อสังหาฯภูเก็ตมือสองมาแรง!แซงมือหนึ่ง วิลล่าหรูรอระบาย 4 ปี

- ตลาดวิลล่าหรูมือหนึ่งในภูเก็ตเผชิญภาวะชะลอตัวมียูนิตเหลือขายกว่า1,900 ยูนิต คาดว่าต้องใช้เวลาระบายกว่า 4 ปี
- อสังหาฯมือสองได้รับความนิยมแซงหน้ามือหนึ่งเนื่องจากราคาถูกและได้พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่กว่า
- สาเหตุหลักของภาวะชะลอตัวมาจากอุปทานล้นตลาด (Over Supply) และกำลังซื้อจากชาวจีนหายไป
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของ “ภูเก็ต” ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “สนามแข่ง” ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ที่หลั่งไหลเข้ามาพัฒนาโครงการ “วิลล่า” ในทำเลทองทั่วเกาะ!
ด้วยแรงหนุนจากกำลังซื้อมหาศาลของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวรัสเซียและจีน ตลาดวิลล่าภูเก็ตเคยอยู่ในภาวะร้อนแรงแบบ “ขายก่อนสร้าง” ราคาพุ่งต่อเนื่องแต่แล้วในปี 2568 ภาพฝันกลับเริ่มพร่าเลือน
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในตลาดวิลล่าภูเก็ต ครึ่งปีแรก 2568 มีหน่วยเปิดตัวใหม่เพียง 298 ยูนิต ลดลงถึง 74.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดขายใหม่ (New Sales) หดตัวลงกว่า 70% เหลือเพียง 231 ยูนิตเท่านั้น
สิ่งที่น่ากังวล คือ หน่วยเหลือขาย (Remaining Supply) เพิ่มขึ้นสวนทางกับยอดขาย สูงถึง 1,908 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 73,730 ล้านบาท นั่นหมายความว่า อัตราดูดซับต่อเดือนลดฮวบจาก 5.5% เหลือเพียง 1.8% หรือถ้าไม่ขายเพิ่มอีกแม้แต่หลังเดียว ต้องใช้เวลากว่า 4 ปี ในการระบายสต็อกเหล่านี้!
จุดเปลี่ยนของตลาด “จีนหาย”
เมธาพงศ์ อุปัติศถุงค์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า ภาวะชะลอตัวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองโลกหรือเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรง แต่สะท้อนถึง “ความไม่สมดุล” ที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เมื่อหลายโครงการเร่งเปิดตัวโดยเชื่อมั่นว่ากระแสการย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีจะไม่มีวันสะดุด! โครงการใหม่จำนวนมากจึงเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาเดียว โดยเฉพาะวิลล่าระดับราคา 10-40 ล้านบาท ที่กลายเป็นกลุ่ม “โอเวอร์ซัพพลาย” ที่สุดของตลาด
“ยอดจองช่วงต้นปีไปได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยว แต่พอจีนหายไปกลางปี ทุกอย่างก็หยุด”

4 ทำเลหลักจุดร้อนแรงหรือจุดเสี่ยง?
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ยังแจกแจง “ภาพลึก” ของตลาดในแต่ละทำเล โดยพบว่า โซนเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร เป็นทำเลที่มียอดขายมากที่สุดในครึ่งปีแรก 2568 แต่ก็มีหน่วยเหลือขายมากถึง 924 ยูนิต
“วิลล่าระดับ 10-40 ล้านบาทในเทพกระษัตรีใช้เวลาเคลียร์สต็อก 61 เดือน หรือกว่า 5 ปี ในทางกลับกัน ทำเลกมลาที่เคยเป็นไฮเอนด์โซน กลับยังพอไปได้ โดยมีอัตราดูดซับสูงถึง 6.8% ใช้เวลาเพียง 9 เดือนในการระบาย”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกพื้นที่ที่โชคดีเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น บางเทา-สุรินทร์ ซึ่งเคยเป็นแม่เหล็กดูดเศรษฐีต่างชาติ วันนี้เจอกับภาวะ “วิลล่าหรูล้นตลาด” โดยเฉพาะกลุ่มราคา 40 ล้านบาทขึ้นไปที่มีหน่วยเหลือขายถึง 249 ยูนิต แต่ขายได้เพียง 20 ยูนิต ใช้เวลาระบายถึง 77 เดือน หรือเกือบ 6.5 ปี
แต่ตัวอย่างที่ชัดที่สุดของ “ตลาดอืด” คือหาดราไวย์ ที่หน่วยเหลือขายระดับ 20-40 ล้านบาท ต้องใช้เวลาเคลียร์สินค้าถึง 244 เดือน หรือกว่า 20 ปี หากยังคงอัตราดูดซับเท่าเดิม!
มือสองพลิกเกมถูกกว่า ใหญ่กว่า ขายง่าย
ขณะที่ตลาดมือหนึ่งกำลังอิ่มตัวและเจอภาวะชะลอตัวหนัก ตลาดมือสองกลับ “โฉบตัดหน้า” อย่างเงียบ ๆ
“สินค้ามือสองครองตลาด 63% เพราะราคาถูกกว่ามือหนึ่งเกือบครึ่ง ”
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบบังเอิญ แต่มาจากกลยุทธ์ของผู้ลงทุนที่เคยซื้อเก็บไว้ปล่อยเช่า และตอนนี้หันมาปล่อยขายเพื่อทำกำไรหรือถอนทุน ตัวอย่างชัดเจน เช่น คอนโดทำเลเดียวกัน มือหนึ่งราคาเฉลี่ย 121,000 บาท/ตร.ม.มือสองราคาเพียง 68,000 บาท/ตร.ม.นอกจากจะราคาต่อตารางเมตรต่ำกว่าเกือบครึ่ง ยังได้ห้องขนาดใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ทำให้ “ความคุ้มค่า” กลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ตลาดมือหนึ่งไม่อาจต่อกรได้
“ปี 2568 ตลาดมือสองมาแรง ด้วยราคาถูกกว่ามือหนึ่งเกือบครึ่ง และได้ห้องใหญ่กว่า 2 เท่า”
วิลล่าหรูไม่ใช่จะขายไม่ได้เลย แต่ “จังหวะตลาด” และ “กลยุทธ์การตั้งราคา” คือสิ่งที่ต้องปรับอย่างเร่งด่วน บทเรียนสำคัญของภูเก็ตในปี 2568 คือการชะลอตัว ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลของ “ความเชื่อผิด ๆ ว่า อสังหาฯหรูไม่มีวันล้น”
ผู้ประกอบการที่ยังพัฒนาโครงการใหม่ในวันนี้ จำเป็นต้องมองทะลุเทรนด์ และปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค เจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เศรษฐีต่างชาติ แต่รวมถึงผู้ซื้อไทยที่มองหาการลงทุนระยะยาว ใส่ใจราคาต่อตารางเมตรและขนาดยูนิต ให้สมเหตุสมผล
“เราเคยคิดว่าเศรษฐีจะอยู่ตลอดไป แต่วันนี้ตลาดบอกว่าไม่ใช่”
ภูเก็ตยังมีอนาคต แต่เกมเปลี่ยนแล้ว
ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตไม่ได้พัง+ แต่เปลี่ยนเกม ที่เคยเป็นของโครงการใหม่กลายเป็นของ “มือสอง” ที่ฉวยโอกาสราคาถูกเข้ายึดตลาดขณะที่วิลล่าหรูยังคงมีมูลค่า แต่ต้องเลือกทำเลให้ถูก ปรับราคาสู้กับตลาดมือสอง และที่สำคัญคือ อย่าประมาท “พลังของการอิ่มตัว” ที่อาจกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ
ธุรกิจอสังหาฯ ไม่ใช่การวิ่งเร็ว แต่คือการวิ่งนาน และวันนี้ผู้ที่ “อดทน” คือ ผู้ชนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
MQDC ผสานสุขภาพ-ธรรมชาติครบวงจร รับเทรนด์คอมมูนิตี้สูงวัย

MQDC ชู “ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์” คอมมูนิตี้กลางธรรมชาติ ผสานบริการดูแลสุขภาพครบวงจร รับสังคมสูงวัยภายใต้มาตรฐานสากล
บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลอปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิด “ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์” (The Aspen Tree The Forestias) คอมมูนิตี้ที่พักอาศัยเพื่อวัยอิสระอายุ 50 ปีขึ้นไป ภายใต้แนวคิด Aging-in-Place บนพื้นที่ 23 ไร่ใจกลางโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ถนนบางนา-ตราด กม.7 ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบ “เมืองในป่า–ป่าในเมือง” ขนาด 398 ไร่ มีพื้นที่สีเขียวกว่า 56% ของ

โครงการทั้งหมดโครงการนี้ประกอบด้วยเพียง 290 ยูนิต แบ่งเป็น Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่และสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ตั้งแต่ Wellness Clubhouse ขนาดกว่า 6,000 ตร.ม.
ไปจนถึง Health & Brain Center (HBC) ศูนย์สุขภาพเฉพาะทางสำหรับผู้สูงวัยที่ครบครันด้วยคลินิกเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ คลินิกสมองและความจำ กายภาพบำบัด ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทั้งในระยะสั้น ถึงระยะยาว รวมถึง Aspen Day Center ที่รองรับการดูแลแบบเช้าไปเย็นกลับ
นางทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ผู้ก่อตั้ง MQDC กล่าวถึงแรงบันดาลใจว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจากแนวคิด social enterprise เพื่อสร้างชุมชนที่เด็กและผู้สูงอายุอยู่ร่วมกันได้อย่างอบอุ่น โดยดึงความเชี่ยวชาญจาก Baycrest Global Solutions องค์กรระดับโลกจากแคนาดาที่มีประสบการณ์กว่า 105 ปี มาวางระบบการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย พร้อมนำองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ผู้สูงวัยและสุขภาพสมองมาต่อยอดให้โครงการไทย
ดร. วิลเลียม ไรซ์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานผู้อำนวยการ Baycrest ยํ้าว่า โครงการนี้สะท้อนมาตรฐานระดับสากลในการดูแลผู้สูงอายุ โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพเชิงป้องกันและงานวิจัยด้านสมอง เช่น เครื่องมือ Cogniciti สำหรับการทดสอบสุขภาพสมอง ทั้งยังมีการฝึกอบรมบุคลากรไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยโตรอนโต เพื่อยกระดับการดูแลผู้สูงวัยให้ก้าวทันโลก
ขณะที่ แพทย์หญิงอุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดิ แอสเพน ทรี อธิบายว่า Health & Brain Center ได้ผสานองค์ความรู้จาก Happiness Science Hub ศูนย์วิจัยศาสตร์แห่งความสุขเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่สร้างสุขภาพกายและใจ และลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม-อัลไซเมอร์ สะท้อนการดูแลที่ครอบคลุมทั้งมิติการแพทย์ กิจกรรม และสุขภาวะทางจิตใจ
ด้านนางสาวนบเกล้า ตระกูลปาน ผู้อำนวยการบริหาร ดิ แอสเพน ทรี กล่าวเสริมว่า ทุกยูนิตออกแบบตามแนวคิด Universal Design เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ปลอดภัย เช่น พื้นไร้ระดับกันลื่น ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และปุ่มฉุกเฉินในห้องสำคัญ โดยมีบริการเสริม เช่น อาหารเช้า GoodWell Restaurant การทำความสะอาดรายสัปดาห์ และระบบดูแลฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
โครงการได้รับการรับรองมาตรฐานสากล AACI และ WELL Building Standard สะท้อนคุณภาพการดูแลและการออกแบบเพื่อสุขภาวะในทุกมิติ MQDC ตั้งเป้าให้ “ดิ แอสเพน ทรี” เป็นต้นแบบคอมมูนิตี้วัยอิสระที่ผสานธรรมชาติ สุขภาพ และนวัตกรรม และเป็นโมเดลการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อสังคมสูงวัยในอนาคตของไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ต.ค.“อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ในกรอบที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ ตลาดรอลุ้นตลาดรอลุ้น ดัชนีการจ้างงาน ถ้อยแถลงของเฟด ส่วนในสัปดาห์หน้ารอผลการประชุมกนง.
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ต.ค. 2568 ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น)
และอาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว อาจยิ่งกดดันเงินบาทเพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น)
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวอาจไม่ได้ง่ายนัก หากไม่ได้มีปัจจัยกดดันที่ชัดเจน เช่น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวลงชัดเจนของราคาทองคำ ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลการจ้างงาน ที่น่าจะถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown
อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดอย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านดังกล่าว อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ส่วนในช่วงระหว่างวัน เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ไม่มีความชัดเจนในแง่ของทิศทาง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุมธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งรอติดตามภาวะ Government Shutdown ของฝั่งสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ หรือกล่าวได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะอยู่ในโหมด Wait and See ท่ามกลางภาวะ Data Blindness จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมา ทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.53 บาทต่อดอลลาร์) หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงพอสมควร
นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรม Buy on Dip น้ำมันดิบจากฝั่งผู้เล่นในตลาดน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความกังวลแนวโน้มกลุ่ม OPEC+ เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออกและการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
แม้ภาวะ Government Shutdown ยังคงดำเนินต่อไป ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Meta +1.4%, Nvidia +0.9% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้างจากแรงขายหุ้น Tesla -5.1%
แม้บริษัทจะรายงานยอดการส่งมอบรถรายไตรมาสที่แข็งแกร่งก็ตาม หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า ยอดขายอาจชะลอตัวลงได้ในอนาคต จากผลกระทบของการยกเลิกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ EV ของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.39%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.53% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +3.6% กลุ่มธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +4.3% ที่ยังได้แรงหนุนจากความหวังการเติบโตของ AI และกลุ่มยานยนต์ ที่นักวิเคราะห์เริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มยอดขายของกลุ่มยานยนต์และเริ่มปรับคำแนะนำเป็นเข้าซื้อในหุ้นบางส่วน อาทิ Stellantis +8.3%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง และหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และราว 3 ครั้งในปีหน้า และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ใกล้ระดับ 4.09% อีกครั้ง
ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง Nonfarm Payrolls อาจถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนบ้าง ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ และจะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน
ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่เร่งรีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งอาจถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.5-98.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับ แรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง จากแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ ราคาทองคำกลับสู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ เนื่องจาก รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกันยายน โดยเฉพาะในส่วนของดัชนีการจ้างงาน (Employment Index) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด
ทางฝั่งยุโรปนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างมองว่า ECB ได้จบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เนื่องจากหากภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.42-32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.57 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของหลายสกุลเงินในเอเชียและการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวได้บ้างบางส่วน หลังรับรู้ปัจจัยเรื่อง Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปมากแล้ว ประกอบกับ Fitch ระบุว่า ภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จะยังไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะใกล้ๆ นี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และความคืบหน้าในการหาทางแก้ภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เทควันโดไทยแบโผ 19 จอมเตะเยาวชนลุยศึกเอเชียนยูธเกมส์ 2025

สมาคมเทควันโดฯ เปิดรายชื่อ 19 จอมเตะเยาวชนทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกเอเชียนยูธเกมส์ 2025 ที่บาห์เรน “บิ๊กเอ” มั่นใจลุ้นเป้าหมายคว้า 2 เหรียญทอง
สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ประกาศรายชื่อ จอมเตะเยาวชนทีมชาติไทย ทั้งประเภทต่อสู้ (เคียวรูกิ) และประเภทท่ารำ (พุมเซ่) ชุดเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา เอเชียนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 “บาห์เรนเกมส์ 2025” ระหว่างวันที่ 22-31 ตุลาคมนี้ ที่กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน
โดย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ หรือ “บิ๊กเอ” นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า การคัดเลือกตัวนักกีฬามาจากผลงานในรายการใหญ่ ทั้งเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย, ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ และชิงแชมป์เอเชีย เพื่อให้ได้จอมเตะดาวรุ่งที่มีมาตรฐานสูงที่สุด พร้อมตั้งเป้าหมายคว้าอย่างน้อย 2 เหรียญทอง
สำหรับรายชื่อนักกีฬาเยาวชน ประเภทต่อสู้ (เคียวรูกิ) รวม 12 คน ได้แก่
- ภานุวัฒน์ เกษมสินธุ์ (ไม่เกิน 48 กก. ชาย)
- พงศกร ผาหลัก (ไม่เกิน 55 กก. ชาย)
- จักรระวี บุสวงศ์ (ไม่เกิน 63 กก. ชาย)
- อนันตสิน กาเจริญ (ไม่เกิน 73 กก. ชาย/Mix Gender Team)
- ตรุณ ซิงห์เกิล (เกิน 73 กก. ชาย)
- ณัฐกิตติ์ มะลิวรรณ (Mix Gender Team)
- เพชรฎาภรณ์ พัฒน์นันทหิรัญ (ไม่เกิน 44 กก. หญิง)
- ณัฏฐกันย์ ทองคุณธรรม (ไม่เกิน 49 กก. หญิง)
- ณัทธมนกาญจน์ ทามะนิตย์ (ไม่เกิน 55 กก. หญิง/Mix Gender Team)
- จิดาภา เงินบุคคล (ไม่เกิน 63 กก. หญิง)
- เสฏฐีญาดา ปรุงทอง (เกิน 63 กก. หญิง)
- อชิรญา ฉายางาม (Mix Gender Team)
ด้านประเภทท่ารำ (พุมเซ่) รวม 7 คน ได้แก่
- นิธิกร ยิ้มประเสริฐ (พุมเซ่ คู่ผสม)
- พงศกร ทองดี (พุมเซ่ เดี่ยวชาย)
- พิณพนา บัวแก้ว (ฟรีสไตล์ เดี่ยวหญิง)
- สุชานันท์ อินทร์แจ้ง (พุมเซ่ เดี่ยวหญิง/พุมเซ่ คู่ผสม)
- ปัณณธร ศิริโสม (ฟรีสไตล์ เดี่ยวชาย)
- ศักดิ์วรินทร์ โอภาชาติ (ฟรีสไตล์ คู่ผสม)
- รินรดา น้ำทองไทย (ฟรีสไตล์ คู่ผสม)
“ทีมเทควันโดเยาวชนทั้ง 2 ประเภทถือเป็นตัวแทนที่ผ่านการพิสูจน์ฝีมือมาแล้วในหลายแมตช์สำคัญ คู่แข่งในครั้งนี้แข็งแกร่งและไม่ธรรมดา แต่ผมยังมั่นใจว่าเราจะทำได้ตามเป้า อย่างน้อยประเภทละ 1 เหรียญทอง รวมเป็น 2 เหรียญทอง” บิ๊กเอ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
8 พฤติกรรมการเงิน ที่อาจเป็นสัญญาณ “สมองเสื่อม” กูรูเตือนอย่ามองข้าม!

8 พฤติกรรมการเงินที่อาจเป็นสัญญาณเตือน “สมองเสื่อม” หากผู้สูงอายุมีปัญหาแบบนี้ ควรรีบพบแพทย์
สมองเสื่อม (Dementia) ไม่ได้แสดงออกเพียงอาการหลงลืมหรือหาคำพูดไม่ออกเท่านั้น แต่ยังสามารถสะท้อนผ่าน พฤติกรรมด้านการเงิน ได้ด้วย ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากผู้สูงอายุเริ่มมีความผิดปกติในการจัดการเงิน อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อมที่ควรเฝ้าระวัง
สัญญาณเตือนด้านการเงินที่ควรสังเกต
ดร.บอนนี เลวิน (Bonnie E. Levin) ผู้อำนวยการด้านประสาทจิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี สหรัฐฯ อธิบายว่า ช่วงแรกผู้ป่วยอาจยังทำธุรกรรมง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อโรคดำเนินไป การจ่ายบิล คำนวณทิป หรือแม้แต่ใช้บัตรเอทีเอ็ม อาจกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ
- ลืมจ่ายบิลรายเดือน หรือมีใบแจ้งหนี้ค้างจำนวนมาก
- มีการซื้อของที่ไม่จำเป็นหรือผิดปกติ
- ใช้บัตรเครดิตบ่อยขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
- ถอนเงินสดออกมาโดยไม่สามารถอธิบายได้
- ล็อกอินธนาคารออนไลน์ผิดซ้ำ ๆ
- บัตรหายหรือถูกขโมยบ่อย
- ต้องรีเซ็ต PIN เป็นประจำ
หากพบพฤติกรรมเหล่านี้บ่อยครั้ง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการทางสมอง และหาทางป้องกันความเสื่อมที่อาจรุนแรงขึ้น
วิธีป้องกันและช่วยเหลือผู้สูงอายุ
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ครอบครัวช่วยกันวางระบบการเงิน เช่น จัดทำงบประมาณรายเดือน ตั้งระบบหักบิลอัตโนมัติ และใช้เทคโนโลยีติดตามการใช้จ่าย เพื่อป้องกันความสับสนและการถูกหลอกลวง
นอกจากนี้ การมอบอำนาจให้บุคคลที่ไว้ใจได้ (Power of Attorney) ดูแลเรื่องการเงิน ยังเป็นเกราะป้องกันสำคัญต่อการถูกมิจฉาชีพเอาเปรียบ
ระวังภัยมิจฉาชีพเล็งผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ ทั้งการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกว่าถูกรางวัลลอตเตอรี่ หรืออ้างซ่อมคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกเก็บเงิน การมีระบบตรวจสอบธุรกรรมและการสื่อสารที่รัดกุม จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโกงได้อย่างมาก
สรุป
หากคนในครอบครัวเริ่มมี พฤติกรรมการเงินผิดปกติ ควรพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาและวางแผนการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘เทเลนอร์’ เชื่อมั่นศักยภาพไทย ปักธงลงทุนขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัล

- เทเลนอร์เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย
- มองจุดแข็งไทยมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ประชาชนมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, 4G และ 5G
- ยืนยันมีแผนการลงทุนระยะยาวโดย “ทรู คอร์ปอเรชัน” เป็นสินทรัพย์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจดิจิทัล
- เทเลนอร์มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญระดับโลกด้านโทรคมนาคมและแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ
- เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตจากอัตราการใช้งานบริการดิจิทัลที่สูงในไทย และพร้อมที่จะนำเสนอนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนร่วมกับพันธมิตร
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าท่ามกลางจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจดิจิทัล การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงได้กลายเป็นเครื่องจักรใหม่ในการสร้างการเติบโต…
“เทเลนอร์” เชื่อมั่นศักยภาพตลาดไทย เดินหน้าหนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขับเคลื่อนธุรกิจ–เศรษฐกิจ ด้วย AI–5G–IoT ชู “ทรู คอร์ปอเรชัน” เป็นสินทรัพย์สำคัญ ปักธงบูรณาการเสริมความแข็งแกร่ง มุ่งสู่การเติบโตยั่งยืนระยะยาว
เบเนดิกเต้ ชิลเบร็ด ฟาสเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทเลนอร์ กรุ๊ป แสดงวิสัยทัศน์ว่า เทเลนอร์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกและจะให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยมีมุมมองว่า ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีความแข็งแกร่ง ปัจจัยบวกมาจากทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงาน รวมถึงการปรับใช้เทคโนโลยีโมบายและสมาร์ซิตี้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เป็นประเทศระดับท็อปในภูมิภาคด้านการใช้บริการบนดิจิทัลต่างๆ มีความพร้อมที่จะต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI การเข้าถึง 4จี และ5จี ที่ครอบคลุม ปัจจุบันจำนวนการเข้าถึงโมบายมีสัดส่วนกว่า 95% และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 89.5 %
เรายังคงเชื่อมั่นในตลาดประเทศไทย จากนี้ยังคงมุ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อประเทศไทยก้าวสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง เทเลนอร์ยังคงยึดมั่นที่จะสนับสนุนเป้าหมายของประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับโลกทางด้านโทรคมนาคม แนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
เทเลนอร์ระบุว่า หลังจากนี้ซึ่งการควบรวมกิจการกับทรู คอร์ปอเรชั่นลงตัวแล้ว เฟสต่อไปคือการมุ่งเน้นด้านเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ความร่วมมือ การบริหารต้นทุนต่างๆ เพื่อสร้างการผลประกอบการ รวมถึงสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจในระยะยาว
ปักธง ‘ลงทุน’ ระยะยาว
ยอน ออมุนด์ เรฟ-ฮอว์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย กล่าวเสริมว่า ก้าวต่อไปของเทเลนอร์ เดินหน้าสานต่อการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างซีพีกรุ๊ป ต่อยอดและหาโอกาสจากการพัฒนาด้าน AI โมบาย และ IoT ต่างๆ
ด้วยกลุ่มทรูถือครองคลื่นความถี่สูงสุดทำให้สามารถตอบโจทย์การให้บริการได้อย่างครอบคลุมทั้งสำหรับภาคประชากรและธุรกิจ เป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ คาดว่าหากสามารถรักษาจุดยืนนี้ได้ต่อไปคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ภายในสิ้นปี
ประเทศไทยนับเป็นตลาดที่สำคัญของเทเลนอร์ และทรูคอร์ปอเรชั่นก็เป็นสินทรัพย์ที่ทรงคุณค่าในพอร์ตโฟลิโอระดับโลก ที่ผ่านมามีการบูรณาการและซีเนอร์ยีทางธุรกิจซึ่งส่งผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมสามารถบันทึกกำไรติดกันสองไตรมาส ปัจจุบันเทเลนอร์มีสัดส่วนการถือหุ้นมูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านบาท
เรามีแผนการลงทุนระะยาวในประเทศไทย การควบรวมกิจการกับกลุ่มทรูยิ่งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจและเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยจากนี้ยืนยันว่าจะมีความร่วมมือร่วมกันต่อเนื่องในระยะยาว
คว้าโอกาสใหม่ๆ บน ‘ดิจิทัล’
ผู้บริหารเทเลนอร์เผยว่า แนวทางทางธุรกิจในประเทศไทย เน้นการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกันของผู้บริหารและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ นำองค์ความรู้จากนอร์ดิกมาสู่ตลาดไทย ทั้งด้านการเชื่อมต่อแห่งอนาคต เทคโนโลยีสำหรับการทรานส์ฟอร์เมชันทั้งด้านโมบาย AI ไอโอที และบริการคลาวด์
ที่สำคัญดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ เพื่อปูทางสู่เฟสต่อๆ ไปในการเติบโต มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายใต้ความรับผิดชอบนี้ จะทำให้เกิดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เขาวิเคราะห์ว่า บริการดิจิทัลในไทยมีโอกาสในการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจะคว้าโอกาสในส่วนนี้ โดยเลือกตลาดที่มีความเชี่ยวชาญโอกาสเติบโตสูง ต่อยอดจากความแข็งแกร่งด้านโทรคมนาคม พร้อมสร้างจุดต่างด้วยการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ ที่สำคัญมีความปลอดภัยเป็นรากฐาน
ปัจจุบันประเทศไทย มีอัตราการใช้งานดิจิทัลสูงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย การศึกษาจาก Digital Lives Decoded 2025 ของเทเลนอร์ เอเชีย พบว่า มากถึง 9 ใน 10 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือในไทยใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อีกทั้งการขยายตัวของ 5G และการปรับตัวสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจ ยังสะท้อนศักยภาพมหาศาลในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในอนาคต
เทเลนอร์เชื่อมั่นว่าความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับประเทศไทยจะเป็นพลังสำคัญในการเปิดโอกาสใหม่ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับลูกค้า พันธมิตร และสังคม เราพร้อมเดินหน้าร่วมกันสร้างอนาคตดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เปิดกว้าง และยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รวมน่ารู้ 90 คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาการป่วย โรคภัยต่างๆ ที่หลายคนไม่รู้มาก่อน มีคำว่าอะไรบ้าง

ก็ขอสวัสดีทักทายคุณผู้อ่านทุกๆท่าน ที่กำลังท่องโลกออนไลน์ งามพร่างพราย สะหยายผมโป่งกันอยู่ ณ ขณะนี้นะคะ ก็กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆ ที่จะนำเสนอเรื่อยๆให้ได้อ่านฆ่าเวลากันค่ะ
โดยสาระน่ารู้วันนี้ ขอแนะนำคำศัพท์เกี่ยวกับอาการป่วย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มีความจำเป็นอยู่ไม่น้อย เพราะหากใครที่ต้องแบกเป้เดินทางไกล ไปเที่ยวยังต่างประเทศ และเกิดมีอาการป่วย ต้องไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือไปตามร้านขายยา และต้องบอกอาการป่วยของตัวเอง ว่าเป็นโรคอะไร บางครั้งก็นึกคำศัพท์ไม่ออก วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า เลยขอแนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาการป่วย และโรคภัยต่างๆเบื้องต้น มาให้ได้อ่านเป็นความรู้กันดังนี้ น่าจะมีประโยชน์อยู่ไม่มากก็น้อย
หัวข้อที่ 1.รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาการป่วยต่างๆ มีดังนี้
1.Headache (เฮดเอช) หมายถึง ปวดศีรษะ
2.Faint (เฟนท์) หมายถึง เป็นลม
3.Bloody nose (บลูดี่ โนส หมายถึง เลือดกำเดาไหล
4.Allergy (แอล-เล่อ-จี) หมายถึง อาการแพ้,ภูมิแพ้
5.Stomachache (สตอมมัชเอช) หมายถึง อาการปวดท้อง
6.Diarrhea (ไดอา-เรีย) หมายถึง อาการท้องเสีย,อาการท้องร่วง
7.Vomit (วอ-มิท) หมายถึง อาเจียน
8.Constipation (คอนสทิเพเชิน) หมายถึง อาการท้องผูก
9.Dyspepsia (ดิสเพพเซีย) หมายถึงอาการอาหารไม่ย่อย
10.Nauseous (นอเซียส) หมายถึง คลื่นไส้
11.Cold (โคล) หมายถึง อาการหวัด
12.Cough (ค๊อก) หมายถึง อาการไอ
13.Stuffed nose (สตัทเฟด โนส) หมายถึง คัดจมูก
14.Sore throat (ซอร์ โทรส) หมายถึง อาการเจ็บคอ
15.Inflamed (อินเฟลมดฺ) หมายถึง อักเสบ
16.Runny nose (รันนี โนส) หมายถึงน้ำมูกไหล
17.Phlegm (เฟลม) หมายถึง เสมหะ
18.Rash (แร๊ช) หมายถึง ผื่นคัน
19.Earache (เอียเอช หมายถึง อาการปวดหู
20.Backache (แบ็คเอช) หมายถึง ปวดหลัง
21.Toothache (ทูชเอช) หมายถึง ปวดฟัน
22.dizzy (ดิซซี่) หมายถึง เวียนศีรษะ
23.sneeze (สนีท) หมายถึง จาม
24.fever (ฟีเว่อร์) หมายถึง อาการมีไข้
25.Rash (รัชช์) หมายถึง เป็นผื่นแดง
26.Blister (บลิตเตอร์) หมายถึง พุพอง
27.bruise (บรูส) หมายถึง ฟกช้ำดำเขียว
28.sprained ankle (สเปรนแองเคิล) หมายถึง ข้อเท้าพลิก
29.cramp (แครม) หมายถึง อาการตะคริว
30.swelling (สเวลลิ่ง) หมายถึง อาการบวม
31.bone fracture (โบน ฟรักเจอร์) หมายถึง กระดูกหัก
32.Heartburn (ฮาร์ทเบิร์น) หมายถึง อาการจุกเสียดแน่นท้อง
33.Perspire (เพอรฺสไพร) หมายถึง เหงื่อออก
34.Hiccup (ฮิคคัพ) หมายถึง อาการสะอึก
35.swollen (สวอลเลิน) หมายถึง บวม
36.pus (พัส) หมายถึง หนอง
37.purulent (พูรูเลนทฺ) หมายถึง เป็นหนอง
38.blister (บลิสเตอ) หมายถึง แผลพุพอง
39.insomnia (อินซอมเนีย) หมายถึง อาการนอนไม่หลับ
40.eyestrain (อายสเตรน) หมายถึง อาการเพลียตา
41.crick (คริคฺ) หมายถึงอาการเจ็บตึงกล้ามเนื้อ
42.convulsion (คอนวัลเชิน) หมายถึง การชักกระตุก
43.sprain (สเปรน) หมายถึง อาการเคล็ดขัดยอด หรือมีอาการแพลง
44.convulsion (คอนโวลชั่น) หมายถึง อาการชัก,อาการเกรง
หัวข้อที่ 2 คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับชื่อโรคต่างๆเบื้องต้น มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง นำมาให้อ่านดังนี้ค่ะ
45.mumps (มัมส) หมายถึง โรคคางทูม
46.influenza (อินฟลูนซ่า) หมายถึง ไข้หวัดใหญ่
47.chicken pox (ชิคเก้น ป๊อก) หมายถึง โรคอีสุกอีใส
48.cold (โคล) หมายถึง โรคหวัด
49.heart disease (ฮารฺทฺ ดิซีส) หมายถึง โรคหัวใจ
50.depression (ดีเพรสเชิน) หมายถึง โรคซึมเศร้า
51.gastritis (แกซไทรซิส) หมายถึง โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
52.appendicitis (แอพเพนดิไซทิส) หมายถึง โรคไส้ติ่งอักเสบ
53.gastric ulcers หมายถึง แผลในกระเพาะอาหาร
54.diabetes (ไดอะบีทสฺ) หมายถึง โรคเบาหวาน
55.hepatitis (เฮพะไท-ทิซ) หมายถึง โรคตับอักเสบ
56.hemorrhoid (เฮโมรีสด์ หมายถึง ริดสีดวงทวาร
57.hypertension (ไฮเพนเทชั่น หมายถึง ความดันโลหิตสูง
58.migraine (ไมเกรน หมายถึง โรคไมเกรน
59.stye (สตาย) หมายถึง โรคตากุ้งยิง
60.Athlete’s foot (แอธลีท ฟูท) หมายถึง โรคน้ำกัดเท้า,ฮ่องกงฟุต
61.anemia (เอนนีเมีย หมายถึง โลหิตจาง
62.allergy (แอลเลอจี หมายถึง ภูมิแพ้
63.alzheimer (อัลไซเมอร์ หมายถึง โรคอัลไซเมอร์
64.appendicitis (แอปเพนดิไซติส หมายถึง ไส้ติ่งอักเสบ
65.cancer (แคนเซอร์) หมายถึง โรคมะเร็ง
66.dengue fever (เดงกี ฟีเวอร์) หมายถึง ไข้เลือดออก
67.whooping cough (วูปปิง คอฟ) หมายถึง โรคไอกรน
68.diphtheria (ดิพเธอเรีย) หมายถึง โรคคอตีบ
69.tetanus (เททานัส) หมายถึง โรคบาดทะยัก
70.gout (เก๊าท์) หมายถึง โรคเกาต์
71.gallstones (กอลสโตน) หมายถึง โรคนิ่วในถุงน้ำดี
72.tonsillitis (ทอนซิลลิซิส) หมายถึง ต่อมทอนซิลอักเสบ
73.measles (มีเซิล) หมายถึง โรคหัด
74.asthmatic (แอสแมทิค) หมายถึง โรคหอบหืด
75.sinusitis (ไซนัสไซทิซ) หมายถึง โรคไซนัสอักเสบ
76.piles (ไพลส) หมายถึง ริดสีดวงทวาร
77.pneumonia (นิวโมเนีย) หมายถึง โรคปอดบวม
78.enteritis (เอนเทอไรทิซ) หมายถึง โรคลำไส้อักเสบ
79.jaundice (จอนดิซ) หมายถึง ดีซ่าน
80.cirrhosis (สิโรซิส) หมายถึง โรคตับแข็ง
81.Tuberculosis (ทูเบอร คิวโลซิส) หมายถึง วัณโรค
82.bird flu (เบิร์ด ฟลู) หมายถึง โรคไข้หวัดนก
83.paralysis (พาราไลซีส) หมายถึง โรคอัมพาต
84.cholera (คอโลร่า) หมายถึง อหิวาต์
85.Polio (โปลิโอ) หมายถึง โรคโปลิโอ
86.skin disease (สกิน ดิซีส) หมายถึง โรคผิวหนัง
87.coronary heart disease (โคโรนารี่ ฮาร์ท ดิซีส) หมายถึง โรคหลอดเลือดหัวใจ
88.AIDS (เอดส์) หมายถึง โรคเอดส์
89.asthma (แอสม่าส์) หมายถึงหืด
90.tetanus หมายถึง โรคบาดทะยัก
91.tonsillitis หมายถึง ต่อมทอนซิลอักเสบ
ขอบคุณข้อมูลจาก khunnaiver.blogspot.com
รวมผลไม้วิตามินซีสูง 7 ชนิด ปลูกง่ายในบ้าน ประโยชน์เพียบ เสริมภูมิคุ้มกัน

ใครว่าอยากได้วิตามินซีต้องพึ่งผลไม้นำเข้าแพง ๆ เท่านั้น? จริง ๆ แล้วเราสามารถปลูกผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ๆ ไว้ในบ้านได้ง่าย ๆ ไม่ต้องมีพื้นที่เยอะก็ทำได้ แถมยังได้ผลผลิตสดใหม่ ปลอดสาร เคล็ดลับดีต่อสุขภาพและกระเป๋าสตางค์ในเวลาเดียวกัน มาดูกันว่า 7 ผลไม้วิตามินซีสูง ที่คุณปลูกเองได้มีอะไรบ้าง
7 ผลไม้วิตามินซีสูงที่ปลูกง่ายในบ้าน
- หม่อน (Mulberry)
ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่มีวิตามินซีสูง ปลูกในกระถางหรือแปลงเล็ก ๆ ได้ ให้ผลเร็วใน 3–6 เดือน เหมาะกับแสงแดดครึ่งวันถึงเต็มวัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง - ตะลิงปิง
ผลไม้พื้นบ้านไทยที่มีวิตามินซีสูงมาก รสเปรี้ยวจัด นิยมใส่ยำหรือทำน้ำจิ้ม สามารถปลูกเป็นไม้พุ่มหรือปลูกในกระถางขนาดใหญ่ ชอบแดดจัด น้ำปานกลาง - ฝรั่งพันธุ์กิมจู
ฝรั่งเป็นผลไม้วิตามินซีสูงที่ปลูกง่าย ติดผลเร็ว มีรสหวานอมฝาด ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวให้กระจ่างใส - ส้มจี๊ด
เป็นพืชในตระกูลส้มที่ปลูกในกระถางได้ง่ายมาก ใช้ทำเครื่องดื่มแก้ไอ หรือใส่ในน้ำสมุนไพร กลิ่นหอม เปลือกบาง วิตามินซีสูงกว่าส้มหลายเท่า - เชอร์รี่ไทย (Acerola Cherry)
หนึ่งในแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่ดีที่สุด ปลูกในกระถางหรือพื้นดินก็ได้ ผลดก ขนาดเล็ก เหมาะทำสมูทตี้หรือกินสด - มะขามป้อม
มีวิตามินซีสูงมากเกิน 20 เท่าของส้มช่วยบำรุงเลือด บำรุงผิว และชะลอวัย ปลูกง่ายในดินร่วนซุย แสงแดดจัด พื้นที่ไม่ต้องกว้างมากก็ปลูกได้ - มะม่วงหาวมะนาวโห่
ผลสีแดงอมชมพู ให้วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ปลูกเป็นพุ่มหรือไม้ประดับก็ได้ ผลสุกกินได้ ช่วยบำรุงเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน
เคล็ดลับการปลูกและดูแลผลไม้ให้ได้วิตามินซีสูงเต็มที่
- ควรปลูกในที่ที่มีแดดอย่างน้อยวันละ 4–6 ชั่วโมง
- ดินควรระบายน้ำดี ไม่ชื้นแฉะเกินไป
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักสม่ำเสมอ
- เลือกเก็บเกี่ยวผลไม้ตอนสุกจัด เพื่อให้ได้ปริมาณวิตามินซีสูงที่สุด
- หลีกเลี่ยงการพ่นยาหรือสารเคมีช่วงออกผล
ปลูกผลไม้วิตามินซีสูงไว้ในบ้านดีอย่างไร
การปลูกผลไม้วิตามินซีสูงเองที่บ้านไม่เพียงแต่ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังมั่นใจได้ในความสดใหม่และปลอดสารเคมี วิตามินซีจากธรรมชาติสามารถดูดซึมได้ดี และช่วยลดโอกาสเสี่ยงของไข้หวัด ภูมิแพ้ ไปจนถึงความเครียดสะสมจากอนุมูลอิสระ
การมีผลไม้วิตามินซีสูง ปลูกอยู่ที่บ้านนอกจากจะสะดวกต่อการบริโภค ยังสร้างความเพลิดเพลินในชีวิตประจำวัน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพราะผลไม้เหล่านี้ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลมากและเก็บกินได้จริง แค่เริ่มต้นจากต้นเล็ก ๆ ในกระถาง ก็เป็นก้าวสำคัญสู่สุขภาพที่ดีในแบบยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 59,000.00 | 59,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,814.00 | 57,820.24 | 59,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,432.60 | 52,038.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,051.20 | 46,256.19 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,716.30 | 26,019.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,334.90 | 20,237.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,952.33 | 59,917.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.65 | 32.65 | 33.15 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.28 | 32.28 | 32.78 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.44 | 30.44 | 30.94 | 30.44 | – | 30.44 | 30.44 | 30.44 | 30.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.39 | 28.39 | – | – | – | – | – | – | 28.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.84 |
เบนซิน 95 | 40.94 | – | – | 49.81 | – | 41.44 | 41.09 | – | 40.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |