เปิดมุมมอง วัน แบงค็อก “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ”ตอบโจทย์ทุกมิติชีวิตในมหานคร

- วัน แบงค็อก พัฒนาขึ้นเป็น “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ” ภายใต้แนวคิด Green Smart City ที่เน้นผู้คน (People-Centricity) ความยั่งยืน และเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบทุกมิติ
- ชูจุดเด่นด้านความปลอดภัยขั้นสูงสุดด้วยศูนย์บัญชาการอัจฉริยะ (DCC) ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบจัดการภัยพิบัติ และโครงสร้างอาคารที่แข็งแกร่งทน
ในยุคที่การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยความท้าทาย การแสวงหา “เมืองในอุดมคติ” ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างครบวงจรและพร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเลือกใช้ชีวิต สอดคล้องกับรายงานดัชนีเมืองน่าอยู่ระดับโลก (Global Liveability Index 2025)
โดย The Economist Intelligence Unit (EIU) ชี้ให้เห็นว่า เมืองชั้นนำอย่างโคเปนเฮเกน เวียนนา และซูริก ล้วนมีจุดร่วมเดียวกันคือ ‘คุณภาพชีวิตที่ครบถ้วน’ ทั้งในด้านความมั่นคงปลอดภัย สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิต คำถามคือ ในมหานครอย่างกรุงเทพฯ มีสถานที่ใดที่สามารถมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตบนมาตรฐานระดับโลกเช่นนั้นได้บ้าง

ปัจจุบัน โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เอง ก็มีความตื่นตัวอย่างยิ่งในการออกแบบและวางมาสเตอร์แพลน เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการบูรณาการนวัตกรรมและแนวคิดที่มุ่งเน้นผู้คนเป็นหัวใจสำคัญควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตในเมืองให้ดียิ่งขึ้น
วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และครบวงจรที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ คือต้นแบบของโครงการฯ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบมาสเตอร์แพลนจนถึงการก่อสร้าง และบริหารจัดการโครงการ เพื่อให้เป็น “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ” ด้วยมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในเมืองที่ทุกคนสัมผัสได้จริง
วัน แบงค็อก ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มอาคารขนาดใหญ่เท่านั้น แต่คือ Green Smart City ที่พัฒนาขึ้นบน 3 แนวคิดหลัก ประกอบด้วย People-Centricity, Sustainability และ Smart City Living เป็นหัวใจหลักในการออกแบบและพัฒนาทุกองค์ประกอบของโครงการฯ ตั้งแต่การวางผังพื้นที่ การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการบริหารจัดการระบบต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการใช้ชีวิตภายในโครงการเป็นไปอย่างราบรื่น คล่องตัว และเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ
ความมั่นคงปลอดภัย รากฐานสำคัญของชีวิตคุณภาพ
วัน แบงค็อก ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยมีหัวใจสำคัญคือ District Command Center (DCC) ศูนย์บัญชาการอัจฉริยะที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด รวบรวมข้อมูลมหาศาลจากเซ็นเซอร์กว่าล้านจุด และกล้องวงจรปิดกว่า 5,000 ตัว ที่กระจายอยู่ทั่วโครงการฯ ทำให้เห็นภาพรวมสถานการณ์แบบเรียลไทม์ สื่อสารกันได้ราบรื่น
พร้อมด้วยระบบ Integrated Security System ผสานรวมการเฝ้าระวังอัจฉริยะผ่านเครือข่ายกล้องวงจรปิดที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ พร้อมการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ (Smart Surveillance) และระบบควบคุมการเข้าออกด้วย QR Code และการจดจำใบหน้า เพื่อป้องกันบุคคลที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต (Access Control) สร้างความอุ่นใจในทุกย่างก้าว
นอกจากนี้ยังมีระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ (Disaster Management) ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบอย่างเป็นระบบ ด้วย 4 กระบวนการหลัก ได้แก่
1 การรับรู้สถานการณ์ (Situational Awareness): โดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากระบบเฝ้าระวังและระบบสื่อสารต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
2 การสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision-Making Support): นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นแก่ผู้บริหาร เพื่อประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมที่สุด
3 การสื่อสารและการประสานงาน (Communication & Coordination): เป็นศูนย์กลางในการอัปเดตข้อมูลและประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพสูงสุด
และ 4 การจัดการเหตุการณ์ (Incident Management): ติดตามเหตุการณ์ จัดการการตอบสนอง และลดผลกระทบจากการหยุดชะงักของระบบต่าง ๆ ผ่านการตรวจสอบอัจฉริยะ
นอกจากความปลอดภัยในชีวิตประจำวันแล้ว วัน แบงค็อก ยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความมั่นคงทางโครงสร้างอาคารทั้งหมดได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ด้วยการตอกเสาเข็มลึกถึง 80 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่ลึกที่สุดในประเทศไทย
โดยมีฐานรากขนาดใหญ่กว่า 100,000 ตารางเมตร ที่เชื่อมต่อกับโครงสร้างอาคารอย่างยืดหยุ่นเพื่อรองรับแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมแผนรับมือและฝึกซ้อมอพยพที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ โดยในช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม
ที่ผ่านมา วัน แบงค็อก ยังได้เปิดพื้นที่ภายในโครงการ ให้ผู้ที่ติดค้างอยู่ในบริเวณถนนพระรามสี่ ถนนวิทยุ รวมถึงชุมชนโดยรอบ สามารถเข้ามาพักพิงชั่วคราว ณ วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ โฟร์ ซึ่งมีอาหาร เครื่องดื่ม และห้องน้ำ ไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
โครงการฯ ยังมีระบบป้องกันน้ำท่วม มีบ่อกักเก็บน้ำฝนที่ตกลงบนโครงการ 5 จุด รวม 15,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมกำแพงและประตูน้ำป้องกันพื้นที่อย่างแน่นหนา ซึ่งติดตั้งได้ภายใน 2 ชั่วโมง เสริมด้วยแผนรับมือน้ำท่วมฉุกเฉิน (Flood Respond Plan) ที่ใช้สถานีตรวจอากาศ 4 จุด และระบบเฝ้าระวังระดับน้ำเพื่อคาดการณ์และแจ้งเตือนความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการปลอดภัยจากน้ำท่วมในทุกสภาพอากาศ
เชื่อมต่อกับชีวิตเมืองแบบไร้รอยต่อ
วัน แบงค็อก ได้รับการออกแบบให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและเชื่อมโยงทุกมิติของชีวิต ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาใช้รูปแบบการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบทางสัญจรที่เอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่อย่างสะดวกสบาย เช่น ทางเดินเท้า เลนจักรยาน โครงการยังเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชนที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน สถานีลุมพินี พร้อมมีทางเข้าออกรอบโครงการถึง 6 จุด ซึ่งรวมถึงทางเชื่อมตัดตรงเข้าสู่ทางด่วน นอกจากนั้นยังมี บริการ EV Shuttle Service รับ-ส่ง ฟรีระหว่างโครงการฯ และ BTS สถานีเพลินจิต เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางทุกรูปแบบ
สุขภาวะที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
วัน แบงค็อก คำนึงถึงการส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ด้วยการออกแบบอาคารที่คำนึงถึงสุขภาวะอย่างรอบด้าน อาทิ การใช้กระจกฉนวนกันความร้อน (Insulated Glass) ที่ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่อาคาร ทำให้ประหยัดพลังงานและคงอุณหภูมิภายในที่เหมาะสมอยู่เสมอ และยังช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก รวมถึงการออกแบบช่องเปิดและหน้าต่างที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องถึงภายในได้อย่างทั่วถึง ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและสร้างบรรยากาศที่โปร่งสบาย อากาศภายในอาคารสะอาดบริสุทธิ์ด้วยไส้กรอง MERV 8 และ MERV 14 ที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 และ PM10 พร้อมใช้รังสี UV กำจัดเชื้อโรค และเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อสุขอนามัยที่ดี ในพื้นที่สาธารณะของโครงการมีการนำระบบไร้สัมผัสมาใช้
อาทิ ระบบจดจำใบหน้า เครื่องสแกน QR โค้ด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครื่องกรองน้ำดื่มให้บริการทุกชั้นภายในอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย โดยใช้ไส้กรองคาร์บอน และท่อส่งน้ำไร้สารตะกั่วที่เป็นไปตามการรับรองโดย NSF พร้อมมีการทดสอบคุณภาพน้ำดื่มอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนเลือกใช้วัสดุก่อสร้างและตกแต่งอาคารที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสุขภาพ ปราศจากสารเคมีอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท และมีสารระเหยต่ำ เพื่อลดการสัมผัสสารพิษในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
มาตรฐานระดับโลกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
วัน แบงค็อก ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development (LEED ND) ระดับ Platinum เป็นโครงการแรกในไทย สะท้อนถึงการออกแบบพื้นที่โดยรอบที่เอื้อต่อการเดินและการพักผ่อน การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในระยะเดินถึง การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ การจัดการพลังงาน น้ำ และทรัพยากร ตลอดจนสาธารณูปโภคที่รองรับการใช้อาคาร ไปจนถึงคุณภาพชีวิตของผู้คนที่จะเข้ามาใช้จริง
และยังมุ่งสู่การรับรองมาตรฐานอาคาร WELL ระดับ Platinum ที่รับรองคุณภาพทั้งด้านอากาศภายในอาคาร น้ำ แสง การออกกำลังกาย สาธารณูปโภค และการออกแบบที่ใส่ใจ เพื่อสร้างสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีคุณภาพ
นอกจากนั้น วัน แบงค็อก ยังโดดเด่นด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดยอาคารสำนักงานทั้งหมดของ วัน แบงค็อก รวมถึงอาคารที่พักอาศัย ได้รับการรับรองมาตรฐาน WiredScore Platinum สำหรับความสามารถเป็นเลิศในการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล และ SmartScore Platinum นำเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูงมาใช้เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ใช้งาน ส่งผลให้ทั้งโครงการได้รับการรับรองในระดับ Neighborhood เป็นโครงการแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบอัจฉริยะ และความยั่งยืนเหล่านี้ ล้วนสนับสนุนเป้าหมาย ESG และเป็นข้อยืนยันว่าทุกองค์ประกอบโครงการได้รับการออกแบบและพัฒนาตามมาตรฐานระดับโลกสูงสุด เป็นเมืองที่พร้อมอยู่เสมอ เพื่อรองรับทุกรูปแบบการใช้ชีวิตในทุกมิติอย่างมีคุณภาพสูงสุดและยั่งยืน
เมืองที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมต้อนรับทุกคน
วัน แบงค็อก เป็นศูนย์กลางประสบการณ์การชอปปิงและไลฟ์สไตล์ครบวงจร เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อบน ‘Retail Loop’ กว่า 900 ร้านค้า โครงการฯ ยังผสานธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งกว่า 50 ไร่ ประกอบด้วย One Bangkok Park, One Bangkok Boulevard, Wireless Park และ Parade Park ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับทุกคน พร้อมทางเดินร่มไม้กว่า 5 กิโลเมตร และมี Art Loop เส้นทางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมความยาวกว่า 2 กิโลเมตร ที่ออกแบบมาเพื่อจุดประกายชีวิตให้ใกล้ชิดศิลปะ ครอบคลุมทั่วทั้งโครงการฯ
นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการใช้รถเข็น หรือการปูทางเท้าสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น หรือพิการทางสายตา รวมถึงการออกแบบป้ายและสัญลักษณ์นำทางทั่วโครงการฯ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ และเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยจัดสรรพื้นที่ สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เวิร์คช็อป นิทรรศการ และการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและสร้างสรรค์ชุมชนที่มีชีวิตชีวา พร้อมทั้งยังจัดอีเวนท์หลากหลายเพื่อสร้างความสุขให้กับผู้มาเยือนตลอดทั้งปี
โดยเร็ว ๆ นี้ วัน แบงค็อก เตรียมเปิด Community Hub ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับคนทำงานในอาคารสำนักงานได้พักผ่อนหย่อนใจ พบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างสรรค์เครือข่ายทางธุรกิจ (Networking) ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์
ทั้งหมดนี้ คือปัจจัยซึ่งทำให้ วัน แบงค็อก เป็น “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ” ที่จะส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพในทุกมิติ ในทุก ๆ วัน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
2 นายกอสังหาฯชี้ทางรอดเศรษฐกิจเร่งแก้หนี้ SME–ครัวเรือน

2 นายกอสังหาฯแนะรัฐเร่งแก้กับดักหนี้สิน ลุยตั้ง AMC แห่งชาติ โอบอุ้มหนี้รายย่อย เริ่มจาก SME จุดไฟฟื้นเศรษฐกิจ ปักหมุดมาตรการ “โกดังพักหนี้” สร้างโอกาสคืนทรัพย์
ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลายภาคส่วนชี้ชัดตรงกันว่า “ต้นตอ” ของปัญหาอยู่ที่ “ภาระหนี้สิน” ของประชาชนและภาคธุรกิจขนาดเล็กที่ยังคงหนักหน่วง
จากข้อมูลที่สะท้อนโดย สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการลำดับแรก คือ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ SME ผ่านกลไก บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติ (AMC) ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินต่างๆ
“หากสามารถช่วยกลุ่มพาณิชย์ขนาดเล็กที่มีความเปราะบางให้เข้าถึงสินเชื่ออีกครั้ง จะสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจได้ในวงกว้าง”
ตั้ง AMC แห่งชาติ โฟกัสหนี้รายย่อย
แผนการตั้ง AMC แห่งชาติที่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมานั้น ตั้งเป้าใช้วงเงินราว 26,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหนี้รายย่อย โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจชะลอ และเข้าถึงสินเชื่อยาก
“ร้านอาหาร โรงงานขนาดเล็ก” ถูกมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เพราะสามารถฟื้นตัวไว หากได้รับโอกาสทางการเงินอีกครั้ง เช่น การซื้อเครื่องจักรหรือเปิดร้านใหม่ ซึ่งนำไปสู่การจ้างงาน และรายได้ที่หมุนเวียนกลับเข้าระบบเศรษฐกิจโดยตรง
ต่อยอด “โกดังพักหนี้” ทางออกของลูกหนี้ระยะสั้น
อีกหนึ่งกลไกที่ภาคธุรกิจเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน คือ มาตรการ “Asset Warehousing” หรือ โกดังพักหนี้ ซึ่งเป็นการให้ลูกหนี้โอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้กับสถาบันการเงินไว้ชั่วคราว เพื่อลดภาระชำระหนี้ระหว่างที่ยังไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามปกติ โดยลูกหนี้ยังสามารถเช่าทรัพย์สินเพื่อใช้งาน และมีสิทธิ์ซื้อคืนได้ในอนาคต
แนวทางนี้ไม่เพียงลดภาระในช่วงวิกฤติ แต่ยังเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ “กลับมาเริ่มต้นใหม่” ได้อีกครั้ง
ขยายผลสู่หนี้นอกระบบ–บัตรเครดิต
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เสนอให้ขยายมาตรการดังกล่าวไปยัง “หนี้นอกระบบ” โดยใช้สินทรัพย์ที่เป็น “บ้านที่ผ่อนแล้วบางส่วน” มารีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยที่สูงผิดปกติ พร้อมช่วยเพิ่มเสถียรภาพด้านการเงินของครัวเรือน และฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศ
“หนี้นอกระบบคือระเบิดเวลา เศรษฐกิจจะไม่ฟื้นถ้ายังไม่ปลดล็อกหนี้เหล่านี้”
การแก้หนี้คือการลงทุนไม่ใช่ภาระ
มุมมองของผู้นำภาคธุรกิจสะท้อนว่า การจัดการหนี้ไม่ใช่เพียงมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น แต่เป็น “การลงทุน” ในโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ เพราะหาก SMEs สามารถกลับมาเดินหน้าได้ จะส่งผลเชิงบวกต่อการจ้างงาน การผลิต และรายได้ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณและเวลา
การใช้มาตรการที่ “ตรงจุด–ตรงกลุ่ม” ย่อมสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าการทุ่มเม็ดเงินโดยไร้ทิศทาง หากรัฐบาลกล้าตัดสินใจ ผลักดันมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจัง หนี้ที่เคยเป็นอุปสรรค อาจกลายเป็นจุดตั้งต้นของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไม่ช้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ต.ค.“แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อได้ หากราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไรและเริ่มเข้าสู่ช่วงการพักฐาน และหากเงินหยวนอ่อนค่าลง แต่เงินบาทยังมีแรงหนุนหากราคาทองคำปรับขึ้นและเงินเยนแข็งค่า
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14ต.ค.2568 ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 10 ตุลาคม)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้าและวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.74 บาทต่อดอลลาร์)
โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้างอีกทั้งความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านการอ่อนค่าลงของทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว กลับไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด หลังเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ล่าสุดสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ เหนือโซน 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความต้องการถือครองของผู้เล่นในตลาดจากประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเผชิญความปั่นป่วน หลังประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะ Data Blindness หรือขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ที่ทำให้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญถูกเลื่อนออกไป
ทำให้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากภาคเอกชนและบรรดาเฟดสาขา อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) ดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคธุรกิจบริการ โดยเฟดสาขานิวยอร์ก รวมถึงดัชนีแนวโน้มภาคธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา พัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้ง กลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่ อย่าง JPM, Goldman Sachs และ BofA รวมถึงกลุ่ม AI/Semiconductor อาทิ ASML และ TSMC
▪ ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ
อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Survey) ในเดือนตุลาคม และยอดผลผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซน (Industrial Production) เดือนสิงหาคม ส่วนในฝั่งอังกฤษ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOE จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปี 2026 (โอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ อยู่ที่ 24%)
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาท่าทีของทางการจีนอย่างใกล้ชิด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเพิ่มเติมอีก 100% และออกมาตรการควบคุมการส่งออก “Critical Software” เพื่อตอบโต้ที่ทางการจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออก แร่ Rare Earth
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนกันยายน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า เศรษฐกิจจีนยังไม่พ้นภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงติดลบราว -0.2% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตก็ติดลบราว -2.3%
อย่างไรก็ดี นโยบาย Anti-Involution ของจีน ที่ช่วยลดกำลังการผลิตส่วนเกิน ก็มีส่วนหนุนให้ราคาสินค้า อย่าง วัตถุดิบต่างๆ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตติดลบน้อยลง จากที่ ติดลบถึง -2.9% ในเดือนสิงหาคม
▪ ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยอาจเผชิญผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังหมดอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทย (Front-Loading) ในช่วงก่อนหน้า โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวเพียง +9%y/y
ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตราว +10%y/y ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด อาจสร้างความวุ่นวายให้กับการค้าโลกอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตาว่า การส่งออกของไทยจะยังได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทยอีกรอบหรือไม่
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้อ่อนกำลังลง หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
อย่าง ทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นก็ตาม หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยคลายกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้าง
(จากโพสล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บน Truth Social ที่ระบุว่า “The USA wants to help China, not hurt it”) จุดกระแส TACO (Trump Always Chickens Out) Trade ให้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เรายังมีความกังวลว่า เงินบาทอาจเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อได้ โดยเฉพาะ หากราคาทองคำ (ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์) เผชิญแรงขายทำกำไรและเริ่มเข้าสู่ช่วงการพักฐาน สอดคล้องกับข้อมูลสถิติในอดีต ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้
นอกจากนี้ หากตลาดกลับมากังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มากขึ้น จนกดดันให้เงินหยวนจีน (CNH) อ่อนค่าลง ก็อาจส่งผ่านแรงกดดันด้านอ่อนค่ามายังเงินบาทได้
ทว่า เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุน หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นบ้าง พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์คงเสี่ยงเผชิญ Two-way risk โดยต้องจับตาทั้งประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นและเงินยูโรได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.30-32.85 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.65 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อึ้งกันหมด! “โจว เทียนเฉิน” เผยความลับหลังชนะ “วิว กุลวุฒิ” ศึกขนไก่ฟินแลนด์

ควันหลงการแข่งขัน แบดมินตัน อาร์กติก โอเพ่น 2025 รอบชิงชนะเลิศ ประเภทชายเดี่ยว ที่เมืองวันตา ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยในรอบชิงชนะเลิศ “แชมป์เก่า” โจว เทียนเฉิน นักแบดมินตันจากไต้หวัน เป็นฝ่ายเอาชนะ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ไปได้ 2-1 เกม (21-11, 13-21 และ 21-19) ป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย

ซึ่งหลังคว้าแชมป์ นักแบดมินตันวัย 35 ปีของไต้หวัน ได้ออกมาเปิดเผยว่าเขานั้นมีอาการบาดเจ็บที่เท้าซ้ายหลังมีแผลพุพองระหว่างการแข่งขัน และหลังจากที่เจ้าตัวถอดรองเท้าออกก็พบว่าถุงเท้านั้นได้เปื้อนเลือด
“แน่นอนว่ามันเจ็บ แต่ผมแค่ใช้พลังใจเพื่ออดทน และไม่คิดถึงความเจ็บปวด” โจว เทียนเฉิน เปิดใจกับ CNA สำนักข่าวแห่งชาติของไต้หวัน
พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังได้ออกมาชื่นชมคู่แข่งอย่าง กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ว่าเป็นงานยากเสมอในการเจอกัน “ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่อนุญาตให้ผมผ่านเข้าชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์ได้ในที่สุด การเจอกับ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เป็นงานยากเสมอ และนี่จึงเป็นโอกาสที่ผมจะได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของผม”
“เกมนี้คือการต่อสู้เพื่อเด็กๆ ผมต้องการให้เด็กๆ ได้เห็นถึงความพยายามของผม ดังนั้นผมจึงมุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ดีที่สุด ไม่ว่าเด็กๆ เหล่านั้นจะเล่นแบดมินตันในอนาคตหรือไม่ แต่ผมหวังว่าผมจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 วิธีแก้อาการคัดจมูกได้ด้วยตัวเอง หายใจโล่งแบบไม่ต้องพึ่งยา

10 วิธีธรรมชาติ “แก้อาการคัดจมูก” หายใจโล่ง ไม่ต้องพึ่งยา
อาการคัดจมูกเป็นปัญหาที่ทำให้หายใจติดขัด โดยเฉพาะตอนกลางคืนจนบางคนต้องตื่นมาหายใจทางปาก ซึ่งวิธีแก้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเสมอไป เพราะหลายเทคนิคจากธรรมชาติสามารถช่วยให้จมูกโล่งขึ้นได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
10 วิธีแก้อาการคัดจมูกได้ด้วยตัวเอง
1. สูดไอน้ำอุ่น
การสูดไอน้ำอุ่นช่วยให้โพรงจมูกเปิด ละลายเสมหะ และเพิ่มความชื้นให้เยื่อบุจมูกได้ดี วิธีการคือให้ต้มน้ำร้อนแล้วก้มหน้าให้ห่างจากไอประมาณ 30 เซนติเมตร จากนั้นใช้ผ้าคลุมศีรษะไว้เล็กน้อยและสูดไอช้า ๆ ประมาณ 10 นาที
2. อาบน้ำอุ่น
ไอน้ำที่เกิดขึ้นในห้องน้ำระหว่างการอาบน้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้โดยอัตโนมัติ การอาบน้ำอุ่นยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำก่อนเข้านอนเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
3. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ 0.9% หรือน้ำเกลือสำหรับล้างจมูกโดยเฉพาะ จะช่วยชะล้างฝุ่น เกสร และเชื้อโรคออกจากโพรงจมูกได้ โดยให้เทน้ำเกลือลงในขวดบีบหรือลูกสูบ และล้างจมูกวันละ 1–2 ครั้งเป็นประจำ
4. ประคบร้อนบริเวณจมูก
การใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดแล้ววางบนสันจมูกและแก้มข้างละ 5–10 นาที จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งการไหลเวียนที่ดีจะช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกที่เป็นสาเหตุของการคัดจมูก
5. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ร่างกายที่ขาดน้ำจะทำให้น้ำมูกข้นและอุดตันมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มปัญหาคัดจมูกให้หนักกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำสะอาด 6–8 แก้วต่อวัน หรือจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อให้โพรงจมูกชุ่มชื้นอยู่เสมอ
6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟ
ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้จมูกแห้งและคัดจมูกหนักขึ้น ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้จืดแทนเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล
7. ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง
หากคุณนอนในห้องแอร์เป็นประจำ อากาศที่แห้งจะทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคืองและคัดจมูกได้ ควรเปิดเครื่องเพิ่มความชื้นหรือวางถ้วยน้ำไว้ในห้อง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้อากาศรอบตัวไม่แห้งจนเกินไป
8. ยกศีรษะสูงขณะนอน
การใช้หมอนเสริมให้ศีรษะสูงกว่าลำตัวเล็กน้อยจะช่วยให้อากาศไหลเวียนในโพรงจมูกได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอาการคัดจมูกที่มักจะเกิดตอนนอนได้มาก ทำให้นอนหลับได้สบายตลอดคืน
9. สูดกลิ่นน้ำมันหอมระเหย
กลิ่นจากน้ำมันยูคาลิปตัส เปปเปอร์มินต์ หรือการบูร จะช่วยเปิดทางเดินหายใจและลดความอุดตันของโพรงจมูกได้ทันที เพียงหยดใส่กระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้า แล้วสูดเบา ๆ ก็จะช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
10. หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน และขนสัตว์
ฝุ่นและควันบุหรี่คือศัตรูตัวร้ายของคนคัดจมูก ควรดูดฝุ่นในบ้านอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผ้าปิดจมูกเมื่ออยู่ในที่แออัด และอาบน้ำหลังเล่นกับสัตว์เลี้ยงทุกครั้ง เพื่อลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
หากอาการคัดจมูกไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หรือมีน้ำมูกเหลือง ร่วมกับอาการปวดบริเวณใบหน้าหรือหน้าปวดตุบ ๆ อาจเป็นสัญญาณของไซนัสอักเสบ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกวิธี
สรุปการแก้อาการคัดจมูก
การแก้อาการคัดจมูกด้วยวิธีธรรมชาติสามารถทำได้ง่ายและปลอดภัย เพียงแค่สูดไอน้ำ ล้างจมูก ดื่มน้ำให้มาก ๆ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ก็ช่วยให้หายใจโล่งขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งยาบรรเทาอาการคัดจมูก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หุ้น Samsung พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังยอดขายชิป AI พุ่งแรง

ราคาหุ้นซัมซุง พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หลังจากรายงานกำไรรายไตรมาสสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี สะท้อนความต้องการชิปปัญญาประดิษฐ์ที่พุ่งสูงขึ้นมาก
บลูมเบิร์ก รายงาน ราคาหุ้น ของบริษัท Samsung Electronics (ราคาหุ้นซัมซุง) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หลังจากรายงานกำไรรายไตรมาสสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี สะท้อนถึงความต้องการชิปหน่วยความจำที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ( AI) ที่พุ่งสูงขึ้น
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ระบุว่ามีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 12.1 ล้านล้านวอน (8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในไตรมาสเดือนกันยายน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.70 ล้านล้านวอน ตามรายงานผลประกอบการเบื้องต้น รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เป็น 86 ล้านล้านวอน
ราคาหุ้น Samsung ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นถึง 3.1% ในเช้าวันอังคาร (14 ต.ค.68) ที่กรุงโซล บริษัทจะเปิดเผยงบการเงินฉบับเต็มพร้อมกำไรสุทธิและรายละเอียดแยกตามแผนกในวันที่ 30 ตุลาคม
ผลประกอบการนี้อาจช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่คาดหวังถึงความยั่งยืนของความต้องการเซิร์ฟเวอร์และชิปหน่วยความจำ AI รวมถึงโอกาสที่ Samsung จะกอบกู้ส่วนแบ่งตลาดที่สูญเสียไปให้กับคู่แข่งรายเล็กอย่าง SK Hynix หลังจากเผชิญปัญหามาหลายปี
“กำไรจากการดำเนินงานของซัมซุงสูงกว่าที่ใคร ๆ คาดไว้มาก” ซานจีฟ รานา หัวหน้าฝ่ายวิจัยของโบรกเกอร์ CLSA Securities Korea กล่าว
“การจัดส่งชิปหน่วยความจำความเร็วสูงของซัมซุงฟื้นตัวขึ้น เพิ่มขึ้น 70% ถึง 80% จากไตรมาสก่อน และมีความเป็นไปได้ว่าขนาดของการหักลดมูลค่าในธุรกิจรับจ้างผลิตชิปอาจจะน้อยกว่าที่คาดไว้มาก”
Samsung กำลังพยายามคว้าโอกาสจากการเติบโตของ AI ที่คาดการณ์ไว้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บริษัทได้ประสบความสำเร็จกับ ชิป HBM รุ่นล่าสุด โดยได้รับคำสั่งซื้อจาก Advanced Micro Devices ขณะที่รอการอนุมัติขั้นสุดท้ายสำหรับ ชิป HBM3E จาก Nvidia
นักลงทุนคาดการณ์ว่า Samsung จะสามารถไล่ตาม SK Hynix ในตลาดที่ทำกำไรได้ดีของ HBM สำหรับแอปพลิเคชัน AI ให้กับ Nvidia และอื่นๆ ราคาหุ้นของ Samsung พุ่งสูงขึ้นกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน โดยได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของแผนกเซมิคอนดักเตอร์หลัก ซึ่งโดยทั่วไปคิดเป็น 50% ถึง 70% ของกำไรประจำปีของบริษัท
เดือนนี้ ทั้งสองบริษัทหลักในอุตสาหกรรมเกาหลีได้บรรลุข้อตกลงในการจัดหาชิปให้กับโครงการ Stargate ของ OpenAI โดยคาดการณ์ความต้องการชิป HBM ทั่วโลกมากกว่าสองเท่า ซึ่งตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของ Stargate และการพัฒนา AI ทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้น
เมื่อประกอบกับราคาชิปหน่วยความจำที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์หลายสิบรายปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ Samsung เมื่อเร็ว ๆ นี้
เอ็มเอส ฮวาง ผู้อำนวยการวิจัยของ Counterpoint กล่าวว่า
ซัมซุงอาจกลับมายึดตำแหน่งผู้ผลิตหน่วยความจำอันดับหนึ่งในแง่ของรายได้ หลังการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ช่วยหนุนราคาขายและปริมาณการขายของ DRAM และ NAND อเนกประสงค์
แต่เขาเตือนว่าผลกระทบจากการจัดส่ง HBM3E ไปยัง Nvidia ยังมีจำกัด “เพื่อที่จะกลับมาครองตลาดได้อย่างเต็มที่ ซัมซุงจำเป็นต้องรักษาโมเมนตัมนี้ไว้กับผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไปอย่าง HBM4” เขากล่าว
ความก้าวหน้าของ Samsung เกิดขึ้นหลังจากความผิดพลาดในการพัฒนาหลายครั้ง ทำให้ SK Hynix สามารถครองความเป็นผู้นำในตลาด AI ที่มีอัตรากำไรสูงได้อย่างมาก
ซัมซุงกล่าวในการประชุมผลประกอบการล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า คาดว่าจะมี “การขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หน่วยความจำระดับไฮเอนด์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ในช่วงครึ่งหลังของปี ปาร์ค ซุนชอล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกล่าวในขณะนั้นว่า กำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
5 เทคนิคการ จําคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ขั้นเทพ

การเรียนรู้และการสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่เรื่องของการจำ Tense หรือใช้ Grammar ให้ถูกต้องเพียงอย่างเดียว แต่หนึ่งในสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ “คำศัพท์” เพราะถ้าเราพูดได้ สื่อสารได้ แต่ไม่รู้ศัพท์เลยก็เป็นเรื่องยากที่เราจะพูดประโยคต่าง ๆ ได้มากขึ้นหรือพัฒนาทักษะการอ่านหรือการเขียนได้ เพื่อการนี้เราจึงอยากมาแบ่งปัน 5 เทคนิคการ จำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ขั้นเทพให้เพื่อน ๆ กัน เพียงแค่ทำตามนี้ เพื่อน ๆ ก็จะจำศัพท์ได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ได้ผล โดยไม่ต้องพึ่งการท่องจำอีกต่อไป
- ทำสมุดคำศัพท์ของตัวเอง
คลังคำศัพท์อย่างดิกชันนารีก็มีแล้ว งั้นเรามาลองทำคลังคำศัพท์ของตัวเองกันบ้างดีกว่า ไม่ว่าเราจะเรียนคำศัพท์มาจากห้องเรียน หรือ เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว ภาพยนตร์ เพลงหรือหนังสือที่ชอบ ก็สามารถเอามาลิสต์ลงสมุดของตัวเองไว้เลย ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เราจดจำคำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะคำศัพท์เหล่านั้นมาจากสิ่งที่เราชื่นชอบและสนใจนั่นเอง ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณสังเกตหรือได้รู้ศัพท์ใหม่มา ก็อย่าลังเลที่จะจดไว้ในสมุดเล่มโปรด แล้วเมื่อไหร่ที่เราไปเจอคำศัพท์เหล่านี้จากแหล่งอื่น ๆ เราก็จะจำได้ เพราะเราเคยเรียนรู้และผ่านพวกมันมาก่อนแล้ว ทั้งนี้เราอาจจะแบ่งคำศัพท์แยกหมวดหมู่กันไป พร้อมทั้งเขียนคำอ่านและประเภทของคำกำกับไว้ในสมุดและยามว่างเราก็สามารถนำสมุดเล่มนี้มาทบทวนได้เช่นกัน
- จำประเภทและหมวดหมู่ของคำ
พอเราได้สมุดคำศัพท์ของตัวเองแล้ว นอกจากลิสต์ที่เราทำได้แล้ว สิ่งต่อไปที่เราควรจะทำก็คือการจำคำศัพท์จากประเภทคำหรือที่เราเรียกว่า part of speech ซึ่งประกอบไปด้วย คำนาม (noun) คำสรรพนาม (pronoun) คำกริยา (verb) คำกริยาวิเศษณ์ (adverb) คำคุณศัพท์ (adjective) คำสันธาน (conjunction) และคำบุพบท (preposition) เหมือนกับภาษาไทยของเราเลย ซึ่งถ้าเราเข้าใจเรื่องประเภทของคำเป็นพื้นฐาน เราก็จะสามารถเข้าใจและ จำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ จากบริบทต่าง ๆ ได้เป็นพื้นฐาน อีกทั้งคำศัพท์บางตัวก็สามารถจำเป็นกลุ่มก้อนได้ด้วยการผันเปลี่ยนไปตามประเภทของคำอย่าง develop (v.) = พัฒนา development (n.) และ developmental (adj.) = การพัฒนา หากเราจำตัวใดตัวหนึ่งได้ก็จะรู้ความหมายของคำได้ระดับหนึ่งและแตกแขนงเกิดเป็น mind mapping ได้ หรืออาจจะจำจากหมวดหมู่ของคำ อย่างหมวดสภาพอากาศ (weather) ประกอบด้วย drought (adj., n.) = แห้งแล้ง, ความแห้งแล้ง fog (n.) = หมอก cloudy (adj.) = มีเมฆมาก humidity (n.) = ความเปียกชื้น เป็นต้น
- เชื่อมโยงกับสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว
เมื่อสมองของเราจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว เราก็จะต้องจดจำเพิ่มโดยเชื่อมโยงคำศัพท์ใหม่กับคำศัพท์ที่เราเคยเรียนรู้ไปแล้ว โดยอาจจะจดจำคำที่มีความหมายเหมือนกัน (synonym) หรือคำที่ตรงข้ามกันกับคำที่เรารู้ (antonym) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรารู้คำว่า beautiful (adj.) = สวยงาม แล้ว เราไปได้รู้ศัพท์มาเพิ่มเติมเช่น pretty (adj.) = สวยน่ารัก หรือ good-looking (adj.) = ดูดี ก็สามารถจดจำได้ในฐานะคำที่มีความหมายคล้ายกัน และจดจำคำที่ตรงกันข้ามอย่าง ugly (adj.) = ขี้เหร่ หรือ unattractive (adj.) = ไม่มีเสน่ห์ เป็นต้น นอกจากนี้เราสามารถจำเดิมที่มาประสมจนเกิดคำใหม่ได้ด้วยเช่นกัน เช่น down (ข้างล่าง) + stair (บันได) = ชั้นล่าง (ลงบันไดไป) boiling (เดือด) + point (จุด) = จุดเดือด up-to-date (ทันสมัย) + technology (เทคโนโลยี) = เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นต้น
- ใช้แอปพลิเคชันเรียนภาษา
ในตอนนี้มีแอปพลิเคชันเรียนภาษาอยู่มากมายที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แถมยังจัดเป็นหมวดหมู่ให้เราได้เรียนกันไปไม่ว่าจะเป็นทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน บอกเลยว่ามีครบ ดังนั้นเวลาว่างที่เราไม่มีอะไรทำ เราก็สามารถเรียนรู้คำศัพท์จากแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้จาก 4 ทักษะดังกล่าว อีกทั้งบางแอปพลิเคชันก็ยังมีหมวดคำศัพท์ให้เราได้เรียนได้โดยเฉพาะด้วยนะ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากใช้แอปเรียนภาษา ก็เน้นการเล่นเกมภาษากันไปเลย ไม่ว่าจะเป็น crossword, hangman, word search, word finder และอื่น ๆ อีกมากมาย ได้ทั้งความรู้และความสนุกไปตาม ๆ กัน บอกเลยแอปภาษาดี ๆ ต้องมีติดมือถือ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะ
- นำคำศัพท์ไปใช้จริง
การนำคำศัพท์ไปใช้จริงจะช่วยให้เราจดจำคำศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางคนอาจมีคำถามว่า ไม่ได้เจอชาวต่างชาติแล้วจะเอาคำศัพท์ไปใช้กับใครดีล่ะ บอกเลยว่าในโลกออนไลน์มีกลุ่มชาวต่างชาติที่ต้องการฝึกภาษาที่เราสามารถฝึกภาษากับเขาจริง ๆ ได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จะนำไปใช้กับใครดี ก็ลองเอาไปพูดหรือใช้กับเพื่อนและครอบครัวก็ได้นะ แม้อาจจะรู้สึกเคอะเขินสักหน่อย แต่มันช่วยให้เรามีความมั่นใจในการนำไปใช้ได้จริง หากใครเป็นสายแชทก็ลองฝึกแชทพูดคุยกับคนอื่นเป็นภาษาอังกฤษก็ดีไม่แพ้กัน นอกจากนี้เราก็ยังสามารถนำคำศัพท์ที่เราได้มา มาใช้ลองแต่งประโยคหรือเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ประกอบกันไปด้วยก็ได้เช่นกัน ซึ่งการฝึกหลาย ๆ ทักษะจะช่วยเราได้เยอะมากกว่าการฝึกแค่ด้านเดียวได้เยอะเลยทีเดียว เพราะถ้าเราไม่ได้นำไปใช้ สักวันเราก็จะลืมมันอยู่ดี
เห็นไหมว่าเทคนิคการ จำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ขั้นเทพของเรานั้นไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะความเข้าใจในตัวคำศัพท์นั้นดีกว่าการท่องจำได้หลายเท่า ยิ่งหากนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันแล้วเราก็จะเก่งภาษาอังกฤษ และสามารถใช้คำศัพท์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือความขยันและการฝึกฝน แนะนำให้เพื่อน ๆ ลองไปทำตามกันดูนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เปิดสูตรลับ! เก็บมะเขือเทศให้สดเด้งนาน 1 เดือน แบบไม่ต้องแช่แข็ง

มะเขือเทศจะคงความสดได้ตลอดทั้งเดือนหากคุณรู้เคล็ดลับการถนอมอาหารที่ ‘เจ๋งสุดๆ’ นี้
มะเขือเทศเป็นอาหารหลัก แต่อาจเน่าเสียได้เร็ว ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งได้แบ่งปันเคล็ดลับการเก็บรักษาที่แปลกใหม่ เพื่อช่วยให้มะเขือเทศสดได้นานที่สุด
มะเขือเทศเป็นส่วนผสมยอดนิยมในทุกมื้ออาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารได้เปิดเผยเคล็ดลับในการจัดเก็บที่น่าประหลาดใจเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาของมะเขือเทศ
ตู้เย็นเป็นที่ที่ดีที่สุดในการเก็บมะเขือเทศเสมอ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะนำมะเขือเทศเข้าตู้เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารแนะนำว่าคุณควรปฏิบัติตามเคล็ดลับต่อไปนี้
เคล็ดลับการเก็บมะเขือเทศให้สดนานหนึ่งเดือน
ครีเอเตอร์ YouTube คนหนึ่งแชร์เทคนิคง่ายๆ ในการเก็บรักษามะเขือเทศให้สดเหมือนวันที่ซื้อมา ช่อง EatWithEvidence จะแสดงวิธีการใช้อุปกรณ์ทั่วไปในบ้านเพื่อคงความสดของมะเขือเทศได้นานถึงหนึ่งเดือน
ขั้นแรก เธอแนะนำให้เตรียมชามใบใหญ่ แก้วมัค และผ้าเช็ดครัวให้พร้อม จากนั้นตวงน้ำส้มสายชูขาว ¼ ถ้วยตวง แล้วผสมกับน้ำ 10 ถ้วยตวง
เธอแนะนำให้คนส่วนผสมให้เข้ากันก่อนใส่มะเขือเทศลงไป เพื่อให้แน่ใจว่ามะเขือเทศจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด เธอแนะนำให้ค่อยๆ จุ่มมะเขือเทศลงในน้ำแล้วแช่ทิ้งไว้ “สองนาทีพอดี”
เธออธิบายเทคนิคของเธอว่า “ในขณะที่มะเขือเทศดองอยู่ สารละลายน้ำส้มสายชูก็เริ่มทำงาน โดยทำลายสปอร์เชื้อราที่มีอยู่และชะล้างแบคทีเรียที่เกาะติดผิวหนังออกไป”
พื้นผิวของมะเขือเทศโดยเนื้อแท้แล้วเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นกลาง เป็นที่ที่จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้ เมื่อคุณแช่มะเขือเทศในน้ำส้มสายชูที่มีฤทธิ์เป็นกรด คุณจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากผ่านไปสักพัก เธอจึงเปิดเผยขั้นตอนที่สามและขั้นตอนสุดท้าย เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของขั้นตอนนี้ และย้ำว่าสิ่งสำคัญคือต้องทำให้มะเขือเทศแต่ละลูกแห้งสนิทหลังจากนำออกจากชาม
เธอแนะนำให้ใส่ใจเป็นพิเศษกับลำต้น เนื่องจากบริเวณนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดเชื้อราในภายหลังหากไม่ได้รับการทำให้แห้งอย่างถูกต้อง
Healthline ระบุว่าการเพิ่มมะเขือเทศลงในอาหารมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเขียนว่า “มะเขือเทศมีน้ำฉ่ำและหวาน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้”
“พวกมันอุดมไปด้วยไลโคปีนเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อมโยงกับสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น ป้องกันมะเร็ง และปกป้องผิวจากแสงแดด”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 64,050.00 | 64,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,140.00 | 62,762.40 | 64,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,726.00 | 56,486.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,312.00 | 50,209.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,863.00 | 28,243.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,449.00 | 21,966.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,290.16 | 65,038.83 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.15 | 32.15 | 32.65 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.78 | 31.78 | 32.28 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.89 | 27.89 | – | – | – | – | – | – | 27.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.34 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.34 |
เบนซิน 95 | 40.44 | – | – | 49.81 | – | 40.94 | 40.59 | – | 40.44 |
ดีเซล | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |