สาระน่ารู้ประจำวันที่ 16 กันยายน 2568

ทุนไหลเข้าโรงแรมเอเชียแปซิฟิก แรงซื้อไทยพุ่งแตะ 2หมื่นล้าน

การลงทุนธุรกิจโรงแรมเอเชียแปซิฟิกฮอต JJL คาดการณ์ไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 2 หมื่นล้านภายในสิ้นปี ขณะที่กรุงเทพฯ ยังคงครองตำแหน่งหัวเมืองดาวรุ่ง

กลางปี 2568 โลกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกของความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจมหภาคที่ซับซ้อน อัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน ไปจนถึงการเมืองระดับภูมิภาค แต่ในขณะที่บางตลาดเริ่มชะลอก้าว นักลงทุนรายใหญ่จำนวนไม่น้อยกลับเริ่ม “เร่งฝีเท้า” มองหาสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสรายได้สม่ำเสมอ และยังมีโอกาสเติบโตในระยะยาว

หนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ คือ โรงแรม โดยเฉพาะในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก ซึ่งข้อมูลจาก JLL ระบุว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 152,750 ล้านบาท แม้ลดลง 23% จากปีก่อนหน้า แต่ภายในเม็ดเงินนี้กลับสะท้อนโครงสร้างการลงทุนที่กำลังเปลี่ยนไป

นิฮาท เออร์แคน ประธานกรรมการบริหารภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กลุ่มธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของ JLL วิเคราะห์ว่า
“ระดับการลงทุนที่ชะลอลงหลังจากการขยายตัวสูงในปีที่แล้ว เป็นสัญญาณของความระมัดระวังจากนักลงทุน แต่ก็ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนมือระหว่างนักลงทุนสถาบันกับกลุ่มนักลงทุนบุคคลที่พร้อมเดินหน้าอย่างจริงจัง”

ญี่ปุ่นนำ โฟกัสตลาดหลัก–ไทยมาแรงในกลุ่มรอง

หากมองในระดับภูมิภาค ประเทศที่ครองอันดับต้นๆ ด้านมูลค่าการลงทุนยังคงเป็นกลุ่มเดิม เช่น ญี่ปุ่น (1,500 ล้านดอลลาร์), จีน (744 ล้านดอลลาร์) และ ออสเตรเลีย (664 ล้านดอลลาร์) ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและศักยภาพระยะยาว

แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือบทบาทของ “ตลาดรอง” ที่เริ่มสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างเงียบๆ หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายในครึ่งปีแรกสูงถึง 301 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 650 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ หรือกว่า 2 หมื่นล้านบาท

กรุงเทพฯ ยังเป็นแม่เหล็กหลัก

พิมพ์พะงา ยมจินดา รองประธานบริหารฝ่ายบริการลงทุนซื้อขาย ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก จาก JLL ระบุว่า
“ตลาดไทยยังคงมีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้มากที่สุด สะท้อนศักยภาพของเมืองในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและธุรกิจ”

การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคือ โครงสร้างผู้เล่นในตลาด จากเดิมที่นักลงทุนสถาบันครองเวทีหลัก ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่า “นักลงทุนบุคคลรายใหญ่” หรือ High Net-Worth Individuals (HNWI) ได้กลายเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวรวดเร็วและต่อเนื่องกว่า

ข้อมูลจาก JLL ชี้ว่า การลงทุนจากกลุ่มนี้ในธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นถึง 54% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พวกเขาไม่ได้มองเพียงสินทรัพย์เพื่อพักเงิน แต่เล็งเห็นการเติบโตและโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการ

“เวลานี้ไม่ใช่แค่ซื้อ แต่ต้อง ‘สร้าง’ มูลค่า”

นักลงทุนเริ่มพิจารณาลงทุนในโรงแรมระดับคุณภาพที่มีศักยภาพสูง พร้อมใช้กลยุทธ์การจัดการที่เข้มข้นเพื่อยกระดับผลตอบแทน นี่คือสิ่งที่ทำให้กลุ่ม Private Equity, Family Offices และ เจ้าของโรงแรมในภูมิภาค กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในเกมระยะต่อไป

ฟื้นไม่ทั่วหน้า แต่ฟื้นแน่นอน

แม้ผลการดำเนินงานของโรงแรมในเมืองหลักจะฟื้นตัวในระดับที่ต่างกัน เช่น โตเกียวมีอัตราเข้าพักเกิน 80%, ซิดนีย์ยังคงแข็งแกร่ง แต่ กรุงเทพฯ กลับเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจที่สุด ด้วยค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันที่ทำ สถิติสูงสุดใหม่ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 6.3% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้

แนวโน้มการเดินทางที่ฟื้นตัว ประกอบกับการปรับตัวของผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของตลาดเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะเมืองที่มีการบริหารจัดการโรงแรมอย่างมืออาชีพ

 ปลายปี…เงินจะเดิน

จากมุมมองของ JLL ครึ่งปีหลัง 2568 จะเป็นจังหวะทองของกลุ่มนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะผู้ที่ถือครองทุนเอกชน พร้อมเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ต้องการการปรับปรุงหรือบริหารใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ คาดว่า มูลค่าการลงทุนรวมตลอดปีจะพุ่งถึง 12,800 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 5%

“ระยะสั้นคือความผันผวน แต่ระยะยาวคือโอกาส”

ตลาดโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการลงทุนให้สอดรับกับความเป็นจริง และในโลกที่เงินทุนต้องหาที่อยู่ใหม่ โรงแรมในเมืองศูนย์กลางที่มีพื้นฐานแข็งแรง อาจไม่ใช่แค่ที่พักของนักเดินทางอีกต่อไป…แต่เป็นที่พักของ “เงินทุน” ที่แสวงหาความมั่นคงระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


พลิกทำเลทองจากบางนา สู่รังสิต เสนาจับมือธอส. – กรุงไทย ช่วยคนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น

  • เสนาฯ ต่อยอดความสำเร็จจากโซนบางนาสู่รังสิต เปิดตัวแคมเปญ “เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง” สำหรับคนอยากมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมกู้
  • ร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารกรุงไทย มอบข้อเสนอสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อให้คนไทยมีบ้านง่ายขึ้น
  • นำเสนอนวัตกรรมทางการเงิน “LivNex เช่าออมบ้าน” ที่ช่วยเปลี่ยนค่าเช่าให้กลายเป็นเงินออมสำหรับซื้อบ้านในอนาคต

การขยายตัวของเมืองออกไปยังโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร  ส่งผลให้เกิดการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยกันมากในทำเลบางนา  เช่นเดียวกับ จังหวัดปทุมธานี โซนพื้นที่ปริมณฑลทางทิศเหนือของกรุงเทพฯ รองรับการขยายตัวของเมืองรังสิต ที่มีภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และการบริการทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่

โดยมีโครงข่ายการจราจร รถไฟฟ้าเชื่อมโยงเข้าออกเมืองได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดที่อยู่อาศัยของทั้งสองโซน ที่มีดีเวลลอปเปอร์ทุกค่ายเปิดตัวโครงการและแคมเปญชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งท้ายปี2568 ซึ่งเป็นช่วงนาทีทองของผู้บริโภคที่มีความพร้อม    

จาก กระแสตอบรับแรงจากโซนบางนา อินไซต์ตรงใจผู้บริโภคเต็ม ๆ ทำให้   บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ไม่หยุดแค่โซนบางนา แต่เดินหน้าต่อทันทีสู่โซนรังสิต กับ แคมเปญสุดฮอต “เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง” ภายใต้โครงการ LivNex เช่าออมบ้าน เช่าเพื่อเป็นเจ้าของ นวัตกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อปลดล็อก Pain Point ของคนไทยที่อยากมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมกู้ธนาคาร

นำโดย นางสาวอุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมกับ บริษัท เงินสดใจดี จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อและที่ปรึกษาด้านการเงิน พร้อมมอบสิทธิพิเศษ จองบ้านและคอนโดภายในงานรับส่วนลดทันที 20,000 บาท ระหว่างวันที่ 11 – 17 กันยายนนี้ ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต แอน สเปลล์

นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรสถาบันการเงิน เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้คำปรึกษาและแนะนำบริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย กับสินเชื่อบ้าน 72 ปี ธอส. มอบอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรกเริ่มต้นเพียง 0.72% ต่อปี และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มอบข้อเสนอสุดพิเศษ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ปีแรกเริ่มเพียง 2.20% และผ่อนสบายล้านละ 2,600 บาท/เดือน นาน 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่

นางสาวอุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตลาดในปัจจุบันไม่ใช่เพียงการสื่อสาร แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่ผู้บริโภครับรู้และสัมผัสได้จริง เสนาจึงวางกลยุทธ์แคมเปญ ‘เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’ ในรูปแบบ Full Campaign ครอบคลุมทุกช่องทาง ตั้งแต่การสื่อสารออนไลน์ กิจกรรม On Ground ที่ศูนย์การค้า การเชื่อมต่อกับโครงการจริง

ไปจนถึงการสร้าง Engagement บน Social Media เพราะทุกมิติในปัจจุบันล้วนมีความสำคัญเท่า ๆ กัน และวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้เลือกบ้านจากการเห็นเพียงครั้งเดียว แต่ต้องการข้อมูลที่หลากหลาย การเปรียบเทียบ และความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ความคุ้มค่าทางการเงิน และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องนำมาคิดและออกแบบอย่างครบถ้วน

“สิ่งที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จคือ การที่เราเข้าใจ Pain Point ของคนรุ่นใหม่และครอบครัวที่อยากมีบ้าน แต่ติดปัญหาเรื่องการกู้สินเชื่อ LivNex จึงเข้ามาช่วยปลดล็อกความกังวล ด้วยการเปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินออมต่อยอดสู่การมีบ้านจริง ซึ่งผลลัพธ์ชัดเจนจากงานที่เมกา บางนา ที่มีผู้สนใจจำนวนมาก มียอดจองมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท และสร้างฐานลูกค้าใหม่ (Leads) รวมทุกช่องทางมากกว่า 2,000 ราย ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์” 

สำหรับโซนรังสิต เสนาเตรียมโครงการบ้านและคอนโดคุณภาพมาให้เลือกกว่า 13 โครงการ เช่นSENA VILLAGE บางกะดี – ติวานนท์ และ SENA VILLAGE รังสิต – ติวานนท์ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่ออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยของครอบครัว, SENA KITH พหลโยธิน – นวนคร, SENA KITH รังสิต คลอง 4, SENA KITH รังสิต – ติวานนท์ คอนโดราคาจับต้องได้สำหรับคนเริ่มต้นทำงาน หรือครอบครัวเล็ก และ SENA ECO TOWN รังสิต สเตชั่น ที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า พร้อมเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ COZI โครงการคอนโดมิเนียมดีไซน์ใหม่ 2 ทำเลศักยภาพอย่าง COZI บีทีเอส สะพานใหม่ และ COZI รามอินทรา – คู้บอน ตอบโจทย์คนเมืองรุ่นใหม่”

ทั้งนี้ เสนามั่นใจว่าการต่อยอดแคมเปญที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จะช่วยกระตุ้นยอดจองและขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเป้าหมายมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาทที่วางไว้ตลอดแคมเปญ พร้อมกันนี้ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) และผู้นำโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัยครบวงจร ที่ไม่เพียงมุ่งสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ แต่ยังมุ่งสร้างโอกาสและความมั่นคงให้คนไทยได้ก้าวสู่การมีบ้านได้จริงอย่างยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงระหว่างวันอาจพอได้แรงหนุน หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ก.ย.2568 ที่ระดับ  31.82 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.85 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในช่วงก่อนรับรู้ ผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน ของเฟด แม้ว่าในช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า เงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงเร็วเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามกระแสข่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังอาจออกมาตรการเก็บภาษีในการซื้อ-ขาย ทองคำ

 โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์และมีการชำระเป็นเงินบาท เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ไทยในช่วงระยะสั้น

พร้อมกับการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินบาท ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาว (เรามองว่า บอนด์ 10 ปี ไทย เริ่มมีความน่าสนใจในการทยอยซื้อ หรือ Buy on Dip มากขึ้น หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย ได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 1.50%)

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ที่อาจมาพร้อมกับการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด

เว้นเสียแต่ว่า ผู้เล่นในตลาดจะเริ่มคาดหวังว่า เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ได้ ซึ่งต้องจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าว ผ่านบทความจากสื่อที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เป็นคนส่งสารของเฟด หรือ Fed Whisperer อย่าง บทความของ Nick Timiraos (the Wall Street Journal)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่อาจปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง หากยอดค้าปลีกสามารถขยายตัวต่อเนื่องสูงกว่าคาด

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.70-31.95 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 31.76-31.89 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับจังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์

(ในเชิงเทคนิคคัล การปรับตัวขึ้นทะลุ Ascending Triangles ของราคาทองคำในช่วงก่อนหน้า จะมีเป้าราคาแรกแถว 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจลดดอกเบี้ยราว 6 ครั้ง (ครั้งละ 25bps) ภายในสิ้นปี 2026

ทั้งนี้ การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็ชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ก่อนจะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Alphabet +4.5%, Tesla +3.6% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ต่างปรับตัวผสมผสาน หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดในเดือนกันยายน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.47% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.94%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.42 % หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน ท่ามกลาง ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ก็ปรับตัวขึ้นได้ดี อาทิ ASML +5.7%

นอกจากนี้ กระแสข่าวการเข้าซื้อกิจการ Giorgio Armani จากบริษัทแบรนด์เนมรายใหญ่ รวมถึงการปรับคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมจากฝั่งนักวิเคราะห์ ก็มีส่วนหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวขึ้น อาทิ LVMH +2.8%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 6 ครั้ง จนถึงสิ้นปีหน้า ยังคงหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.04% ก่อนที่การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะถูกชะลอลงบ้าง จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผลการประชุม FOMC ของเฟดเดือนกันยายน ไม่ได้เป็นไปตามที่คาด หวัง เพราะแม้เฟดจะลดดอกเบี้ย 25bps ตามคาด

แต่หาก คาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (Dot Plot) ใหม่ ไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากเท่ากับที่ตลาดประเมิน ก็อาจหนุนให้ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่ยาก

เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยุโรป ก็มีส่วนหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินยูโร (EUR) แม้ว่าจะยังคงมีความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสก็ตาม

ทั้งนี้ การย่อตัวของเงินดอลลาร์ก็ชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และบางส่วนก็อาจรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดในเดือนกันยายน ก่อนจะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.2-97.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้ชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำย่อลงเล็กน้อย แต่ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,710-3,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนสิงหาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง (อาจไม่มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์นี้)

ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน ทั้งยอดการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Survey)

และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพุธที่ 17 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 31.78-31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.23 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการปรับสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก  และสถานการณ์ของค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังขาดแรงหนุนในช่วงก่อนการประชุมเฟด

อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณเกี่ยวกับการดูแลการเคลื่อนไหวของเงินบาท หลังจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับมาตรการลดผลกระทบจากธุรกรรมทองคำที่มีต่อเงินบาทของทางการในช่วงก่อนหน้านี้  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.65-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ  ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ  ยอดค้าปลีก  การผลิตภาคอุตสาหกรรม และดัชนีราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนส.ค.  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สับสุดโหด! “เซวิลล์” ลมกรดจาเมกา คว้าแชมป์ 100 ม. ศึกชิงแชมป์โลก 2025

โอบลิเก้ เซวิลล์ นักวิ่งชาวจาเมกา กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วโลกทันทีหลังหยิบเหรียญทอง วิ่ง 100 เมตร ในรายการชิงแชมป์โลก 2025 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568

โดย ลมกรดชาวจาเมกาวัย 24 ปี วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก คว้าแชมป์โลกไปครอง พร้อมสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองด้วยเวลา 9.77 วินาที ถือเป็นเวลาที่ดีที่สุดตลอดการวิ่ง

ส่วนอันดับ 2 เป็น คีชาน ธอมป์สัน เพื่อนร่วมชาติที่ทำเวลา 9.82 วินาที และอันดับ 3 เป็นของ โนอาห์ ไลล์ส ลมกรดจากสหรัฐอเมริกา ที่ทำเวลา 9.89 วินาที

จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ โอบลิเก้ เซวิลล์ กลายเป็นชายชาวจาเมกาคนแรกนับตั้งแต่ที่ ยูเซน โบลต์ ตำนานนักวิ่งบ้านเกิดสามารถคว้าแชมป์โลกได้หนสุดท้ายเมื่อปี 2016

สำหรับสถิติโลกในการวิ่ง 100 เมตร ยังคงเป็น ยูเซน โบลต์ ที่ทำสถิติเอาไว้ที่ 9.58 วินาที เมื่อปี 2009 และยังไม่สามารถมีนักกีฬารายใดทำลายสถิติดังกล่าวได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เล่นโทรศัพท์ขณะถ่ายหนัก เสี่ยง “โรคริดสีดวงทวาร” ภัยร้ายที่จากการนั่งนานเกินไป

ในยุคดิจิทัลที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การใช้เวลาว่างทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์กลายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ในห้องน้ำ การนั่งเล่นโทรศัพท์ขณะขับถ่ายก็กลายเป็นนิสัยของใครหลายคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมนี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด “โรคริดสีดวงทวาร” ได้

ทำไมการเล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำถึงเสี่ยงริดสีดวงทวาร?

โรคริดสีดวงทวารเกิดจากภาวะที่เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักและไส้ตรงบวมและอักเสบ ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการใช้แรงเบ่งอุจจาระหรือการนั่งแช่เป็นเวลานานเกินไป ซึ่งการใช้โทรศัพท์ในขณะขับถ่ายจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นจากเหตุผลดังนี้:

  • นั่งนานเกินไป: การนั่งเล่นโทรศัพท์เพลินๆ ทำให้เราใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าที่จำเป็น โดยเฉลี่ยแล้วไม่ควรใช้เวลาขับถ่ายเกิน 5-10 นาที การนั่งนานเกินไปทำให้แรงกดดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เส้นเลือดบริเวณทวารหนักต้องรับน้ำหนักเป็นเวลานาน ส่งผลให้เลือดคั่งและบวมพองในที่สุด
  • ขาดสมาธิในการขับถ่าย: เมื่อสมาธิไปอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ สมองจะไม่ได้สั่งการให้ร่างกายขับถ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บางครั้งเราต้องออกแรงเบ่งมากกว่าปกติ ซึ่งการเบ่งเป็นเวลานานและบ่อยครั้งจะไปเพิ่มแรงดันในหลอดเลือดและทำให้ริดสีดวงทวารยิ่งแย่ลง
  • ท่าทางที่ไม่เหมาะสม: การนั่งในท่าเดิมนานๆ หรือการนั่งงอตัวเพื่อมองหน้าจอโทรศัพท์อาจส่งผลต่อการทำงานของลำไส้และเพิ่มแรงกดดันต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับถ่าย
  • อาการเริ่มต้นของโรคริดสีดวงทวาร

หากคุณมีพฤติกรรมนี้เป็นประจำ ลองสังเกตอาการเบื้องต้นดังต่อไปนี้:

  • มีเลือดสดหยดออกมาหลังการขับถ่าย
  • รู้สึกเหมือนมีก้อนหรือติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก
  • มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวารหนัก
  • รู้สึกว่าขับถ่ายไม่สุด

หากมีอาการเหล่านี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

วิธีลดความเสี่ยงและป้องกัน

  • ขับถ่ายอย่างรวดเร็ว: ตั้งเป้าหมายว่าการขับถ่ายแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 10 นาที
  • มีสมาธิ: เมื่อเข้าห้องน้ำ ให้มีสมาธิอยู่กับการขับถ่ายอย่างเดียว ไม่ต้องนำโทรศัพท์เข้าไปด้วย
  • ปรับพฤติกรรมการขับถ่าย: ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้ เพื่อให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่าย

การขับถ่ายเป็นเรื่องธรรมชาติที่สำคัญต่อสุขภาพ การให้ความสำคัญกับมันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการใช้โทรศัพท์มือถือ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 ประโยคภาษาอังกฤษน่ารู้! เมื่อต้อง “ประชุมออนไลน์”

ประโยค “ประชุมออนไลน์”

ประโยคภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการประชุมออนไลน์ มีดังต่อไปนี้

• Are we waiting for anyone else?
(อา วี เวท’ทิง ฟอร์ เอน’นีวัน เอลซฺ)
เราต้องรอใครอีกไหม

• Has Peter joined the meeting yet?
(แฮซ ปีเตอร์ จอย เดอะ มีททิง เยท)
เราต้องรอใครอีกไหม

• Are you on mute? (mute = no sound)
(อา ยู ออน มิวทฺ)
คุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า (ปิดเสียง = ไม่มีเสียง)

• Are you still there?
(อา ยู สทิล แธร์)
คุณยังอยู่หรือเปล่า?

• I can hear you but I can’t see you.
(ไอ แคน เฮียร์ ยู บัท ไอ คานท์ ซี ยู)
ฉันได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้าคุณ

• Do you have an audio problem?
(ดู ยู แฮฟ แอน ออดีโอ พรอบเลิม)
คุณมีปัญหาเกี่ยวกับเสียงไหม?

• I am having trouble hearing you.
(ไอ แอม แฮฟวิง ทรัพเบิล เฮียริง ยู)
ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินคุณ

• Could you speak a little bit louder?
(เคอะดฺ ยู สปีค อะ ลิตเทิล บิท ลาวเดอร์)
ช่วยพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม

• Sorry, can you say that again? I can’t hear you clearly.
(ซอรี แคน ยู เซย์ แธด อะเกน ไอ คานท์ เฮีย ยู เคลียร์ลี)
ขอโทษที ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ฉันได้ยินไม่ชัด

• I think I may have a problem with the connection.
(ไอ ธิงค์ ไอ เมย์ แฮฟ อะ พรอบ’เลิม วิธ เดอะ คอนเนคเชิน)
ฉันน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


องค์การเภสัชกรรม พัฒนายาต้านไวรัสเอชไอวี รักษาฟรีทุกสิทธิ

  • องค์การเภสัชกรรมได้วิจัยและพัฒนายาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ตำรับ ทั้งยารักษาและยาป้องกัน (PrEP) เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยทุกกลุ่ม
  • ยาต้านไวรัสเอชไอวีได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ฟรีภายใต้ 3 สิทธิหลัก คือ บัตรทอง ประกันสังคม และสิทธิข้าราชการ
  • องค์การเภสัชกรรมมีกำลังการผลิตยาเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทั่วประเทศ และกำลังพัฒนาเทคโนโลยียาฉีดออกฤทธิ์นานเพื่อใช้ในการป้องกันในอนาคต

14 กันยายน 2568 พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี รวมถึงมีการสอบถามมายังองค์การเภสัชกรรมประเด็นการผลิตยาให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ว่า ปัจจุบันจากการรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 551,293 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16,923 ราย

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีที่องค์การฯ เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2538 และองค์การฯ มีการวิจัยและพัฒนายาสูตรตำรับใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนกว่า 40 ตำรับ ทั้งสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ทั้งในรูปแบบยาเม็ด ยาแคปซูล และยาน้ำสำหรับรับประทานเพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยตระหนักถึงประสิทธิภาพในการรักษา การลดอาการไม่พึงประสงค์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาของผู้ป่วย

ในปี พ.ศ. 2544 องค์การฯ ประสบความสำเร็จในการคิดค้นยาสูตรผสม (cocktail) ซึ่งถือเป็นยาใหม่ของประเทศไทยโดยรวมยา 3 ชนิดไว้ในเม็ดเดียวกันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการได้รับยาไม่ครบซึ่งส่งผลทำให้เกิดการดื้อยาได้

องค์การฯไม่ได้ผลิตเพียงแค่ยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์เท่านั้น ในปี 2553 ยังเริ่มการวิจัยและพัฒนายาที่ใช้ในการป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) อีกด้วย การพัฒนาและผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่องขององค์การฯ จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันทำให้เกิดความสำเร็จในการยุติการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิก และประเทศที่ 2 ของโลก ในปี 2559

ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีที่ผลิตอยู่ 23 รายการ โดยยาหลักที่ใช้ในการรักษา และยาหลักที่ใช้ในการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) เป็นยาเม็ดสูตรผสม ตามแนวทางการตรวจวินิจฉัย รักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2564/2565 ของกรมควบคุมโรค รวมถึงองค์การฯได้มีการประสานเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของยาฉีดออกฤทธิ์นานเพื่อใช้ในการป้องกันการติดเชื้อโดยฉีดเพียงปีละ 2 ครั้งและคาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคตอันใกล้นี้

พญ.มิ่งขวัญ ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกำลังการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีขององค์การฯทั้งยาเม็ดและยาน้ำนั้น มีกำลังการผลิตที่เพียงพอ ครอบคลุมรองรับผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ ปัจจุบันยาต้านไวรัสเอชไอวีมีประสิทธิภาพที่ดี ถ้าผู้ป่วยเริ่มยาต้านไวรัสเอดส์เร็วและได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงกับคนปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

นอกจากนี้องค์การฯ ยังได้ร่วมผลักดันยารักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ให้ได้รับการบรรจุเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติและบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อให้ครอบคลุมสิทธิการเบิกจ่ายทั้ง 3 สิทธิการรักษาได้แก่ สิทธิบัตรทองตั้งแต่เมษายน 2550  จำนวน 322,335 ราย สิทธิประกันสังคมเมื่อปี 2547 จำนวน 171,793 รายและสิทธิข้าราชการ  จำนวน 25,054 ราย ซึ่งผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกราย

องค์การเภสัชกรรมมีความมุ่งมั่น คิดค้น วิจัยและพัฒนายากลุ่มใหม่และยาสูตรใหม่ที่ใช้ในการรักษาและการป้องกันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตทำให้ต้นทุนยาลดลงเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้นมีชีวิตที่ยืนยาว ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า “องค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศ ที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ” ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“สับปะรดภูแล” ผลไม้ขึ้นชื่อ หวานกรอบไม่เหมือนใคร พร้อมประโยชน์ต่อสุขภาพ

สับปะรดภูแล ผลไม้พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งรสชาติหวาน กรอบ เนื้อแน่น และไม่มีแกนแข็งตรงกลาง ทำให้รับประทานง่าย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จึงเป็นผลไม้ที่ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคทั่วไปนิยมอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะเด่นของสับปะรดภูแล

 ผลเล็กแต่รสชาติเข้มข้น

สับปะรดภูแล มีผลขนาดเล็กกว่าสับปะรดทั่วไป น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 0.5–1 กิโลกรัมต่อผล แต่กลับมีรสชาติหวานเข้ม เนื้อแน่นและกรอบ

เนื้อสีเหลืองสดและไร้แกนกลาง

เนื้อของสับปะรดภูแลมีสีเหลืองทอง เนื้อเนียนละเอียด และไม่มีแกนแข็งตรงกลาง จึงสามารถรับประทานได้หมดทั้งผล

รสชาติหวาน กรอบ หอม

ถือเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดของสับปะรดภูแล รสชาติหวานจัดจนบางครั้งไม่จำเป็นต้องปรุงเพิ่ม และมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

สับปะรดภูแลมีประโยชน์อย่างไร

เสริมภูมิคุ้มกันด้วยวิตามินซี

สับปะรดภูแล เป็นแหล่งวิตามินซีชั้นดี ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันโรคหวัด และยังช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส

มีสารต้านอนุมูลอิสระ

ในเนื้อและน้ำของสับปะรดภูแล มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสื่อม ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง และโรคหัวใจ

ช่วยย่อยอาหาร

เอนไซม์โบรมีเลนในสับปะรดภูแล มีคุณสมบัติย่อยโปรตีน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการแน่นท้องหรืออาหารไม่ย่อย

ดีต่อการควบคุมน้ำหนัก

ด้วยพลังงานต่ำและไฟเบอร์สูงสับปะรดภูแล ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารเกินความจำเป็น เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมอาหารหรือดูแลรูปร่าง

ช่วยลดการอักเสบ

สารโบรมีเลนยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการบวม ฟกช้ำ และอาจช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังออกกำลังกายหรือการบาดเจ็บเล็กน้อย

วิธีเลือกซื้อสับปะรดภูแลให้อร่อย

ดูที่สีเปลือก

เลือกผลที่มีเปลือกสีเหลืองทองสม่ำเสมอ ไม่เขียวเข้มจนเกินไป เพราะหมายถึงยังไม่สุกเต็มที่

ตรวจสอบความแน่นของเนื้อ

ใช้มือกดเบา ๆ หากเนื้อแน่น ไม่บุ๋ม และไม่ยุ่ย แสดงว่าเป็นสับปะรดภูแลที่สดใหม่

กลิ่นหอมหวานเฉพาะตัว

สับปะรดภูแลสุกจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากภายนอก หากไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นเปรี้ยวแรงเกินไป ควรหลีกเลี่ยง

ใบสดเขียวไม่เหี่ยว

ใบด้านบนยังเขียวสดและไม่แห้ง เป็นสัญญาณว่าผลยังใหม่และเก็บไม่นาน

ไอเดียเมนูจากสับปะรดภูแล

น้ำสับปะรดภูแลปั่น

เพียงปั่นเนื้อสดกับน้ำแข็ง จะได้เครื่องดื่มเย็นชื่นใจ วิตามินซีสูง

สลัดผลไม้

ผสมสับปะรดภูแลกับผลไม้อื่น เช่น แอปเปิล องุ่น และส้ม เพิ่มโยเกิร์ตหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย ได้สลัดเพื่อสุขภาพ

ข้าวผัดสับปะรดภูแล

นำเนื้อสับปะรดภูแลมาผัดกับข้าวสวย กุ้ง และถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รสหวานหอมตัดเค็มกลมกล่อม

ของหวานและเบเกอรี่

สามารถนำสับปะรดภูแลไปทำพาย แยม หรือเค้ก เพิ่มรสหวานธรรมชาติและความหอม

สับปะรดภูแล ไม่ได้มีดีแค่รสชาติหวานกรอบที่ไม่เหมือนใคร แต่ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยย่อยอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ และเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังนำไปทำอาหารและขนมได้หลากหลาย ถือเป็นผลไม้ไทยที่ทั้งอร่อยและดีต่อร่างกายที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a55,200.0055,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,568.0054,090.8856,100.00
ทองรูปพรรณ 90%3,211.2048,681.79n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,854.4043,272.70n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,605.6024,340.90n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,248.8018,931.81n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,697.4156,052.74n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า