อสังหาฯบูมเทรนด์ ReDev เปลี่ยนตึกเก่าให้มีชีวิตอีกครั้ง

อสังหาฯ รีเทิร์นเมืองเก่า บูมเทรนด์ ReDev เปลี่ยนตึกเก่าให้มีชีวิตเมื่อที่ดินแพง พื้นที่ว่างไม่มี…การ “กลับเข้าเมือง” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “โอกาส”
จากตึกเก่า…สู่อนาคตใหม่ เมื่ออสังหาฯกลับหัวขบวนอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนทิศจากการแผ่ขยายสู่ชานเมือง กลับสู่ “ใจกลางเมือง” อีกครั้งแต่ไม่ใช่แค่การสร้างใหม่…เพราะสิ่งที่มาแรงกว่า คือ “การสร้างจากของเดิม”
“ReDevelopment” หรือ ReDev กลายเป็นเทรนด์ร้อนที่ทุกสายตาจับจ้องโดยเฉพาะในย่านที่เคยถูกมองข้าม อย่าง ตลาดน้อย, เจริญกรุง, ทรงวาด, เยาวราช, และ อารีย์ จากโกดังร้าง กลายเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์จากตึกแถวเก่า กลายเป็นโรงแรมบูติกสุดฮิปจากที่ดินแปลงเล็ก กลายเป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่
“ReDevelopment ไม่ใช่แค่การฟื้นฟูอาคาร แต่คือการชุบชีวิตเมือง ผ่านมิติของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และชุมชน” ดร.จิตติศักดิ์ ธรรมาภรณ์พิลาศ อาจารย์ผังเมือง คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ
ReDev คืออนาคตของเมือง และอนาคตของนักพัฒนาในโลกที่ที่ดินเปล่าหายากและราคาสูงขึ้นการ “สร้างใหม่จากของเก่า” ไม่ใช่แค่คำตอบแต่มันคือ “โมเดลธุรกิจใหม่” ที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ และความยั่งยืน
“ReDev ไม่ใช่แค่หลักสูตรอสังหาฯ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด
จากการสร้างสิ่งใหม่ ไปสู่การต่อยอดของเดิม ให้เกิดคุณค่าใหม่” บริสุทธิ์ กาสินพิลา Co-Founder & Director, The NEXT Real
หลักสูตรใหม่ “ReDev”
เกิดขึ้นเพื่อปลุกพลังนักพัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ และเจ้าของที่ดินยุคใหม่ให้เข้าใจศาสตร์และศิลป์พัฒนาเมืองReDevelopmentตั้งแต่กฎหมาย, ทำเล, งานดีไซน์, จนถึงศิลปะการรีโนเวท
เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนเมือง…และเปลี่ยนอนาคตหลักสูตร ReDev จะเริ่มเปิดสอนเดือนต.ค.นี้ด้วยเป้าหมายใหญ่: สร้าง “Ecosystem” ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มองเห็นคุณค่าของเมืองเก่าและพร้อมสร้างเมืองใหม่…จากฐานรากของความเข้าใจเมืองเดิม
เมื่อเมืองขยายถึงขีดสุด…วงจรของอสังหาฯจึงเริ่มย้อนกลับ
การ ReDevelopment ไม่ใช่แค่ “กระแส” แต่คือ “โอกาสใหม่” สำหรับทุกคนที่มองเห็นและพร้อมจะลงมือเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งแรงหนุนอสังหาฟื้นเชื่อมั่น – กำลังซื้อ

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ชี้ลดดอกเบี้ยสัญญาณบวกต่อผู้ซื้อ และผู้ประกอบการ แนะรัฐเร่งคลายเกณฑ์สินเชื่อ กระตุ้นดีมานด์บ้านไม่เกิน 7 ล้าน ช่วยไม่ต้องขึ้นราคาเร็ว
การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.75% และมีผลทันทีนั้น ถือเป็น “ข่าวดี” ที่ส่งแรงหนุนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งฝั่งอุปสงค์ และอุปทานในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกใน 3 มิติหลัก คือ “ต้นทุนการกู้ต่ำลง – ฟื้นความเชื่อมั่น – ผ่อนภาระผู้ประกอบการ” ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยกระตุ้นตลาดบ้านจัดสรรในช่วงครึ่งปีหลังได้อย่างเป็นรูปธรรม
“ดอกเบี้ยที่ลดลงทันที จะส่งผลดีต่อกลุ่มผู้กู้สินเชื่อบ้าน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่ใช้ดอกเบี้ยแบบลอยตัว ภาระผ่อนต่อเดือนจะลดลง เพิ่มความสามารถในการซื้อบ้านในระยะสั้น”
หนึ่งในผลกระทบที่จับต้องได้ชัดเจน คือ ต้นทุนการกู้ยืมลดลง สถาบันการเงินมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามมา ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนอยู่แล้ว ทั้งการลดค่าจดจำนอง-ค่าธรรมเนียมการโอน และการยกเลิกมาตรการ LTV สำหรับทุกระดับราคา
“การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณว่า ธปท.ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง”
ขณะเดียวกัน ในมุมของผู้ประกอบการ ต้นทุนทางการเงินที่ลดลง จะช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนโครงการได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นราคาขาย แม้ว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกต่อทั้งฝั่งอุปสงค์ และอุปทาน
“ต้นทุนการระดมทุนที่ถูกลง เช่น การออกหุ้นกู้หรือการกู้ธนาคาร ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรึงราคาบ้านไว้ได้อีกระยะหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม นายสุนทร ย้ำว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอหากไม่มีการผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ควบคู่กับการเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย
“ภาครัฐ และแบงก์ชาติควรมีบทบาทในการผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ส่งผ่านดอกเบี้ยที่ลดลงไปถึงผู้บริโภคอย่างเต็มที่ พร้อมปรับเกณฑ์สินเชื่อให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน เพื่อให้การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นได้จริง และยั่งยืน”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค.“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง กรณีที่ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15 ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท การเคลื่อนไหวของเงินบาทล่าสุด ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเราที่มองว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง)
แต่เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง (มี bias ในฝั่งเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่า) ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยในช่วงวันนี้ เรามองว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้
โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใสและดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง จากให้โอกาสราว 30% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้
อาจเหลือโอกาส 0%-15% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยในส่วนของเงินบาทนั้น เราประเมินว่า มีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด หรือไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง เช่นปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้ง ในปีนี้
เป็นเกือบ 50% หรือมากกว่าเล็กน้อย (มากกว่า 50% อาจเกิดได้ไม่ยาก หากข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน) ซึ่งในกรณีนี้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงอีกครั้ง
หนุนให้ราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น ส่วนเงินบาทก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และเสี่ยงที่จะแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าว (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เรามองว่า ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน พร้อมจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินหยวน (CNY) เนื่องจากเงินหยวนจีน เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงพอสมควร (High correlation)
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.52 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด
ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดได้ประเมินไว้ก่อนหน้า จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวสูงขึ้น +3.3%y/y (+0.9%m/m) มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้เพียง +2.5%y/y (+0.2%m/m) อย่างเห็นได้ชัด
กอปรกับ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ออกมาดีกว่าคาด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 26% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ จากที่ประเมินไว้ราว 50%-60% ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับ 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของบรรดาผู้เล่นในตลาด
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น และบางส่วนก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ออกมา หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.03%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.55% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและการทหารก็รีบาวด์สูงขึ้น
หลังเผชิญแรงขายทำกำไรในช่วงก่อนหน้า จากแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า บรรดาประเทศในยุโรปก็มีแนวโน้มเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะสงบลงก็ตาม
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.30% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากกว่าคาด โดยภาพดังกล่าว สอดคล้องกับการประเมินของเราที่มองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร (ในช่วงที่ผ่านมา)
ทำให้ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ
ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด
หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เนื่องจากยังคงเชื่อว่า เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อได้ อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
อย่างข้อมูลการจ้างงานและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของบรรดาผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น
และกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงเข้าใกล้โซนแนวรับระยะสั้นแถว 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยยังคงเห็นแรงซื้อทองคำ Buy on Dip จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่ ซึ่งช่วยพยุงให้ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงหนัก
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้พอสมควร โดยเฉพาะ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนสิงหาคม ที่ในรายงานเดียวกันนั้น
ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอย่าง ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมโดย New York Fed (Empire Manufacturing Index) ในเดือนสิงหาคม และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้านใหม่ และราคาบ้านมือสอง ในเดือนกรกฎาคม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.41-32.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำตลาดโลก และสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ ทื่เพิ่มสูงกว่าที่ตลาดคาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. และตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค. (เบื้องต้น)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ใครต้องเจอใคร? ผลจับสลาก “นักกีฬาไทย” รายการ แบดมินตัน ชิงแชมป์โลก 2025

สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้มีการจับสลากประกบคู่การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ในศึก บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ หรือ ศึกชิงแชมป์โลก 2025 (BWF World Championships 2025) ระหว่างวันที่ 25-31 ส.ค.68 นี้ ที่อาดิดาส อารีน่า ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สำหรับนักแบดมินตันไทย ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 15 คน จาก 5 ประเภท ประกอบไปด้วย
ประเภทชายเดี่ยว : “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (แชมป์เก่า) , “กัน” กันตภณ หวังเจริญ
ประเภทหญิงเดี่ยว : “เมย์” รัชนก อินทนนท์ (อดีตแชมป์ปี 2013) , “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ , “เม” ศุภนิดา เกตุทอง และ “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์
ประเภทชายคู่ : “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน , “พี” พีรัชชัย สุบพันธุ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล
ประเภทหญิงคู่ : “เกน” ลักษิกา กัณละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์
ประเภทคู่ผสม : “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียยวสามพราน , “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ และ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์
ล่าสุดผลการจับสายออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 3 ของโลก และแชมป์เก่า พบกับ ยูเรียล ฟรานซิสโก แคนจูรา มืออันดับ 165 ของโลก จากเอลซัลวาดอร์ , “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 47 ของโลก พบกับ อเล็กซ์ ลานิเยร์ มือวางอันดับ 7 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลกจากฝรั่งเศส
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 10 ชองรายการ มืออันดับ 10 ของโลก และอดีตแชมป์ปี 2013 พบกับ เหงียน ทุยลินห์ มืออันดับ 23 ของโลกจากเวียดนาม , “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 6 ของโลก พบกับ จัสลิน ฮอย หยู หยาน มืออันดับ 105 ของโลก จากสิงคโปร์ , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 18 ของโลก พบกับ เทเรซ่า สวาบิโควา มืออันดับ 92 ของโลกจากเช็กเกีย และ “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มือวางอันดับ 11 ของรายการ มืออันดับ 11 ของโลก พบกับ มิรินด้า วิลสัน มืออันดับ 112 ของโลกจากเยอรมนี
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 3 ของโลก และ “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 14 ของรายการ คู่มืออันดับ 15 ของโลก ได้บายในรอบแรก ส่วน “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 48 ของโลก พบกับ จูเลียน ไมโอ กับ เลอาร์ ปาแลร์โม่ คู่มืออันดับ 36 ของโลกจากฝรั่งเศส
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “เกน” ลักษิกา กัณละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มืออันดับ 41 ของโลก พบกับ กรอนย่า ซอเมอร์วิลล์ กับ แองเจล่า หยู คู่มืออันดับ 30 ของโลกจากออสเตรเลีย
ประเภทชายคู่ รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือวางอันดับ 12 ของรายการ คู่มืออันดับ 12 ของโลก ได้บายในรอบแรก ส่วน “พี” พีรัชชัย สุบพันธุ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มืออันดับ 43 ของโลก พบกับ เฉิน ซี่ยี่ กับ เพรสลี่ย์ สมิธ คู่มืออันดับ 30 ของโลกจากสหรัฐ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เมื่อโรคพิษสุนัขบ้าระบาด ดูแลตัวเองและสัตว์เลี้ยงอย่างไรให้ปลอดภัย

โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากไวรัส สามารถติดต่อจากสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าไปสู่คนได้ หากไม่ได้รับการป้องกันหรือรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร
โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies virus) ที่อยู่ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว หรือสัตว์ป่าอื่นๆ การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อถูกกัด ข่วน หรือเลียน้ำลายเข้าบาดแผล เชื้อจะเดินทางเข้าสู่ระบบประสาทและสมอง ทำให้เกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า
อาการในคน
- ระยะฟักตัว 1–3 เดือน (อาจนานกว่านั้น)
- มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
- แผลจากการกัดปวดและคันมาก
- กลัวน้ำ กลัวลม กล้ามเนื้อกระตุก
- อาการทางประสาท เช่น สับสน วุ่นวาย ก้าวร้าว
- หากแสดงอาการแล้ว มักเสียชีวิตในไม่กี่วัน
อาการในสัตว์เลี้ยง
- ก้าวร้าว หงุดหงิด หรือซึมผิดปกติ
- กินของแปลก
- น้ำลายไหลมาก
- กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก
- มีปัญหาในการกลืน
วิธีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- พาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เร่ร่อนหรือสัตว์ป่า
- หากถูกกัดหรือข่วน ให้ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันทีอย่างน้อย 15 นาที และเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- รีบไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีนและเซรุ่มป้องกันโรค
วิธีดูแลสัตว์เลี้ยงในช่วงโรคระบาด
- ตรวจสมุดวัคซีนของสัตว์ ว่าครบกำหนดหรือไม่
- หลีกเลี่ยงการพาสัตว์ออกไปสัมผัสกับสัตว์อื่นโดยไม่จำเป็น
- หากสัตว์เลี้ยงมีพฤติกรรมผิดปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
- กั้นรั้วบ้านเพื่อป้องกันสัตว์จรจัดเข้ามาใกล้
การดูแลตัวเองหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
- สวมถุงมือหรืออุปกรณ์ป้องกันหากต้องสัมผัสสัตว์
- ระวังไม่ให้บาดแผลเปิดสัมผัสน้ำลายสัตว์
- รู้ตำแหน่งสถานพยาบาลที่มีวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- ให้ความรู้กับคนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็ก ว่าไม่ควรเล่นหรือแหย่สัตว์ที่ไม่รู้จัก
โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่ไม่ควรประมาท เพราะหากติดเชื้อและเริ่มมีอาการแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง การระมัดระวังตัวเอง และรู้วิธีปฏิบัติเมื่อถูกกัดหรือข่วน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปกป้องทั้งตัวคุณและสัตว์เลี้ยงจากโรคร้ายนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เริ่มเขียนภาษาอังกฤษ อย่างไร? ให้งานเขียนดี

การเริ่มเขียนภาษาอังกฤษที่ดี
หลายคนที่กำลังเริ่มฝึกเขียนเรียงความหรือบทความเป็นภาษาอังกฤษกันอยู่นั้น แต่ติดปัญหา “ไม่รู้เริ่มเขียนภาษาอังกฤษอย่างไร?” ให้งานเขียนดี หรือเราจะพัฒนาการเขียนของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง
ในการเขียนภาษาอังกฤษนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเก่งในเชิงของหลักไวยากรณ์และจำนวนคำศัพท์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การเริ่มต้นการเขียนที่ดี จะช่วยให้คุณมีชัยไปกว่าครึ่ง ถ้าพร้อมแล้วเอ็ด ดู เฟิร์สท์จะพาคุณไปเรียนรู้ถึงกระบวนการเขียน Writing ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาการเขียนไปถึงขั้นสูงได้ไม่ยากดังนี้
6 ข้อที่ควรรู้ ในการเริ่มต้นเขียนภาษาอังกฤษ
1. ระดมสมอง (Brainstorming)
คือ การระดมความคิดของคุณจากหัวข้อ (Topic) ต่างๆ จากนั้นกำหนดแนวคิด หัวข้อหลัก, หัวข้อย่อย ที่คุณได้เลือกไว้ เพื่อทำการค้นหาไอเดียสำหรับการเขียนเรื่องนั้นๆ
สามารถหาไอเดียจากรอบตัวคุณ ยิ่งการพูดออกมาเป็นคำพูดจะช่วยให้คุณคิดไอเดียดีๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการเขียนต้องอาศัยหลายส่วนประกอบ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากไอเดียที่หลากหลาย
2. การเชื่อมโยง (Mapping)
คือ การเชื่อมโยงเรื่องราวตามไอเดียที่คุณได้ทำการวางแผนมาเบื้องต้นแล้ว ให้สามารถเชื่อมโยงต่อกัน จนสามารถมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราว ที่คุณจะทำการเขียนได้
3. วางโครงเรื่อง (Making a list)
วางโครงเรื่องก่อนที่คุณจะเริ่มทำการเขียน โดยเรียงตามลำดับก่อนหลัง หรือที่เรียกกันว่า “ลำดับความคิด” ก่อนที่จะลงมือเขียนจริง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องราวของคุณได้ง่ายขึ้น
4) เริ่มลงมือเขียน (Start writing)
หลังจากที่วางโครงเรื่องแล้วและพร้อมที่จะเขียนแล้ว ก็ลงมือเริ่มเขียนจริงเลย และอย่ากังวล คิดว่าการเขียนของคุณแย่ ทำการเขียนออกมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งคุณเขียนมากก็เท่ากับคุณได้ฝึกฝนมาก
5) ตรวจสอบและแก้ไข (Editing)
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว อย่าลืมทำการแก้ไขในจุดผิดต่างๆ เช่น ไวยากรณ์ที่ผิดพลาด คำศัพท์ที่เหมาะสม การขึ้นย่อหน้า การวรรคตอน ในทุกบรรทัด และทำการตรวจซ้ำอีกรอบ
6. นำไปเผยแพร่ (Publishing)
เมื่อคุณได้ปรับแต่งและแก้ไขงานเขียนของคุณแล้ว คุณสามารถส่งให้อาจารย์หรือนักเขียนที่มีประสบการณ์ ได้อ่านงานเขียนของคุณ เพื่อการได้รับคำแนะนำในการพัฒนาการเขียนที่ดีเพิ่มเติม หรืออาจได้รับคำชมเชยงานเขียนได้อย่างภาคภูมิใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
Claude Sonnet 4 ยกระดับความจำ AI ล้านโทเคน เปลี่ยนเกมประมวลผลข้อมูล

Anthropic เปิดตัว Claude Sonnet 4 ความจำ 1 ล้านโทเคน อ่านเอกสารหลายหมื่นหน้า-โค้ดเบสนับพันไฟล์ในครั้งเดียว จุดชนวนศึกชิงผู้นำตลาด AI
Anthropic เปิดตัว Claude Sonnet 4 พร้อมศักยภาพความจำขนาด 1 ล้านโทเคน ก้าวกระโดดครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนที่รองรับเพียง 100,000 โทเคน เพิ่มขีดความสามารถให้โมเดลสามารถอ่าน วิเคราะห์ และเชื่อมโยงข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในคราวเดียว ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหลายหมื่นหน้า หรือโค้ดเบสที่มีไฟล์นับพัน โดยไม่ต้องแบ่งเป็นส่วนย่อยเหมือนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ Claude เคยสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการด้วยบริบท 100K โทเคน ซึ่งเพียงพอสำหรับประมวลผลนิยายทั้งเล่ม หรือวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ในครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อตลาด AI ร้อนระอุจากการเปิดตัว Gemini 1.5 Pro ของ Google ที่มีบริบท 1 ล้านโทเคน Anthropic ก็ไม่รอช้า ส่ง Claude Sonnet 4 ลงสนาม เพื่อยกระดับการแข่งขันทันที ความจำระดับนี้เทียบเท่ากับการรองรับข้อมูลมากกว่า 75,000 หน้า ช่วยให้โมเดลเข้าใจโครงสร้างและความเชื่อมโยงของข้อมูลทั้งหมดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ศักยภาพดังกล่าวเปิดโอกาสใช้งานในวงกว้าง ตั้งแต่วิเคราะห์โค้ดทั้งระบบเพื่อตรวจสอบโครงสร้างและ dependencies การสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารจำนวนมาก เช่น กฎหมาย งานวิจัย หรือสเปกเทคนิคเชิงลึก ไปจนถึงการทำวิจัยที่ต้องอ้างอิงข้อมูลมหาศาลในครั้งเดียว
ปัจจุบัน Claude Sonnet 4 เปิดให้ใช้งานใน public beta ผ่าน API ของ Anthropic และ Amazon Bedrock พร้อมแผนจะขยายบริการสู่ Google Cloud Vertex AI ในอนาคตอันใกล้ การอัปเกรดครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการตอบโต้คู่แข่ง แต่ยังสะท้อนทิศทางการแข่งขันของตลาด AI ที่มุ่งเพิ่มขนาดบริบทและความสามารถด้านการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อชิงความเป็นผู้นำในยุคที่ข้อมูลคือพลังขับเคลื่อนหลักของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ส้มจุก” คืออะไร ต่างจากส้มทั่วไปอย่างไร พร้อมประโยชน์และวิธีเลือก

ส้มจุก คือผลไม้ตระกูลส้มที่มีลักษณะเฉพาะคือมีกลีบเล็ก เนื้อแน่น และมีจุกนูนบริเวณขั้วด้านบน รสชาติหวานอมเปรี้ยวและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งต่างจากส้มทั่วไปทั้งด้านรส กลิ่น และเนื้อสัมผัส
ลักษณะเด่นของส้มจุก
- มีจุกนูนชัดเจนที่ขั้วผล เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
- เนื้อแน่น มีกลีบเล็ก รสหวานนำและเปรี้ยวเล็กน้อย
- กลิ่นหอมเฉพาะที่เข้มกว่าส้มทั่วไป
- เปลือกหนาปานกลาง ลอกง่ายกว่าส้มบางสายพันธุ์
ความแตกต่างระหว่างส้มจุกกับส้มทั่วไป
- รูปร่าง – ส้มจุกมีจุกนูนที่ขั้ว ในขณะที่ส้มทั่วไปมักไม่มี
- รสชาติ – ส้มจุกหวานจัดและมีเปรี้ยวน้อยกว่าส้มสายน้ำผึ้งหรือส้มเขียวหวาน
- เนื้อสัมผัส – ส้มจุกเนื้อแน่นกว่า กลีบเล็ก เคี้ยวเพลิน ในขณะที่ส้มทั่วไปบางพันธุ์เนื้อฟูหรือมีน้ำมาก
- กลิ่น – ส้มจุกมีกลิ่นหอมเฉพาะที่ชัดเจนกว่าส้มทั่วไป
คุณค่าทางโภชนาการของส้มจุก
- วิตามินซีสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา
- ใยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย
- สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- แร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต
ประโยชน์ของส้มจุกต่อสุขภาพ
- ช่วยให้ผิวพรรณสดใสจากวิตามินซี
- ลดความเสี่ยงโรคหวัดและการติดเชื้อ
- ช่วยการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
- เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
วิธีเลือกส้มจุกให้อร่อย
- เลือกผลที่มีจุกนูนชัดเจนและสมบูรณ์
- เปลือกตึง แน่น น้ำหนักดี แสดงว่าฉ่ำน้ำ
- เลือกผลที่ไม่บุบหรือมีรอยช้ำ
- กลิ่นหอมสดชื่นแม้ยังไม่ปอก
วิธีเก็บรักษาส้มจุก
- เก็บในอุณหภูมิห้องได้ 3-5 วัน
- หากต้องการเก็บนาน ควรแช่ตู้เย็นช่องผัก
- ไม่ควรล้างน้ำก่อนเก็บเพื่อป้องกันเชื้อรา
ส้มจุก เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์ด้านรสชาติ กลิ่น และเนื้อสัมผัส มีคุณค่าทางโภชนาการ อุดมด้วยวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับการทานสดเป็นของว่างเพื่อสุขภาพ หรือใช้ประกอบเมนูขนมและน้ำผลไม้ ทั้งนี้การเลือกและเก็บรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ได้รสชาติที่สดใหม่และอร่อยที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,200.00 | 51,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,310.00 | 50,179.60 | 52,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,979.00 | 45,161.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,648.00 | 40,143.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,489.50 | 22,580.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,158.50 | 17,562.86 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,430.05 | 51,999.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 49.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |