รับสร้างบ้านโหมโปรกระตุ้นยอด ดึงเทคโนโลยีช่วยลดต้นทุน-แรงงาน

- ธุรกิจรับสร้างบ้านจัดงาน EXPO 2025 กระตุ้นยอดขาย ชูโปรโมชั่นสร้างบ้านใน “ราคาเดิม” สวนกระแสต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่สูงขึ้น
- ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการโครงการ (Project Management) มาใช้เพื่อช่วยลดต้นทุนและแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
- สมาคมฯ คาดว่างาน EXPO 2025 จะช่วยฟื้นตลาดรับสร้างบ้านที่ชะลอตัว และสร้างยอดขายรวมกว่า 4,500 ล้านบาท
นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าาว่า งานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025 ซึ่งสมาคมฯภายใต้คอนเซปต์ “สร้าง อยู่ ดี” คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าในยามวิกฤตก็ยังต้องมีจุดยืนชัดความเป็นมืออาชีพ ในการสร้างบ้านที่ตรงใจ มีมาตรฐานสร้างความมั่นใจ บริการหลังการขายให้กับลูกค้า ท่ามกลางต้นทุนสูงและแรงงานขาด ผู้ประกอบการควรเลือกเดินหน้าด้วยคุณภาพและประสิทธิภาพ เทคโนโลยีจึงกลายเป็น “ตัวช่วยสำคัญ” ในการบริหารต้นทุนและแรงงาน
ทั้งนี้ ท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะด้านแรงงาน ทางสมาคมฯ ได้แนะการปรับตัวรับมือกับความท้าทายใหม่ของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกฯ ด้วยการเตรียมนำเทคโนโลยี และระบบ Project Management มาช่วยบริหารจัดการระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งอบรมช่างและผู้รับเหมาในเครือข่ายให้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคู่มือการก่อสร้างเพื่อให้การทำงานเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด
สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 2 ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้าน ปรับตัวลดลง 10% จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดี คาดกว่าในไตรมาสที่ 3 และไตรมาส 4 ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะฟื้นตัวกลับมาได้ โดยมีปัจจัยจากการเติบโตของตลาดต่างจังหวัดที่มีสัดส่วนมากถึง 80% ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สัดส่วน 20%
“การที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. มีข้อเสนอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% นั้น แม้จะไม่ส่งผลต่อตลาดรับสร้างบ้านโดยตรง เพราะเป็นที่ดินของลูกค้า แต่ถือว่าเป็นกระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่สมาคมฯ มีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยผลักดันตลาดให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
นายอนันต์กร กล่าวต่อว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจและการเมืองยังอยู่ในช่วงผันผวน แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เป็นเรียล ดีมานด์ ยังคงมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการเริ่มต้นสร้างครอบครัว ดังนั้นการตัดสินใจสร้างบ้านยังถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ทุกคนอยากมีบ้านฝัน
ซึ่งงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025 จะเป็นงานที่เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีบ้านในฝันง่ายขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่ผู้บริโภคยังสามารถสร้างบ้านในราคาเดิมได้อยู่ โดยบริษัทรับสร้างบ้านที่เข้าร่วมงานยืนยันว่าไม่มีการปรับขึ้นราคาแม้จะอยู่ในช่วงต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม ซึ่งคาดการณ์ว่าต้นทุนของการสร้างบ้านจะปรับใหม่อีกครั้งประมาณต้นปี 2569
สำหรับงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025 จัดระหว่างวันที่ 10–14 ก.ย. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี (ฮอลล์ 6) ภายในงานมี 30 บริษัทรับสร้างบ้านพร้อมเลือกแบบบ้านกว่า 1,000 แบบ ใน “ราคาเดิม” ที่ยืนหยัดแม้ต้นทุนวัสดุและค่าแรงปรับสูงขึ้น รวมทั้ง สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ ของแถม ส่วนลด รางวัลทองคำมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท และเวทีเสวนาอย่าง “สถาปนิกทอล์ก” และ “ฮวงจุ้ยเสริมมงคล” ด้วยซินแสผู้เชี่ยวชาญคาดว่างานจะดึงผู้ชมกว่า 11,000 คน สร้างยอดขายรวม 4,500 ล้านบาท ภายในงาน 3,500และหลังงาน 1,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘เสนาดีเวลลอปเม้นท์’ แข็งแกร่งทุกวิกฤติ พร้อมต่อยอดสู่ผู้นำที่อยู่อาศัยครบวงจร

“เสนาดีเวลลอปเม้นท์” แข็งแกร่งในทุกวิกฤติ ไม่หยุดการเป็นแบรนด์อสังหาฯ ก้าวสู่การเป็น “ผู้นำโซลูชันการอยู่อาศัยครบวงจร”
“อสังหาริมทรัพย์” หนึ่งในเซ็กเตอร์สำคัญของกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูง ยิ่งกว่านั้นยังสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์เพราะเป็น 1 ในปัจจัยสี่สมรภูมิตลาดที่อยู่อาศัย เต็มไปด้วยผู้เล่นมากหน้าหลายตา ทุนเล็ก-ใหญ่ มีแบรนด์หลากหลายเป็นทางเลือกให้ ผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวเฮ้าส์ คอนโดมิเนียม และ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” เป็นหนึ่งในนักพัฒนาอสังหาฯ หรือดีเวลลอปเปอร์ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากยืนหยัดในตลาดยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ เรื่องราวของ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” เริ่มจากผู้ก่อตั้ง ธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ผู้ปลุกปั้นอาณาจักรอสังหาฯ ให้เติบโต และส่งต่อ DNA ความอึด อดทน และใจนักสู้ให้กับ “ทายาท” อย่าง ดร.ยุ้ย-ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ที่เติบโตมากับการเห็นพ่อเผชิญวิกฤติ และลงมือฝ่าฟันทุกปัญหาด้วยตัวเองเส้นทางของเธอแม้เริ่มต้นจากสายวิชาการ แต่เมื่อถึงเวลาสานต่อกิจการครอบครัวเธอก็ก้าวขึ้นมาเป็นหญิงเหล็ก นำเสนาสร้างการเติบโตต่อเนื่องร่วมกับ นายธีรวัฒน์ รวมเวลากว่า 40 ปีที่สองรุ่นได้หล่อหลอมองค์กรให้แข็งแกร่ง มั่นคง ผ่านทุกวิกฤติสะท้อนความมุ่งมั่นและความศรัทธาในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้นานพอจนกลายเป็นความสำเร็จอย่างยั่งยืนการรักษาเครดิตดีเอ็นเอสืบทอดธุรกิจ
เมื่อต้องรับบทนำทัพอสังหาฯ ผศ.ดร.เกษรา ได้เรียนรู้การทำงาน สั่งสมประสบการณ์ให้กับการเป็นดีเวลลอปเปอร์เต็มขั้น เพราะตระหนักว่า “อสังหาริมทรัพย์” เป็นการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภค หรือ B2C ที่เป็น “สินทรัพย์” หรือ Asset สำคัญในชีวิตเฉกเช่นกับ “ความรู้” ที่เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา
“ช่วงชีวิตของคน ไม่มีโอกาสทำทุกอย่างตามที่ใจชอบ…ใครจะโชคดีขนาดนั้น หากต้องเลือกในสิ่งที่เหมาะสม อาจไม่รักที่สุด แต่เหมาะสม สามารถทำให้รักได้ และตอนนี้รัก ชอบธุรกิจอสังหาฯแล้ว และโชคดีที่คุณพ่อทำธุรกิจนี้ ซึ่งอสังหาฯ คล้ายกับการเป็นอาจารย์คือ มอบ Asset สำคัญในชีวิตคน ทำให้เราชอบธุรกิจนี้ได้ไม่ยาก” ธุรกิจอสังหาฯ ยังมีข้อดีสำหรับผู้ประกอบการคือ “กฎหมายค่อนข้างเต็มรูปแบบ” การสร้างที่อยู่อาศัยหมวดต่างๆ กฎหมายมีความนิ่งไม่ต้องมีกฎกติกาใหม่บังคับใช้เว้นการให้สิทธิ์ใช้ที่ดินระยะยาว (Leasehold : FYI ที่ภาคอสังหาฯ ต้องการเห็นการปรับเปลี่ยน) สำหรับภารกิจรับไม้ต่อในฐานะ “ทายาท” ดีเอ็นเอจากบิดาผู้ก่อตั้งธุรกิจ ถ่ายทอดให้ “ผศ.ดร.เกษรา” คือการ “รักษาเครดิต ” กับทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (STAKEHOLDER) ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า “เราให้ความสำคัญกับการรักษาเครดิตมาก โดยเฉพาะหนี้เจ้าหนี้ทุกประเภทผู้ลงทุน ไม่ว่าองค์กรเราจะเป็นสถานะ หรือ state ไหน”
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า พร้อมยกตัวอย่างจากยุคคุณพ่อ ที่เริ่มจากการขายลอดช่องแผงเล็กๆ ในตลาดบางรัก ขยับสู่การค้าไม้ และเข้าสู่วงการอสังหาฯ ด้วยเงินทุนเพียง 6,000 บาท บวกกับการยืมเงินทุนจากผู้อื่น (เจ้าหนี้) การรักษาเครดิต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่หล่อหลอมและวางรากฐานความแข็งแกร่งขององค์กรจนมาถึงวันนี้ ก้าวที่แกร่งของ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เส้นทางธุรกิจอสังหาฯ กว่า 40 ปี “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากทาวเฮ้าส์อย่างเดียว รุกบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ก้าวสู่ “คอนโดมิเนียม” เพราะอ่านเกมตลาดเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยได้เฉียบขาด โดยเฉพาะการเห็นภาพความเป็นเมืองที่ขยายตัว ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยเปลี่ยนปัจจุบัน บริษัทฯ กลายเป็น “ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม” ราคาจับต้องได้ หรือ Affordable ระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท
ถ้าไม่ทำคอนโดมิเนียม การเติบโตแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะดีเวลลอปเปอร์ในกลุ่มท็อป 10 หรือท็อป 15 ล้วนมีคอนโด อยู่ในพอร์ตขณะที่ทั้งตลาดที่อยู่อาศัยคอนโดก็มีสัดส่วนสูงถึง 65% แต่เสนาเข้าตลาดคอนโดค่อนข้างช้าในตอนนั้น แม้หลายแบรนด์รุกกันหมดแล้ว ทว่าตลาดยังไม่ชัดเจนว่า หากไม่ทำคอนโดจะอยู่ไม่ได้ กระทั่งเมื่อพิจารณาวิถีความเป็นเมืองและเทรนด์การอยู่อาศัย ก็ชัดเจนว่าคนไม่อาจซื้อบ้านต่อเนื่องได้ จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่ตลาดคอนโดเต็มตัว จนปัจจุบันสัดส่วนคอนโดอยู่ที่ 70% ของพอร์ตเสนา และกลายเป็น “Saving Zone” ที่ช่วยให้องค์กรยืนได้อย่างมั่นคง
เสริมทัพโซลูชันที่อยู่อาศัย LivNex – RentNex ตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเผชิญความท้าทายใหญ่จาก เศรษฐกิจ กำลังซื้อที่ชะลอตัว ซ้ำเติมด้วย “หนี้ครัวเรือนสูง” และธนาคารพาณิชย์เข้มการปล่อยสินเชื่อ จึงมีผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อหรือ Rejection rate ปรับตัวสูงขึ้น
ผศ.ดร.เกษรา ชี้แจ้งว่า เสนา ใส่ใจทุกเส้นทางการซื้อที่อยู่อาศัย หรือ Journey ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด 4-5 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะจับจุดการยกเลิกการซื้อบ้าน คอนโดฯ ในเชิงลึก ตั้งแต่จอง ดาวน์ โอน ตรวจสอบห้องชุด เกิดจากอะไร และเกิดเวลาไหน “ความฝันของทุกคนคืออยากมีบ้านดีเวลลอปเปอร์เมื่อก่อนทำสินค้าทุกอย่างดู Lead นำคนเข้ามาดูโครงการ มาซื้อ และโอนเท่าไหร่ ทำ 3 คอลัมน์ แต่ตอนนี้ต้องดูการยกเลิก เพราะที่ผ่านมาพบว่าหายไปค่อนข้างมาก การยกเลิกไม่ได้เกิดขึ้นธรรมชาติ หรือ organic เพราะเริ่มมีมากเกินไป จากคนที่คิดจะโอนได้ 10 ราย กลับยกเลิก 5 ราย จึง pay attention จุดนี้อย่างจริงจัง”
ทั้งนี้ Insight พบการจองแล้วยกเลิก 15 วัน เป็นเพราะมาจองลำพังไร้ครอบครัวมาร่วมพิจารณาเมื่อจะซื้อจริงเจอคัดค้าน กรณีการทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์ เป็นโหมด “เข้าสู่โลกจริง” มี 3 สิ่ง เกิดขึ้น คือ 1.ลูกค้ากลัวและยกเลิกไปเอง 2.ถูกแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อ หรือกู้ไม่ผ่าน และ 3.กู้ผ่าน แต่ตรวจห้องแล้วไม่พึงพอใจ ยกเลิกแต่ละขั้นตอน บริษัทฯ มีแนวทางแก้ปัญหาที่แตกต่างกันโซลูชันที่ “เสนา” ใช้เป็นอาวุธ หรือกลยุทธ์การตลาดแก้ปัญหา คือลุยนวัตกรรมทางการเงิน “LivNex-เช่าออมบ้าน” ตอบโจทย์ลูกค้า เพียงทำสัญญาเช่าออมกับบริษัทฯ สามารถแพ็คกระเป๋าเข้าอยู่ในโครงการได้เลยไม่มีเงินดาวน์ หรือรอการอนุมัติสินเชื่อจากแบงก์ ถือเป็นการแก้จุดเจ็บปวด หรือ Pain Point ใน 3 Bad ได้แก่ Bad Credit Bad Income และ Bad Confidence เปิดทางสร้างโอกาสให้คนไทยที่กู้ไม่ผ่านยังมีบ้านได้จริง “สาเหตุใหญ่ของการยกเลิกตอนนี้มาจาก 2 ตัวแปรสำคัญ คือเศรษฐกิจ และกู้ไม่ผ่าน เราจึงทำ LivNex มาแก้ตรงนี้ ทำอย่างไรให้ลูกค้าที่ชอบโครงการเรา อยู่กับเราจนจบ”
“เสนา” ยังมีอีกโซลูชันตอบโจทย์ลูกค้าอย่าง “RentNex” หรือ “เช่าตรง” ที่ออกแบบมาตอบโจทย์ Generation Rent และคนที่ยังไม่พร้อมซื้อบ้านหรือกู้ไม่ผ่าน ให้สามารถเช่าบ้านหรือคอนโดเสนาได้ในราคาที่เข้าถึงง่าย เหมือนการเช่าทั่วไปแต่ได้มาตรฐานคุณภาพเสนา เพิ่มความยืดหยุ่นให้การใช้ชีวิต และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยตามต้องการ ถือเป็นการปฏิวัติตลาดที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง “LivNex กลายเป็นพอร์ตโฟลิโอที่สำคัญ เพราะมีลูกค้าอยู่กว่า 1,000 ยูนิต ส่วน RentNex มีลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง และตอนนี้สิ่งสำคัญในการทำตลาดที่อยู่อาศัย จุดยากที่สุดสำหรับเสนาคือการทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสนใจเรา จากนั้นเราขอเป็นทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ จะ LivNex RentNex หรือ ซื้อ เรามีหลากรูปแบบให้เลือก นี่คือการปรับตัว การดิสรัปของเรา” ยกระดับที่อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานญี่ปุ่น บ้านดีต่อลูกบ้าน-โลก ในการพัฒนาอสังหาฯ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ไม่เพียงสร้างบ้าน คอนโด สานฝันคนอยากที่อยู่อาศัย แต่ยังยกระดับโครงการในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผนึกพันธมิตรญี่ปุ่นอย่าง “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป” ยักษ์ใหญ่อสังหาฯจากประเทศญี่ปุ่น สู่การ “ร่วมทุน” ภายใต้ “เสนา ฮันคิว” ซึ่งปัจจุบันสร้างการเติบโตร่วมกันเกือบ 1 ทศวรรษ ช่วยต่อจิ๊กซอว์ “ความเชื่อมั่น” หรือ SENA TRUST กับคุณภาพ และมาตรฐานในแบบฉบับแดนซามูไร
ทุกโครงการยังการันตีแบรนด์ “เสนา ฮันคิว” ให้เป็นที่ประจักษ์ “ด้านแบรนด์และคุณภาพโครงการจะเห็นว่าฮันคิวฯ คือดีเวลลอปเปอร์ญี่ปุ่นรายเดียวที่สร้างแบรนด์ร่วมหรือ Co-brand ในไทย บนอาคารคอนโดฯ จะมีชื่อแบรนด์ โลโก้ของเสนาและฮันคิวฯ เพราะฮันคิวฯ มีบทบาทเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ไม่ใช่แค่นักลงทุน และต้องการมีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดในไทยด้วย” บริษัทฯ ยังยกระดับการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ดีต่อลูกบ้านและโลกตอกย้ำบทบาท ผู้นำที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนด้วยการประกาศชัดแนวคิด “คาร์บอนต่ำ” ที่ก้าวล้ำกว่าที่อื่น ภายในโครงการไม่เพียงสร้างการตระหนักรู้เรื่องการลดคาร์บอน แต่ยังพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้ลูกบ้านรับรู้และติดตามได้อย่างต่อเนื่อง ภารกิจลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลก
คือสิ่งที่ ผศ.ดร.เกษรา ยืนหยัดทำด้วยความตั้งใจจริง “ในฐานะผู้นำ สิ่งที่ยากที่สุดคือการยืนหยัดอยู่กับความยั่งยืน เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องอาศัยความจริงจัง ความต่อเนื่อง และการพัฒนาทุกวันให้ดียิ่งขึ้น เป็นความท้าทายที่เราต้องทำให้สำเร็จ ภารกิจลดคาร์บอนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในโครงการที่อยู่อาศัย Low Carbon จึงไม่ใช่แค่เป้าหมายแต่คือพันธกิจที่ต้องเกิดขึ้นจริงและทุกวันคือโอกาสที่จะทำให้มันดีขึ้น” เพราะจุดยืนและวิสัยทัศน์ของเสนาไม่เคยเปลี่ยน คือการสร้าง Lifelong Trusted Partner ไม่ใช่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัยแต่คือการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าและสังคม หากเปรียบเป็นการบริการ เสนาอยากเป็นเหมือน Low Cost Airline ชั้นดี ที่ไม่เพียงทำให้การเดินทางเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ ลูกค้าวางไว้วางใจ ได้รับการดูแลตั้งแต่ก้าวแรก ส่งถึงจุดหมายอย่างมั่นใจ ตรงเวลา บริการดี และคุ้มค่าแต่ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งสำหรับ เสนา นั่นหมายถึงการทำให้คนไทยมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านที่ดี มีคุณภาพ และคุ้มค่าได้จริง และที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะชวนทุกคนร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน เหมือนกับที่เสนามุ่งมั่นทำให้ “ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านได้จริง” สำหรับเสนา Lifelong Trusted Partner หมายถึงการเดินเคียงข้างลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นความฝันอยากมีบ้านไปจนถึงการอยู่อาศัยจริง การดูแลหลังการขาย การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้ครอบครัวเติบโต และยังรวมถึงการส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับสังคมและโลก เสนาจึงไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาโครงการ แต่คือพันธมิตรที่พร้อมดูแลและเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าและสังคมในทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะวันนี้หรืออนาคต” วินัยการเงิน พันธมิตรญี่ปุ่น กลยุทธ์สู่การเติบโต
การผนึกพันธมิตรเสริมแกร่งผ่าน เสนา ฮันคิว เกือบ 1 ทศวรรษ สร้างมูลค่าโครงการถึง 84,300 ล้านบาท ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า 3 สิ่งบริษัทได้มาต่อยอดการเติบโต ประกอบด้วย
- เงินทุน
- สมอง
- ใจ
ขยายความ 3 ปัจจัย คือ “เงินทุน” คือพลังที่ช่วยให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดขยายธุรกิจ และพัฒนาโครงการใหม่ๆ ได้อย่างมั่นคง “สมอง” คือองค์ความรู้และนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ที่เสริมมาตรฐานการก่อสร้างและคุณภาพโครงการให้ก้าวสู่ระดับสากล แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ “ใจ” กำลังใจ และความจริงใจที่พิสูจน์ได้ในวันที่เราต้องเผชิญวิกฤติอย่างวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวทุกอย่างเต็มไปด้วยความกังวลไม่รู้ว่าควรแก้ปัญหาอะไรเป็นลำดับแรก ทั้งลูกบ้าน พนักงาน หรือแม้แต่เรื่องประกันภัย ท่ามกลางความโกลาหล สิ่งแรกที่ได้รับคืออีเมลจากฮันคิวฯ ที่เขียนว่า “เราจะยืนเคียงข้างคุณเสมอ” คำสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยพลังนี้ทำให้เราเชื่อมั่นว่า พันธมิตรแท้ไม่ได้ดูที่ผลกำไร แต่ดูที่การยืนหยัดเคียงข้างกันในวันที่ยากที่สุด เงินทุนสำคัญ และปี 2568 อสังหาฯ เผชิญความท้าทายรอบทิศ เศรษฐกิจไม่ดีกำลังซื้อชะลอ หนี้ครัวเรือนสูงฯ การยืนหยัดท่ามกลางมรสุม
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า “วินัยการเงิน” สำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นการ “ประหยัดอย่างมาก” การเคลื่อนธุรกิจต้องประเมินความเสี่ยงถี่ถ้วนขึ้น มีความระมัดระวังการในซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการวิเคราะห์ฉากทัศน์เศรษฐกิจจะไป “จุดต่ำสุด” แค่ไหนก่อน “เลือกตัดสินใจ” ดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและคลายความกังวลต่อธุรกิจอสังหาฯ “เสนาฯ” แสดงศักยภาพด้านการเงินด้วยการเลือกชำระคืนหุ้นกู้รุ่น SENA259A มูลค่า 1,530 ล้านบาท ที่ครบกำหนดวันที่ 15 กันยายน 2568 ก่อนล่วงหน้า สะท้อนวินัยการเงินที่มั่นคง การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ และการรักษาเครดิตอย่างต่อเนื่อง การคืนเงินก่อนถือเป็นสัญญาณชัดเจน ถึงสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง และความพร้อมรองรับทุกสถานการณ์จากนั้น จึงเดินหน้าเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.80% ระหว่างวันที่ 15-17 กันยายน ผ่าน 16 สถาบันการเงินชั้นนำ “แทนที่จะ Rollover หุ้นกู้ เราเลือกประกาศคืนเงิน 1,530 ล้านบาทก่อน จากนั้นจึงออกขายหุ้นกู้ชุดใหม่ทันทีภายใน 2 วัน แสดงให้เห็นว่าเสนามีเงินพอในการชำระคืน แม้ไม่ได้ขายสินค้าใหม่เลยเราก็ยังอยู่ได้ และการคืนเงินก่อนยังช่วยสร้างความสบายใจให้นักลงทุนที่ ซื้อหุ้นกู้ของเรา เพราะสามารถนำเงินที่ได้รับคืนไปลงทุนต่อในรุ่นใหม่ได้โดยไม่ต้องเตรียมเงินเพิ่ม”
“กระแสเงินสดคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะกำไรไม่ได้หมายความว่าจะมีกระแสเงินสดเสมอไป การร่วมทุนกับฮันคิวฯ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาสภาพคล่อง ของธุรกิจ ขณะเดียวกันการขับเคลื่อน ธุรกิจอสังหาฯ วันนี้ต้องระมัดระวัง และพร้อมปรับตัวให้เร็วทันกับทุกการเปลี่ยนแปลง สำหรับเสนา เราไม่เคยคิดว่าต้องเติบโตที่สุด แต่อยากเป็น บริษัทฯ ที่สำเร็จและเติบโตอย่างมั่นคง Go along with the curve, stay a bit above the curve หรือการเติบโตไป ตามเส้นโค้งของตลาด พร้อมก้าวนำเหนือเส้นโค้งอยู่เสมอ” ผศ.ดร.เกษรา กล่าวปิด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้11ก.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 31.70-31.85 บาทต่อดอลลาร์ ตลาดต่างรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐและผลการประชุมECBที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.15น. ของคืนวันพฤหัสบดีนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ก.ย.2568 ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.79 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 31.70-31.85 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้
หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ของคืนวันพฤหัสบดีนี้ รวมถึงผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะรับรู้ในช่วง 19.15 น.
โดยในส่วนของผลการประชุม ECB นั้น เรามองว่า อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก ECB อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทว่า อาจต้องจับตา
ถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference (ราว 19.45 น.) ว่าจะส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมของ ECB ได้หรือไม่ เพราะหาก ECB ยังเปิดโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยต่อได้ หรือแสดงความกงัวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง
ส่วนในช่วง รับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ นั้น เรามองว่า ตลาดการเงินเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร
โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดมีโอกาสที่จะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุมดังกล่าว ทำให้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด
อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (แนวต้านถัดไป 32.00 บาทต่อดอลลาร์)
ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด พร้อมกับรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่แย่ลงชัดเจน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3 ครั้ง ได้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.72-31.84 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง
สอดคล้องกับการปรับตัวลงเล็กน้อยของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ปรับตัวลดลง -0.1%m/m (+2.6%y/y) ต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ทั้งในปีนี้ (โอกาสราว 80%) และปีหน้า
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ลดลงเหลือราว 70% ล่าสุด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม ที่จะทยอยรับรู้ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อีกทั้งยังมีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ หลัง Oracle +36% จากรายงานคาดการณ์รายได้จากธุรกิจ Cloud ที่สดใส ส่งผลให้ บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน อาทิ Broadcom +9.8%, Nvidia +3.9%
นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวขึ้น Exxon Mobil +1.7% ตามราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของ Apple -3.2% และ Amazon -3.3% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.30%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% ตามแรงกดดันจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นเทคฯ อาทิ SAP -2.9% อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการโปแลนด์ระบุว่ามีการละเมิดน่านฟ้าจากโดรนรัสเซีย ได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Rheinmetall +3.3%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด ยังคงทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.05%
ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ทำให้ในช่วงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังดำเนินต่อไปได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะรายงานในวันพฤหัสบดีนี้ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่ เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) จะพอได้แรงหนุนบ้างในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด
ทว่า แรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด รวมถึงบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง และยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม (ทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
ส่วนในฝั่งยุโรป เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว โดย ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ทว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB ก็พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ สะท้อนว่า ECB ยังคงมีทางเลือกในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ถ้าจำเป็น
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 31.75-31.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทกลับมาแกว่งตัวในกรอบแคบสอดคล้องกับภาพรวมการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เนื่องจากตลาดกลับมารอติดตามปัจจัยสำคัญในวันนี้ โดยเฉพาะผลการประชุม ECB และ
การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือนส.ค. ของสหรัฐฯ อนึ่ง ข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาด ยิ่งหนุนการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.65-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ผลการประชุม ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนี CPI เดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมย์ รัชนก” โชว์ฟอร์มโหด ตบสาวอินเดียกระจุยลิ่วรอบ 2 แบดมินตันฮ่องกง โอเพ่น

“เมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันมือ 10 ของโลกชาวไทย โชว์ฟอร์มเหนือชั้น ไล่ต้อนคู่แข่งจากอินเดียไปอย่างง่ายดาย 2 เกมรวด คว้าตั๋วผ่านเข้ารอบสองศึกแบดมินตัน ฮ่องกง โอเพ่น 2025 ไปได้สวยหรู
การแข่งขันแบดมินตันรายการ ฮ่องกง โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 500,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000,000 บาท ที่เกาลูน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันพุธที่ 10 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ในรอบแรก มีนักแบดมินตันไทยลงสนามในช่วงดึกอีก 1 คู่
เกมแรก เมย์ รัชนก เริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยมและรวดเร็ว ทำคะแนนนำไป 11-4 ในช่วงพักครึ่งเกม แม้ว่านักแบดมินตันจากอินเดียจะพยายามสู้กลับ แต่เมย์ก็สามารถคุมสถานการณ์ไว้ได้และเก็บเซตแรกไป 21-13
เกมสอง เมย์ รัชนก ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นที่ดุดันได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการตบที่เฉียบขาดและการวางลูกที่แม่นยำ ทำคะแนนนำห่างตั้งแต่ต้นเกม 11-3 และไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้กลับมาเลย จบเกมไปอย่างรวดเร็วด้วยสกอร์ 21-7
สำหรับการแข่งขันแบดมินตัน ฮ่องกง โอเพ่น 2025 ในรอบ 2 จะแข่งขันในวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ย.68 นี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย แฟนๆแบดมินตันสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง True Sport 7 (686)
ขอบคุณข้อมูลจาก www.siamsport.co.th
ตาปรือตลอดเวลา ลืมตาไม่ขึ้น? เช็กสัญญาณเตือนและวิธีแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น อาจไม่ใช่แค่ง่วง! ระวังสัญญาณ “กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง” ภัยเงียบที่ส่งผลทั้งบุคลิกภาพและการมองเห็น เช็กสาเหตุ วิธีสังเกต และแนวทางรักษา
ในปัจจุบันนี้ หลายคนต่างทำงานและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอตลอดทั้งวันเป็นเวลานานๆ รวมถึงการใส่คอนแท็กต์เลนส์ติดต่อกันทุกวัน รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้! โดยกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือ Ptosis เป็นภาวะที่เปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าปกติ ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ อาจเกิดจากกล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติหรือหย่อนคล้อยตามอายุ ส่งผลให้ตาดูปรือและเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา อาการนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ แต่หากเปลือกตาตกลงมาบดบังการมองเห็นมากเกินไป ก็จะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ในบทความนี้มาอธิบายอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงให้ลองสำรวจตัวเอง และสาเหตุ การรักษาในกรณีที่กำลังมีอาการนี้อยู่มาฝากกัน
เช็กสาเหตุกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเกิดจากอะไร?
อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งที่เป็นตั้งแต่กำเนิด จากการที่กล้ามเนื้อตาไม่พัฒนา ทำให้เด็กมีอาการหนังตาตก บดบังการมองเห็น และอาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจหรือตาเอียงได้ และในกรณีที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อเปลือกตาจะเริ่มหย่อนคล้อยและสูญเสียความยืดหยุ่นจากการใช้งานมานาน ทำให้ลืมตาได้น้อยลง รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต การใช้งานสายตาอย่างหนัก การใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นประจำอาจทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้าและถูกยืดออกได้ นอกจากนี้การทำตาสองชั้นที่ผิดพลาดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้เช่นกัน อาจมาจากการผูกปมไหมที่ไม่ละลายไปขัดขวางการทำงานของกล้ามเนื้อตา หรือการกระทบกระเทือนกล้ามเนื้อตาระหว่างผ่าตัด ส่วนสาเหตุสุดท้ายคือโรค MG (Myasthenia Gravis) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อตาด้วย
อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ควรสังเกต
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเป็นอาการที่สามารถสังเกตได้จากภายนอก หากพบเจอเร็ว ก็สามารถรักษา แก้ปัญหาได้เร็วยิ่งขึ้น โดยมีอาการดังนี้
- หนังตาตก เป็นอาการที่เปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าปกติ อาจเป็นตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลัง ทำให้ดวงตาดูปรือและไม่สดใส บางคนอาจมีอาการข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ทำให้ตาดูไม่เท่ากัน
- ลืมตาไม่ขึ้น กล้ามเนื้อตาที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตาจะสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ลืมตาได้ยากหรือไม่เต็มที่ มองปกติแล้วตาจะดูปรือคล้ายคนง่วงนอนตลอดเวลา
- เลิกคิ้วบ่อย เมื่อหนังตาตกและบดบังการมองเห็น ร่างกายจะพยายามชดเชยด้วยการเลิกคิ้วหรือแหงนศีรษะเพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้น พฤติกรรมนี้อาจทำให้เกิดริ้วรอยบนหน้าผากตามมาได้
- ขยี้ตาเป็นประจำ จากการล้างเครื่องสำอาง หรืออาการภูมิแพ้ จะทำให้กล้ามเนื้อตาถูกยืดออก ส่งผลให้เปลือกตาหย่อนคล้อย และอาจทำให้เกิดชั้นตาที่ผิดปกติ ทำให้ตาดูปรือมากกว่าเดิม
วิธีการรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
การแก้ไขรักษาอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ ดังนี้
- การบริหารกล้ามเนื้อตา
การบริหารกล้ามเนื้อตาช่วยลดอาการตาอ่อนล้าและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ โดยทำเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง เช่น บริหารด้วยการกลอกตา กลอกตาขึ้น-ลง และ ซ้าย-ขวา ช้าๆ ทำซ้ำ 2 รอบต่อวัน หรือลองปรับโฟกัส ยื่นปากกาหรือนิ้วมือไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ เลื่อนเข้าหาดวงตา เมื่อภาพเริ่มซ้อน ให้เลื่อนกลับไปที่เดิม ทำซ้ำ 20 ครั้ง วันละ 3 รอบ
- การผ่าตัดแก้ไข
หากใช้วิธีการบริหารกล้ามเนื้อตาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเพื่อปรับระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา การผ่าตัดด้วยเทคนิคสมัยใหม่ จะช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง เลือดออกน้อย และลดอาการบวมช้ำหลังทำ ทำให้กล้ามเนื้อตาสามารถเปิดได้เต็มที่ แก้ปัญหาตาปรือและตาตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งจากพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด จากอายุที่มากขึ้น หรือจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเช่น การทำงานที่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตตลอดเวลา การใส่คอนแท็กต์เลนส์ทั้งวัน และการศัลยกรรม โดยอาการมักจะทำให้เกิดหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ทำให้ดวงตาดูปรือ ไม่สดใส สามารถเป็นได้ทั้งข้างเดียวและสองข้าง ร่างกายก็จะพยายามให้เรามองเห็นได้มากขึ้นด้วยการเลิกคิ้วบ่อย หากมีอาการดังกล่าว สามารถเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยได้อย่างตรงจุด ได้ทั้งการบริหารกล้ามเนื้อตา กรอกตา ปรับโฟกัส แต่หากทำแล้วไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเพื่อปรับระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา ให้ดวงตาสวยใส คืนความมั่นใจกลับมา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
NASA พบหิน ‘Sapphire Canyon’ บนดาวอังคาร บ่งชี้ร่องรอยการมีชีวิต

นาซาค้นพบหิน ‘Sapphire Canyon’ บนดาวอังคาร อาจซ่อนร่องรอยชีวิตโบราณ ถือเป็นหลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ยกให้ว่าชัดเจนที่สุดนับตั้งแต่การสำรวจดาวอังคารเริ่มขึ้น แต่ยังต้องรอการพิสูจน์บนโลก
องค์การอวกาศสหรัฐ (NASA) ประกาศการค้นพบตัวอย่างหินบนดาวอังคาร ที่อาจเก็บร่องรอยการมีชีวิตเมื่อ 3,500 ปีก่อน หินนี้ถูกเก็บโดยรถโรเวอร์เพอร์เซเวียแรนซ์ (Perseverance) ที่ทำงานอยู่ในหลุมอุกกาบาตเจเซโร (Jezero Crater) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเคยเป็นทะเลสาบโบราณ และถือเป็นหลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ยกให้ว่า “ชัดเจนที่สุด” นับตั้งแต่การสำรวจดาวอังคารเริ่มขึ้น
ตัวอย่างหินที่มีชื่อว่า “Sapphire Canyon” ถูกเก็บในเดือนกรกฎาคม 2024 โดยเป็นหนึ่งใน 25 ตัวอย่าง ที่เพอร์เซเวียแรนซ์เก็บรวบรวมไว้ และมีคุณสมบัติที่น่าจับตา เพราะมีแร่ธาตุที่มักเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตในอดีตบนโลก ได้แก่ vivianite (ฟอสเฟตของเหล็ก) และ greigite (ซัลไฟด์ของเหล็ก) ซึ่งโดยปกติแล้วจะพบในตะกอนของทะเลสาบหรือปากแม่น้ำที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่
ทีมวิจัยยังพบสารอินทรีย์บางชนิดที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทิ้งไว้ ขณะเดียวกัน การกระจายตัวของสารเหล่านี้ยังอยู่ในรูปแบบที่เป็นระเบียบเกินกว่าจะเกิดขึ้นจากกระบวนการทางธรณีเคมีทั่วไป
โจเอล ฮูโรวิตซ์ (Joel Hurowitz) นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัยสโตนีบรูค และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า “นี่เป็นครั้งที่ผมมั่นใจที่สุดในรอบกว่า 20 ปีที่ทำงานในโครงการสำรวจดาวอังคารของนาซา ว่าสิ่งที่เราเจออาจเป็นร่องรอยชีวภาพ (potential biosignature) บนโลก เราพบแร่แบบเดียวกันนี้ในสภาพแวดล้อมที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ เช่น ทะเลสาบหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งยิ่งทำให้การค้นพบครั้งนี้น่าสนใจมาก”
ฮูโรวิตซ์ อธิบายว่า ปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิด vivianite และ greigite อาจเกิดขึ้นเพราะจุลินทรีย์ใช้สารอินทรีย์เป็นพลังงานแล้วสร้างแร่เหล่านี้เป็นผลพลอยได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าหินก้อนนี้เป็นหลักฐานการมีชีวิต เพราะปฏิกิริยาเคมีที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตก็อาจสร้างแร่เหล่านี้ได้เช่นกัน ฮูโรวิตซ์ยอมเดิมพันเล็กๆ ว่าหินก้อนนี้อาจมีร่องรอยชีวิตจริง
ขณะเดียวกัน แจนิส บิชอป (Janice Bishop) นักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน SETI ซึ่งเขียนบทความวิจารณ์ประกอบใน Nature กล่าวว่า ผลการค้นพบนี้น่าตื่นเต้นมาก เพราะมันชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารเคยเอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิต แต่เมื่อไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ คำอธิบายที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตยังมีน้ำหนักมากกว่า
หนึ่งในลักษณะที่ทีมวิจัยพบคือรอย “เมล็ดป๊อปปี้” และ “จุดลายเสือดาว” บนหิน ซึ่งมีแร่ vivianite และ greigite อยู่ภายใน รูปแบบเหล่านี้คล้ายกับสิ่งที่พบในชั้นตะกอนบนโลกที่เคยมีจุลินทรีย์เจริญเติบโต
“มันดีกว่าการโยนหัวก้อยนะ ถ้าให้พนันกันว่าในหินก้อนนี้มีหลักฐานของสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ผมยอมลงเงิน 20 ดอลลาร์เลย แล้วเราค่อยรู้กันตอนเอาตัวอย่างกลับมาโลก” บิชอป กล่าว
อย่างไรก็ดี ปริศนาอาจยังคงอยู่บนดาวอังคารไปอีกสักพัก เพราะโครงการ Mars Sample Return ที่ตั้งใจจะนำตัวอย่างหินกลับมายังโลกถูกเลื่อนออกไป หลังงบประมาณบานปลายทะลุ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีนี้รัฐบาลสหรัฐยังเสนอให้ยกเลิกโครงการทั้งหมด
แม้นักวิทยาศาสตร์จะมีความหวังว่าหิน “Sapphire Canyon” และ “Cheyava Falls” จะเก็บความลับเรื่องชีวิตบนดาวอังคารเอาไว้ แต่คำตอบสุดท้ายอาจต้องรอจนกว่าจะมีโอกาสนำตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีที่ละเอียดกว่าบนโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Speak English at Work สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน ทำงานลื่นไม่มีสะดุด!

ภาษาอังกฤษนอกจากจะถูกใช้เป็นภาษาสากลแล้ว ก็ยังมีบทบาทและความสำคัญในบริบทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวัน รั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ ที่ทำงาน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน ซึ่งภาษาอังกฤษจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นสิ่งสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีและประสิทธิผลในการทำงานอีกด้วย เนื่องจากความสัมพันธ์เชิงบวกทำให้เรารู้สึกมีพลังและมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
หากคุณได้ทำงานในองค์กรที่มีทั้งหัวหน้า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานเป็นชาวต่างชาติ มาดูเหตุผลกันก่อนว่าการใช้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้การสนทนาภาษาอังกฤษในที่ทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ทำไมต้องเรียนรู้ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน สำคัญมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่ในประเทศของเรามีทั้งลูกค้าที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติด้วยเช่นกัน ดังนั้นการฝึกทักษะด้านการฟัง (listening) และการพูด (speaking) เพื่อ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างถูกต้องและเพื่อให้การทำงานราบรื่นไม่มีสะดุด ยิ่งกว่านั้นหากคุณมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ดี ก็มีโอกาสทางหน้าที่การงานมากขึ้นด้วย เช่น การได้เลื่อนตำแหน่ง หรือ การสมัครงาน ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักแล้ว การพูดและการฟังถือเป็นทักษะสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย
คำศัพท์น่ารู้ใช้บ่อย สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน
ก่อนจะไปดูตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยเพื่อสนทนาในที่ทำงาน เรามาดู 25 คำศัพท์ วลี และตัวย่อ กันก่อน ว่ามีอะไรน่ารู้บ้าง ซึ่งช่วยให้นำไปประยุกต์ใช้ในประโยคได้หลากหลายมากขึ้น
- Go out …. be back at ….
= การออกไปข้างนอกและจะกลับมาเวลา …..
- Could … contact …. later?
= ช่วยติดต่อ … ในภายหลังได้หรือไม่
- Team will be based in ….
= ทีม … จะประจำอยู่ที่ …
- As an action point, …
= เพื่อเป็นการดำเนินการตอบรับ … , (ประโยค)
- To upskill …
= เพื่อพัฒนาทักษะ …
- Get to work …
= ไปทำงาน
- FYI (for your information)
= เพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบ
- Forward Planning
= การวางแผนล่วงหน้า
- … To manage the workflow
= จัดการกระบวนการทำงาน
- Verb to be + responsible for …
= มีหน้าที่รับผิดชอบ
- … To read the contract carefully
= อ่านสัญญาอย่างรอบคอบ
- deadline for submitting … (อาจเป็นรายงาน หรือ ภาระงาน)
= กำหนดการในการส่ง …
- … hire new personnel
= จ้างพนักงานใหม่
- …. need to streamline
= จำเป็นต้องปรับปรุง จัดระเบียบให้มีประสิทธิภาพ
- Receive promotion
= ได้รับการเลื่อนขั้น, ได้เลื่อนตำแหน่ง
- Need to communicate …
= เราจำเป็นต้องมีการสื่อสารเรื่อง …
- Workload
= ปริมาณงาน
- Retention tool
= เครื่องมือการเก็บรักษา (รักษาพนักงานให้คงอยู่)
- In a position as, of
= ดำรงตำแหน่ง, ทำงานในฐานะ
- Attend the meeting
= เข้าร่วมการประชุม
- Overplay your hand
= เรียกร้องมากเกินไป
- Call it a day
= เลิกงานและกลับบ้าน
- On the same page
= คิดเหมือนกัน
- Step up to the plate
= ทำอะไรสักอย่างที่ต้องมีใครรับผิดชอบทำ
- Team up with
= ร่วมมือกันทำงานเป็นทีม
ตัวอย่างการใช้ประโยค
หลังจากที่ได้รู้คำศัพท์ วลี และตัวย่อ ที่ได้ใช้บ่อยในที่ทำงานกันแล้ว เรามาดูตัวอย่างประโยค เพื่อให้เราสามารถนำประโยคไปใช้ได้อย่างถูกต้องและดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กันได้เลย แล้วอย่าลืมปรับเรื่อง Tense ก่อนนำไปพูดด้วยนะ โดยมีตัวอย่างประโยคดังต่อไปนี้
- I am going out for lunch, and I will be back to the office at 2.30 pm.
- ฉันกำลังจะออกไปทานอาหารกลางวัน และฉันจะกลับมาออฟฟิศช่วงบ่ายเวลา 14:30 น.
- The manager is with a customer at this moment. Could you contact her later?
- ผู้จัดการติดลูกค้าอยู่ในขณะนี้ รบกวนคุณช่วยติดต่อเขากลับภายหลังได้หรือไม่
- The product team will be based in a new headquarter office from now on.
- ต่อไปนี้ทีมผลิตจะประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
- As an action point, I will listen to some training videos this evening.
- เพื่อเป็นการดำเนินการตอบรับ (สิ่งที่ได้อบรมมา) ฉันจะฟังวิดีโอการฝึกอบรมในเย็นนี้
- Our boss thought it would be better to upskill the junior colleagues rather than hire any new senior.
- เจ้านายของเราคิดว่าจะดีกว่า ถ้าเราพัฒนาทักษะเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง แทนที่จะจ้างพนักงานรุ่นใหญ่มาใหม่
- How long does it take you to get to work?
- คุณใช้เวลาเดินทางมาถึงออฟฟิศนานเท่าไหร่
- FYI, I sent the email that you asked me to send yesterday.
- ต้องการแจ้งให้ทราบ ฉันส่งอีเมลที่คุณขอเมื่อวานให้แล้วนะ
- The company system requires more forward planning.
- ระบบของบริษัทจำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้ามากขึ้น
- In order to ensure that no single person is in charge of all tasks, the company needs to manage the workflow in the facility.
- เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดแต่เพียงคนเดียว บริษัทจึงควบคุมขั้นตอนการทำงานของโรงงาน
- My coworkers and I are responsible for working together to finish the project on time.
- เพื่อนร่วมงานของฉันและฉันมีหน้าที่รับผิดชอบทำงานร่วมกันเพื่อให้โปรเจกต์เสร็จลุล่วงได้ทันเวลา
- Don’t forget to read the contract carefully before signing it.
- อย่าลืมอ่านสัญญาให้ครบถ้วนก่อนเซ็นเอกสารล่ะ
- The deadline for submitting the report is next Monday.
- กำหนดเวลาในการส่งรายงานคือวันจันทร์หน้า
- Our company is hiring new personnel for the new project next month.
- บริษัทของเรากำลังหาพนักงานใหม่ เพื่อทำโปรเจกต์ใหม่ในเดือนถัดไปอยู่
- We need to streamline this service as it is too complicated to handle.
- เราจำเป็นต้องจัดระบบงานบริการ เนื่องจากงานนี้มีความซับซ้อนเกินไปเกินกว่าจะรับไหว
- She received a promotion because of her dedication to work.
- หล่อนได้รับการเลื่อนขั้นเพราะความทุ่มเทให้กับงานของเธอ
- We need to communicate our strategy to all stakeholders and also report them the expectations.
- เราจะต้องสื่อสารเรื่องกลยุทธ์แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดและรายงานพวกเขาเกี่ยวกับความคาดหวังที่จะได้รับด้วย
- They are always complaining about their heavy workload due to unsystematic.
- พวกเขาบ่นเรื่องงานหนักมาตลอดเวลา ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระบบ
- Health benefits are an important factor as a retention tool.
- ผลประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงานให้คงอยู่
- My brother now is in a position as the Marketing Manager for this company.
- ขณะนี้พี่ชายของฉันดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทนี้
- Our colleagues will attend the meeting, and let’s have it to discuss these problems.
- เพื่อนร่วมงานของเราจะเข้าร่วมประชุม และเราจะประชุมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้กันเถอะ
- He overplayed his hand in the negotiation by demanding too much, causing the deal to fall through.
- เขาเรียกร้องมากเกินไปในการเจรจาจนทำให้ข้อตกลงล้มเหลว
- We have been working for five hours and everyone is tired. I say let’s call it a day now!
- เราทำงานกันมาเป็นเวลาห้าชั่วโมงแล้วและทุกคนก็เหนื่อยกันหมดแล้ว ฉันว่า ตอนนี้เราควรหยุดได้แล้ว!
- I want to make sure that everyone is on the same page before we make any decisions today.
- ฉันต้องการให้แน่ใจว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันก่อนที่เราจะตัดสินใจในวันนี้
- It’s time for junior teammates to step up to the plate and take on their share of work.
- ถึงเวลาแล้วที่เพื่อนร่วมทีมรุ่นน้องจะต้องก้าวขึ้นมาและทำหน้าที่ของตนเอง
- I am looking for someone to team up with on this project.
- ฉันกำลังมองหาใครสักคนเพื่อร่วมทีมสำหรับโครงการนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
รู้หรือไม่กล้วยชนิดไหน ตัวช่วยชั้นดี ในการเลิกบุหรี่ กินเวลาไหน พร้อมเมนูกล้วย

จากการค้นคว้าข้อมูลพบว่า กล้วยหอม เป็นกล้วยที่ถูกกล่าวถึงบ่อยว่าเป็นตัวช่วยในการเลิกบุหรี่
เหตุผลก็คือ กล้วยหอมมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายหลายชนิด ได้แก่:
- โพแทสเซียม (Potassium) และ แมกนีเซียม (Magnesium): สารอาหารทั้งสองชนิดนี้ช่วยปรับสมดุลของเหลวในร่างกายและลดความอยากนิโคติน ซึ่งเป็นสารในบุหรี่ที่ทำให้เราเสพติด
- วิตามินบี 6 (Vitamin B6): มีส่วนช่วยในการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ช่วยลดความเครียดและความหงุดหงิดที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มเลิกบุหรี่
- วิตามินซี (Vitamin C): การสูบบุหรี่ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินซี การกินกล้วยหอมช่วยเพิ่มวิตามินซีและฟื้นฟูร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากการสูบบุหรี่ได้
ประโยชน์ของกล้วยหอมในการเลิกบุหรี่เพิ่มเติม
นอกจากวิตามินและแร่ธาตุที่กล่าวไปแล้ว กล้วยหอมยังมีสารสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยในการเลิกบุหรี่อีก ได้แก่:
- สารทริปโตเฟน (Tryptophan): สารนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายใช้ในการสร้างสารเซโรโทนิน (Serotonin) หรือที่เราเรียกว่า “สารแห่งความสุข” เมื่อสมองผลิตสารนี้มากขึ้น จะช่วยลดอาการเครียด หงุดหงิด และซึมเศร้า ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในช่วงที่ร่างกายขาดนิโคติน
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน: กล้วยหอมให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทำให้ไม่รู้สึกโหยหรืออ่อนเพลีย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลับไปสูบบุหรี่ได้
- เส้นใยอาหาร (Fiber): เส้นใยในกล้วยช่วยให้อิ่มนานขึ้น และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูร่างกาย
แนะนำวิธีกินกล้วยหอมเพื่อช่วยเลิกบุหรี่
การกินกล้วยหอมเพื่อช่วยเลิกบุหรี่นั้น ควรเน้นช่วงเวลาที่รู้สึกอยากสูบบุหรี่มากที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและช่วยลดความอยากนิโคตินได้ทันท่วงที
- กินกล้วยหอมเมื่อรู้สึกอยากบุหรี่: เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอยากจะจุดบุหรี่ขึ้นมา ให้รีบกินกล้วยหอม 1 ผลทันทีแทน การกินกล้วยหอมจะช่วยให้ความอยากลดลงและให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพื่อไปฟื้นฟูตัวเอง
- กินเป็นของว่างระหว่างมื้ออาหาร: การกินกล้วยหอมเป็นของว่างในช่วงเวลาที่เคยสูบบุหรี่ (เช่น หลังอาหารเช้า หรือช่วงพักเบรก) จะช่วยลดความอยากบุหรี่และเติมพลังงานให้ร่างกาย
- กินในมื้ออาหารที่รู้สึกอยากบุหรี่มากที่สุด: หากมีช่วงเวลาที่อยากบุหรี่เป็นพิเศษ เช่น หลังอาหารเที่ยง หรือช่วงเย็น ควรเพิ่มกล้วยหอมเข้าไปในมื้ออาหารนั้น ๆ
- ดื่มเป็นสมูทตี้: เพื่อให้กินง่ายขึ้นและรู้สึกสดชื่น สามารถนำกล้วยหอมมาปั่นเป็นสมูทตี้ร่วมกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น แอปเปิล หรือน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มรสชาติและความสดชื่น
เมนูกล้วยที่ทำง่ายและช่วยในการเลิกบุหรี่
1. กล้วยหอมสด
- วิธีทำ: ปอกเปลือกและกินได้ทันที
- กินเมื่อไหร่: กินเมื่อรู้สึกอยากสูบบุหรี่ หรือกินเป็นของว่างช่วงบ่าย
2. สมูทตี้กล้วย
- ส่วนผสม:
- กล้วยหอม 1 ผล
- นมจืดหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
- น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา (ถ้าชอบหวาน)
- น้ำแข็ง
- วิธีทำ: นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด
- กินเมื่อไหร่: ดื่มแทนอาหารเช้า หรือเมื่อต้องการความสดชื่นและพลังงาน
3. กล้วยอบ
- วิธีทำ:
- หั่นกล้วยเป็นชิ้นหนาประมาณ ½ นิ้ว
- วางบนถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข
- อบที่อุณหภูมิ 180°C (350°F) ประมาณ 10-15 นาที หรือจนกว่ากล้วยจะนิ่มและมีสีน้ำตาลทอง
- กินเมื่อไหร่: กินแทนของหวาน หรือของว่างยามบ่าย
4. กล้วยบดกับธัญพืช
- ส่วนผสม:
- กล้วยหอม 1 ผล บดให้ละเอียด
- ข้าวโอ๊ต หรือซีเรียลชนิดไม่หวาน
- เมล็ดเจีย หรือเมล็ดแฟลกซ์
- วิธีทำ: ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน
- กินเมื่อไหร่: กินเป็นมื้อเช้า หรือของว่างยามเช้า
การกินกล้วยหอมเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งใจจริงที่จะเลิกบุหรี่ หากมีอาการรุนแรง เช่น หงุดหงิดมากผิดปกติ วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและวิธีบำบัดที่เหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 54,600.00 | 54,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,530.00 | 53,514.80 | 55,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,177.00 | 48,163.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,824.00 | 42,811.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,588.50 | 24,081.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,235.50 | 18,730.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,658.03 | 55,455.73 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |