สาระน่ารู้ประจำวันที่ 01 กันยายน 2568

ยอดโอนคอนโดต่างชาติครึ่งปีแรก จีนนำแต่’เมียนมา’โตแรงทะลุ100%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยยอดโอนคอนโดต่างชาติครึ่งปีแรก 7,167 หน่วย มูลค่ากว่า 28,000 ล้าน “จีน” ยังนำ แต่แนวโน้มถอย “เมียนมา” ก้าวขึ้นโตแรงทะลุ 100%

ท่ามกลางภาพรวมตลาดคอนโดที่ยังทรงตัว ความเคลื่อนไหวของ “ผู้ซื้อชาวต่างชาติ” กลับบอกอะไรบางอย่างที่ลึกกว่าสถิติ—ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวน แต่คือ “ทิศทาง” ของเงินทุนจากต่างแดนที่กำลังเปลี่ยนมือ  

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานว่า ครึ่งปีแรก 2568 มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากต่างชาติรวม  7,167 หน่วย มูลค่ารวม 28,710 ล้านบาทกว่า 80% กระจุกตัวใน “กรุงเทพฯ–ชลบุรี”

REIC ระบุชัดในรายงาน ว่า จีน ยังครองแชมป์ แต่กำลัง “ถอย” แม้จีนยังครองอันดับ 1 ด้วยยอดโอน 899 หน่วย ในไตรมาส 2 มูลค่า 6,117 ล้านบาท (ครึ่งปี)แต่ตัวเลข ลดลงต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดไตรมาส 2/2568 ยอดโอนลดลง 28.8% เป็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจจีนในประเทศเริ่มกระทบพฤติกรรมการลงทุน หากมองเชิงโครงสร้าง

เมียนมา ตัวเต็งใหม่ ยอดโตพุ่ง 119%

ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เมียนมา”กลับมียอดโอนพุ่งแรงเกินคาด ไตรมาส 2 โอน 533 หน่วย (เพิ่มขึ้น 119.3%) มูลค่า 1,347 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 30.9%)แรงส่งสำคัญ เหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้คนเมียนมามีแนวโน้มหาที่อยู่อาศัยสำรองในไทย จากภัยพิบัติ…สู่การย้ายทรัพย์สินข้ามพรมแดน จังหวัด เชียงใหม่, ชลบุรี, กรุงเทพ กลายเป็นจุดหมายใหม่

10 ชาติหลักที่ซื้อคอนโดไทย (ครึ่งปีแรก 2568)

อันดับ 1  จีน จำนวน 899  หน่วย
อันดับ2   เมียนมา  จำนวน    533 หน่วย
อันดับ3   รัสเซีย    จำนวน272 หน่วย
อันดับ4   ไต้หวันจำนวน    181หน่วย
อันดับ5   ฝรั่งเศส    จำนวน170 หน่วย
อันดับ6   สหรัฐฯ    จำนวน124 หน่วย
อันดับ7   สหราชอาณาจักร    จำนวน108 หน่วย
อันดับ8   เยอรมนี     จำนวน108 หน่วย
อันดับ9   อินเดีย    จำนวน66   หน่วย
อันดับ10  ญี่ปุ่น     จำนวน38 หน่วย

สะท้อนอะไรในระยะยาว?

ตลาดคอนโดไทยกำลังสะท้อนภาพ “หลากหลายมากขึ้น”การที่จีนเริ่มชะลอ ไม่ได้หมายถึงตลาดจะซบเซาในทางกลับกัน ตลาดกลับ “เปิดกว้าง” ให้ผู้เล่นใหม่จากอาเซียนและยุโรปเข้ามาแทนที่

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อินเด็กซ์ปักหมุดเชียงรายดันเมืองรองสู่ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์บ้าน

“อินเด็กซ์ ”ทุ่ม 200 ล้านปักหมุดเชียงราย ตอบรับดีมานด์ทั้งผู้บริโภค-ภาคธุรกิจ-ท่องเที่ยวดันเมืองรองสู่ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์บ้าน

เมื่อแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เบอร์หนึ่งของไทยเดินเกมรุก ปักหมุดสาขาในเมืองรองอย่าง “เชียงราย” การขยับตัวครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การขยายสาขา…แต่คือบทพิสูจน์กลยุทธ์ “Retail Localization” ที่เข้าใจทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทิศทางเมือง และโอกาสทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง

“เชียงรายไม่ได้เป็นแค่เมืองรอง แต่คือเมืองเป้าหมาย”  กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน)  กล่าว 

เหตุผลทำไม “อินเด็กซ์” ต้องเลือกเชียงราย

  • เมืองท่องเที่ยวดาวรุ่งเชียงรายติดอันดับ เมืองรองที่มีรายได้ท่องเที่ยวสูงสุด ในครึ่งปีแรก 2568
  • นักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติหลั่งไหล สร้างดีมานด์ที่พัก-โรงแรม-ของตกแต่งบ้าน
  • ฮับเศรษฐกิจภาคเหนือ
  • จุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน ลาว-เมียนมา-จีน (R3A)
  • มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ทั้งถนนและสนามบินนานาชาติ

อสังหาฯ โต – ไลฟ์สไตล์เปลี่ยน

ดอกเบี้ยขาลง ส่งเสริมการซื้อบ้าน ทำให้ดีมานด์เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น กลุ่มผู้ซื้อบ้านรุ่นใหม่เน้นความครบครัน ดีไซน์ และความยั่งยืน  เศรษฐกิจท้องถิ่นขยายตัว Index วางตัวเป็นศูนย์กลางสินค้าบ้านสำหรับ ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและ B2B  ตอบโจทย์โครงการอสังหาฯ, โรงแรม, รีสอร์ต, โรงพยาบาล และ SME จึงเป็น โอกาสเติบโตของแบรนด์ จากฐานสมาชิก JOY Member กว่า 16,000 คนใน 5 จังหวัดภาคเหนือ เชียงรายคือโอกาสต่อยอดแบรนด์และฐานลูกค้าใหม่

ไฮไลต์ ‘THE NEW LIFE EXPERIENCE’ 

1. New Design ดีไซน์ร้านแบบ Modern Cozy ผสมผสานกลิ่นอายท้องถิ่น เช่น ดอกพวงแสด, เครื่องปั้นเวียงกาหลง

“เราต้องการให้การช้อปปิ้งที่นี่ไม่ใช่แค่ซื้อของ…แต่เป็นการสัมผัสวิถีเชียงราย”

2. New Zone โซนใหม่ รวมแบรนด์ดัง พร้อม Design Studio สำหรับให้คำแนะนำการแต่งบ้านแบบมืออาชีพ
รองรับงานโปรเจกต์ B2B ตั้งแต่ SME จนถึงโรงแรมระดับพรีเมียม

3. New Offers โปรฯ เปิดร้าน จัดเต็มตั้งแต่แจกทอง, เครื่องฟอกอากาศ, ส่วนลด, E-Voucher ถึงของขวัญแฮนด์เมด

4. New Member เร่งขยายฐาน JOY Member รับสิทธิ์สุดคุ้ม 3 ต่อ พร้อมพอยท์ x3 ยาวถึงสิ้นปี

5. Sustainability ชูแนวคิด “เราได้ โลกได้ เขาได้” ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เช่น วัสดุรีไซเคิล, ไอเทมลดพลาสติก

สนับสนุนงานคราฟท์ท้องถิ่น เช่น พัดไม้ไผ่-ผ้าทอมือ

“ILM เชียงราย จะเป็นมากกว่าสาขา…แต่คือศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งภาคเหนือ” เมื่อ “บ้าน” คือจุดเริ่มต้นของความสุข และ “เมือง” คือรากฐานของคุณภาพชีวิตการปักหมุดของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในเมืองรองที่เปี่ยมเสน่ห์อย่างเชียงรายจึงไม่ใช่แค่การขยายธุรกิจ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้1 ก.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ และความวุ่นวายของการเมืองไทยอาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้1 ก.ย.2568 ที่ระดับ  32.32 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.39 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB)  ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์

 (แกว่งตัวในกรอบ 32.28-32.43 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านสำคัญของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ล่าสุด ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นกว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดัน หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความกังวลการเข้าแทรกแซงเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

 ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ของวันศุกร์ที่ 5 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย โดยในช่วงก่อนหน้านั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม

รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับใหม่ (JOLTS Job Openings) ในเดือนกรกฎาคม และยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการจ้างงานของสหรัฐฯ และอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 87% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมดังกล่าว

 ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนสิงหาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ และยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนสิงหาคม โดย RatingDog (เดิมคือรายงานข้อมูล Caixin PMIs) ซึ่งจะสะท้อนถึงภาวะภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลางของจีนได้เป็นอย่างดี

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนกรกฎาคม ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 69% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps อีก 1 ครั้ง ในปีนี้

ในส่วนนโยบายการเงินนั้น ทางฝั่งธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.75% ทว่า ผู้เล่นในตลาดคงมองว่า BNM มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps ภายในช่วง 1 ปี ข้างหน้า เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 ▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองไทย เพื่อประเมินแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และความเป็นไปได้ของการยุบสภา ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในช่วงปลายปี หรือ ไตรมาส 1 ของปีหน้า ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนสิงหาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดซึ่งจะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นับจากวันนี้ จนเข้าใกล้การประชุม FOMC เดือนกันยายน (รับรู้วันที่ 18 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย)

โดยเรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาทองคำ (XAUUSD) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ ความวุ่นวายของการเมืองไทย อาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติและสร้างความผันผวน รวมถึงแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ อนึ่ง ในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงนั้น เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์(แนวต้านถัดไป 32.65-32.70) ในทางกลับกัน เงินบาทยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซนแนวรับถัดไปในช่วง 32.10 บาทต่อดอลลาร์

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และยังคงเผชิญ Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.45 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.32-32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.02 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยแม้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ก็ยังคงรักษาทิศทางแข็งค่าสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ หลังการรายงานข้อมูลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล [US PCE +0.2% MoM, +2.6% YoY] ออกมาตามตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ซึ่งหนุนโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนก.ย. นี้ 


สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เหลือโควตาอีก 2 ทีม! เปิดรายชื่อ 6 ชาติ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม ศึกชิงแชมป์โลก 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568

โดยหลังผ่านการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไปแล้ว 6 คู่ ทำให้ถึงตอนนี้ได้แล้ว 6 ชาติ ที่สามารถการันตีการผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

สรุปทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025

  • เนเธอร์แลนด์
  • ญี่ปุ่น
  • อิตาลี
  • โปแลนด์
  • ฝรั่งเศส
  • บราซิล

โปรแกรม วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบ 16 ทีมสุดท้าย คู่ที่เหลือ

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568
เวลา 17.00 น. สหรัฐอเมริกา พบ แคนาดา
เวลา 20.30 น. ตุรกี พบ สโลวีเนีย

สำหรับ การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะเล่นในระบบน็อกเอาต์ แข่งขันกันที่สนาม อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก, กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รวม 10 โรคแปลกประหลาดที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน

นอกจากโรคที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ยังมีโรคหายากและแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ บางโรคเกี่ยวข้องกับร่างกาย บางโรคเกี่ยวกับจิตใจ และบางโรคก็ฟังดูเหนือจินตนาการราวกับอยู่ในนิยาย มาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้าง

รวม 10 โรคแปลกประหลาดที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน

โรคนอนมากเกินไป (Hypersomnia)

เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีความต้องการนอนมากกว่าปกติ มีอาการง่วงนอนตลอดเวลา ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน

โรคไม่เคยลืม (Hyperthymesia)

เป็นโรคที่สมองมีหน่วยความจำมากกว่าคนทั่วไป ผู้ป่วยสามารถจำรายละเอียดเหตุการณ์หรือประสบการณ์ในชีวิตได้อย่างแม่นยำและชัดเจน

โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง (Imposter Syndrome)

โรคนี้จะทำให้คุณคิดไปเองว่า “ฉันไม่เก่ง ฉันไม่มีค่า ไม่มั่นใจในตัวเอง” โดยจะพบได้บ่อยในคนที่มีแนวโน้มชอบความสมบูรณ์แบบ

โรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia)

เป็นภาวะที่ไม่ชอบการถูกเนื้อต้องตัวหรือการสัมผัสกับผู้อื่น หรือเข้าใกล้ใครก็ตามในทุกกรณี ซึ่งความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่เป็นความกลัว

โรคกลัวความรัก (Philophobia)

โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การถูกทอดทิ้ง หรือการถูกนอกใจ

โรคศพเดินดิน (Walking corpse syndrome)

เป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยเชื่อว่าตนเองเสียชีวิตแล้ว หรือคิดว่าร่างกายของตนเองไม่มีชีวิต แต่ยังมีสติรับรู้ ชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ Cotard Delusion (ภาวะหลงผิดแบบโคทาร์ด)

โรคแวมไพร์ (Vampire Disease)

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของเลือด โดยอาการจะแสดงออก 2 ลักษณะหลัก คือทางจิตและทางผิวหนังของร่างกาย

โรคที่มองทุกอย่างกลับหัว (Spatial orientation phenomenon)

โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยมองเห็นทุกอย่างกลับหัวจากปกติ เช่น เวลาอ่านหนังสือหรือดูทีวี จะต้องกลับหัวเท่านั้นถึงจะดูรู้เรื่อง

โรคที่มองของเล็กเป็นของใหญ่ (Alice in Wonderland Syndrome)

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติทางประสาทที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

โรคมือเอเลี่ยน (Alien Hand Syndrome)

โรคนี้ถือเป็นโรคที่ประหลาดและอันตรายที่สุด เป็นอาการทางระบบประสาทที่หายารักษาได้ยาก และส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมมือของตัวเองได้

โรคเหล่านี้อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ล้วนเกิดขึ้นจริงกับผู้คนในโลกของเรา การเรียนรู้เกี่ยวกับโรคหายากเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ยังทำให้เราเห็นความซับซ้อนของร่างกายและจิตใจมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


พูดภาษาอังกฤษ ได้อย่างมั่นใจ ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณ พูดภาษาอังกฤษ ได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเคยกลัว พูดติดขัด หรือไม่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะ หากคุณกำลังเริ่มต้นหรืออยู่ในช่วงฝึกฝนการ เรียนภาษาอังกฤษ บทความนี้จะช่วยเปลี่ยนมุมมอง พัฒนาแนวคิด และมอบเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริง ช่วยให้คุณกล้าพูดและสื่อสารได้อย่างมั่นใจมากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ แม้เป็นผู้เริ่มต้น เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย เพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปต่อยอดการพัฒนาทักษะอย่างเป็นระบบและเห็นผลเร็ว

ทำไมคนไทยถึงไม่มั่นใจเวลา พูดภาษาอังกฤษ

หลายคนที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ มักประสบปัญหาเดียวกันคือ รู้คำศัพท์บ้าง เข้าใจไวยากรณ์บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาต้องพูดจริงกลับรู้สึกกลัว ไม่กล้า หรือพูดติด ๆ ขัด ๆ ปัญหาหลักมักเกิดจากความกลัวว่าจะพูดผิด สำเนียงไม่ดี หรือคนอื่นจะหัวเราะ ซึ่งความคิดเหล่านี้สะสมมาจากการเรียนที่เน้นท่องจำมากกว่าการใช้จริง อีกทั้งยังขาดการฝึกฝนในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน

การ เรียนภาษาอังกฤษ แบบที่ไม่มีโอกาสได้โต้ตอบหรือฟังเสียงตัวเองอาจยิ่งทำให้ไม่มั่นใจ นอกจากนี้ บางคนมีความคิดว่า “ฉันไม่เก่งภาษา” หรือ “ฉันไม่มีพรสวรรค์” ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจโดยตรง

เริ่มจากเปลี่ยนความคิด (Mindset) เพื่อสร้างความมั่นใจ

จุดเริ่มต้นของการพูดได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่แค่การท่องศัพท์เพิ่ม แต่คือการเปลี่ยนความคิด คนที่ประสบความสำเร็จในการ พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรก แต่พวกเขากล้าที่จะผิด และเรียนรู้จากความผิดพลาด หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ อยู่ตอนนี้ ลองตั้งเป้าหมายใหม่ว่า “ฉันจะกล้าพูด แม้จะผิด” มากกว่าการคาดหวังว่าจะพูดถูกต้องทุกคำ เพราะไม่มีใครพูดได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก โดยเฉพาะผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย การปล่อยวางความกลัวจึงสำคัญมาก อีกหนึ่งวิธีคือการฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจก หรืออัดเสียงแล้วฟังซ้ำ วิธีนี้ช่วยให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเอง และค่อย ๆ ปรับเสียง น้ำเสียง และจังหวะการพูดได้อย่างมั่นใจขึ้น

แนะนำเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้ พูดภาษาอังกฤษ ได้มั่นใจมากขึ้น

  • ฟังและเลียนแบบ (Listen and Imitate): การดูหนัง ฟังพอดแคสต์ หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษช่วยให้คุณซึมซับสำเนียง การออกเสียง และการใช้ภาษาตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผู้เรียนหลายคนใช้แล้วได้ผล โดยเฉพาะผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
  • ฝึกพูดทุกวัน: แม้เพียงวันละ 5-10 นาที ก็สามารถช่วยเพิ่มความคุ้นเคยและลดความประหม่าได้ ลองตั้งหัวข้อสนุก ๆ เช่น “พูดถึงแผนในวันหยุด” หรือ “เล่าเรื่องอาหารที่ชอบ” แล้วฝึกพูดออกมาดัง ๆ
  • หาเพื่อนหรือครูฝึกสนทนา: การมีคนให้พูดด้วยจริง ๆ จะช่วยให้คุณเรียนรู้การโต้ตอบ ฝึกฟัง และใช้คำในบริบทจริง หากไม่มีเพื่อนฝึก อาจลองลงทะเบียนใน คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีการเรียนแบบโต้ตอบหรือเรียนแบบกลุ่มเล็ก ๆ
  • อย่ากลัวสำเนียง: คนไทยหลายคนไม่กล้าพูดเพราะกลัวสำเนียงไม่เหมือนเจ้าของภาษา แต่ความจริงคือ “ความชัดเจน” สำคัญกว่าความเป๊ะ สำเนียงเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ในระยะยาว ดังนั้นขอแค่สื่อสารรู้เรื่องก็ถือว่าคุณพูดได้ดีแล้ว
  • ใช้เทคโนโลยีช่วย: ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยให้ฝึกพูดได้ เช่น แอปฝึกออกเสียง หรือ AI ที่ให้คำแนะนำการพูดอย่างละเอียด การนำเทคโนโลยีมาเสริมการ เรียนภาษาอังกฤษ ทำให้การฝึกสนุกและได้ผลมากขึ้น

สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาอย่างจริงจัง การเลือก เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกและยืดหยุ่น โดยเฉพาะผู้ที่มีเวลาจำกัดหรือไม่สะดวกเดินทาง เพราะสามารถเรียนได้จากสถานที่ใดก็ได้ตามที่เราสะดวกสบายที่สุด

การพูดภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวิธีคิด และเสริมด้วยการฝึกฝนที่เหมาะสม ใคร ๆ ก็สามารถพัฒนาได้ ไม่จำเป็นต้องเก่งมาก่อน ขอแค่กล้าลองและไม่ยอมแพ้ต่อความกลัว หากคุณอยู่ในช่วง เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ขอเพียงไม่หยุดพัฒนา และเลือกแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง ทั้งการเรียนด้วยตัวเองหรือผ่าน คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ก็สามารถนำคุณไปสู่การพูดได้อย่างมั่นใจในไม่ช้า

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


‘อีเมล’ จุดอ่อนอันตราย ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ไทยยุค ‘AI’

  • อีเมลถือเป็นจุดอ่อนสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของไทย
  • การโจมตีแบบ Phishing และการหลอกลวงผ่านอีเมลธุรกิจ (BEC) เป็นภัยคุกคามหลักที่สร้างความเสียหายรุนแรง
  • เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิงที่แนบเนียนและตรวจจับได้ยากขึ้น ทำให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและอันตรายกว่าเดิม
  • แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่บังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญไว้ในประเทศ แต่องค์กรไทยจำนวนมากยังใช้บริการอีเมลจากผู้ให้บริการคลาวด์ต่างชาติ ซึ่งสร้างความเสี่ยงด้านอธิปไตยทางข้อมูล
  • การรับมือภัยคุกคามในยุค AI จำเป็นต้องมองว่าระบบอีเมลเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
  • ต้องเสริมความแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์และจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศ

วันนี้เทคโนโลยีกลายเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่แพลตฟอร์มภาครัฐที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงระบบคลาวด์ที่แพร่หลายครอบคลุมทั่วประเทศ

แต่เมื่อการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น “ความเสี่ยง” จึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดและถูกประเมินค่าต่ำเกินไปในปัจจุบันคือ “อีเมล”

เกาตัม รามาจันทรัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด ซิมบ้า (Zimbra)  ผู้ให้บริการอีเมลและแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันชั้นนำ เผยว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์มากกว่า 1,000 ครั้ง

ตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พบว่า องค์กรกว่า 60% ในประเทศไทยประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหล และมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อแก้ปัญหา

ไทยเป้าหมายอันดับต้นๆ ‘ฟิชชิง’

การศึกษาพบว่าฟิชชิง (Phishing) ยังคงเป็นวิธีการลักลอบเจาะระบบที่พบบ่อยที่สุด โดย Cisco Talos รายงานว่าในปี 2567 มีการโจมตีแบบฟิชชิ่งมากกว่า 3 แสนครั้งที่มุ่งเป้ามายังธุรกิจในไทย ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีฟิชชิ่งทางการเงินอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ยังมีการหลอกลวงผ่านอีเมลธุรกิจ (Business Email Compromise – BEC) ซึ่งผู้โจมตีจะปลอมตัวเป็นบุคลากรในองค์กรเพื่อหลอกให้โอนเงินหรือขโมยข้อมูล ถือเป็นหนึ่งในผลกระทบที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดจากการโจมตีผ่านอีเมลเหล่านี้

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคืออีเมลจะต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญสูงสุดในด้านความปลอดภัย

โดยเฉพาะในเวลาที่เศรษฐกิจดิจิทัลมีอิทธิพลสูงเช่นทุกวันนี้  ระบบอีเมลจำเป็นต้องถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (Critical Infrastructure) ของประเทศ เช่นเดียวกับระบบคมนาคม พลังงาน หรือการเงิน

คุมเข้มอธิปไตยทาง ‘ข้อมูล’

หากพูดถึง อีเมลกับความจำเป็นในการควบคุมข้อมูลภายในประเทศ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลของไทยได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมข้อมูลที่ละเอียดอ่อนภายในประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนับตั้งแต่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) มีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2565 ได้กำหนดให้องค์กรต้องจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการโอนข้อมูลไปยังต่างประเทศที่ไม่มีมาตรฐานการคุ้มครองที่ทัดเทียมกัน

ข้อกำหนดเหล่านี้ได้รับการตอกย้ำจากนโยบายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ โดยในปี 2567 คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ได้ออกมาตรฐานที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กำหนดให้องค์กรซึ่งดูแลระบบที่มีผลกระทบสูง เช่น แพลตฟอร์มของรัฐและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ต้องจัดเก็บข้อมูลการดำเนินงานไว้ภายในประเทศไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลสำรองจะต้องถูกเก็บไว้ในประเทศหรือภายในรัฐสมาชิกอาเซียนเท่านั้น กฎเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศเหล่านี้ ไม่เพียงออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ และลดการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศในเชิงยุทธศาสตร์

แม้จะมีกฎระเบียบสำหรับภาคส่วนที่สำคัญเหล่านี้ องค์กรในภาคเอกชนจำนวนมากของไทยยังคงพึ่งพาเครื่องมืออีเมลและการทำงานร่วมกันที่โฮสต์โดยผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดบริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์โดยรวมของไทยมีมูลค่า 4.08 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

สะท้อนถึงการพึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้อย่างมาก การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้มีแรงขับเคลื่อนหลักจากผู้ให้บริการระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าตลาดส่วนใหญ่ยังคงดำเนินการบนฐานบริการที่อยู่นอกประเทศ (Offshore) ทั้งที่ศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในประเทศจะเริ่มเปิดให้บริการแล้วก็ตาม

สถานการณ์นี้สร้างความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและจำกัดความสามารถในการควบคุมเมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล ดังนั้นสำหรับภาคส่วนต่างๆ เช่น ภาครัฐ การศึกษา และการเงิน การย้ายโครงสร้างพื้นฐานอีเมลเข้ามาในประเทศ (Onshore) จึงไม่ได้เป็นเพียงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นความจำเป็นทั้งในทางกฎหมายและเชิงยุทธศาสตร์ด้วย

ภัยคุกคาม ‘AI’ ฉลาดขึ้น

ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังพลิกโฉมภัยคุกคามทางไซเบอร์ในประเทศไทยอย่างชัดเจน และอีเมลคือเป้าหมายหลักศูนย์กลางของสมรภูมินี้ จากผลสำรวจของ Fortinet-IDC ในปี 2568 พบว่า 58% ขององค์กรในไทยเคยเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI แล้ว

โดยหนึ่งในรูปแบบการใช้งานที่พบบ่อยและสร้างความเสียหายมากที่สุดคือ อีเมลฟิชชิ่งที่สร้างโดย AI ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ แนบเนียน และตรวจจับได้ยากกว่าที่เคยเป็นมา

ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานบางส่วนยังหันไปใช้เครื่องมือ AI ที่ไม่ผ่านการอนุมัติ หรือที่เรียกว่า “Shadow AI” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และบางครั้งก็นำมาผสานรวมผ่านแพลตฟอร์มอีเมลหรือเครื่องมือทำงานร่วมกัน ซึ่งแม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่เครื่องมืออาจนำช่องโหว่ใหม่เข้ามาโดยหลบเลี่ยงการควบคุมของฝ่ายไอทีไปได้

เพื่อความปลอดภัย องค์กรจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดที่ตกเป็นเป้าหมายมากที่สุดในระบบ นั่นคือ “กล่องจดหมาย” (Inbox) โดยควรใช้งานแพลตฟอร์มอีเมลที่มีความสามารถตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ การปกป้องข้อมูลระบุตัวตน และมีนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อต่อกรกับภัยคุกคามในยุค AI โดยเฉพาะ

วางรากฐาน ‘ภูมิคุ้มกัน’

รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ซึ่งนับเป็นก้าวที่น่ายินดี แต่ความก้าวหน้าที่แท้จริงต้องอาศัยมากกว่าแค่นโยบาย องค์กรควรต้องก้าวข้ามการปฏิบัติตามกฎขั้นพื้นฐาน ไปสู่การสร้างระบบที่ปลอดภัยและพร้อมสำหรับอนาคตตั้งแต่รากฐานแรก

นั่นหมายถึงการใช้เทคโนโลยีที่จัดเก็บข้อมูลในประเทศไทย มีระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในตัว และสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการฝึกอบรมพนักงาน

ขณะเดียวกัน องค์กรควรมีแผนรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ที่ชัดเจน และมีการทำงานร่วมกับพันธมิตรในประเทศที่เข้าใจกฎหมายและบริบททางธุรกิจของไทย

สรุปแล้ว อีเมลคือรากฐานของความไว้วางใจได้ และการตัดสินใจขององค์กรไทยในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเติบโต ปรับตัว รวมถึงปกป้องสิ่งที่มีความสำคัญในอนาคต

ดังนั้นในเมื่อประเทศไทยมีวิสัยทัศน์มุ่งเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและมีอธิปไตยทางข้อมูล ซึ่งสามารถยืนหยัดต่อสู้กับความท้าทายแห่งอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“ส้มโอมือ” ผลไม้หน้าตาแปลก แต่ประโยชน์จัดเต็ม

ส้มโอมือ เป็นผลไม้ตระกูลส้มที่มีรูปร่างแปลกตาคล้ายนิ้วมือหลายนิ้วเรียงชิดติดกัน ทำให้มีชื่อเรียกว่า “ส้มโอมือ” หรือ “Buddha’s Hand” ตามลักษณะที่คล้ายมือของพระพุทธรูปในภาษาอังกฤษ ผลไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกและอินเดีย เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมแรงมาก แต่กลับไม่มีน้ำหรือเนื้อผลที่ให้รับประทานได้เหมือนผลไม้ตระกูลส้มชนิดอื่น ๆ

คุณสมบัติที่โดดเด่นของส้มโอมือ

 กลิ่นหอม: แม้จะไม่มีเนื้อให้รับประทาน แต่เปลือกและส่วนนิ้วของส้มโอมือมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่โดดเด่นมาก กลิ่นจะหอมสดชื่นคล้ายส้มและมะนาวแต่มีความซับซ้อนกว่า

  • รสชาติ: เปลือกของส้มโอมือไม่มีรสขมเหมือนเปลือกส้มทั่วไป ทำให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
  • หน้าตา: รูปร่างที่แปลกตาทำให้ส้มโอมือถูกนำไปใช้เป็นไม้ประดับและของมงคลในวัฒนธรรมจีนและญี่ปุ่น

ประโยชน์ดี ๆ จากส้มโอมือ 

นอกจากกลิ่นที่หอมและรูปร่างที่แปลกตาแล้ว ส้มโอมือ ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเปลือกของส้มโอมือที่สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย

  • บำรุงสุขภาพทางเดินอาหาร: ส้มโอมือถูกนำมาใช้ในตำรับยาแผนโบราณของจีนและญี่ปุ่นเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ช่วยลดอาการปวด: สารสกัดจากส้มโอมือถูกนำมาใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด เช่น ปวดหัวหรือปวดประจำเดือน
  • บรรเทาอาการเจ็บคอ: การนำเปลือกส้มโอมือมาต้มกับน้ำผึ้งถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและไอ
  • เป็นแหล่งวิตามินซี: แม้จะไม่มีเนื้อ แต่เปลือกของส้มโอมือก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ส้มโอมือมีสารฟลาโวนอยด์และสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย

ส้มโอมือจึงไม่ใช่แค่ผลไม้ที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกเท่านั้น แต่ยังเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมาย และด้วยความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในขนม เครื่องดื่ม และน้ำหอมต่าง ๆ เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,950.0053,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,423.0051,892.6853,850.00
ทองรูปพรรณ 90%3,080.7046,703.41n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,738.4041,514.14n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,540.3523,351.71n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,198.0518,162.44n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,547.1553,774.79n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า