‘พีซีแอล’กางยุทธศาสตร์โรงแรมไทยสู่สมรภูมิโลก สู้พายุเศรษฐกิจ

‘พีซีแอล’ กางยุทธศาสตร์โรงแรมไทยสู่สมรภูมิโลก ไม่ยึดติดโมเดลเดิม! สู้พายุเศรษฐกิจ-โลกผันผวน แม้อัตราการเข้าพักหดตัวจากปัจจัยลบ แต่ อัตราค่าห้องพักสูงขึ้น
เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ โลกแห่งการท่องเที่ยวกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ตั้งแต่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน จนถึงปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์อย่างแผ่นดินไหว และความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา
ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้ “พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้” ยังคงเดินเกมยกระดับธุรกิจโรงแรมไทย ด้วยโมเดลครบวงจร หวังปักหมุดไทยเป็นWorld-class Destinationที่แท้จริง
“ประเทศไทยยังเนื้อหอม เพราะเรามีเสน่ห์ แต่เราต้องมียุทธศาสตร์ที่ดี ซึ่งในความผันผวน ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่รู้จักปรับตัว”
ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด กล่าวในฐานะผู้บุกเบิกโมเดล “One Stop Service” ด้านการลงทุนและบริหารโรงแรม ปฐม เชื่อมั่นว่า แม้จะเจอพายุลูกใหญ่ ธุรกิจโรงแรมไทยยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก หากรู้จักวางรากฐานอย่างถูกต้อง และไม่ยึดติดกับโมเดลเดิม
“2% ของเอเชีย” เป้าหมายที่เป็นไปได้
จากสถิติย้อนหลัง 9 ปี (2553-2562) พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เติบโตถึง 150% แม้เผชิญวิกฤติการเมือง โรคระบาด ภัยธรรมชาติ แต่ใน 9 ปีข้างหน้า (2567-2576) ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะพุ่งแตะ 88 ล้านคน จาก 34.5 ล้านคนในปีนี้
“หากเราดึงเพียง 2% ของประชากรเอเชียที่เดินทางออกนอกประเทศได้ ไทยจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบล้านคนทันที”
ข้อมูลของ STR ยังสะท้อนอีกว่า แม้อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ปี 2568 จะหดตัวจากปัจจัยลบต่างๆ แต่ อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องหลังโควิด-19
โรงแรม 5 ดาว อัตราการเข้าพักลดลง 5.8% เหลือ 67% อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate) หรือ ADR อยู่ที่ 7,267 บาท เพิ่มขึ้น 6% โรงแรม 4 ดาว อัตราเข้าพัก ลดลง 2.9% เหลือ 67.8% แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้น 10.5% เป็น 4,430 บาท โรงแรม 3 ดาว อัตราเข้าพัก เพิ่ม 0.8% เป็น 69.6% ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้น 17.1% เป็น 2,040 บาท สะท้อนคุณภาพ และประสบการณ์ กลายเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างความได้เปรียบท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด
“ที่ปรึกษา”สู่“พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”
พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ ไม่ได้เพียงให้คำปรึกษา แต่ร่วมพัฒนาโรงแรมตั้งแต่แนวคิด จนถึงการบริหารจริง ด้วยทีมงานที่เข้าใจตลาดโรงแรมอย่างลึกซึ้ง “โรงแรมที่ยอดเยี่ยมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง”
ปฐม อธิบายว่า ธุรกิจของพีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ เน้นวางระบบที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ การออกแบบโรงแรมให้ตอบโจทย์ตลาด วางงบประมาณ คำนวณ ROI บริหารการก่อสร้างแบบ Pre-Construction Project Management จนถึงการส่งมอบงาน
โมเดลบริหารแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ “White Label” บริหารภายใต้แบรนด์ของเจ้าของ เพิ่มความยืดหยุ่น เหมาะกับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์เอง และ “International Chain” บริหารภายใต้แบรนด์เครือโรงแรมระดับโลก เหมาะกับโรงแรมขนาดกลาง-ใหญ่ ตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
ปักหมุดพันธมิตรระดับโลก
ในฐานะ Preferred Partner ของหลายแบรนด์โรงแรมระดับโลก PCL ขยายความร่วมมือต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ Nivata Koh Samui-Tapestry Collection by Hilton เปิดปีนี้ Hampton by Hilton Phuket Town ครั้งแรกของแบรนด์นี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Wyndham Jomtien Pattaya รีแบรนด์ใหม่เป็นที่พักระดับพรีเมียม Renaissance Pattaya พัฒนาจากที่ดินเปล่า สู่โรงแรม 5 ดาว Best Western Matter ติวานนท์ รีโนเวตอาคารเก่าสู่โรงแรมคุณภาพ และ Riva Vibe Hotel Bangkok และ Rain Tree Khao Yai Hotel โมเดล White Label สร้างสรรค์แบรนด์ตั้งแต่แนวคิดถึงบริการ
ปฐม ย้ำว่า ภาคธุรกิจโรงแรมไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากยกระดับมาตรฐานอย่างจริงจัง เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่โดดเด่นด้านภูมิประเทศ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่น่าหลงใหล
“ธุรกิจโรงแรมต้องไม่มองแค่การเติมห้องให้เต็ม แต่ต้องเติม ‘คุณค่า’ ให้กับทุกประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวได้รับ”
การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย และจีน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เป็นสัญญาณเชิงบวกที่ธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ใช่เพียงแค่ “รองรับ” แต่ต้อง “ดึงดูด” ด้วยคุณภาพระดับสากล
แม้โลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ท่ามกลางพายุที่พัดโหม ความชัดเจนในทิศทาง ยังคงเป็นเข็มทิศสำคัญพีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ ไม่เพียงแต่กำลังผลักดันธุรกิจของตัวเอง แต่ยังช่วยผลักประเทศไทยให้ขึ้นสู่เวทีการแข่งขันระดับโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และความเชี่ยวชาญที่ลงมือทำจริงเพราะ “เสน่ห์ของไทย” จะเปล่งประกายได้มากขึ้น เมื่อถูกนำเสนอด้วยมาตรฐานระดับโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ถอนโฉนด 5 พันไร่ เขากระโดงสะเทือน ขุมทรัพย์ทุนใหญ่-ชาวบ้านบุรีรัมย์ ผู้บุกรุกนับพันราย ลุกฮือฟ้องระนาว

- มีการสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 5,083 ไร่ (995 แปลง) ที่ออกโดยมิชอบทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มทุนใหญ่และประชาชนในพื้นที่
- การเพิกถอนกระทบฐานธุรกิจของ “ตระกูลชิดชอบ” ซึ่งถือครองที่ดินและดำเนินธุรกิจหลายอย่างในพื้นที่ เช่น โรงโม่หิน สนามแข่งรถช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต และสนามฟุตบอลช้างอารีนา
- ประชาชนและผู้ประกอบการกว่า 1,000 รายที่ถือครองโฉนดโดยสุจริตและอาศัยทำกินมานานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
- กลุ่มนักลงทุนและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนโฉนด เตรียมรวมตัวกันเพื่อฟ้องร้องกรมที่ดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- รฟท. เตรียมเจรจากับผู้ครอบครองที่ดิน โดยเสนอทางเลือกให้เช่าที่ดินต่อ หรือหากไม่ตกลงจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อนำที่ดินกลับคืนมาพัฒนาเชิงพาณิชย์
ปมข้อพิพาท คดีที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่าง กรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ปิดฉากลง เมื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ออกโดยมิชอบทับที่ดินรฟท.จำนวน 5,083ไร่ 995แปลง หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งนายขจรเกียรติ รักพานิชมณี เป็นอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ นับหนึ่งรับเผือกร้อนถอนโฉนดนำที่ดินคืนรัฐ ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
เมื่อปี2566 พิพากษา ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินในส่วนที่ไม่มีปัญหาเรื่องขอบเขตตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่พิพากษาถึงที่สุด เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ ไข่แดง ซึ่งอยู่บริเวณกลางพื้นที่เขากระโดง
โดยพบว่ามีนายทุนครอบครองทำประโยชน์เชิงพาณิชย์มาอย่างยาวนาน ย้อนไปก่อนหน้านี้ ปมเหตุที่ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดินคนก่อน กลับคำสั่งศาลปกครองกลางโดยมองว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง เนื่องจากหากเพิกถอนจะกระทบประชาชนเจ้าของที่ดินที่สำคัญไม่มีหลักฐานแผนที่แนบท้ายแปลงที่ดินของรฟท.ที่ชัดเจน หากกรมที่ดินออกคำสั่งเพิกถอนจะถูกประชาชนฟ้องร้องได้
ในขณะที่รฟท.ระบุว่าที่ผ่านมาแม้ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 วรรค 2 เพื่อร่วมกับ รฟท. ตรวจสอบในส่วนที่ไม่ชัดเจนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นก่อนจะดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวกลับไม่มีการสอบและมีคำสั่งให้ยุติเรื่องโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ชาวบ้าน-นายทุนสะเทือนเปิดหน้าฟ้อง
อย่างไรก็ตามปฎิบัติการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับซอนบนที่ดินของรฟท.บริเวณเขากระโดง ประเมินว่า นอกจากจะกระทบต่อนายทุนในพื้นที่แล้วยัง สร้างความสั่นสะเทือนถึงประชาชนผู้ถือครอง เนื่องจาก ได้อาศัยทำกินบนที่ดินมานาน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแปลงเล็กแปลงน้อย
อย่างไรก็ตามพบว่ามีความเคลื่อนไหวขอ นักลงทุนและประชาชนทั้ง 995 แปลงรวมตัวฟ้องกรมที่ดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากบางรายซื้อที่ดินเปลี่ยนมือต่อกันมาเป็นมือที่ 3 มือที่ 4 โดยมีโฉนดรับรองโดยรัฐถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากต้องถูกยึดหรือเช่ากับรฟท.มองว่ามูลค่าที่ดินได้ลดต่ำลง ไม่สามารถเปลี่ยนมือซื้อขายได้
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 7 สิงหาคม เวลา 10.30 น. ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ประชาชนชาวบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคลผู้มีเอกสารสิทธิครอบครองที่ดิน ถูกต้องตามกฎหมาย ในพื้นที่รฟท. อ้างสิทธิ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแถลงข่าวของรมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ร่วมกันแถลงข่าว เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ 5,083 ไร่ จำนวน 995 ราย โดยนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ร่วมแถลงข่าวในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยจะส่งทนายเข้าร่วมแถลงข่าวแทน
“ฐานเศรษฐกิจ”สอบถามนายธนนท์ เจียรพันธุ์ รองประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ ระบุว่า หากยึดตามคำสั่งศาลแนวเขตที่ดินเขากระโดงของรฟท.พบว่ามีรัศมีไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางของถนนสายประโคนชัย-บุรีรัมย์ ซึ่งบริเวณนั้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีทั้งบ้านเรือนประชาชน บริษัทห้างร้าน โรงแรม ฯลฯ และแน่นอนว่าหากเพิกถอนโฉนดที่ดินจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย
รฟท.ลุยถอนโฉนด
ฟากนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่ารฟท. กล่าวว่า ภายหลังกระทรวงมหาดไทยระบุถึงโฉนดที่ออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ดินรฟท.บริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 สามารถขอเพิกถอนที่ดินที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดได้ทันที ส่วนที่ดินชายขอบที่มีปัญหาอยู่บ้างจะตรวจสอบให้ชัดเจนต่อไปนั้น ทั้งนี้แนวทางการดำเนินงานของรฟท.
หลังจากนี้ในส่วนของกระบวนการเพิกถอนโฉนดที่เอกสารสิทธิ์ที่ดินยังคงต้องรอคำสั่งจากอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ หรือผู้รักษาราชการแทนก่อน เพื่อสั่งการให้สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการตามคำสั่งพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ตัดสินให้เพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
อย่างไรก็ดีกระทรวงมหาดไทยระบุชัดเจนด้วยว่า ในปี 2567 กรมที่ดินและรฟท. ได้ร่วมกันสอบแนวเขตออกมาชัดเจนแล้ว ดังนั้นกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดเขากระโดงตามมาตรา 61 วรรค 8 ของประมวลกฎหมายที่ดินได้เลย ซึ่งรฟท. จะติดตามผลการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากกรมที่ดินเป็นระยะๆ
ไล่ผู้บุกรุก-เปิดทางเช่าที่ดิน
นายวีริศ กล่าวต่อว่า ส่วนของผู้ครอบครองที่ดินภายในพื้นที่ดังกล่าวนั้น รฟท.เตรียมดำเนินการตามกระบวนการที่เหมาะสม โดยจะมีการเจรจากับผู้อยู่อาศัย หรือใช้ประโยชน์ที่ดินก่อนว่า ประสงค์จะย้ายออก หรือเข้าระบบการเช่าที่ดินตามระเบียบของรฟท.ซึ่งหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ดีรฟท.พร้อมเปิดทางเลือกให้สามารถเช่าที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นแนวทางการเยียวยาที่ต้องการให้มีผู้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
จ่อปลุกพื้นที่เชิงพาณิชย์
แหล่งข่าวจากบริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) กล่าวว่า กรณีที่รฟท.จะนำที่ดินเขากระโดงมาเปิดประมูลเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ หากมีการเพิกถอนโฉนดแล้วเสร็จนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบดูข้อเท็จจริงจากรฟท.อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะต้องรออัพเดตจากการประชุมร่วมกับรฟท.ก่อน
“แนวโน้มการพัฒนาที่ดินเขากระโดงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์นั้น มองว่าการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์จะพิจารณาจากศักยภาพในตัวเมือง ซึ่งในปัจจุบันศักยภาพพื้นที่ของที่ดินเขากระโดงก็สามารถทำได้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาก่อนเปิดประมูล ส่วนใครจะเป็นผู้ดำเนินการคงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของรฟท. เพราะที่ดินเขากระโดงไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนาที่ดินตั้งแต่แรก” แหล่งข่าวจากบริษัทเอสอาร์ทีฯ
ทั้งนี้หากต้องการพัฒนาที่ดิน เขากระโดงมาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ตามกระบวนการรฟท.จะต้องโอนสัญญาที่ดินนี้มาให้บริษัทเอสอาร์ทีฯก่อน เพราะเป็นบริษัทลูกที่ต้องดูแลทรัพย์สินของรฟท.อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ดีเอสไอขีดเส้น 15 วันส่งเอกสารเพิ่ม
ขณะความคืบหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)สืบสวนกรณีพิพาทที่ดิน เขากระโดง ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นของรฟท.โดยชอบด้วยกฎหมาย เบื้องต้นคณะพนักงานสืบสวนได้ประสานงานกับ 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ รฟท. กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขอเอกสารและข้อมูลการถือครองโฉนด
โดยกำหนดกรอบเวลา 15 วัน หากยังไม่ส่งข้อมูล ดีเอสไอจะดำเนินการทวงถามอย่างเป็นทางการจากการสืบสวนเบื้องต้น พบมีนิติบุคคลรายหนึ่งครอบครองที่ดินกว่า 1,000 ไร่ ในพื้นที่บริเวณสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ ซึ่งดีเอสไอจะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับรฟท.หลังได้รับเอกสารครบถ้วน
ผ่า 4 บริษัทตระกูลชิดชอบ
ขณะเดียวกันยังพบว่าที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นฐานธุรกิจของ “ตระกูลชิดชอบ” มาอย่างยาวนาน เมื่อตรวจสอบพบว่าที่ดินอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่เศษ ของตระกูลชิดชอบ-เครือข่าย จากทั้งหมดกว่า 5,083ไร่ โดยเอกสารสิทธิ 12 แปลง 288 ไร่ ดังกล่าวนั้น ที่อยู่ในชื่อคนตระกูลชิดชอบ โดยในจำนวนนี้มีการถือครองในชื่อคน และนิติบุคคล รวมถึงปล่อยเช่าให้นิติบุคคล มีนิติบุคคลที่เข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ หรือเช่า
สำหรับที่ดินดังกล่าวต่อจากคน “ตระกูลชิดชอบ” มี 4 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ถือครอง 5 แปลง ในจำนวนนี้มี 1 แปลงเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ”ครูใหญ่ “ค่ายน้ำเงิน”
ทั้งนี้บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจ “โรงโม่หิน” ถือเป็นธุรกิจหลักของคนตระกูลชิดชอบ ดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค “ชัย ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองใหญ่ “เมืองเซาะกราว” อดีตประธานรัฐสภา อดีต สส.หลายสมัย ผู้เป็นบิดา ปัจจุบันไม่มีชื่อคนตระกูล “ชิดชอบ” เข้าไปถือหุ้นแล้ว มีแค่ “เอกราช ชิดชอบ” เป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทเท่านั้น
2.บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ถือครอง 2 แปลง ทำธุรกิจจัดตั้งสนามสำหรับเล่นกีฬา จำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันกีฬา มีกรรมการ 2 คน นายเนวิน ชิดชอบ นางสาวชิดชนก ชิดชอบ (บุตรสาวนายเนวิน)
3.บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่ามา 4 แปลง เป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา ทางเข้าสนามแข่งรถ และที่ตั้งตลาด มี นางสาวชิดชนก ชิดชอบ บุตรสาวนายเนวิน เป็นกรรมการคนเดียว 4.บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเต็ล จำกัด เช่าช่วงต่อจากบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด 1 แปลง เป็นที่ตั้งโรงแรม มีกรรมการ 2 คน นางสาวชิดชนก ชิดชอบ นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์
ทั้งนี้ที่ดินเขากระโดงในมือของตระกูลชิดชอบที่ต้องถูกยึดคืนให้เป็นของรัฐตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตระกูลชิดชอบและพรรคภูมิใจไทย

10 รายชื่อเอกชน-คนทั่วไปถือครองสิทธิ
นอกจากนี้พบว่ามีเอกชนและบุคคลจำนวน 10 ราย ที่ถือครองที่ดินรวมกันมากถึงประมาณ 670 ไร่ โดยมีทั้งบริษัทเอกชน บุคคลธรรมดา ไปจนถึงธนาคารขนาดใหญ่ติดอันดับ รายชื่อผู้ครอบครองที่ดิน 10 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ธนไทยพาณิชย์ จำกัด, นางสาวกีรติ เจียรพันธุ์ และเครือญาติ-ครอบครองมากที่สุดถึง 318 ไร่ 3 งาน
นายสีรสุข สัมมาชีพวิศวกุล-ครอบครอง 76 ไร่ 1 งาน 58 ตารางวา นายศิริพงษ์ เก่งสุรการ- ครอบครอง 62 ไร่ 3 งาน นางรัชศิริ เหลืองขวัญ-ครอบครอง 57 ไร่ 3 งาน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)-ครอบครอง 43 ไร่ 2 งาน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)- ครอบครอง 30 ไร่ นายสุวรรณ เจนศิริศักดิ์ -ครอบครอง 26 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวา นายวิภาส เทียมเลิศ-ครอบครอง 24 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา นายวีระเดช ตั้งตรงเวชกิจ-ครอบครอง 19 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา นายบุญธรรม กลิ่นประทุม -ครอบครอง 14 ไร่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6ส.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เช่นเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วย
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าสำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด
ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถพลิกกลับมารีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้มีปัจจัยหนุนมากนัก
เนื่องจาก รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ อาจไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า
ทว่า รายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจยังไม่พอจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่กำลังประเมินอยู่ โดยเรามองว่า อาจจะต้องรอรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ถึงจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างชัดเจน (ทั้งปรับเพิ่มและปรับลด ความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด)
หากเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เช่นกัน ทว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำประกอบด้วย
เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) ได้รีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น โดยมีแนวต้านถัดไปตั้งแต่โซน 3,400 และ 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด
และหากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน ทำให้ เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน ตราบใดที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้
ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD)
ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด (สูงกว่า 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร
ทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงถูกชะลอไว้แถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ภาษีนำเข้าสินค้าหมวดยาและ Semiconductor)
รวมถึง การคัดเลือกเจ้าหน้าที่เฟดท่านใหม่ ในตำแหน่ง Board of Governor และจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด เพื่อมาแทน Adriana Kugler (Board of Governor) ที่ได้ลาออกไป
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ ก็เริ่มสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น กดดันให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.49%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.15% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ขณะเดียวกัน ความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ซึ่งส่งผลดีต่อบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวระดับ 4.20% แม้จะมีจังหวะปรับตัวลดลงราว 3-4bps บ้าง จากรายงานข้อมูลดัชนี ISM Services PMI ล่าสุด ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด
ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดหวังว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงอีกเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ
และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทางฝั่งเวียดนาม ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เป็นต้น
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลัง เริ่มออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.33-32.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.48 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพราะแม้จะมีแรงหนุนในด้านแข็งค่าตาม Sentiment ของสกุลเงินอื่นในภูมิภาคจากการที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากข้อมูล ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณอ่อนแอ (ดัชนี ISM ภาคบริการลดลงไปที่ระดับ 50.1 ในเดือนก.ค. ต่ำกว่า 51.5 ที่ตลาดคาด และต่ำกว่า 50.8 ในเดือนมิ.ย.) แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัดตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลงในช่วงตลาดเอเชียเช้านี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือนก.ค. ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดยังคงติดตามประเด็นระหว่างปธน. ทรัมป์ และเฟดอย่างใกล้ชิด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
งานนี้พร้อมลุย! “ชัชชุอร” ฝากข้อความถึงแฟนๆ ทันทีหลังมีชื่อติดทีมชาติอีกครั้ง

ถือว่าเซอร์ไพรส์ทีเดียวสำหรับการถูกเรียกกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งของ “บุ๋มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี ดาวตบหัวเสาตัวเก่ง ในรายการ วอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 สัปดาห์สอง ที่ประเทศเวียดนาม ช่วงระหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม 2568
โดย “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียกตัวดาวตบวัย 25 ปี กลับมาติดทีมหลังจากหายเจ็บ ถือเป็นการหวนคืนทีมอีกครั้งนับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บในการแข่งขันเนชันส์ลีก สนามสอง เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ล่าสุด “บุ๋มบิ๋ม” ได้ออกมายืนยันสภาพร่างกายเต็มร้อย หายเจ็บกลับมาแบบสมบูรณ์ พร้อมฝากข้อความถึงแฟนๆ ผ่านโลกออนไลน์ว่า “สองนิ้วที่แปลว่าสนามสองเจอกันค่ะ”
สำหรับ ชัชชุอร โมกศรี ผลงานในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 ทั้ง 2 สนาม ไม่ค่อยดีนักหลังทำแต้มไปได้เพียงแค่ 13 คะแนน เนื่องด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามการกลับมาติดทีมครั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนลุยศึกชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“รองช้ำ” ความเจ็บปวดที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษา

“รองช้ำ” ความเจ็บปวดที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษา : Tricks for Life
โรครองช้ำหรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ คือ ภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวด โดยเฉพาะตอนเช้าเมื่อลุกจากเตียงหรือการนั่งนานๆหลายชั่วโมง
อาการของโรครองช้ำ คือ มีอาการเจ็บเท้าเหมือนมีของแหลมทิ่มเท้า หรือแสบร้อนบริเวณกลางถึงส้นเท้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอน สามารถเกิดกับเท้าข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในระยะแรกอาการอาจทุเลาได้เอง เมื่อเดินไปสักพัก แต่อาจปวดเรื้อรัง เป็นๆหายๆเป็นเวลาหลายเดือนได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรครองช้ำ ได้แก่ น้ำหนักตัวที่มาก, เดินหรือยืนนาน โดยเฉพาะบนพื้นแข็ง, วิ่งเยอะ หรือเปลี่ยนกิจกรรมเร็วเกินไป (เช่น วิ่งเพิ่มจากวันละ 2 กม. เป็น 10 กม.), อายุเพิ่มขึ้น พังผืดยืดหยุ่นน้อยลง, เท้าผิดรูป, ใส่รองเท้าพื้นแข็ง ที่ไม่เหมาะกับการเดินนานๆ เช่น คัทชู ส้นสูง รองเท้าแตะ, นักกีฬาที่ใช้เท้าเยอะ และผู้ป่วยเบาหวาน
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น “รองช้ำ”
1. พักการใช้งานเท้าที่หนักเกินไป ลดกิจกรรมที่ใช้การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน งดใส่รองเท้าที่ไม่รองรับสรีระเท้า เช่น รองเท้าพื้นแข็ง รองเท้าส้นสูง
2. ยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ การยืดช่วยคลายพังผืดที่ตึงอย่างถูกวิธี และป้องกันอาการกำเริบ
ท่าแนะนำ
- นั่งยืดฝ่าเท้า: เอามือจับปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัว ค้างไว้ 15-30 วินาที
- ยืดน่อง: เอามือยันผนัง ขาหนึ่งยืนตรง อีกข้างงอไปข้างหน้า ดันส้นให้ติดพื้น
- Rolling Stretch: กลิ้งอุปกรณ์ที่เป็นทรงกลม เช่น ลูกเทนนิส ใต้ฝ่าเท้า 5 นาทีต่อวัน
3. เลือกใส่รองเท้าที่ใช้วัสดุที่นุ่ม รองรับการกระแทกของเท้า มีขนาดพอดี ไม่คับหรือหลวมเกินไป
4. ควบคุมน้ำหนักตัว ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่เกณฑ์ปกติ น้ำหนักตัวที่มากเกินไปอาจทำให้พังผืดกดทับที่เส้นเอ็นได้
แนวทางการรักษา
- ใช้ยารักษา
- การทำกายภาพบำบัด เช่น ประคบร้อน ประคบเย็น หรือใช้เครืองมือเฉพาะทาง เช่น เครื่องมือคลื่นกระแทก (shockwave therapy) ใช้คลื่นกระแทกพลังงานสูงกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- การผ่าตัด กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล เป็นมานานเรื้อรังเท่านั้น
รองช้ำ เป็นโรคที่เกิดการอักเสบบริเวณฝ่าเท้า แต่สามารถสร้างความลำบากกวนใจ รบกวนการใช้ชีวิต ส่งผลกระทบต่อเราได้ แต่ก็เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และหากเราดูแลรักษาสุขภาพเท้า ก็สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรครองช้ำได้
ขอบคุณ : นายแพทย์ เกรียงศักดิ์ เล็กเครือสุวรรณ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านคลินิกระงับปวด และผ่าตัด ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อไหล่ ศูนย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์เฉพาะทาง โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สหรัฐเสนอขาย AI ที่ปรับให้เหมาะสมกับเอเชีย หวังชิงความได้เปรียบจากจีน

สหรัฐไม่ขายของสำเร็จรูป เสนอโมเดล AI ที่ปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นของแต่ละประเทศในเอเชีย หวังชิงความได้เปรียบจากตลาดจีน
สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้าผลักดันเอไอให้เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ โดยชูจุดขายว่าเป็น “Customized AI” หรือ “เทคโนโลยีที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละประเทศในเอเชีย” ทั้งในแง่ภาษา วัฒนธรรม และการใช้งานจริง
ไมเคิล ครัทซิออส (Michael Kratsios) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายความมั่นคงและเทคโนโลยีของทำเนียบขาว เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า
สหรัฐมีแผนผลักดันปัญญาประดิษฐ์แบบปรับแต่งตามบริบทของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประเทศในเอเชียที่ต้องการใช้เอไอ ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในสนามแข่งขันเอไอระดับโลก และช่วงชิงความได้เปรียบจากจีน
ครัทซิออส เข้าร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (APEC) ซึ่งปีนี้เน้นประเด็นด้านเอไอ และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei Asia ว่า “เราต้องการให้โลกใช้เอไอของสหัฐเป็นหลัก” เขากล่าวถึงความพยายามโน้มน้าวพันธมิตรในเอเชียให้ร่วมมือกับสหรัฐ แทนที่จะเลือกใช้โซลูชันจากจีน
สหรัฐแข่งกับจีนด้วย AI Stack
ครัทซิออสย้ำว่า สหรัฐไม่ได้เสนอเอไอแบบสำเร็จรูปหนึ่งเดียวให้กับทุกประเทศ แต่ใช้แนวทางแบบโมดูลที่ปรับแต่งได้ตามภาษา วัฒนธรรม และความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ (modularity)
“จุดแข็งของเทคโนโลยีสหรัฐ คือความยืดหยุ่นที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละประเทศ มันไม่ได้ทำมาแบบสำเร็จรูปหนึ่งเดียวใช้ได้ทุกที่ แต่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละพื้นที่จริงๆ” ครัทซิออส กล่าว
ในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลสหรัฐได้เผยแพร่ AI Action Plan หรือแผนปฏิบัติการเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านเอไอ โดยเฉพาะในแง่การแข่งขันกับจีน โดย “AI stack” หมายถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่ทำให้ระบบเอไอทำงานได้ ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์อย่างชิปคอมพิวเตอร์ โมเดล ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน ไปจนถึงมาตรฐานต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นระบบเอไอแบบครบวงจร
แผนดังกล่าวระบุชัดว่า สหรัฐมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีเอไอ และควรใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการสร้างพันธมิตรระดับโลกอย่างถาวร ในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้ “ศัตรู” หรือคู่แข่งใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของสหรัฐ โดยไม่ลงทุนเอง
นักวิเคราะห์ตั้งคำถาม จะทำได้จริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายมองว่าวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสหรัฐยังมีช่องโหว่หลายจุด โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติให้เป็นจริง คาเมรอน เอฟ. เคอร์รี (Cameron F. Kerry) ผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอจากสถาบัน Brookings กล่าวว่า “มีหลายแง่มุมของ AI Action Plan ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะทำได้จริงตามที่พูดหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออก AI stack”
เคอร์รีย้ำว่า หากสหรัฐทำได้ตามที่พูดไว้ว่า “จะไม่ใช้สูตรสำเร็จเดียวกับทุกประเทศ” โอกาสประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้น
ปัญหาเบื้องหลัง: ภาษี การลงทุน และความไม่แน่นอน
การเยือนเอเชียของครัทซิออสยังเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีแบบ “ตอบโต้” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ทั้งสองประเทศพยายามต่อรองเพื่อลดอัตราภาษีจากที่ทรัมป์ขู่ไว้ว่าจะตั้งไว้ที่ 25% ให้เหลือเพียง 15% โดยต้องแลกกับคำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐเป็นจำนวนมหาศาล
ญี่ปุ่นให้คำมั่นจะลงทุน 550,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เกาหลีใต้ตั้งกองทุนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้ลงทุนในสหรัฐ แต่ข้อตกลงเหล่านี้ยังขาดรายละเอียด ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริง
ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลทรัมป์ใช้มาตรการทางเศรษฐีกับพันธมิตรเก่าอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ยังสร้างคำถามว่าหากสหรัฐจะขายเทคโนโลยีเอไอให้ประเทศในเอเชีย ความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะ “พันธมิตร” จะเพียงพอหรือไม่
สหรัฐยืนยันเดินหน้าสร้างพันธมิตรเอไอ
ครัทซิออสระบุว่า ประเทศในเอเชียแปซิฟิกมีความต้องการใช้เอไอสูงมาก ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของสหรัฐในการเข้าไปมีบทบาท
แม้จะมีความตึงเครียดด้านเศรษฐกิจและคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ แต่ครัทซิออสกล่าวว่า การต้อนรับจากประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เป็นไปอย่างอบอุ่น และเขายังมั่นใจว่าสหรัฐจะเดินหน้าร่วมมือกับประเทศในเอเชียอย่างต่อเนื่อง
“ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความสำเร็จของประธานาธิบดีในการผลักดันข้อตกลงทางการค้า” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า “ข้อตกลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่าย ที่จะร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมวด Nature, the environment and energy เจอในข้อสอบ IELTS

คำศัพท์ IELTS : Nature, the environment and energy
aquifers (n) ชั้นหินอุ้มน้ำ
catastrophe (n) ภัยพิบัติ, ความหายนะ
contamination (n) การปนเปื้อน
drought (n) ความแห้งแล้ง
dumping (n) การทิ้งขยะโดยเจตนาไม่เก็บหรือบำบัด
dwindling numbers (n) ปริมาณที่ลดลง
emissions (n) การปล่อยพลังงาน
exacerbated (v) ทำให้แย่ลง
extinction (n) การสูญพันธุ์
famine (n) ความอดอยาก, ภาวะข้าวยากหมากแพง
filtration (n) กระบวนการกรอง
food chain (n) ห่วงโซ่อาหาร
irrigation (n) การชลประทาน
habitat loss (n) ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์
landfills (n) หลุมฝังกลบ
poaching (n) การบุกรุกเข้าไปล่าสัตว์
pollutant particles (n) อนุภาคมลพิษ
run-off (n) น้ำท่า, น้ำไหลผ่านจากผิวดินไปสู่แม่น้ำและมหาสมุทร
soil erosion (n) การกร่อนของดิน
tainted (v) ปนเปื้อน
the biosphere (n) ชีวภาค หรือชีวมณฑล
the water cycle (n) วัฎจักรของน้ำ
waste (n) ขยะ, สิ่งปฏิกูล
waste processing (n) กระบวนการแปรรูปของเสีย
water table (n) ระดับพื้นผิวของน้ำบาดาล
Gas emissions cause serious pollution in urban areas.
(การปล่อยก๊าซทำให้เกิดมลพิษร้ายแรงในเขตเมือง)
This river had been tainted with dangerous chemicals.
(แม่น้ำสายนี้ถูกปนเปื้อนด้วยสารเคมีอันตราย
Destruction of the rainforests is a catastrophe for the entire world.
(การทำลายป่าฝนเป็นภัยพิบัติทั่วโลก)
Millions of people in Africa continue to die because of war and famine.
(ประชาชนนับล้านในแอฟริกายังคงเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากสงครามและความอดอยาก)
Many species of insects are on the verge of extinction.
(แมลงหลายชนิดใกล้จะสูญพันธุ์)
ขอบคุณข้อมูลจาก trueplookpanya.com
แคลเซียมไม่ได้มีแค่ในนม! 8 แหล่งแคลเซียมธรรมชาติที่คนแพ้นมวัวต้องรู้

สำหรับสาว ๆ ที่แพ้นมวัวหรือเลือกหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนม อาจกังวลว่าแคลเซียมจะไม่เพียงพอต่อการดูแลกระดูกและฟัน แต่ความจริงแล้วแคลเซียมมีอยู่ในอาหารธรรมชาติหลากหลายชนิด ที่คุณผู้หญิงสามารถเลือกทานได้อย่างปลอดภัยและอร่อย จึงจะพาคุณผู้หญิงไปสำรวจ 8 แหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติที่เหมาะกับคนแพ้นมวัว พร้อมเคล็ดลับการดูดซึมให้ได้ผลดีค่ะ
8 แหล่งแคลเซียมธรรมชาติที่คนแพ้นมวัวต้องรู้
1.สาหร่ายทะเล
สาหร่ายทะเล เช่น สาหร่ายวากาเมะหรือคอมบุ เป็นแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติที่คุณผู้หญิงควรลอง เพราะนอกจากจะมีแคลเซียมแล้ว ยังมีไอโอดีนที่ช่วยบำรุงต่อมไทรอยด์ สาหร่ายสามารถนำไปทำซุป หรือใส่ในสลัดเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหารได้อย่างลงตัว
2 งาดำ
งาดำเป็นหนึ่งในอาหารที่มีแคลเซียมสูงมาก โดยในงาดำ 100 กรัมมีแคลเซียมมากกว่านมถึงหลายเท่า นอกจากนี้ ยังมีแมกนีเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น สาว ๆ สามารถโรยงาดำลงบนข้าว โจ๊ก หรือใส่ในสมูทตี้เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารแบบง่าย ๆ และอร่อย
3.ผักใบเขียวเข้ม
ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม และบร็อกโคลี เป็นแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติที่คุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะมีแคลเซียมแล้ว ยังมีวิตามิน K ที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ผักเหล่านี้สามารถนำไปผัด ต้ม หรือทำเป็นสลัดได้อย่างหลากหลาย เหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบไม่ยุ่งยาก
4.อัลมอนด์
อัลมอนด์เป็นถั่วที่มีแคลเซียมสูงและยังมีไขมันดีที่ช่วยบำรุงหัวใจ เหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการของว่างระหว่างวันแบบไม่เพิ่มน้ำหนัก อัลมอนด์สามารถทานแบบอบกรอบ หรือใส่ในโยเกิร์ตและสลัดเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหารได้ดี
5.เมล็ดเจีย
เมล็ดเจียเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ไฟเบอร์ และโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยบำรุงทั้งกระดูกและระบบขับถ่ายของคุณผู้หญิง เมล็ดเจียสามารถนำไปแช่น้ำแล้วใส่ในสมูทตี้ โยเกิร์ต หรือทำเป็นพุดดิ้ง เพื่อเป็นของหวานที่ดีต่อสุขภาพ
6.ปลาเล็กปลาน้อย
ปลาตัวเล็กที่สามารถทานได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทู หรือปลาแห้ง เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี เพราะแคลเซียมจากกระดูกปลา เป็นชนิดที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที เหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการอาหารที่อิ่มนานและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
7.ถั่วลูกไก่
ถั่วลูกไก่ หรือ Chickpeas เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีแคลเซียมสูง และยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น สาว ๆ สามารถนำไปทำเป็นฮัมมุสหรือใส่ในสลัด เพื่อเพิ่มความอิ่มและคุณค่าทางอาหารในมื้อกลางวัน
8.เห็ดหอมแห้ง
เห็ดหอมแห้งเป็นอีกหนึ่งแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติที่สาว ๆ อาจไม่เคยนึกถึง โดยเฉพาะเมื่อนำไปปรุงในเมนูที่ต้องการรสชาติกลมกล่อม เห็ดหอมแห้งยังมีวิตามิน D ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น เหมาะกับคุณผู้หญิงที่ต้องการเพิ่มแคลเซียมในมื้ออาหารแบบไม่ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์จากนม
สาว ๆ ที่แพ้นมวัวไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแคลเซียมอีกต่อไป เพราะธรรมชาติได้มอบแหล่งแคลเซียมมากมายที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ หากเลือกบริโภคอย่างหลากหลายและสมดุล คุณผู้หญิงก็สามารถดูแลกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์จากนมวัวเลยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,600.00 | 51,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,336.00 | 50,573.76 | 52,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,002.40 | 45,516.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,668.80 | 40,459.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,501.20 | 22,758.19 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,167.60 | 17,700.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,456.99 | 52,407.97 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 49.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |