วิกฤติอสังหาฯ ส่งต่อ…ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างซ่อมบำรุง ไม่รุนแรงเท่าปี 2540 แต่สาหัสกว่า!

ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยแม้จะมีสัดส่วนเพียง 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และก่อให้เกิดการจ้างงาน 6-7% ของการจ้างงานรวม แต่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนถึงความมั่งคั่งของครัวเรือน ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ
อีกทั้งยังเกี่ยวเนื่องความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน หากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ก็จะสร้างปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่จะส่งผลให้เกิดความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์และความสามารถในการให้สินเชื่อระยะยาว
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปัจจุบันสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วน 15% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบของธนาคารพาณิชย์ โดยสัดส่วนที่อยู่อาศัยต่อสินเชื่อรวมสูง ขณะที่สัดส่วนของสินเชื่อผู้ประกอบการลดลง
อสังหาริมทรัพย์จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ไม่เพียงเพราะด้วยขนาดมูลค่าทางเศรษฐกิจของตัวธุรกิจ แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองยังเกี่ยวพันกับธุรกิจอื่นๆ ทั้งในภาคการผลิต การค้าปลีก-ค้าส่ง และการบริการ อีกมากมาย การเติบโต หรือถดถอยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ย่อมมีผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และแน่นอนว่าเกี่ยวพันกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก
- สถานการณ์ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างฯ ครึ่งปีแรก 2568
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยหดตัวหนักรอบ 8 ปี สอดรับการปล่อยสินเชื่อบ้านหดตัวมากสุดในรอบ 23 ปี จากการประเมินของสถาบันการเงิน ไปจนถึงวิกฤติหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90% ของจีดีพี และคนไทยมีหนี้ต่อครัวเรือนประมาณ 600,000 บาท เครดิตบูโรประเมินกลุ่มรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท น่าห่วงที่สุด! ทำให้เกิดความกังวลว่านอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวหนักแล้ว ก็ลุกลามไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า
จากรายงานความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentimental Index ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ภาพรวมค้าปลีกกลุ่มก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านทั่วประเทศที่รวมทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก มูลค่าราว 1.2 ล้านล้านบาท หดตัวจริง ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลง และโครงการลงทุนใหม่จากภาครัฐที่หดตัวลงมาก
ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหดตัวลงมากมาจาก งบลงทุนโครงการภาครัฐ โดยแต่ละปีภาครัฐมีงบประมาณรวม 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 20% สำหรับการลงทุนโครงการต่างๆ ราว 800,000 ล้านบาท แต่การลงทุนโครงการใหม่ชะลอตัวตลอดปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้กลุ่มผู้รับเหมาระดับกลางลงมาซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่เข้ามาซื้อสินค้าต่อเนื่องในร้านค้าปลีกชะลอตามไปด้วย
ทั้งหมดจึงทำให้ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างมีสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น และมีผลต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตสินค้าที่ไม่ผลิตเพิ่ม ขยายวงไปจนถึงไม่มีการจ้างงานใหม่เข้ามาในระบบ และลุกลามไปยังผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อลดลง จึงแสดงถึงซัพพลายและดีมานด์ที่ลดลงทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเกี่ยวโยงกัน
- มูลค่าค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ค้าส่งมากกว่าค้าปลีก
มูลค่าตลาดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ มีเท่าไร? วิเคราะห์โดย ศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล ระบุว่า กลุ่มธุรกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นมีมูลค่าราว 1.2 ล้านล้านบาท เป็นมูลค่าการขายส่ง 781,805 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของยอดรวม ขณะที่ยอดรวมของการค้าปลีก 470,031 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของยอดรวม
จะเห็นได้ว่ายอดรวมค้าส่งสูงกว่าการขายปลีกมาก สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่มูลค่าตลาดส่วนใหญ่เป็นของงานโครงการ ทำให้มูลค่าการค้าส่งกลุ่มวัสดุใหญ่กว่ากลุ่มค้าปลีก
- ไม่รุนแรงเท่าวิกฤติปี 2540 แต่สาหัสกว่า
เมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจ (วิกฤติของนักธุรกิจมีสตางค์) เกิดจากการลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้เสียในภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง สถาบันการเงินล้มละลาย ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ก็ล้มละลายตามเป็นจำนวนมาก กระทบคนทำงานราว 8-11 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคบริการถูกเลิกจ้าง ส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง
วิกฤติในปัจจุบันเป็นวิกฤติที่เกิดจากฐานรากของประเทศ (วิกฤติคนจน) อาจเป็นการป่วยที่ค่อยๆ สะสมมานาน ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันเหมือนวิกฤติ ปี 2540 แต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ กว่า 55 ล้านคน รายได้ของประชาชนลดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น วิกฤติปี 2540 ดูเหมือนว่าน่าจะรุนแรงกว่า เนื่องจากเป็นการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง แต่หากพิจารณาจากผลกระทบต่อประชาชนในระยะยาว วิกฤติปัจจุบันส่งผลกระทบที่ยาวนานและกว้างขวางกว่า
เบื้องต้นของวิกฤติเที่ยวนี้เป็นปัญหาที่สะสมต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 10 ปี คือ ปัญหารายได้ของคนส่วนใหญ่ไม่เพิ่มขึ้น ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรมีรายได้ที่แท้จริงลดลง คนชั้นกลางในเมืองมีรายได้ที่แท้จริงใกล้เคียงเดิม ขณะที่วิถีชีวิตรอบตัวเปลี่ยนแปลงทันสมัยมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ เกิดการกู้เงินเพื่อจับจ่ายสินค้าในการดำรงชีวิต อาทิ บ้าน รถยนต์ ท่องเที่ยว ทำให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเบื้องหลังของปัญหาเหล่านี้ก็คือปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ ที่ไม่มีการแก้ไข ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตกต่ำลงเรื่อยๆ
วิกฤติรอบนี้วิกฤติฐานราก เป็นวิกฤติคนชั้นชนกลางลงล่าง…ปี 2540 แม้อาจจะไม่รุนแรงเท่า แต่รอบนี้สาหัสกว่าแน่นอน!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เฟรเซอร์สฯ โชว์ 3 โครงการใหม่ พรีเซลล์ทะลุพันล้าน ชูความเข้าใจพื้นที่-ผู้อาศัย

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย โชว์ศักยภาพ 3 โครงการใหม่ พรีเซลล์ทะลุพันล้าน ชูความเข้าใจพื้นที่-ผู้อาศัย เป็นตัวแปรหนุนเติบโตท่ามกลางความท้าทาย
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เผยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชี้ปัจจัยสำคัญในการฝ่าฟันความผันผวนคือ “ความเข้าใจพื้นที่และผู้อยู่อาศัย” ซึ่งถือเป็นแกนหลักในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง พิสูจน์ด้วยยอดพรีเซลล์ 3 โครงการใหม่รวมกว่า 1 พันล้านบาท
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” เปิดเผยว่า แม้แนวโน้มของตลาดบ้านแนวราบยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้ครัวเรือน อัตราหนี้เสีย (NPL) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริโภค ได้แก่ มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง
ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในหลายพื้นที่ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมต่อจากชานเมืองเข้าสู่ย่านธุรกิจ (CBD) ได้สะดวกมากขึ้น ท่ามกลางตลาดที่ท้าทายจากปัจจัยด้านต่างๆ บริษัทฯ ยังสามารถปิดยอดพรีเซลล์โครงการใหม่ที่เปิดในช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งหมด 3 โครงการรวมกันได้กว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 2 วันหลังเปิดขายReplayNextMute
ได้แก่ โครงการทาวน์โฮมพรีเมียมแบรนด์น้องใหม่ โกลดีน่า (GOLDINA) สุขุมวิท -แบริ่ง ซึ่งสามารถสร้างยอดพรีเซลล์ได้ 350 ล้านบาท และ 2 โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เจ้าตลาดอย่าง แกรนดิโอ (GRANDIO) ได้แก่แกรนดิโอ ขอนแก่น-มิตรภาพ ที่มียอดพรีเซลล์ 350 ล้านบาท และแกรนดิโอ โคราช-เทอร์มินอล ที่ทำยอดพรีเซลล์ได้ถึง 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ 3 ด้านหลัก ได้แก่
- Prioritising consumer needs
ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับอินไซต์ของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่และแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างจริงจัง โดยนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวางแนวคิด ออกแบบตัวบ้าน พื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชัน ไปจนถึงการออกแบบบริการหลังการขาย อาทิ โครงการ โกลดีน่าสุขุมวิท-แบริ่ง ที่พัฒนาโดยนำเสนอดีไซน์บ้านรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิด “Urban Energy with Inner Peace” สะท้อนถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความทันสมัย เรียบง่าย แต่ยังคงความสวยงามอย่างมีสไตล์ในเวลาเดียวกัน
ภายในตัวบ้านยังออกแบบให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง เช่น พื้นที่ซัก ตาก รีดในร่มที่ช่วยลดปัญหาเรื่องฝนตกหรือฝุ่นละอองในอากาศ พื้นที่อเนกประสงค์ที่สามารถ ปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องทำงานหรือห้องนอนเสริมได้ตามไลฟ์สไตล์ ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับการใช้ชีวิตร่วมกับ สัตว์เลี้ยง รวมถึงการเลือกใช้วัสดุและนวัตกรรมที่คำนึงถึงความยั่งยืนและการประหยัดพลังงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ

- Creating tangible value
สร้างคุณค่าให้ผู้อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย มุ่งเน้นการส่งมอบบ้านที่ไม่เพียงแต่เป็นทรัพย์สิน แต่เป็นพื้นที่การใช้ชีวิต ที่อำนวยความสะดวก และเติมเต็มความฝันของผู้อยู่อาศัยได้จริง พร้อมเดินหน้าขยายโครงการคุณภาพจากกรุงเทพฯ สู่หัวเมืองหลักในต่างจังหวัด เช่น ขอนแก่น และนครราชสีมา ด้วยแบรนด์ แกรนดิโอ ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิด “A Dream Comes True” ด้วยแบบบ้านสไตล์ Luxury European ที่สะท้อนความสวยงามของบ้านในฝัน ผสานเข้ากับทำเลศักยภาพ ทั้งด้านระบบคมนาคม สาธารณูปโภค การศึกษา และระบบสาธารณสุข
- Financial stability
ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยรากฐานธุรกิจที่มั่นคงจากการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ทำให้สามารถลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะที่ตลาดเผชิญแรงกดดันขณะเดียวกัน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
ทั้งการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมเร่งติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโครงการต่าง ๆ และยังเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Gold สำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อยอดสู่โครงการอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาบ้านที่เป็นได้มากกว่าแค่ ที่อยู่อาศัย แต่ต้องสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย ฟังก์ชันการใช้งานที่ลงตัว หรือการออกแบบที่สอดรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้คือคุณค่าที่ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย มุ่งมั่นส่งมอบในทุกโครงการ สอดคล้องกับเจตนารมย์ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) นายภวรัญชน์ กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25ก.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างจำกัด ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ และจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำอาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท มองประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลเล็กน้อยต่อการอ่อนค่าของเงินบาท
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25ก.ค.2568ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.26 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ส่วนราคาทองคำก็ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า (เรามองว่า ประเด็นความขัดแย้งและการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลเล็กน้อยต่อการอ่อนค่าของเงินบาท)
ทว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ดูจะเป็นไปอย่างจำกัด โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง หากเงินบาท (USDTHB) อ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์
ขณะเดียวกัน เราประเมินว่า การย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำในช่วงนี้ ยังคงสะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว (Buy on Dip) ทำให้ ราคาทองคำก็อาจมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง และโดยรวมก็ยังคงอยู่ในแนวโน้มการแกว่งตัวในกรอบ Sideways ซึ่งจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
นอกจากนี้ เรามองว่า การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเงินดอลลาร์ก็พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง (Two-Way Risk) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า รวมถึง รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ชะตาแนวโน้มเงินดอลลาร์ในระยะสั้นได้
ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เรามองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่มีเหตุผลในการเทขายสินทรัพย์ไทย กลับกัน ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
และแนวโน้มรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงระดับ Valuation ของหุ้นไทย จำนวนมากที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ก็อาจทำให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยได้
โดยรวมแม้เราจะยังคงประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ในกรณีที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใส ส่วนราคาทองคำก็ถูกกดดันจากบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง แต่เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลง หากเงินบาท (USDTHB) ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.35 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.21-32.33 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกัน ของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส อาทิ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนกรกฎาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.2 จุด ดีกว่าคาด
ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็อยู่ที่ระดับ 2.17 แสนราย และ 1.955 ล้านราย ดีกว่าคาด
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินยูโร (EUR) ยังพอได้แรงหนุน หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ตามคาด
ส่วนประธาน ECB ก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาส ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 66%
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Alphabet +1.0% ที่ออกมาดีกว่าคาด หนุนให้บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Nvidia +1.7%
ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงหนักของ Tesla -8.2% หลัง บริษัทรายงานผลประกอบการน่าผิดหวังและทาง Elon Musk CEO ของบริษัทยังได้เตือนว่าผลประกอบการในระยะข้างหน้าอาจเผชิญแรงกดดัน หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ลดการสนับสนุนอุตสาหกรรม EV ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.07%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.24% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกรกฎาคม ของยูโรโซน ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้ง ECB ก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนแถวโซน 4.40% แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4.45% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด
ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ยังคงเลือกทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับเฟด รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน
และเราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นได้ชัดเจนอีกครั้ง (หรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง) ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทยอยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายปรับสถานะของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
อีกทั้งเงินยูโร (EUR) ก็พอได้แรงหนุนบ้าง หลัง ECB ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.1-97.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ยังพอได้รับแรงหนุนจากโฟลว์ซื้อ Buy on Dip จากบรรดาผู้เล่นในตลาดแถวโซนแนวรับ 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่โซน 3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และยูโรโซน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ รวมถึง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนกรกฎาคม
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มภาคการผลิตของสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนมิถุนายน และรอลุ้น รายงานคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 โดย เฟด สาขา Atlanta (GDPNow)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งและการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สรุปเหรียญกีฬามหาวิทยาลัยโลก 2025 วันที่ 24 ก.ค. 68, ไทย เก็บเพิ่ม 1 ทองแดง

การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก ฤดูร้อน 2025 (FISU World University Games 2025) ที่ประเทศเยอรมนี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 27 กรกฎาคม 2568
หลังผ่านการแข่งขันมาแล้ว 9 วัน “ทัพนักกีฬาปัญญาชนไทย” อยู่อันดับที่ 17 ของตารางเหรียญ หลังสามารถเก็บเหรียญรางวัลรวมได้ทั้งหมด 7 เหรียญ แบ่งเป็น 1 เหรียญทอง, 3 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง
ล่าสุด ทีมไทย เก็บเพิ่มอีก 1 เหรียญทองแดง จากเทควันโด ประเภททีมหญิง ที่ประกอบด้วย “ใบเตย” ศศิกานต์ ทองจันทร์, “แก้มขวัญ” ปิยะฉัตรฤทัย ชารีวรรณ และ “เจน” อรวัน รัศมีประภา
ขณะที่อันดับ 1 เป็นทางด้าน สหรัฐอเมริกา ที่โกยไปได้ถึง 28 เหรียญทอง, อันดับ 2 จีน ทำได้ 19 เหรียญทอง และอันดับ 3 เกาหลีใต้ เก็บไป 14 เหรียญทอง

ทำเนียบ นักกีฬาไทย คว้าเหรียญรางวัลกีฬามหาวิทยาลัยโลก 2025
เหรียญทอง
บัลลังก์ ทับทิมแดง (เทควันโด รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 68 กก. ชาย)
เหรียญเงิน
ภูริพล บุญสอน (วิ่ง 100 ม. ชาย)
ชุติกาญจน์ จงกลรัตนวัฒนา (เทควันโด รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 53 กก. หญิง)
สิรวิชญ์ มะหะหมัด (เทควันโดรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 58 กก. ชาย)
เหรียญทองแดง
กมลชนก สีเคน (เทควันโด รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กก. หญิง)
ศศิกานต์ ทองจันทร์ (เทควันโด รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 62 กก. หญิง)
ศศิกานต์ ทองจันทร์, ปิยะฉัตรฤทัย ชารีวรรณ และ อรวัน รัศมีประภา (ประเภททีมหญิง)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อาหารเป็นพิษ ออกฤทธิ์หลังกินอาหารกี่ชั่วโมง?

อาหารเป็นพิษเป็นภาวะที่พบได้บ่อย เกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค สารพิษ หรือสารเคมี แม้ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางกรณีก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ การทำความเข้าใจว่าอาหารเป็นพิษออกฤทธิ์เร็วแค่ไหน และอาการที่สังเกตได้มีอะไรบ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือได้อย่างทันท่วงที
ระยะเวลาออกฤทธิ์ของอาหารเป็นพิษ: แตกต่างกันไปตามสาเหตุ
คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ “อาหารเป็นพิษ ออกฤทธิ์หลังกินอาหารกี่ชั่วโมง?” คำตอบคือ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของอาการอาหารเป็นพิษนั้น แตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคหรือสารพิษที่เป็นสาเหตุหลัก โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้:
- กลุ่มที่ออกฤทธิ์เร็ว (ภายใน 1-6 ชั่วโมง):
- พิษจากแบคทีเรีย (Bacterial Toxins): บางชนิดของแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus aureus (เชื้อสแตปป์) และ Bacillus cereus สามารถผลิตสารพิษ (toxins) ออกมาในอาหารที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ โดยไม่ต้องผ่านการอุ่นซ้ำ สารพิษเหล่านี้จะออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับประทานเข้าไป อาการมักจะรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง และปวดท้อง
- สารเคมี/สารพิษจากพืชและสัตว์: หากเป็นพิษจากสารเคมี เช่น สารกำจัดศัตรูพืช หรือพิษจากเห็ดบางชนิด สารพิษเหล่านี้สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วและแสดงอาการได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีถึงไม่กี่ชั่วโมง
- กลุ่มที่ออกฤทธิ์ปานกลาง (ภายใน 6-24 ชั่วโมง):
- การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Infection): แบคทีเรียหลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ เช่น Salmonella, Campylobacter, E. coli และ Shigella จำเป็นต้องมีการเพิ่มจำนวนในลำไส้ก่อนจึงจะแสดงอาการ การติดเชื้อกลุ่มนี้มักจะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 6-24 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเข้าไป อาการที่พบบ่อยคือ ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ และบางครั้งอาจมีอาเจียนร่วมด้วย
- กลุ่มที่ออกฤทธิ์ช้า (นานกว่า 24 ชั่วโมง ถึงหลายวัน):
- การติดเชื้อไวรัส (Viral Infection): ไวรัสที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) และโรตาไวรัส (Rotavirus) อาจมีระยะฟักตัวตั้งแต่ 12 ชั่วโมงไปจนถึง 3 วัน หรือนานกว่านั้น อาการมักจะคล้ายกับการติดเชื้อแบคทีเรียแต่บางครั้งอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและอ่อนเพลียร่วมด้วย
- ปรสิต (Parasites): การติดเชื้อปรสิต เช่น Giardia หรือ Cryptosporidium มีระยะฟักตัวที่ยาวนานกว่า อาจใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ อาการที่พบบ่อยคือ ท้องเสียเรื้อรัง อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด
สัญญาณเตือนของอาการอาหารเป็นพิษที่ควรรู้
ไม่ว่าสาเหตุและระยะเวลาการออกฤทธิ์จะเป็นอย่างไร อาการทั่วไปของอาหารเป็นพิษมักจะคล้ายคลึงกัน โดยมีสัญญาณเตือนที่สำคัญดังนี้:
- คลื่นไส้และอาเจียน: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับสารพิษที่ออกฤทธิ์เร็ว การอาเจียนเป็นการพยายามกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
- ปวดท้องและตะคริวในช่องท้อง: อาการปวดท้องอาจมีตั้งแต่ปวดบิดเล็กน้อยไปจนถึงปวดรุนแรง
- ท้องเสีย: อาจมีอาการท้องเสียเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือดปนในอุจจาระในบางกรณี การท้องเสียรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้
- ไข้: การติดเชื้อบางชนิดอาจทำให้มีไข้ร่วมด้วย
- อ่อนเพลียและปวดเมื่อยตามร่างกาย: รู้สึกไม่สบายตัว ไม่มีแรง
หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับประวัติการรับประทานอาหารที่สงสัยว่าไม่สะอาด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ง่าย
การดูแลตนเองเบื้องต้นและการป้องกันอาหารเป็นพิษ
เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษ สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยการจิบน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือน้ำสะอาดบ่อยๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ย่อยยาก หรือมีไขมันสูง ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำซุป แทน
เพื่อป้องกันอาหารเป็นพิษ สิ่งที่ควรปฏิบัติมีดังนี้:
- ล้างมือให้สะอาด: ก่อนปรุงอาหารและก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
- ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง: โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ไข่ และอาหารทะเล
- แยกอาหารดิบและอาหารสุก: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม
- เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม: ไม่ควรทิ้งอาหารที่ปรุงสุกไว้นอกตู้เย็นนานเกิน 2 ชั่วโมง
- เลือกซื้อวัตถุดิบที่สดใหม่และสะอาด: จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่แน่ใจในความสะอาด: โดยเฉพาะอาหารที่ขายริมทางหรืออาหารที่ทิ้งไว้นาน
การทำความเข้าใจถึงระยะเวลาการออกฤทธิ์ของอาหารเป็นพิษ รวมถึงอาการและวิธีการป้องกัน จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างถูกวิธี และลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
On time VS In time คำไหนที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง On time VS In time ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้กันบ่อยแต่หลายคนยังสับสน เราจะอธิบายความหมายของแต่ละคำ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน พร้อมทั้งยกตัวอย่างสถานการณ์จริงที่พบได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้ถูกต้องตามบริบท หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเพื่อใช้ในการทำงาน การเรียน หรือการท่องเที่ยว บทความนี้จะช่วยเสริมทักษะการสื่อสารของคุณให้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้ไปต่อยอดการใช้งานได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
ความหมายของ in time
คำว่า in time แปลว่า “ทันเวลา” ในเชิงความยืดหยุ่น หมายถึงการไปถึงหรือทำอะไรทันก่อนที่จะสายเกินไป โดยไม่จำเป็นต้องเป๊ะตรงเวลาที่กำหนด เช่น คุณอาจไปถึงสถานีรถไฟก่อนรถไฟออกไม่กี่นาที ซึ่งแม้จะเฉียดฉิวแต่ก็ยัง “ทัน”
การ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วเข้าใจคำนี้อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณสื่อสารได้ถูกต้องมากขึ้น เพราะ in time มักใช้ในสถานการณ์ที่มีความเร่งด่วนหรืออาจมีผลกระทบหากไม่มาทัน
ตัวอย่างประโยค:
- I arrived in time to catch the train. (ฉันมาทันขึ้นรถไฟ)
- She submitted her project just in time. (เธอยื่นโปรเจ็กต์ทันเวลาแบบเฉียดฉิว)
ในการสนทนาแบบไม่เป็นทางการหรือเมื่อเราต้องการเน้นว่า “เกือบไม่ทัน” คำนี้จะใช้บ่อยมาก ซึ่งการรู้จักรูปแบบการใช้เหล่านี้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือสถานการณ์ได้สมจริงขึ้น ถ้าคุณกำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การทำความเข้าใจคำง่ายๆ แบบนี้จะช่วยให้คุณสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น
ความหมายของ on time
คำว่า on time หมายถึง “ตรงเวลาเป๊ะ” คือการไปถึงหรือทำบางสิ่งตามเวลาที่กำหนดไว้แบบไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เหมาะกับบริบทที่เป็นทางการหรือระบบ เช่น การเข้าประชุม เข้างาน หรือการขนส่งสาธารณะ
การใช้ on time มีความตรงต่อเวลาและเป็นแบบแผน ซึ่งสำคัญมากในการสื่อสารในที่ทำงานหรือในการติดต่อธุรกิจ การ เรียนภาษาอังกฤษ โดยให้ความสำคัญกับคำเหล่านี้จะช่วยให้คุณพูดหรือเขียนได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์มืออาชีพ
ตัวอย่างประโยค:
- The train arrived on time. (รถไฟมาถึงตรงเวลา)
- He always pays his bills on time. (เขาจ่ายบิลตรงเวลาทุกครั้ง)
สำหรับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คำว่า on time และ in time อาจดูใกล้เคียงกันมาก แต่การใช้ผิดอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ การฝึกซ้อมโดยดูตัวอย่างจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากคุณต้องการความมั่นใจในการใช้งานจริง ลองมองหา คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ที่สอนการใช้คำเหล่านี้พร้อมบทสนทนา
ตัวอย่างการใช้ในสถานการณ์จริง
การแยกความแตกต่างของ on time กับ in time จะชัดเจนขึ้นเมื่อดูจากสถานการณ์จริง ซึ่งผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษ อย่างจริงจังควรหมั่นสังเกตและฝึกใช้คำเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
สถานการณ์ที่ใช้ “on time”:
- คุณไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงาน 5 นาที นั่นคือคุณมา on time
- นักเรียนส่งการบ้านก่อนกำหนดในเวลาที่ครูบอก คือส่ง on time
สถานการณ์ที่ใช้ “in time”:
- คุณวิ่งไปสนามบินและถึงหน้าประตูขึ้นเครื่องพอดีก่อนปิด – ถือว่า in time
- คุณโทรหาหมอทันเวลาก่อนคลินิกปิด – ก็ถือว่า in time เช่นกัน
การสังเกตความแตกต่างนี้คือหัวใจของการ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะเมื่อคุณเข้าใจความหมายและบริบทได้อย่างถูกต้องแล้ว คุณจะสามารถพูดและเขียนได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งาน การเขียนอีเมล หรือการเดินทางในต่างประเทศ
การฝึกฝนคำศัพท์และการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เช่น การตั้งคำถามว่า “If I leave now, will I be on time or just in time?” จะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น และจำได้ยาวนานขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
Google ปล่อยของ! เติม AI ให้ Google Photos และ YouTube Shorts

ในที่สุด Google ประกาศเปิดตัวชุดเครื่องมือตัดต่อวิดีโอพลัง AI ใหม่ล่าสุดสำหรับ Google Photos และ YouTube Shorts โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้การสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอสั้นเป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าเดิม จะมีอะไรบ้าง
Google Photos ได้อะไรใหม่?
Google Photos ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนโดย Veo 2 ซึ่งเป็นโมเดล AI สร้างวิดีโอตัวล่าสุดของ Google โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- Photo-to-Video: ฟีเจอร์เปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้น โดย AI จะทำการเพิ่มการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ (Subtle movements) หรือสร้างแอนิเมชันและการแสดงออกทางสีหน้าให้กับบุคคลในภาพ ผู้ใช้เพียงเลือกรูปแล้วกดตัวเลือก “Subtle movements” หรือ “I’m feeling lucky”
- Remix (จะเปิดตัวเร็วๆ นี้): เครื่องมือสำหรับเปลี่ยนสไตล์ของภาพถ่ายด้วย AI โดยมีสไตล์ให้เลือกหลากหลาย เช่น อะนิเมะ (Anime), การ์ตูนคอมิก (Comic), ภาพสเก็ตช์ (Sketch) และแอนิเมชัน 3 มิติ
- ลายน้ำดิจิทัล SynthID: เพื่อความโปร่งใส คอนเทนต์ทั้งหมดที่สร้างโดย AI จากฟีเจอร์เหล่านี้ จะถูกฝังลายน้ำดิจิทัลที่มองไม่เห็นอย่าง SynthID ไว้ด้วย
ฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดจะอยู่ในแท็บ “Create (สร้าง)” ที่เพิ่มเข้ามาในแอป โดยฟีเจอร์ Photo-to-Video เริ่มปล่อยอัปเดตแล้ววันนี้ทั้งบน iOS และ Android

YouTube Shorts สำหรับ Content Creator
ฝั่งของ YouTube Shorts ก็ได้รับเครื่องมือ AI ใหม่เพื่อเอาใจเหล่าครีเอเตอร์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น
- Photo-to-Video สำหรับ Shorts: ครีเอเตอร์สามารถเลือกภาพนิ่งจากคลังภาพในมือถือเพื่อสร้างเป็นวิดีโอสำหรับ Shorts ได้โดยตรง AI จะช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวให้กับภาพวิวทิวทัศน์ หรือสร้างชีวิตชีวาให้กับภาพถ่ายบุคคล
- เอฟเฟกต์ AI ใหม่: เพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนภาพวาดเส้น (Doodles) ให้กลายเป็นรูปภาพ หรือเปลี่ยนวิดีโอเซลฟี่ธรรมดาให้กลายเป็นวิดีโอที่มีสไตล์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ฟีเจอร์ Photo-to-Video สำหรับ Shorts เป็นบริการฟรี และจะเริ่มเปิดให้ใช้งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะทยอยปล่อยใน สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ก่อน ส่วนเอฟเฟกต์ใหม่ๆ จะตามมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตั้งโอ๋ผักพื้นบ้านมากคุณค่า ประโยชน์ล้นแต่มีข้อควรระวัง

ตั้งโอ๋ เป็นผักพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปตามตลาดสดและสวนครัวในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคใต้ ผักชนิดนี้ไม่เพียงแต่นำมาประกอบอาหารเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยบำรุงร่างกายได้หลายด้าน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์มาก ก็ไม่ควรมองข้ามโทษบางประการหากรับประทานไม่เหมาะสม
ตั้งโอ๋คืออะไร?
ตั้งโอ๋เป็นชื่อเรียกในภาษาพื้นบ้านของผักโขมจีน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Amaranthus tricolor เป็นพืชใบเขียวในตระกูล Amaranthaceae มักมีลักษณะใบสีเขียวเข้มอมม่วง ลำต้นนิ่ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมื่อนำไปปรุงอาหารจะมีรสหวานอ่อนและเนื้อสัมผัสนุ่ม
ตั้งโอ๋นิยมรับประทานทั้งในรูปแบบผักต้ม ผัด และใส่ในต้มเลือดหมู หรือแกงจืดต่างๆ โดยจัดเป็นหนึ่งในผักพื้นบ้านที่เติบโตง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ตั้งโอ๋ใช้ทำอะไรได้บ้าง
1. ทำอาหาร
- ต้มจืดตั้งโอ๋: เมนูยอดนิยม ใส่ในต้มจืดหมูสับหรือเต้าหู้ไข่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้อาหารน่ารับประทาน
- แกงจืดปลาหมึกยัดไส้ตั้งโอ๋: กลิ่นตั้งโอ๋ช่วยลดกลิ่นคาวของทะเล
- ลวกจิ้ม: ใช้เป็นผักลวกกินกับน้ำพริก หรือจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด
- ผัดรวม: ใส่ตั้งโอ๋ในผัดผักรวม เพิ่มความหอมและสีเขียวสวยให้จานอาหาร
2. ใช้ดับกลิ่นคาวในอาหาร
กลิ่นหอมของตั้งโอ๋ช่วยดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ เช่น ปลา หมู เครื่องใน จึงนิยมใส่ในเมนูต้มๆ ที่มีวัตถุดิบเหล่านี้
3. ใช้เป็นสมุนไพร
- มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ตามความเชื่อแพทย์แผนไทย
- ช่วยให้เจริญอาหาร
4. ปลูกประดับสวนครัว
ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้ง นิยมปลูกไว้ริมรั้วหรือในกระถางเพื่อใช้ปรุงอาหารได้ตลอดปี
5. ใช้ในอาหารพื้นบ้านบางภูมิภาค
ในบางจังหวัดนิยมใช้ตั้งโอ๋ใส่ในแกงอ่อม อ่อมเนื้อ หรือเมนูพื้นบ้านของภาคอีสาน
ประโยชน์ของตั้งโอ๋ที่คุณอาจไม่เคยรู้
ช่วยบำรุงเลือด
ตั้งโอ๋มีธาตุเหล็กและโฟเลตในปริมาณสูง ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง เหมาะกับหญิงมีประจำเดือน หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่เสี่ยงขาดธาตุเหล็ก
เสริมสร้างกระดูกและฟัน
แคลเซียมและแมกนีเซียมในตั้งโอ๋ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
กระตุ้นการขับถ่าย
ใยอาหารในตั้งโอ๋ส่งเสริมการทำงานของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยล้างสารพิษตกค้างในระบบย่อยอาหาร
ต้านอนุมูลอิสระ
เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และโพลีฟีนอลในตั้งโอ๋มีส่วนช่วยลดการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง
เสริมภูมิคุ้มกัน
วิตามินซีในตั้งโอ๋ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ป้องกันหวัด และลดโอกาสการติดเชื้อ
โทษของการกินตั้งโอ๋หากไม่ระวัง
มีกรดออกซาลิกสูง
ตั้งโอ๋มีปริมาณกรดออกซาลิก (Oxalic Acid) สูง ซึ่งอาจรวมตัวกับแคลเซียมในร่างกายกลายเป็นนิ่วในไต หากบริโภคมากเกินไปหรือร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ไม่ควรกินดิบในปริมาณมาก
ตั้งโอ๋ดิบมีสารต้านโภชนาการบางชนิด เช่น ไนเตรตและออกซาเลต หากไม่ปรุงให้สุก อาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุหรือก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย
อาจมีสารเคมีตกค้าง
หากปลูกในแปลงที่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมี ตั้งโอ๋อาจมีสารพิษตกค้าง ดังนั้นควรล้างให้สะอาด หรือลวกน้ำร้อนก่อนบริโภค
วิธีเลือกซื้อและเก็บรักษาตั้งโอ๋
- เลือกใบสดสีเขียวเข้ม ไม่เหี่ยวหรือมีรอยช้ำ
- ลำต้นควรกรอบ ไม่เปื่อยยุ่ย
- ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำผสมด่างทับทิมก่อนปรุง
- เก็บในถุงพลาสติกแบบมีรูพรุนในช่องผักของตู้เย็น ได้นาน 3–5 วัน
ใครบ้างที่ควรระวังการกินตั้งโอ๋?
- ผู้ป่วยโรคนิ่วในไตหรือมีประวัติครอบครัวควรหลีกเลี่ยง
- ผู้ที่ทานยาละลายลิ่มเลือด (เช่น วาร์ฟาริน) ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะวิตามินเคในตั้งโอ๋อาจรบกวนประสิทธิภาพของยา
- เด็กเล็กควรให้ในปริมาณที่เหมาะสมและปรุงสุกเท่านั้น
ตั้งโอ๋เป็นผักพื้นบ้านที่มากคุณค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านเลือด ระบบขับถ่าย ภูมิคุ้มกัน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม ก็ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะ ปรุงให้สุก และเลือกจากแหล่งปลูกที่ปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,300.00 | 51,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,316.00 | 50,270.56 | 52,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,984.40 | 45,243.50 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,652.80 | 40,216.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,492.20 | 22,621.75 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,160.60 | 17,594.70 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,436.27 | 52,093.85 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.45 | 32.45 | 32.95 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.08 | 32.08 | 32.58 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.24 | 30.24 | 30.74 | 30.24 | 30.24 | – | 30.24 | 30.24 | 30.24 | 30.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.59 | 28.59 | – | – | – | – | – | – | – | 28.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.04 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.04 |
เบนซิน 95 | 40.74 | – | – | – | 49.81 | – | 41.24 | 40.89 | – | 40.74 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |