สาระน่ารู้ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2568

อสังหาฯเปิดศึกชิงแชร์พูลวิลล่าภูเก็ต ดึงดีมานด์เงินสดต่างชาติ

ท่ามกลางดีมานด์ซื้อ “บ้านหลังที่สอง” จากกลุ่มต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซียที่ยังคงมาแรง ส่งผลให้ตลาดพูลวิลล่าในภูเก็ตกลายเป็นสมรภูมิใหม่หวังชิงแชร์กำลังซื้อเงินสด

“ภูเก็ต” กำลังเปลี่ยนผ่านจากเกาะท่องเที่ยว สู่สนามประลองของผู้พัฒนาอสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ หลังจากดีมานด์จากต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนรัสเซีย หลั่งไหลเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยรูปแบบ “พูลวิลล่า” ด้วยเงินสด และความต้องการยังมีอย่างต่อเนื่องในปี 2568

ตามรายงานของ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า มูลค่าการลงทุนรวมในภาคอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตยังสูงถึง 34,986 ล้านบาท สะท้อนความมั่นใจของทั้งผู้พัฒนาและผู้ซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งไปยังตลาดพูลวิลล่าระดับราคา 30-50 ล้านบาท โดยเฉพาะในทำเลฝั่งตะวันตกของเกาะ อาทิ เชิงทะเล หาดลายัน หาดบางเทา กมลา หาดในยาง และราไวย์

ความแตกต่างของดีมานด์ต่างชาติกับตลาดไทยชัดเจนในแง่พฤติกรรมซื้อ กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอสเซทไวส์ วิเคราะห์ว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯจำนวนมากแห่มาทำพูลวิลล่า เพราะ “กำไรต่อยูนิตสูง” และที่สำคัญคือ “จบดีลไว” ด้วยเงินสด ไม่ต้องรออนุมัติสินเชื่อเหมือนลูกค้าคนไทย

“แทนที่จะทำบ้านคนไทยขายได้หลักพันล้าน ทำพูลวิลล่าขายต่างชาติได้ 3,000–6,000 ล้านง่ายกว่า เพราะฝรั่งจ่ายเงินสด ฝรั่งไม่ต้องกู้ธนาคาร”

เลือกทำเล–ใส่ดีไซน์–แข่งขันบริการ

ในสนามพูลวิลล่าภูเก็ตวันนี้ “แบรนด์ใหญ่” ยึดทำเลทองและเน้นเพิ่มความแตกต่างด้วยดีไซน์–ฟังก์ชัน–บริการ เช่น โครงการวีเว่ ภูเก็ต โดยแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งพัฒนาบ้านสไตล์ Modern Minimal พร้อมสระส่วนตัวทุกหลัง หรือ เดอะ ไทเทิล วิลล่า คิราร่า โดยร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ หรือเดอะ ไทเทิล ที่ใส่แนวคิด “Tropical Modern Contemporary” พร้อมคลับเฮาส์ รองรับไลฟ์สไตล์ทั้งไทยและต่างชาติ

ขณะที่แบรนด์ท้องถิ่นที่ครองตลาดมานานอย่าง โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ก็เปิดเกมจับมือมอนท์เอซัวร์ พัฒนาโครงการโบทานิก้า มอนท์เอซัวร์ ที่หาดกมลา ทำเลหายาก วิวทะเล–โอบล้อมภูเขา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก เช่น InterContinental Phuket Beach Club และร้านอาหารระดับมิชลิน

พูลวิลล่าไม่โอเวอร์ซัพพลาย เพราะ “สร้างไปขายไป”

“ธรรมชาติของพูลวิลล่าไม่มีใครสร้างล่วงหน้าแบบคอนโด เพราะใช้เวลาก่อสร้างหลังละปี บางหลัง 2 ปี”

แม้จะมีหลายแบรนด์เข้าสู่ตลาด แต่ตลาดพูลวิลล่ายังไม่อยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เพราะส่วนใหญ่เป็นลักษณะ “ขายไปสร้างไป” ไม่มีการสร้างล่วงหน้าจำนวนมากเหมือนคอนโดนอกจากนี้ ด้วยราคาต่อยูนิตที่สูงหลายสิบล้าน ทำให้ผู้พัฒนา “กลั่นกรอง” กลุ่มเป้าหมายอย่างรอบคอบ ขณะเดียวกันฝั่งดีมานด์ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรัสเซีย ซึ่งคอลลิเออร์สระบุว่า เป็นกลุ่มที่ “ยังจ่ายจริง – ซื้อจริง”

ทำเล Rare Location – ขายไวภายใน 2 เดือน

โครงการ เดอะ ไทเทิล วิลล่า เอสเตลลา ในยาง ของ แอสเซทไวส์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความร้อนแรงของตลาดวิลล่าภูเก็ต ซึ่งสามารถปิดการขาย “ทุกยูนิต” ได้ภายในเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนถึงศักยภาพทำเลที่เดินลงหาดได้ ความเป็นส่วนตัวสูง และใกล้สนามบิน อีกโครงการที่สะท้อนดีมานด์ได้ชัดคือ เดอะ ไทเทิล วิลล่า เชิงทะเล มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ Mingle Little Hill มีฟังก์ชันบ้าน 3-4 ห้องนอน พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว และที่จอดรถ 2-3 คัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยของกลุ่มต่างชาติอย่างแท้จริง

“ฝรั่งเน้นฟังก์ชันจริงจัง โดยเฉพาะ ‘สระว่ายน้ำ’ ต้องยาวอย่างน้อย 12 เมตร…เขาเอาไว้ว่าย ไม่ใช่เอาไว้นั่งจุ่ม”

จากพฤติกรรมของผู้ซื้อชาวตะวันตก พบว่าจุดขายหลักไม่ใช่เรื่อง “ฮวงจุ้ย” หรือ “เลขที่บ้าน” แต่เน้นดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์จริง โดยเฉพาะ “สระว่ายน้ำ” ต้องยาว–ลึก–ใช้งานได้จริง

เกมใหญ่ที่ต้องมีทุน–ชื่อเสียง–เครือข่าย

แม้จะดูเหมือนตลาดเปิดกว้าง แต่แท้จริงแล้วเป็น “สนามที่ต้องมีต้นทุน” ทั้งทุนพัฒนา ต้นทุนแบรนด์ และเครือข่ายเอเจนต์ขาย โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่นสูง “ชื่อเสียงของโครงการ–เครือข่ายเอเจนต์–คุณภาพงานก่อสร้าง คือ 3 ปัจจัยที่ทำให้ขายได้…ถ้าไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเอเจนต์ต่างชาติ ไม่ตอบโจทย์ฝรั่ง ก็ยากจะปิดการขายได้”

คอลลิเออร์สคาดการณ์ว่า ครึ่งหลังปี 2568 จะมีผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้ามาเปิดตัวโครงการใหม่ในภูเก็ตมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่าภูเก็ตคือจุดยุทธศาสตร์ที่ “ต้องแย่งชิง” ทั้งจากดีมานด์ไทยและต่างชาติ ภูเก็ตในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เกาะท่องเที่ยว แต่เป็น “สมรภูมิอสังหาฯเงินสด” ที่เดิมพันด้วยวิลล่าหรูและดีไซน์พรีเมียม ที่ผู้เล่นต้องมีทั้งสายป่านและสายตาในการเลือกทำเล

 “โบทานิก้า” ปักหมุดเกมลักชัวรีในเกาะภูเก็ต

แม้ในสนามวิลล่าภูเก็ตจะมีผู้เล่นใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น แต่ “โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า” ยังครองสถานะ “ผู้นำตลาดระดับไฮเอนด์” จากจุดแข็งใน 3 มิติ คือ ความเข้าใจพฤติกรรมผู้ซื้อไฮเอนด์ระดับโลก การออกแบบที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันจริง และชื่อเสียงที่เชื่อถือได้ในสายตาเอเจนต์ต่างประเทศ

ล่าสุดโบทานิก้าฯ จับมือ “มอนท์เอซัวร์” โครงการมิกซ์ยูสซูเปอร์ไฮเอนด์ ริมหาดกมลา เปิดตัวโปรเจกต์ระดับแฟล็กชิป “โบทานิก้า มอนท์เอซัวร์” ที่นับเป็นครั้งแรกที่โบทานิก้าฯ ก้าวเข้าสู่ตลาด “บีชฟรอนต์คอมมูนิตี้” ราคาเริ่มต้น 49-170 ล้านบาท

ตัวโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่รวมกว่า 30 ไร่ ภายใต้ดีไซน์ โมเดิร์น ลักชัวรี ผสานธรรมชาติอย่างลงตัว ทุกหลังมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 372 ถึง 908 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 880 ตารางเมตร ตอบโจทย์กลุ่ม “Global Elite” ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง

อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ ประธานกรรมการบริหาร โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ระบุว่า ทุกโปรเจกต์ของเราพัฒนาด้วยความเข้าใจลึกซึ้งใน 3 แกนหลัก ได้แก่ Design, Nature และ Quality เราไม่เพียงขายบ้าน แต่ขายประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับ

ในมิติของแบรนด์ โบทานิก้าฯ ยังตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำด้วยรางวัลอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ และการที่หลายยูนิตของโครงการก่อนหน้าสามารถ “ปิดการขาย” ได้ในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องสะท้อนถึงทั้งศักยภาพทำเล คุณภาพงานสร้าง และความเชื่อมั่นจากลูกค้าระดับเวิลด์คลาส

“การจับมือกับมอนท์เอซัวร์ คือก้าวสำคัญที่จะยกระดับการพัฒนา ‘พูลวิลล่าหรู’ ไปอีกขั้น พร้อมเสริมจุดยืนของภูเก็ตในฐานะจุดหมายปลายทางด้านลักชัวรีที่คนทั้งโลกจับตา”

สำหรับ โบทานิก้า มอนท์เอซัวร์ มีจำนวนเพียง 41 ยูนิต เท่านั้น โดยโครงการเปิดตัววิลล่าโชว์เคสไปแล้วเมื่อกลางปี 2568 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทั้งในยุโรป รัสเซีย และเอเชีย ซึ่งตัดสินใจซื้อเพื่อการพักผ่อนและลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว

การบุก “ทำเลบีชฟรอนต์หาดกมลา” ครั้งนี้ ยังสะท้อนทิศทางของตลาดพูลวิลล่าภูเก็ต ที่ไม่ได้แข่งขันกันแค่ราคา แต่เป็นการขยับขึ้นสู่ สงครามคุณภาพ ซึ่งเฉพาะผู้เล่นที่มีทุน–ชื่อเสียง–เครือข่ายจริงเท่านั้น จึงจะอยู่รอดและเติบโตได้ในสมรภูมินี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาฯเร่งตุนEIAหนีผังเมืองใหม่ภูเก็ตหวั่นบอนไซ‘คอนโด’

ท่ามกลางกระแสลงทุนร้อนแรงบนเกาะภูเก็ต “ผังเมืองใหม่” ที่กำลังจะประกาศใช้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯเร่ง “ตุนEIA” ก่อนถูกจำกัดด้วยกฎหมาย

แม้ครึ่งปีแรก 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตจะฉายภาพชะลอตัว โดยเฉพาะฝั่งคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่เพียง 8 โครงการ รวม 3,006 ยูนิต มูลค่ารวม 17,845 ล้านบาท ลดลง 38.48% เทียบปีก่อนหน้า ขณะที่บ้านพักตากอากาศเปิดใหม่เพียง 25 โครงการ รวม 362 ยูนิต มูลค่า 12,354 ล้านบาท ลดลงถึง 73.42%

แต่สิ่งที่เป็นกังวลของดีเวลลอปเปอร์ คือ “ผังเมืองใหม่” ของภูเก็ต ที่ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมความหนาแน่นของโครงการที่พักอาศัย โดยเฉพาะอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า หากผังเมืองใหม่ภูเก็ตประกาศใช้จะเป็นการ “บอนไซ” ตลาดคอนโดทันที เนื่องจากบางพื้นที่ที่เคยพัฒนาโครงการขนาด 10,000 ตร.ม.ได้ จะถูกจำกัดเหลือเพียง 2,000 ตร.ม. หรือแม้กระทั่งจำกัดความสูงของอาคารไม่เกิน 15 เมตร ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้การพัฒนาโครงการคอนโดในหลายทำเล “หมดความคุ้มทุน” ไปโดยปริยาย

แห่ตุน EIA ก่อนกฎหมายล้อมกรอบ

แอสเซทไวส์ จึงเลือกเดินเกมรุกขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) ล่วงหน้าในหลายทำเลทั่วเกาะ ทั้งโครงการคอนโดและโรงแรม เพื่อ “จองสิทธิ์การพัฒนา” ก่อนกฎหมายใหม่จะออกมาบีบตลาดให้เหลือพื้นที่พัฒนาเพียงหยิบมือ!

แห่ตุน EIA ก่อนกฎหมายล้อมกรอบ

แอสเซทไวส์ จึงเลือกเดินเกมรุกขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) ล่วงหน้าในหลายทำเลทั่วเกาะ ทั้งโครงการคอนโดและโรงแรม เพื่อ “จองสิทธิ์การพัฒนา” ก่อนกฎหมายใหม่จะออกมาบีบตลาดให้เหลือพื้นที่พัฒนาเพียงหยิบมือ!

“เราไม่รอลุ้นว่าผังเมืองใหม่จะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก แต่ต้องวางแผนล่วงหน้า เพราะนี่คืออาชีพเรา”

แอสเซทไวส์ ไม่ใช่รายเดียวที่ใช้กลยุทธ์นี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการอสังหาฯที่อยู่ระหว่างยื่นขอ EIA ในภูเก็ตจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคอนโดและโรงแรม นับเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในหลายจังหวัด

ภูเก็ตในสายตา “นักล่าทำเลใหม่”

แม้ภาพรวมการลงทุนในภูเก็ตจะดูระมัดระวัง แต่บรรดาบิ๊กอสังหาฯ ยังแห่ลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนหลัก เช่น บางเทา เชิงทะเล ราไวย์ และใจกลางเมืองภูเก็ต ซึ่งยังมีแรงดึงดูดจากดีมานด์ตลาดต่างประเทศ

ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภูเก็ตไม่ได้เป็นแค่เมืองท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กลายเป็นเมืองที่ผู้คน “เลือกมาอยู่อาศัย” โดย แสนสิริ เตรียมเปิด 29 โครงการใหม่ในภูเก็ต มูลค่ารวมกว่า 33,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2568-2572 เป็นแนวราบ 16 โครงการ และคอนโด 13 โครงการ

“คุณภาพชีวิต เป็นเครื่องมือดูดทุนจากทั่วโลกไม่ใช่แค่ยุโรปหรือจีน แต่รวมถึงกลุ่มนักลงทุนใหม่จากรัสเซีย อินเดีย อิสราเอล แม้กระทั่งอดีตผู้บริหารจากซิลิคอนวัลเลย์ที่แสวงหาชีวิตใหม่ในดินแดนที่ปลอดภัย ราคาจับต้องได้ มีกฎหมายรองรับหลากหลายวิถีชีวิต”

อีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนแนวรบจาก “ที่พักอาศัย” สู่ “การใช้ชีวิตครบวงจร” คือผู้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูส อย่าง ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่เปิดตัว “ออริจิ้น ลากูน เชิงทะเล ภูเก็ต” มูลค่า 4,000 ล้านบาท โปรเจกต์นี้ไม่ได้มองแค่ยูนิตขาย แต่ใช้แนวคิด “Neighbor Well” โดยพัฒนาโซน Wellness Community ครบวงจร บนพื้นที่ 14 ไร่ ใกล้ Boat Avenue ภายใต้แนวคิด “Well-Being But Make It Fun”

“ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือศูนย์กลางการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพ” 

ธนกร วุฒิพงษ์ รองประธานอาวุโส บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวต่อว่า ในโครงการยังประกอบด้วย SO Lagoon Cherngtalay by Origin คอนโด 511 ยูนิต และ Balco Lagoon Cherngtalay Phuket วิลล่าหรู เริ่มต้น 35 ล้านบาท

Branded Residence มาแรง แค๊ปสโตนบุกบางเทา

อีกมุมหนึ่งของหาดบางเทา แค๊ปสโตน แอสเสท เปิดตัวโครงการ “เพย์ลา ภูเก็ต” มูลค่า 3,700 ล้านบาท เป็นคอนโด Branded Residence พร้อมบริการระดับโรงแรม 5 ดาว บนพื้นที่ 10 ไร่

“เราไม่ได้ขายที่อยู่อาศัย แต่เราขายประสบการณ์ชีวิต” ฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร แค๊ปสโตน แอสเสท กล่าวว่า ด้วยแนวคิด Experiential Living ที่เน้นประสบการณ์มากกว่าฟังก์ชัน มุ่งเป้าผู้ซื้อชาวต่างชาติระดับบน ที่มองหาที่พักอาศัยซึ่งเป็นทั้งที่อยู่และสไตล์ชีวิต

คอนโดจะกลายเป็น “Rare Item” ในอนาคต?

หากผังเมืองใหม่ภูเก็ตผ่านความเห็นชอบตามที่คาดในไตรมาส 2-3 ปี 2569 โครงการคอนโดจะถูกจำกัดทั้งพื้นที่ ความสูง และ FAR อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ “ซัพพลายในอนาคตหายากขึ้น” ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด 

“วันหนึ่งคอนโดในภูเก็ตอาจกลายเป็นของหายาก และราคาจะไม่กลับไปเหมือนเดิม” กรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ซีอีโอ แอสเซทไวส์

ทิ้งท้ายความเห็นว่า ดังนั้น การเร่งขอ EIA และใบอนุญาตต่างๆ ไว้ล่วงหน้า คือหมากเกมสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการวางฐาน ก่อนที่ข้อจำกัดด้านกฎหมายจะทำให้ต้นทุนและโอกาสพัฒนาโครงการกลายเป็นเรื่องยาก

ภูเก็ตกำลังเปลี่ยนผ่านจากเมืองท่องเที่ยวสู่ “เมืองแห่งการอยู่อาศัยระยะยาว” โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติที่มองหา Quality of Life ระดับโลก ผังเมืองใหม่จะเป็นทั้ง “ตัวกำกับ” และ “ตัวกรอง” ให้ผู้เล่นที่มีความพร้อมเท่านั้นที่จะอยู่รอด และเมื่อคอนโดขยับเป็นของหายากในวันหน้า ใบอนุญาตวันนี้…เสมือน “ทองคำ” ที่ใครไม่มี อาจไม่มีโอกาสยืนในตลาดอีกเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ส.ค.“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ส.ค.“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีความเสี่ยงจะอ่อนค่าได้บ้างแม้จะเคลื่อนไหว Two-way risk หากตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้14ส.ค.2568 ที่ระดับ  32.27 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ในช่วงนี้ ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ

 ซึ่งเราประเมินว่า จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยในระยะสั้นนี้ อาจยังไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญได้

โดยเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจต้องการรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole, Wyoming รวมถึงรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงต้นเดือนกันยายน

ทำให้ในระยะสั้นนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีความเสี่ยง Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) แต่เราอาจมองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับด้านเงินเฟ้อ อย่าง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ PCE และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ที่จะรับรู้ก่อนข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและมีแนวโน้มจะติดแถวโซนแนวต้านตั้งแต่โซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ จนถึงโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์

จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต้องลุ้นข้อมูลการจ้างงานใหม่ของสหรัฐฯ หรือเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากปัญหาความวุ่นวายการเมืองในประเทศ (ซึ่งเรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวก็มีไม่มากนัก)

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและสกุลเงินเอเชีย อย่าง เงินหยวน (CNY) เนื่องจากทั้งสองสินทรัพย์ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงพอสมควร (High correlation)

โดยในฝั่งของราคาทองคำนั้น อาจพอประเมินได้ว่า ถ้าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้าน เช่น โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การแข็งค่าของเงินบาทก็จะเป็นไปอย่างจำกัดได้

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.40 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.23-32.33 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ “ลดดอกเบี้ย 0.25%” สู่ระดับ 1.50% ตามที่ตลาดคาด จะเห็นได้ว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้มติดังกล่าวของ กนง. จะมีส่วนหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น

ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างขายหุ้นไทยออกมา คิดเป็นการขายสุทธิราว 6.7 พันล้านบาท สะท้อนว่า ผลการประชุม กนง. ดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ ปัจจัยหลักหนุนการแข็งค่าของเงินบาท คือ การทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ซึ่งบางส่วนก็เริ่มคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้

อนึ่ง การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะย่อตัว นอกจากนี้ เรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ (นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงราว -10%) อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบ อาทิ Buy on Dip น้ำมันดิบ เข้ามาช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากความหวังว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยตั้งแต่การประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.32%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.54% หนุนโดยความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึง ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่จะมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนบรรยากาศตลาดหุ้นยุโรป

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง เข้าใกล้โซน 4.23% ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มมองว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน

อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร ทำให้ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI

รวมถึง รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 97.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลงบ้าง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว โซน 3,410-3,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามได้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ล่าสุดผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 จากทั้งอังกฤษและยูโรโซน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันศุกร์ 15 สิงหาคม นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 32.25 โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.24-32.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.22 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดต่างประเทศวานนี้ที่ 32.31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยเงินบาท สกุลเงินเอเชีย และสกุลเงินหลักอื่น ๆ แข็งค่าขึ้น ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด (FedWatch ของ CME Group สะท้อนโอกาสเกือบ 100% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. นี้) ขณะที่ รมว. คลังสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า การลดดอกเบี้ยถึง 0.50% ในรอบการประชุมที่จะถึงนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.10-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.
 ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ตรวจเจออะไร? FIVB สั่งปรับ “เวียดนาม” แพ้ทุกเกม ศึกลูกยางชิงแชมป์โลก U21

กลายเป็นข่าวใหญ่ในวงการลูกยางโลกทันทีเมื่อ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ตัดสินใจปรับผลการแข่งขันของ ทีมชาติเวียดนาม ในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก รุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่เมืองซูราบายา ประเทศอินโดนีเซีย

โดยจากกรณีที่ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ ได้ตัดสินใจสั่งตรวจเพศผู้เล่นของเวียดนาม 2 ราย ประกอบด้วย ดัง ธิ ฮอง และ เหงียน ฟอง กวิ่ง เนื่องจากนานาชาติเริ่มกังขาหลังจากที่ทั้งคู่นั้นมีบางอย่างผิดปกติ

ล่าสุด สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องดังกล่าวว่า “ทาง FIVB ขอตัดสิทธิ์นักกีฬาเวียดนามที่ขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก รุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี และปรับให้ทุกเกมที่นักกีฬารายดังกล่าวลงเล่นให้มีผลการแข่งขันเป็นแพ้”

“พร้อมกันนี้ FIVB จะส่งเรื่องให้กับคณะกรรมการด้านวินัยของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ พิจารณาเกี่ยวกับบทลงโทษที่อาจขยายผลมากกว่าแค่ผลการแข่งขันในรายการนี้ เราจะไม่ให้ความเห็นเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างที่กระบวนการดังกล่าวยังดำเนินอยู่”

“จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เล่นที่ไม่มีสิทธิ์ลงแข่งขันตามกฎข้อ 12.2 ของระเบียบบังคับ และส่งให้ต้องทำตามกฎข้อ 13.5.2 เกี่ยวกับเรื่องการห้ามลงแข่งขันต่อไป นอกจากนี้ในกฎข้อ 14.4 ทำให้ทุกเกมที่นักกีฬารายดังกล่าวลงเล่นจะถูกปรับเป็นแพ้ และนักกีฬารายดังกล่าวจะถูกตัดสิทธิ์ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้ทันที”

จากบทลงโทษดังกล่าวทำให้ ทีมชาติเวียดนาม ที่ก่อนหน้านี้ได้สิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะต้องถูกปรับเป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่มเอ และทำให้ต้องหล่นไปเล่นในรอบจัดอันดับ 17-24 แทน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กดแล้วเจ็บ คลำได้ก้อน ระวัง “ต่อมน้ำเหลือง” โต อันตรายกว่าที่คิด

ต่อมน้ำเหลืองโตไม่ใช่เรื่องเล็ก! รู้ทันสัญญาณเตือน อาการ และสาเหตุ พร้อมวิธีรักษา ก่อนลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง

“ต่อมน้ำเหลือง” เป็นอวัยวะขนาดเล็กในระบบน้ำเหลือง ลักษณะเป็นก้อนรูปไข่กระจายทั่วร่างกาย ทำหน้าที่กรองและดักจับสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อโรค ก่อนสร้างภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกาย หากต่อมน้ำเหลืองเกิดภาวะบวมโต มักเป็นสัญญาณบ่งบอกการติดเชื้อหรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน

ต่อมน้ำเหลืองโต คืออะไร

ต่อมน้ำเหลืองโต หมายถึง ภาวะที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ อันเกิดจากร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ การอักเสบ หรือความเครียดทางร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม

อาการที่ควรสังเกต

  • ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำเหลืองโต มักพบอาการต่อไปนี้
  • กดแล้วเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง
  • คลำได้ก้อนบวมโต
  • ผิวหนังบริเวณนั้นบวม แดง
  • อาจมีไข้หรืออาการคล้ายหวัดร่วมด้วย

ควรพบแพทย์ทันที หากมีลักษณะต่อไปนี้

  • ก้อนโตเกิน 1.5-2 เซนติเมตร
  • โตเร็วและไม่ยุบภายใน 1 เดือน
  • เจ็บคอ กลืนลำบาก หรือหายใจติดขัด
  • น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีไข้หลายวันหรือเหงื่อออกมากตอนกลางคืน

สาเหตุที่พบบ่อย

  • การติดเชื้อไวรัส เช่น หัด, HIV
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณหู โพรงจมูก ฟัน ผิวหนัง หรือทอนซิล
  • การติดเชื้อวัณโรค
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • โรคมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไทรอยด์

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น

  • เกิดโพรงหนอง ต้องรักษาด้วยการระบายหนองและใช้ยาปฏิชีวนะ
  • กดทับอวัยวะรอบข้าง อาจกระทบต่อเส้นประสาทและการทำงานของอวัยวะสำคัญ
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจรุนแรงจนทำให้อวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิต
  • ภาวะที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

แนวทางการรักษา

  • การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แพทย์วินิจฉัย
  • หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ใช้ยาปฏิชีวนะ พร้อมการประคบร้อน บรรเทาปวด และพักผ่อน
  • หากเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น HIV หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องใช้การรักษาเฉพาะ เช่น การใช้ยาต้านไวรัส ผ่าตัด ฉายรังสี หรือทำเคมีบำบัด
  • หากอาการไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ข้อแนะนำสำคัญ: อย่ามองข้ามภาวะต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะหากมีอาการนาน ไม่ยุบเอง หรือมีสัญญาณผิดปกติอื่นร่วมด้วย เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายแรง

ข้อมูลจาก : อ. พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สวทช.จับตา10 เทคโนโลยีสุดทึ่ง พลิกโฉมธุรกิจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

  • “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10 Technologies to Watch 2025) พลิกโฉมธุรกิจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจากการวิเคราะห์และคัดเลือกโดย สวทช.
  • เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือเทคโนโลยีด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหุ่นยนต์ AI และเทคโนโลยีสุขภาพ 
  • ทั้ง 10 เทคโนโลยีที่คัดเลือกมานั้น จะเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10 Technologies to Watch 2025) 

ภายในงาน “Thailand Tech Show 2025” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว. Fair 2025” ธีม Creators of Tomorrow จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ เริ่มจากเทคโนโลยีแรก ได้แก่ 

1.ไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise Hydrogen) 

หนึ่งในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนที่น่าจับตามองและเหมาะกับประเทศไทยซึ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างระบบท่อก๊าซได้

โดยนำก๊าซธรรมชาติมาผ่านการแยกสลายด้วยความร้อนเพื่อให้ได้ไฮโดรเจนโดยที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แถมยังให้ผลพลอยได้เป็นผงคาร์บอนที่นำไปใช้ต่อได้อีก

ที่สำคัญยังใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ปัจจุบันการผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ก้าวหน้าไปมาก เช่น บริษัท Monolith สหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ด้วยเทคโนโลยีพลาสมาความร้อนสูง ได้ไฮโดรเจนและผงคาร์บอนปริมาณสูง ลดก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึงร้อยละ 99 

2. เหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel) 

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงทั่วโลกราว 7%  ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมหนักทั้งหมด

ปัจจุบันจึงมีแนวคิดการผลิต “เหล็กกล้าสีเขียวหรือเหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)” คือ เหล็กที่ผลิตโดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

เปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิม คือ BF-BOF ที่ใช้เตาหลอมแบบ Blast Furnace (BF) และ Basic Oxygen Furnace (BOF) มาสู่กระบวนการแบบใหม่ คือ “DRI-EAF (Direct Reduce Iron–Electric Arc Furnace)”

โดยนำพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้ในการผลิตเหล็กพรุน ก่อนนำมาหลอมรวมกับเศษเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้าระบบอาร์ก (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิต

จนได้เหล็กกล้าปลอดฟอสซิล ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อการผลิตเหล็ก 1 ตัน จาก 2,300 กิโลกรัม เหลือ 200-600 กิโลกรัม 

3. เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice) 

“การปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคการเกษตร ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน

การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอลปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรตน้อยลง

ฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ

ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนจากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึงร้อยละ 70 และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่

ทั้งนี้ การผลิตข้าวลดการปล่อยมีเทนยังมีจุดเด่น คือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ขยายผลสู่เกษตรกรได้จริง ตอบโจทย์เชิงนโยบายและการตลาดไปพร้อมกัน ด้วยการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมสำหรับตลาดพรีเมียม

4. หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ (Humanoid Robot)

หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัย เพราะมี “ความอเนกประสงค์”

ไม่ว่าจะเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของแม่นยำ หรือแม้แต่เรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร

ปัจจุบันมีการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์เพื่อนำไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, หุ่นยนต์ Atlas ของบริษัท Boston Dynamics ใช้ในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ

และ หุ่นยนต์ Unitree G1 ของบริษัท Unitree Robotics เป็นฮิวแมนอยด์ที่เปรียบเหมือนเป็นร่างอวตารของ AI มีความยืดหยุ่นเหนือระดับคนทั่วไป และเคลื่อนไหวได้แบบไร้ขีดจำกัด 

5. ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI)

Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจนวางแผนดำเนินงาน พร้อมปฏิบัติงานมุ่งเป้าและตัดสินใจเองได้ ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย

ปัจจุบัน Agentic AI มีทิศทางการพัฒนาไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน หรือที่เรียกกันว่า AI Agent ซึ่งเริ่มนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงการเงินและการธนาคาร

เช่น บริษัท Finnomena ใช้ AI Agent คัดกรองอีเมลจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ก่อนจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งต่อไปยังนักลงทุน และยังใช้เพื่อตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์

ขณะที่ประเทศจีนนำ AI Agent มาจำลองบทบาทนักเรียนที่มีบุคลิก ลักษณะนิสัย และความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อฝึกสอนครู

สวทช. มีงานวิจัย Agentic AI ที่ใช้ช่วยเหลือคนพิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยประยุกต์ใช้สร้างคำบรรยายแทนเสียงแบบอัตโนมัติ ช่วยคนหูหนวกเข้าถึงข้อมูลด้วยการอ่านข้อความแทนการฟังเสียง 

6. การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC) 

คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ ทำให้ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน

เทคโนโลยี “การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม” จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นการสร้างกุญแจที่ถอดรหัสยากขึ้นกว่าเดิม โดยอัลกอริทึมเหล่านี้มักใช้ขนาดกุญแจหรือลายเซ็นที่ใหญ่ขึ้น 

ทั้งนี้ มีสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานอัลกอริทึม PQC ที่ป้องกันการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม

ตัวอย่างบริการแบบนี้ในตลาดโลก เช่น Amazon Web Services (AWS), IBM Quantum Safe, Google Cloud ที่ได้นำลายมือชื่อดิจิทัลที่ทนทานต่อควอนตัมมาใช้

7. อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants)

Smart Implants คือ อุปกรณ์ฝังในร่างกาย ที่นอกจากจะทำหน้าที่พื้นฐาน เช่น ทดแทนอวัยวะหรือช่วยการทำงานของอวัยวะบางส่วนแล้ว ยังตรวจวัดสัญญาณชีพ ประมวลผล และส่งข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์

อุปกรณ์ประเภทนี้มักประกอบด้วยเซนเซอร์ขนาดเล็ก ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารไร้สาย และอัลกอริทึม AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีการใช้งาน Smart Implants ในหลายรูปแบบ

เช่น อุปกรณ์กระตุ้นสมองส่วนลึก สำหรับผู้ป่วยพาร์กินสันที่ควบคุมอาการสั่นได้ และบางรุ่นสามารถตรวจจับคลื่นสมองเพื่อปรับแรงกระตุ้นได้อัตโนมัติ

อุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องแบบฝังในผิวหนัง เช่น Eversense CGM ที่ติดตามค่ากลูโคสได้ยาวนานถึง 365 วันโดยไม่ต้องเปลี่ยนเซนเซอร์บ่อย ๆ

ประสาทหูเทียมอัจฉริยะที่ส่งสัญญาณและปรับระดับเสียงได้ พร้อมด้วยหน่วยความจำสำหรับจัดเก็บข้อมูลการได้ยิน เช่น Cochlear Nucleus Nexa

8. เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment)

เทคโนโลยีด้านการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากจนล่วงรู้ถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน ช่วยเปิดเผยความเสื่อมของร่างกายและทำนายโรคได้แม่นยำขึ้น

ดังเช่น เทคโนโลยีเอพิเจเนติกที่ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ผ่านวิธีที่เรียกว่า นาฬิกาชีวภาพ

วิธีที่นิยมคือการวิเคราะห์รูปแบบการเติมหมู่เมทิล (Methyl Group) บนตำแหน่งจำเพาะของ DNA เพื่อดูว่ายีนนั้นมีการแสดงออกหรือไม่ ทำให้รู้อายุขัยที่ “ตรงตามความเป็นจริง” มากกว่าการดูจากอายุตามปฏิทิน

ตัวอย่าง บุคคลที่มีอายุ 35 ปี แต่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ เครียด ไม่ออกกำลังกาย ทำให้อายุชีวภาพที่แท้จริงของร่างกายเริ่มเสื่อมจนเท่ากับคนอายุ 45 ปี นับเป็นข้อมูลที่ช่วยให้วางแผนปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล

ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทให้บริการการตรวจเอพิเจเนติกแก่บุคลทั่วไปในหลายประเทศ 

9. เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals)

การดูแลสุขภาพผิวและความงามในปัจจุบันไม่ได้เน้นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังให้ความสำคัญถึงสุขภาพที่ดีจากภายในเพื่อผลในระยะยาวด้วย เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย

เทคโนโลยีที่ไม่เพียงเน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหากับกลไกหลักของความชรา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชราของผิว เช่น การลดจำนวนเซลล์ชรา หรือกระตุ้นการทำงานของยีนซ่อมแซมผิว และยืดอายุผิวออกไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขความชราในระดับเซลล์

ทั้งนี้ ในต่างประเทศมีบริษัทที่ขยายตลาดทางด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยแล้ว เช่น AstaReal และ Beiersdorf ในประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจพัฒนาเวชสำอางอยู่จำนวนหนึ่ง  

สวทช. มีงานวิจัยด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ผ่าน “แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย” มีบริษัทสตาร์ตอัปจากงานวิจัย

เช่น Krono-Life ที่ได้นำส่วนผสมของสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสารออกฤทธิ์ Zenolase และผลิตภัณฑ์ ZenoLase Evanesce Serum

10. แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody)

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เทคโนโลยีแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่กำลังได้รับการจับตาในฐานะเทคโนโลยีแห่งความหวัง ที่จะเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งแบบให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้ 

ปกติแอนติบอดีในร่างกายจะมี “แขนสองข้างที่เหมือนกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายบนผิวเซลล์เชื้อโรคได้เพียงชนิดเดียว แต่แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ เป็นการออกแบบให้มี “แขนสองข้างที่แตกต่างกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายที่ต่างกัน 2 ชนิดได้ในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างการนำไปใช้งาน เช่น ทีเซลล์ เอนเกจเจอร์ (T cell Engager) เป็นการออกแบบแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ที่แขนข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง และแขนอีกข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย

เสมือนดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้ามาใกล้เซลล์มะเร็งเป้าหมาย และช่วยให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น เปรียบได้กับการสร้างสะพานให้กองกำลังทหารเข้าโจมตีผู้ร้ายได้ตรงจุด 

ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดและไขกระดูก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก

ยาบลินไซโต (Blincyto®) หรือ บลินาทูโมแมบ (Blinatumomab)  เป็นแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน และขยายผลสู่การรักษาโรคมะเร็งชนิดก้อน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง ที่สำคัญคือการใช้รักษาโรคติดเชื้อ เช่น HIV 

อย่างไรก็ดี สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 10 เทคโนโลยีที่คัดเลือกมานั้น จะเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนหน่วยงานวิจัยไทย เช่น สวทช.

เพราะมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ความรู้ และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีแบบใดแบบหนึ่งอาจจะเป็น Game Changer สำหรับประเทศก็เป็นได้. 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ประโยค ขอความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ

การพูดขอความช่วยเหลือ (Asking for help)

การขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ ที่เราพูดออกไปนั้น หลายคนคงสงสัยคำพูดที่ใช้สุภาพเพียงพอหรือไม่ อันที่จริงเเล้วการพูดให้สุภาพนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม โดยเฉพาะการพูดกับคนที่เราไม่รู้จัก เพื่อให้คนฟังรู้สึกดีและให้ความร่วมมือกับเรา

วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำ ประโยคขอความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ เพื่อการ “พูดขอความช่วยเหลือ อย่างสุภาพ” มาให้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ

การขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Can, Could และ Would กันก่อน

Can – ขอความช่วยเหลือ เพื่อนหรือคนสนิท

  • Can you help me?
    (แคน ยู เฮลพฺ มี)
    คุณสามารถช่วยฉันได้ไหม
  • Can you do me a favor please?
    (แคน ยู ดู มี อะ ฟะ’เวอะ พลีซ)
    คุณสามารถช่วยอะไรฉันสักนิดได้ไหม

Could – ขอความช่วยเหลือ อย่างสุภาพ

  • Could you help me?
    (คูด ยู เฮลพฺ มี)
    คุณพอจะช่วยฉันได้ไหม
  • Could you please help me out with…..?
    (คูด ยู พลีซ เฮลพฺ มี เอาทฺ วิธ)
    คุณพอจะช่วยฉันเกี่ยวกับ..ได้ไหม

Would – ขอความช่วยเหลืออย่างสุภาพ เป็นทางการ

  • Would you help me?
    (วูด ยู เฮลพฺ มี)
    คุณยินดีที่จะช่วยฉันไหม
  • Would you mind helping me?
    (วูด ยู ไมน์ดฺ เฮล’พิง มี)
    คุณพอจะช่วยฉันได้ไหม (ความหมายแบบเกรงใจมาก ๆ)
  • Would you please explain to me ……?
    (วูด ยู พลีซ เอคซฺ’เพลน ทู มี)
    คุณช่วยอธิบาย…ให้ฉันฟังหน่อยนะ

ประโยคขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ ง่ายๆ

สามารถใช้รูปแบบประโยคนี้ได้ กรณีที่เราขอความช่วยเหลือในเรื่องที่ไม่มากจนเกินไปนัก

  • Can you give me a hand for a minute?
    (แคน ยู กิฟว มี อะ แฮนดฺ ฟอร์ อะ มิน’นิท)
    คุณสามารถช่วยฉันสักพักได้ไหม
  • Could you lend me a hand?
    (คูด ยู เลนดฺ มี อะ แฮนดฺ)
    คุณพอให้ฉันยืมตัวหน่อยได้ไหม

ตัวอย่าง ประโยคขอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ ที่ควรรู้

  • Is there any chance you have time to …?
    คุณพอมีเวลาที่จะ….ได้ไหม
  • Please help me with ….. .
    โปรดช่วยฉันในเรื่อง
  • Is it possible for you to …….. ?
    คุณพอที่จะทำ…ได้ไหม
  • I was wondering if you could please show me how to ….. .
    ฉันไม่แน่ใจว่าคุณพอที่จะทำให้ฉันดูในวิธี…ได้ไหม
  • Do you have any free time on ….?
    คุณมีเวลาว่างที่จะ..ได้ไหม
  • Do you know anything about ….?
    คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ .. หรือเปล่า
  • I was having a problem with ……. Do you think you can help me?
    ฉันกำลังมีปัญหาในเรื่อง… คุณคิดว่าคุณจะสามารถช่วยฉันได้ไหม

ตัวอย่าง ประโยคที่เราเข้าหาไปผู้อื่น และขอให้ช่วยเหลือ

  • If you don’t mind, I could really use your assistance with …. ?
    หากคุณไม่ว่าอะไร ฉันพอจะให้คุณช่วยในเรื่อง…ได้ไหม
  • If you don’t mind, I really need your help with …. .
    หากคุณไม่ว่าอะไร ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณในเรื่อง….จริง ๆ
  • I know (that) you’re good at ….. , and I really could use some help.
    ฉันรู้ว่าคุณเก่งในเรื่อง …. และฉันพอที่จะขอความช่วยเหลือได้
  • I heard (that) you’re really good at …. . Is there any chance you could help me?
    ฉันได้ยินมาว่าคุณนั้นเก่งในเรื่อง…จริง ๆ คุณพอจะช่วยฉันบ้างได้ไหม
  • Is there any chance that you could give me a hand with ….?
    พอเป็นไปได้ไหมที่คุณจะช่วยฉันในเรื่อง…ได้
  • I heard that you have a lot of experience with ….. , and I could really use your help.
    ฉันได้ยินมาว่าคุณมีประสบการณ์อย่างมากในเรื่อง … ฉันน่าจะพอขอความช่วยเหลือจากคุณได้บ้าง

ประโยคเสนอความช่วยเหลือภาษาอังกฤษ

เมื่อเจอคนตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เราอยากแสดงความมีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ พูดได้หลายแบบ ดังนี้

  • Let me help you. ให้ฉันช่วยคุณนะ
  • Do you want any help? คุณต้องการความช่วยเหลือไหม?
  • Do you need a hand? คุณต้องการให้ช่วยไหม
  • What can I do for you? มีอะไรให้ช่วยบ้างหรือเปล่า
  • Is there anything I can do for you? มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยคุณได้บ้างไหม
  • If you want me to help, please let me know. ถ้าคุณอยากให้ช่วย บอกได้เลยนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


กาแฟนมข้าวโอ๊ต (Oat milk) ดีจริงไหม?

กาแฟนมข้าวโอ๊ต ทางเลือกใหม่สายเฮลท์ตี้ดีต่อสุขภาพหรือแค่กระแส มาดูข้อดี ข้อเสียก่อนเลือกดื่มในชีวิตประจำวัน

นมข้าวโอ๊ต คืออะไร และทำไมได้รับความนิยม

นมข้าวโอ๊ต (Oat milk) คือ เครื่องดื่มจากการนำข้าวโอ้ตมาผสมกับน้ำแล้วกรองเอากากออก จนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลคล้ายนมวัว กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่แพ้นมวัว มังสวิรัติ หรือผู้ที่ลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ด้วยรสชาติกลมกล่อมที่เข้ากับกาแฟได้ดี ทำให้เมนูกาแฟผสมนมข้าวโอ้ต เป็นที่นิยมในร้านกาแฟยุคใหม่

ประโยชน์ของกาแฟนมข้าวโอ๊ต

  • ดีต่อผู้แพ้นมวัวและหลีกเลี่ยงแลคโตส เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟนมแต่แพ้นมวัว เพราะนมข้าวโอ้ตปราศจากแลคโตส จึงเหมาะกับผู้ที่มีภาวะไม่ย่อยแลคโตส
  • ไขมันต่ำและคอเลสเตอรอลน้อย สำหรับคนที่ชอบกาแฟมันๆนัวๆ นมข้าวโอ๊ตดีกว่าครีมเทียมหรือนมข้นหวานที่มักใช้ในกาแฟแบบดั้งเดิม
  • มีใยอาหารจากเบต้ากลูแคน ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล
  • เสริมวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะสูตรที่เติมแคลเซียม วิตามิน D และ B12 ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและระบบประสาท
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การผลิตนมข้าวโอ้ตใช้น้ำน้อยและปล่อยคาร์บอนต่ำกว่านมจากสัตว์

ข้อควรระวังในการดื่มกาแฟนมข้าวโอ๊ต

แม้นมข้าวโอ้ต จะเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็มีข้อควรคำนึงเช่นกัน

  • น้ำตาลแฝง นมข้าวโอ้ตหลายสูตรในท้องตลาดมีการเติมน้ำตาลเพิ่ม ควรเลือกสูตร unsweetened หรือเช็คฉลากโภชนาการก่อนซื้อ
  • โปรตีนต่ำกว่านมวัว หากต้องการเสริมโปรตีน อาจต้องพิจารณาเพิ่มโปรตีนจากเมนูอื่นร่วมด้วย
  • อาจไม่เหมาะกับผู้แพ้กลูเตน ถึงแม้ข้าวโอ้ตจะปลอดกลูเตนโดยธรรมชาติ แต่บางยี่ห้ออาจปนเปื้อนจากกระบวนการผลิต
  • ไม่ใช่ทุกสูตรที่เสริมวิตามินแร่ธาตุ ควรเลือกยี่ห้อที่มีการเติมสารอาหารหากใช้ทดแทนนมวัวในระยะยาว

กาแฟนมข้าวโอ๊ต เป็นทางเลือกที่ดีและทันสมัยสำหรับคนใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่หลีกเลี่ยงนมวัวหรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกสูตรที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่ม และพิจารณาปริมาณสารอาหารให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการอย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/08/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,300.0051,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,316.0050,270.5652,200.00
ทองรูปพรรณ 90%2,984.4045,243.50n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,652.8040,216.45n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,492.2022,621.75n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,160.6017,594.70n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,436.2752,093.85n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/08/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9540.8449.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า