพลิกฟื้นธุรกิจนี้ เมื่อประมาณหนึ่งทศวรรษที่แล้ว Yahoo ได้ทำข้อตกลงระยะยาวกับทีม 49ers โดยกำหนดให้หลังจากทุกทัชดาวน์ หน้าจอจะแสดงเครื่องหมายอัศเจรีย์ของ Yahoo และนำฝูงชนเปล่งเสียง yodel ที่คุ้นเคยจากโฆษณาทางทีวีมากมาย ไม่นานหลังจาก Lanzone เป็นซีอีโอ เขาก็อยู่ในอัฒจันทร์เมื่อ Christian McCaffrey ทำคะแนนได้ และผู้คน 80,000 คนก็เปล่งเสียง yodel ด้วยความเห็นชอบ แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องพอร์ทัลและการพลิกฟื้นธุรกิจ แต่ Lanzone คิดต่างออกไป “มันโดนใจผม” เขากล่าว “มีความรักแฝงอยู่ในแบรนด์นี้มากมาย”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์ Homonym / Homophone/ Homograph ต่างกันอย่างไร นำไปใช้แบบไหน

คำว่า Homonym, Homophone, และ Homograph เป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ “คำที่มีเสียงหรือการเขียนเหมือนกัน” แต่มีความแตกต่างกันชัดเจนในแง่ของการออกเสียง (sound) และการสะกดคำ (spelling) เพื่อทำความเข้าใจในการ เรียนภาษาอังกฤษ ให้มากขึ้น การเข้าใจประเภทคำทั้งสามก็เป็นเรื่องสำคัญในการสื่อสารในภาษาอังกฤษที่แท้จริง และส่งผลต่อการฟัง พูด อ่าน และเขียน ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคำศัพท์ในหลายมิติ ทั้งการออกเสียง การเขียน และความหมาย
ความต่างของ Homonym / Homophone / Homograph พร้อมคำนิยาม
1. Homonym
Homonym หรือ โฮโมนีม คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกันและสะกดเหมือนกัน แต่ความมีหมายต่างกันที่เราเรียกว่า คำพ้องรูป ซึ่งประเภทนี้เราแยกออกได้โดยการแยกการใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือทำความเข้าใจการใช้ในบริบทนั้น ๆ คำเดียวกันอาจพูดถึงคนละสิ่งก็เป็นได้
ตัวอย่าง
1.1
I saw a bat flying two days ago at the window.
ฉันเห็นค้างคาวบินอยู่ที่หน้าต่างเมื่อสองวันก่อน
- Bat (n.) = ค้างคาว (สัตว์บินตอนกลางคืน)
She hit the ball with a bat.
หล่อนตีลูกบอลด้วยไม้ตีลูก
- Bat (n.) ไม้ตี (เช่น ไม้เบสบอลที่เป็นอุปกรณ์กีฬา)
1.2
Spring is my favorite season because the flowers start to bloom.
ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูโปรดของฉัน เพราะดอกไม้เริ่มเบ่งบาน
- Spring (n.) = ฤดูใบไม้ผลิ
The cat suddenly sprang onto the kitchen counter.
แมวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างกะทันหัน
- Spring (v.) >> Sprang (v.2 กริยาในรูปอดีต) = กระเด้ง, กระโดดแบบกะทันหัน
2. Homophone
Homophone หรือ โฮโมโฟน เป็นคำในภาษาอังกฤษที่ออกเสียงเหมือนกันทุกอย่าง 100% (เสียงเหมือน) แต่สะกดต่างกันและมีความหมายต่างกัน หรือเรียกภาษาไทยว่า คำพ้องเสียง ดังนั้นเราควรสังเกตบริบทที่ใช้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ตัวอย่าง
2.1
We see the sea from the shore.
= เราสามารถมองเห็นทะเลจากชายฝั่งนี้
- see (ซี) (v.) = เห็น, พบเจอ
- sea (ซี) (n.) = ทะเล
2.2
Let’s meet on the lunch and eat some meat for more energy.
= มาเจอกันตอนมื้อกลางวัน แล้วกินเนื้อสัตว์เพื่อเพิ่มพลังกันเถอะ
- meet (มีท) (v.) = พบ
- meat (มีท) (n.) = เนื้อสัตว์
2.3
My sister dropped flour that she just had bought on the flower pot!
พี่สาว/น้องสาวของฉันทำแป้งที่เพิ่งซื้อหล่นลงไปบนกระถางดอกไม้!
- flower (ฟลาวเออะ) (n.) = ดอกไม้
- flour (ฟลาวเออะ) (n.)= แป้ง
3. Homograph
Homograph หรือ โฮโมกราฟ คือ คำที่เขียนเหมือนกัน สะกดเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกัน โดยเราสามารถแยกได้จากบริบทอีกเช่นเดิม โดยอาจมีบางคำออกเสียงเหมือนกัน (same pronunciation) หรือ ต่างกัน (different pronunciation)
ตัวอย่าง
3.1
The tears are falling from her eyes.
น้ำตากำลังไหลหลั่งออกมาจากตาของเธอ
- Tear (เทียร์) (n) = น้ำตา
Don’t tear the paper. Why don’t reuse it?
อย่าฉีกกระดาษนะ ทำไมไม่เอากลับมาใช้ซ้ำล่ะ
- Tear (แทร์) (v) = ฉีกขาด
3.2
That shiny object is valuable.
วัตถุวาววับชิ้นนั้นมีค่ามาก
- object (ออบ-เจ็คท์) (n.) = วัตถุ
I strongly object to that rule.
ฉันคัดค้านกฎข้อนั้นเป็นอย่างมาก
- object (อับ-เจ็คท์) (v.) = คัดค้าน, แย้ง
3.3
She broke the world record hitting the single chart last year.
เธอทำลายสถิติโลกด้วยการขึ้นชาร์ตซิงเกิลเมื่อปีที่แล้ว
- record (เร็ค-อด) (n.) = บันทึก, สถิติ
They need to record the meeting to run the operation correctly.
พวกเขาจำเป็นต้องบันทึกการประชุมเพื่อดำเนินงานให้ถูกต้อง
- record (รี-คอร์ด) (n.) = บันทึกเสียง, ข้อมูล
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เห็ดหัวลิง เห็ดอัจฉริยะบำรุงสมองและความจำ เสริมโฟกัสแบบไม่ง้อคาเฟอีน

เห็ดหัวลิงหรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Lion’s Mane Mushroom คือเห็ดสมุนไพรที่ได้รับความนิยมสูงในสายสุขภาพและอาหารเสริม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบำรุงสมอง ป้องกันสมองเสื่อม หรือเสริมสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ เห็ดชนิดนี้มีสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ
เห็ดหัวลิงคืออะไร?
เห็ดหัวลิงหรือเห็ดยามาบูชิตาเกะ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hericium erinaceus เป็นเห็ดสีขาวนวลที่มีลักษณะคล้ายพู่หรือขนสัตว์ ปลายเส้นคล้ายเข็มยาวห้อยลงด้านล่าง ทำให้ดูเหมือน “แผงคอสิงโต” ตามชื่อ Lion’s Mane พบได้ในป่าทางตอนเหนือของเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
สารสำคัญในเห็ดหัวลิงที่ดีต่อสมอง
Hericenones และ Erinacines
สองสารหลักในเห็ดหัวลิงที่มีผลต่อสมอง โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง Nerve Growth Factor (NGF) ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการเติบโตและซ่อมแซมของเซลล์ประสาท
สารต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยลดการอักเสบในระบบประสาท ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
ประโยชน์ของเห็ดหัวลิง
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำ
- ส่งเสริมสมาธิและความชัดเจนทางความคิด
- ลดความเครียดและอาการวิตกกังวล
- อาจช่วยฟื้นฟูระบบประสาทหลังการบาดเจ็บ
- สนับสนุนสุขภาพทางเดินอาหาร
วิธีบริโภคเห็ดหัวลิง
แบบสด
สามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัด ย่าง หรือต้ม มีรสสัมผัสคล้ายเนื้อปู เหมาะกับคนกินมังสวิรัติ
แบบอบแห้งหรือแคปซูล
ในรูปแบบอาหารเสริมหรือชาสมุนไพร เหมาะกับคนที่ต้องการบริโภคเป็นประจำเพื่อบำรุงสมอง
ข้อควรระวังในการใช้เห็ดหัวลิง
- ผู้มีอาการแพ้เห็ดหรือภูมิแพ้บางชนิดควรเริ่มจากปริมาณน้อย
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพ
เห็ดหัวลิงกับเทรนด์อาหารเสริมในยุคใหม่
ในยุคที่คนเริ่มมองหา “สมุนไพรอัจฉริยะ” หรือ Adaptogen ที่ช่วยเสริมพลังสมองแบบไม่กระตุ้นประสาทเกินจำเป็น เห็ดหัวลิงจึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะสามารถใช้เป็นอาหารเสริมที่ปลอดภัย ไม่ทำให้ใจสั่นแบบคาเฟอีน และยังได้รับการวิจัยสนับสนุนจากวงการแพทย์ทางเลือกในหลายประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,450.00 | 51,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,326.00 | 50,422.16 | 52,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,993.40 | 45,379.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,660.80 | 40,337.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,496.70 | 22,689.97 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,164.10 | 17,647.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,446.63 | 52,250.91 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |