อสังหาฯโซนEEC ครึ่งแรกปี68แผ่ว!ตลาด‘ระยอง’ โตสวนกระแส

- ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขต EEC ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชะลอตัวลง โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลง แม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
- จังหวัดระยองเป็นพื้นที่เดียวใน EEC ที่ตลาดเติบโตสวนกระแส โดยทั้งยอดโอนกรรมสิทธิ์และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% และการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV (Loan to Value) แต่ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังสะท้อนสัญญาณ “ชะลอตัว” ต่อเนื่อง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC ช่วง ครึ่งแรกปี 2568 ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าอยู่ที่ 20,660 หน่วย (-6.8%) และ 50,644 ล้านบาท (-8.3%) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“แม้มาตรการรัฐจะเริ่มมีผล แต่ตลาดยังต้องการเวลาในการปรับตัวและดูดซับอุปทานเดิมที่ยังคงค้างอยู่”
ส่วน ที่อยู่อาศัยแนวราบยังเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน EEC คิดเป็นสัดส่วน 68.4% ของหน่วยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พ้นภาวะถดถอย โดย “ลดลง” จากปีก่อนทั้งในแง่ จำนวน (-5.6%) และมูลค่า (-7.6%) เหลือ 35,306 ล้านบาท ขณะที่อาคารชุด ซึ่งมีสัดส่วน 31.6% ก็เผชิญกับแรงกดดันไม่ต่างกัน ยอดโอนหดตัว 9.1% มูลค่า ลดลง 9.9% เหลือ 15,338 ล้านบาท

เฉพาะไตรมาส 2 ปี 2568 พบสัญญาณบวกเล็กน้อยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ขยับขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แม้จะยังลดลงเมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์รวม 11,125 หน่วย มูลค่า 27,018 ล้านบาท ลดลง 7.4% และ 8.4% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยแนวราบยังเป็นประเภทที่มีการซื้อขายมากที่สุด คิดเป็น 71.9% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด
ระยองพระเอกของตลาด
หากพูดถึงพื้นที่ที่ “ต้านกระแส” เศรษฐกิจชะลอตัว ได้ดีที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ต้องยกให้ ระยอง เป็นจังหวัดเดียวในเขต EEC ที่การโอนกรรมสิทธิ์ (จำนวน) เติบโต 4.1% มูลค่า เติบโต 3.7% ไม่เพียงแต่ด้านอุปสงค์ที่ขยายตัว ด้านอุปทานในระยองก็มีความเคลื่อนไหวเชิงบวกสวนทางกับพื้นที่อื่น โดยพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้นถึง 19.3% ขณะที่จังหวัดอื่นลดลงเกือบทั้งหมด
“การเติบโตของระยองสะท้อนภาพความต้องการจากแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ยังแข็งแกร่ง และการขยายตัวของการจ้างงานในพื้นที่”
สำหรับ ชลบุรี และ ฉะเชิงเทรา เผชิญแรงกดดันรุนแรง ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยชลบุรีมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างมากที่สุดใน EEC ที่ 860,045 ตร.ม. คิดเป็นสัดส่วน 55.9% ของพื้นที่รวม แต่กลับหดตัว 20.3% เมื่อเทียบ YoY ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในชลบุรียังคงลดลง ฉะเชิงเทราเองแม้จะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (+1.5%) แต่ก็มีพื้นที่ก่อสร้างที่ลดลงถึง 22.5% โดยเฉพาะแนวราบและอาคารพาณิชย์
ซัพพลายใหม่ลดลง
ครึ่งปีแรก มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพียง 54 โครงการ รวม 4,038 หน่วย ลดลงถึง 22.9% และ 33.6% ตามลำดับ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประเภทที่ได้รับอนุญาตจัดสรรมากที่สุดยังเป็น ทาวน์เฮ้าส์ (40.2%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว (39.8%) และ บ้านแฝด (18.8%) สะท้อนรสนิยมตลาดที่ยังให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยในระดับราคากลางถึงล่าง
แม้หลายตัวเลขยังติดลบ แต่ผลของมาตรการรัฐในไตรมาส 2 อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มตอบสนอง โดยเฉพาะการผ่อนคลาย LTV และค่าธรรมเนียมการโอนที่มีผลตั้งแต่ช่วงกลางปี อย่างไรก็ตาม ตลาด EEC ยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ราคาวัสดุก่อสร้างผันผวน และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง
“ผู้ประกอบการต้องจับจังหวะให้ดี วางแผนโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในพื้นที่อย่างระยองที่มีแรงงานอุตสาหกรรมเป็นฐานกำลังซื้อหลัก”
แม้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ครึ่งปีแรก 2568 จะยังชะลอตัวในหลายมิติ แต่ “ระยอง” กลายเป็นพื้นที่ที่น่าจับตาที่สุดในปีนี้ ด้วยอุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมที่ยังแข็งแกร่งและการขยายตัวของพื้นที่ก่อสร้างใหม่อย่างมีนัยสำคัญ หากมาตรการภาครัฐยังดำเนินต่อเนื่อง และเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC อาจเริ่มเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้งจาก “แผ่ว” กลับมา “แรง” ได้ในไม่ช้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ภูเก็ตบูม! Branded Residence จ่อเปิดตัว ดันขึ้นฮับอสังหาฯ พรีเมียม

“Branded Residence” ในตลาดอสังหาฯภูเก็ต กำลังพลิกเกมของนักพัฒนาและแบรนด์โรงแรมระดับโลกที่หันมาสร้างที่อยู่พร้อมประสบการณ์บริการ บนทำเลชายฝั่งที่แข่งกันด้วยราคาและคุณค่า
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตในปี 2568 กำลังเปลี่ยนผ่านจากการพัฒนาโครงการเพื่อขายทั่วไป สู่การสร้าง “ประสบการณ์การอยู่อาศัย” ที่มีแบรนด์ระดับโลกเป็นหัวใจสำคัญ ปัจจุบันเกาะภูเก็ตมีที่อยู่อาศัยรวมกว่า 40,600 ยูนิต จากโครงการที่เปิดขายอยู่ 343 โครงการ โดยกว่า 83% เป็นคอนโดมิเนียม และส่วนใหญ่ยังเป็นโครงการไม่ติดแบรนด์ ขณะที่ “Branded Residence” ซึ่งมีเพียงประมาณ 17% ของตลาดทั้งหมด กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ขับเคลื่อนภูเก็ตสู่ตลาดลักชัวรีเต็มรูปแบบ
รายงานจาก C9 Hotelworks ระบุว่า เชิงทะเล-บางเทายังเป็นพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุด ครองสัดส่วนกว่า 54% ของตลาด รวมถึงเป็นโซนที่โครงการระดับโลกเลือกใช้เป็นฐานพัฒนา Branded Residence เช่นเดียวกับทำเลกมลา ที่กลายเป็น “Millionaire’s Mile” ศูนย์รวมโครงการพักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรีจากผู้เล่นทั้งในและต่างประเทศ
ความนิยมของ Branded Residence เพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมผู้ซื้อรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจากรัสเซีย ยุโรป และกรุงเทพฯ ที่มองหาบ้านพักตากอากาศพร้อมบริการระดับโรงแรม ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยระยะยาวและปล่อยเช่าในระยะกลางถึงยาวได้จริง อีกทั้งยังมั่นใจในมาตรฐานการบริหารจัดการและการดูแลทรัพย์สินในระยะยาว
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่มีแบรนด์สูงกว่ายูนิตทั่วไปถึง 28% อยู่ที่ราว 181,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่โครงการบ้านพักแนววิลล่าติดแบรนด์มีราคาสูงกว่าสองเท่าของตลาดทั่วไป หรือราว 162,000 บาทต่อตารางเมตร
ความร้อนแรงของตลาดนี้เห็นชัดจากการเปิดตัวโครงการใหม่ระดับ “เวิลด์คลาส” อย่าง “Peylaa Phuket, Autograph Collection Residences” ของ แค๊ปสโตน แอสเสท ที่จับมือกับ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (Marriott International) เปิดตัวเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชียแปซิฟิกภายใต้แบรนด์ Autograph Collection โดยตั้งอยู่ใจกลางย่านบางเทา ภายในมิกซ์ยูสที่ประกอบด้วยโรงแรมและรีเทลครบวงจร จำนวน 408 ยูนิต คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570
โครงการนี้โดดเด่นด้วยแนวคิด “Co-located Branded Residence” ซึ่งให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงบริการของโรงแรมได้โดยตรง ทั้งฟิตเนส สระว่ายนํ้า คลับเด็ก และพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมดบริหารโดยทีมแมริออท เพื่อสะท้อนปรัชญา “Exactly Like Nothing Else” ของแบรนด์ออโตกราฟที่เน้นเอกลักษณ์และศิลปะการออกแบบ
อีกด้านหนึ่ง พราว เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาฯ สัญชาติไทยที่สร้างชื่อจากหัวหิน ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าในภูเก็ตด้วยการเปิดตัว “The Residences at InterContinental Phuket Resort” บนหาดกมลา มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Live Beyond Boundaries in Paradise”
โครงการนี้จำกัดเพียง 111 ยูนิต พร้อมสิทธิพิเศษในการใช้บริการโรงแรม InterContinental Phuket Resort ซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลกที่ได้รับรางวัล Michelin 2 Keys โดยออกแบบสถาปัตยกรรมในแนว “Far East Paradise” ผสมผสานศิลปะชิโนยูโรเปียนกับเปอรานากัน พร้อมแนวคิดพัฒนาเพื่อความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และการเตรียมขอรับรองมาตรฐาน Fitwel Certification ที่มุ่งเน้นสุขภาวะของผู้อยู่อาศัย
ทั้งสองโครงการสะท้อนทิศทางเดียวกันว่า “แบรนด์” กลายเป็นเครื่องมือสร้างมูลค่าใหม่ในตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต เพราะไม่ได้ขายเพียงโลโก้ แต่คือความเชื่อมั่นในบริการและการดูแลหลังการขาย ซึ่งกลายเป็นปัจจัยหลักที่รักษาระดับราคาและความต้องการได้ต่อเนื่อง แม้ในตลาดที่มีอุปทานหนาแน่นกว่า 30,000 ยูนิต
ขณะเดียวกัน C9 Hotelworks ได้เน้นยํ้าว่า ตลาดภูเก็ตกำลังเผชิญกับคลังสต๊อกคอนโดฯจำนวนมากและการแข่งขันจากโครงการไม่ติดแบรนด์ซึ่งราคาย่อมเยากว่า ทำให้ความสามารถในการสร้างความแตกต่างหลังการขายเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งขึ้น ความสำเร็จของ Branded Residence จึงขึ้นอยู่กับ “คุณภาพหลังการส่งมอบ” มากกว่าเพียงภาพลักษณ์ของแบรนด์ ผู้พัฒนาที่ไม่สามารถรักษาคำมั่นเรื่องบริการ การบริหารเช่า หรือการดูแลเจ้าของยูนิตได้ตามมาตรฐาน อาจสูญเสียความได้เปรียบเชิงราคาอย่างรวดเร็ว เพราะกลุ่มผู้ซื้อยุคใหม่เลือกจาก “ประสบการณ์จริง” มากกว่า “ชื่อเสียงบนป้ายโครงการ”
ภูเก็ตจึงกำลังเปลี่ยนจากสมรภูมิของรีสอร์ทและโรงแรม มาเป็นสนามแข่งขันของแบรนด์ระดับโลกที่ต้องพิสูจน์ “คุณค่าเหนือราคา” ผ่านการอยู่อาศัยจริง หากผู้พัฒนาไทยสามารถยืนในสมรภูมินี้ได้ด้วยการยกระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ภูเก็ตจะไม่ใช่เพียงเกาะท่องเที่ยว แต่จะเป็นจุดหมายปลายทางของ “การอยู่อาศัยระดับโลก (World-class Living Destination)” ที่แข่งขันได้กับเมืองชายฝั่งระดับนานาชาติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ต.ค.“แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการอ่อนค่า/หนุนให้แข็งค่าบ้าง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ต.ค.2568 ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ก็อาจชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท หรือ หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ผ่านแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินดอลลาร์ (ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้นและมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามคาด)
ขณะเดียวกัน สินทรัพย์ปลอดภัย ทั้ง ทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าว ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ยังคงต้องรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ รายงานผลประกอบการของบริษัทธีม AI/Semiconductor ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เร็ว แรง ในช่วงระยะสั้น ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานหนักในช่วงนี้ได้ ดังจะเห็นได้จากช่วงเที่ยงของวันก่อนหน้า ที่ราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จนราคาลดลงถึง -100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง และเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว
นอกเหนือจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันก่อน (จากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์อังกฤษ หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาส BOE ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ภายในปีนี้) โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชีย และยิ่งกระตุ้นให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย เพิ่มเติมได้ แม้ว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติจะทยอยขายหุ้นไทยไปแล้วเกือบ -5 พันล้านบาทก็ตาม
และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า
เงินบาทได้อ่อนค่ามากกว่าที่เราประเมินไว้เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.83 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน กดดันให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง
สอดคล้องกับการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก ที่ผู้เล่นในตลาดมักจะต้องการถือครองในช่วงตลาดผันผวน อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาแข็งค่าทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ยังคงหนุนการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซน 4,170 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังจากเผชิญแรงขายทำกำไรรุนแรงในช่วงบ่ายของวันก่อน
และนอกเหนือจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากหลังผู้เล่นในตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ล่าสุดว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
(ตลาดเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 94% และโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีหน้า เป็น 92%) และเฟดอาจเริ่มหยุดการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening, QT) ได้ในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สะท้อนผ่านแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor ที่รีบาวด์ได้ในช่วงวันก่อน
อาทิ Nvidia -4.4% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Wells Fargo +7.2%, Citi +3.9% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงกว่า -0.76%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลง -0.37% ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็ยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง เพื่อรอติดตามพัฒนาการของประเด็นการเมืองฝรั่งเศส และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4.05% ทว่า บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างมั่นใจมากขึ้นต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.02% อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
อาทิ ข้อมูลการจ้างงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว (เกือบ fully priced-in แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดรวม 5 ครั้ง จนถึงสิ้นปี 2026)
โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังได้หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่โซน 99.0 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.9-99.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และจังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง กลับสู่โซน 4,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งยุดรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของทั้งสองธนาคารกลาง
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของจีนในเดือนกันยายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.54-32.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่ากลับมาอีกครั้งสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง หลังท่าทีที่กังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากประธานเฟด หนุนการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในการประชุม FOMC เดือนนี้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสถานการณ์ชัตดาวน์ที่ยังคงลากยาวมาประมาณครึ่งเดือนแล้ว
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก การตอบรับของตลาดต่อตัวเลข CPI และ PPI ของจีน รายงาน Beige Book ของเฟด และประเด็นชัตดาวน์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดอันดับโลกล่าสุด “วิว กุลวุฒิ” หลังคว้ารองแชมป์ขนไก่ อาร์กติก โอเพ่น 2025

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย ที่เพิ่งคว้ารองแชมป์ในรายการ อาร์กติก โอเพ่น 2025 ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2568
โดยรอบชิงชนะเลิศ นักตบลูกขนไก่หนุ่มวัย 24 ปี พ่ายให้กับ “แชมป์เก่า” โจว เทียนเฉิน นักแบดมินตันจากไต้หวัน ไปแบบหวุดหวิด 1-2 เกม (11-21, 21-13 และ 19-21)
ซึ่งจากผลงานการคว้าอันดับ 2 ในรายการทำให้ นักแบดมินตันชาวไทยวัย 24 ปี ยังคงรั้งอันดับ 3 จากการประกาศอันดับโลกใหม่ของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568
อย่างไรก็ตาม “วิว กุลวุฒิ” ทำแต้มไล่กดดัน แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น มือ 2 จากเดนมาร์ก เหลือเพียง 2,343 คะแนนเท่านั้น และทำให้มีลุ้นแซงหากสามารถทำผลงานได้ดีในรายการที่เหลือในฤดูกาลนี้ต่อไป
อันดับโลกของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ประเภทชายเดี่ยว
- 1. ฉี ยู่ฉี (จีน) 109,117 คะแนน
- 2. แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) 98,313 คะแนน
- 3. กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (ไทย) 95,879 คะแนน
- 4. หลี่ ชื่อเฟิง (จีน) 84,228 คะแนน
- 5. โจว เทียน เฉิน (ไต้หวัน) 80,619 คะแนน
- 6. โจนาธาน คริสตี้ (อินโดนีเซีย) 75,144 คะแนน
- 7. อเล็กซ์ ลาเนียร์ (ฝรั่งเศส) 70,511 คะแนน
- 8. คริสโต โปปอฟ (ฝรั่งเศส) 67,457 คะแนน
- 9. โลห์ เคียนยิว (สิงคโปร์) 66,719 คะแนน
- 10. เวง ฮองหยาง (จีน) 65,440 คะแนน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เช็กปอดให้ชัวร์ ว่าแข็งแรงดีอยู่ไหม? รวมวิธีทดสอบสมรรถภาพปอดเบื้องต้นด้วยตนเอง

วิธีเช็กสุขภาพ “ปอด” เบื้องต้น ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน พร้อมสังเกตสัญญาณเตือนภัยที่ต้องพบแพทย์
ปอด อวัยวะสำคัญที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป การมีปอดที่แข็งแรงจึงเป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดี แต่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ปอดของเรามีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติได้ง่ายขึ้น
การหมั่นสังเกตและตรวจสอบสมรรถภาพปอดเบื้องต้นด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจวิธีการเช็กสุขภาพปอดง่ายๆ ที่สามารถทำได้เองที่บ้าน พร้อมทั้งสังเกตสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด
สัญญาณเตือนที่ต้องฟัง ปอดของคุณอาจกำลังมีปัญหา
ก่อนที่จะไปถึงวิธีทดสอบ ลองสังเกตอาการของตัวเองในชีวิตประจำวัน หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าสุขภาพปอดของคุณเริ่มถดถอย
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ: ทำกิจกรรมเดิมๆ แต่กลับรู้สึกเหนื่อยหอบกว่าเคย เช่น การเดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้น
- ไอเรื้อรัง: มีอาการไอต่อเนื่องนานกว่า 3-4 สัปดาห์ อาจเป็นไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ
- หายใจลำบาก หายใจสั้น: รู้สึกหายใจได้ไม่เต็มปอด หรือหายใจเข้า-ออกสั้นกว่าปกติ
- เจ็บหน้าอก: มีอาการเจ็บแปลบหรือแน่นบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือไอ
- หายใจมีเสียงหวีด: ได้ยินเสียงวี๊ดๆ ขณะหายใจ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหลอดลมตีบ
- ไอเป็นเลือด: เป็นสัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
หากคุณมีอาการเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง
วิธีทดสอบสมรรถภาพปอดเบื้องต้น ทำได้เองที่บ้าน
การทดสอบเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้ แต่สามารถช่วยให้คุณตระหนักถึงสุขภาพปอดของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
1. สังเกตและนับอัตราการหายใจ
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตการหายใจของตนเองในขณะพัก ลองจับเวลา 1 นาที แล้วนับจำนวนครั้งที่หายใจเข้า-ออก (หายใจเข้าและออกนับเป็น 1 ครั้ง)
อัตราการหายใจปกติของผู้ใหญ่: ควรอยู่ที่ประมาณ 12-20 ครั้งต่อนาที ข้อสังเกต: หากหายใจเร็วกว่าปกติอย่างสม่ำเสมอ หรือหายใจช้าเกินไป อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ นอกจากนี้ควรสังเกตจังหวะการหายใจว่าสม่ำเสมอหรือไม่
2. ตรวจวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ปัจจุบันเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse Oximeter) สามารถหาซื้อได้ทั่วไปและใช้งานง่าย เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยประเมินการทำงานของปอดในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เป็นอย่างดี
ค่าปกติ: ควรอยู่ที่ 95% ขึ้นไป ข้อควรระวัง: หากวัดค่าได้ต่ำกว่า 94% อย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
3. ทดสอบการกลั้นหายใจ (ทำด้วยความระมัดระวัง)
การทดสอบนี้ช่วยประเมินความจุปอดและความสามารถในการทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้ในระดับหนึ่ง
วิธีทำ: หายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วกลั้นหายใจ พร้อมจับเวลา การประเมินผล: 30 วินาทีขึ้นไป: บ่งบอกว่าสมรรถภาพปอดค่อนข้างดี น้อยกว่า 20 วินาที: อาจเป็นสัญญาณว่าสมรรถภาพปอดเริ่มลดลง
ข้อควรระวัง: ไม่ควรทำอย่างหักโหม หากรู้สึกหน้ามืดหรือเวียนศีรษะให้หยุดทันที ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจหรือความดันโลหิตควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสมรรถภาพปอด?
หากการทดสอบเบื้องต้นพบความผิดปกติ หรือคุณมีอาการน่าสงสัยดังที่กล่าวมาข้างต้น หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่จัด ทำงานในที่มีมลภาวะสูง มีประวัติครอบครัวเป็นโรคปอด ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสมรรถภาพปอดอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่เรียกว่า สไปโรเมตรีย์ (Spirometry)
การตรวจด้วยวิธีนี้จะให้ผลที่แม่นยำกว่า โดยแพทย์จะให้คุณหายใจเข้า-ออกผ่านเครื่องมือเพื่อวัดปริมาตรความจุปอด และอัตราการไหลของอากาศ ซึ่งสามารถช่วยวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพองได้
เคล็ดลับบำรุงปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ
นอกจากการหมั่นตรวจสอบแล้ว การดูแลปอดให้แข็งแรงในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณสามารถทำได้ทุกวัน
- หลีกเลี่ยงมลภาวะ: งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 หนาแน่น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิก จะช่วยให้หัวใจและปอดทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ปอดสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ฝึกการหายใจ: ลองฝึกหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกให้ท้องป่อง และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจและเพิ่มความจุปอด
- รับประทานอาหารบำรุงปอด: เน้นผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ล บรอกโคลี และสมุนไพรอย่างขิง ซึ่งมีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
- รักษาสุขอนามัย: หมั่นล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
สรุป
สุขภาพปอดที่ดีคือลมหายใจที่ยืนยาว การใส่ใจและหมั่นตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณรู้เท่าทันความผิดปกติและรับมือได้อย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัว “ห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูง BSL2”

ไบโอเทค สวทช. เปิดตัว “ห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูง BSL2” ศูนย์กลางทดสอบวัคซีน-สารชีวภาพครบวงจร ดันอุตสาหกรรมสัตว์น้ำยั่งยืน
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว “ห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูงภายใต้ระบบความปลอดภัยชีวภาพระดับ 2” (Advanced Aquatic Animal BSL2 Laboratory: BSL2)
เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม รองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยในระดับประเทศ
โดยมุ่งเป้าให้ห้องปฏิบัติการแห่งนี้รองรับการทดลอง ทดสอบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำในระดับที่ปลอดภัยและใกล้เคียงกับการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องผ่านการทดสอบติดเชื้อแบบควบคุม เช่น วัคซีน สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และโพรไบโอติก
โดยมี ดร.สรวิศ เผ่าทองศุข นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค เป็นหัวหน้าโครงการห้องปฏิบัติการสัตว์น้ำขั้นสูงฯ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)
ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า การเปิดตัวห้องปฏิบัติการในวันนี้ เป็นการประกาศความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมระดับประเทศ ที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำของไทย
เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์จริงในอุตสาหกรรม ผ่านความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน การพัฒนาวิธีการและให้บริการวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัย และการเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน
พร้อมจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านสุขภาพสัตว์น้ำ รวมถึงเป็นพื้นที่บ่มเพาะและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบการเลี้ยงที่ปลอดภัย ยั่งยืน และแข่งขันได้ของประเทศ
ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ บพค. กล่าวว่า ห้องปฏิบัติการขั้นสูงภายใต้ระบบความปลอดภัยชีวภาพระดับ 2 ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยชีวภาพ ภายใต้มาตรฐาน BSL-2 สำหรับสัตว์น้ำอย่างครบวงจรแห่งแรกของประเทศ และเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน
บพค. มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับขีดความสามารถของภาคการวิจัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
พร้อมเชื่อมั่นว่า ห้องปฏิบัติการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำของภูมิภาคอาเซียน และสร้างประโยชน์อย่างกว้างขวางให้กับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทย
ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการ Advanced Aquatic Animal BSL2 พร้อมให้บริการแบบ One-Stop Service ในการทดสอบวัคซีน สารเสริมชีวนะ หรือสารชีวภาพ
เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตรวจสอบวินิจฉัยเชื้อโรคในสัตว์น้ำ และการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันโรคในสัตว์น้ำได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และมีมาตรฐานในระดับสากล
โดยมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Facilities) ในส่วนของห้องเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 2 ได้แก่ ถังเพาะเลี้ยงขนาด 220 ลิตร จำนวน 24 ถัง ระบบเพาะเลี้ยงน้ำหมุนเวียน ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบติดตามการทำงาน ระบบบำบัดน้ำ
และในส่วนของห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 2 ได้แก่ ห้องปฏิบัติการสาหร่าย ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเซลล์และไวรัส และห้องปฏิบัติการแบคทีเรียที่ประกอบด้วย เครื่องเขย่าพร้อมควบคุมอุณหภูมิ ถังหมักแบบตั้งโต๊ะ และเครื่องปั่นเหวี่ยงความเร็วสูง.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำแสลงภาษาอังกฤษที่ชาวโซเชี่ยลใช้ในทุก ๆ วัน

ถ้าคุณเบื่อกับคำศัพท์ที่เรียนในหนังสือ ลองหันมาให้คำแสลงวันรุ่นภาษาอังกฤษบ้างก็ได้ อย่างการพิมพ์ตอบแชทกับเพื่อน หรือตั้งแคปชั่นสั้น ๆ ในโซเชียลมีเดียใหเดูน่าสนใจก็ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้ใหม่แล้ว ก็ยังทำให้คุณเรียนภาษาอังกฤษสนุกขึ้นด้วย
อัปเดตคำแสลง ศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยทั้งในชีวิตจริง และโลกโซเชียล
พักสมองมาลองเรียนรู้คำแสลงภาษาอังกฤษที่วัยรุ่นอเมริกันชอบใช้กันดูบ้าง คำแสลง (Slang) เป็นคำศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่พูดกันแบบไม่เป็นทางการ เอาไว้พูดกับเพื่อน คนที่สนิท รวมถึงการตั้งแคปชั่นชิค ๆ ให้ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะ TikTok โซเชียลมีเดียสุดฮอตที่มักจะปล่อยศัพท์ Slang ใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย มาดูกันว่ามีคำไหนน่าสนใจบ้าง
1. It’s giving. แปลว่า เยี่ยมไปเล้ยย (คำชม)
Someone gave me a like. That’s my giving.
2. BDE ย่อมาจาก Big Dick Energy แปลว่า มั่นหน้า มั่นโหนก
I feel that have BDE when I got accepted to be a main character in a play.
3. Beta แปลว่า ผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ประหม่า
He is trying to take his ex-girlfriend back after she cheated on him so he is beta.
4. Era แปลว่า ช่วงนี้กำลังอินกับ…
Tom has been eating ramen for 4 weeks. He is in ramen era.
5. Iykyk เป็นตัวย่อของ If you know you know. And now you know.
แปลว่า ถ้าคุณรู้ว่าคืออะไร ก็เป็นไปตามนั้นนั่นแหละ
6. Slay แปลว่า เจ๋ง, ยอดเยี่ยม, สุดยอดไปเลย มีความหมายเดียวกันกับ amazing, cool, great
Every eyes at the ball look at her amazing dress. She slayed it last night.
7. Fell off แปลว่า ตกกระป๋อง, ไม่โด่งดัง
A celeb disappeared from the media for the whole year. She fell off.
8. Gatekeep แปลว่า ไม่บอกหรอก
ใช้เวลาที่มีคนทักว่า เสื้อสวยจัง ซื้อที่ไหนหรอ? แต่คุณไม่อยากบอก ก็ตอบกลับไปว่า “Cool kid don’t gatekeep.”
9. Situationship แปลว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
We are stuck in a situationship for 9 months since we never made a commitment to be in a relationship.
10. Bad take แปลว่า เข้าใจผิด
She thought my puppy was dead but he was still alive. What a bad take!
11. Fit แปลว่า เสื้อผ้า
I packed all of my winter fits for a trip to Alaska.
12. CEO (of Something) แปลว่า มีความถนัดเป็นพิเศษ
Jane is a daugher of a top ranked tennis player, so she must be a CEO of playing tennis.
13. Bones Day or No Bones Day แปลว่า วันที่สดใส เบิกบาน, วันที่มีแรงทำงาน หรือทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Noodle said it was a no bones day, so I’m not doing anything today.
14. BFFR ย่อจากคำว่า Be F*cking For Real แปลว่า ทำให้จริงจัง หรือชัดเจน
You think I want anything to do with your man? BFFR.
15. Private not secret แปลว่า เปิดเผยแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ใช้กับคนที่ชอบโพสอะไรบางอย่างที่อยากอวดลงโซเชียลมีเดีย แต่เซ็นเซอร์ชื่อ หรือหน้าที่สามารถระบุตัวตน หรือสถานที่ไม่ให้ใครรู้
16. Cap แปลว่า โกหก
No cap, I was able to get tickets to Taylor Swift’s tour.
17. Sleep on แปลว่า เมิน, ไม่สนใจ
To sleep on something.
18.Main character แปลว่า เห็นแก่ตัว, เอาผลประโยชน์เข้าตัว, เอาแต่ใจ
She was acting like she was the main character.
19. Dop แปลว่า เพลงเพราะ, ทำนองไพเราะ, เพลงคุณภาพเยี่ยม
A bop is a term for a great song.
20. Spilling the tea แปลว่า นินทา, พูดลับหลัง, เม้าเรื่องชาวบ้าน
I shouldn’t spill the tea, but have you heard that Ben and your sister are dating?
21.Vibe check แปลว่า มีเซนส์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร, คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
I have a vibe check that he is cheating on me.
22. Rent free แปลว่า ติดอยู่ในหัว, ตราตรึงใจ, ภาพจำ (ในแง่ดี)
Taylor Swift’s new records have been living rent free in my head all day.
23. Rizz แปลว่า มีเสน่ห์
Ken is rizz so that’s the reason Barbie is in love with him.
24. Lit แปลว่า สุดยอดไปเลย
Last night was lit.
25. Ghost แปลว่า ขาดการติดต่อแบบไม่บอกก่อนล่วงหน้า
Nick is ghosting once he found out that his girlfriend was dating other guy.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ผลไม้สีเขียวฝาดชนิดนี้ ดีต่อหัวใจ คุมน้ำตาล และช่วยลดน้ำหนักได้จริง

กล้วยดิบ ผลไม้สีเขียวฝาดดีต่อหัวใจ ควบคุมน้ำตาลในเลือด และช่วยลดน้ำหนัก
กล้วยดิบ ไม่ใช่แค่ผลไม้พื้นบ้านที่คุ้นเคยในหลายเมนูอาหารไทยเท่านั้น แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็น “ของดีที่คนรักสุขภาพตามหา” เพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดูแลหัวใจ และส่งเสริมการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
กล้วยดิบ แหล่งสารอาหารสำคัญที่มากด้วยคุณค่า
กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะโพแทสเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตและบำรุงกล้ามเนื้อ กล้วย 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 89 กิโลแคลอรี พร้อมใยอาหาร วิตามิน C, วิตามิน B6 และสารต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและส่งเสริมการลดน้ำหนัก
เมื่อเทียบกับกล้วยสุก กล้วยดิบ จะมีปริมาณ “แป้งทนการย่อย” หรือ Resistant starch สูงกว่า แป้งชนิดนี้ไม่ถูกย่อยในลำไส้เล็ก แต่จะไปหมักในลำไส้ใหญ่ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดดีในระบบทางเดินอาหาร
ด้วยคุณสมบัตินี้ กล้วยดิบจึงไม่ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดพุ่งสูง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2
นอกจากนี้ ค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ของกล้วยดิบอยู่ในระดับต่ำกว่ากล้วยสุก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลหรือกำลังลดน้ำหนัก อีกทั้งใยอาหารที่มากยังช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และสนับสนุนการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
ปกป้องหัวใจและลดคอเลสเตอรอล
กล้วยดิบ มีโพแทสเซียมสูง ช่วยขยายหลอดเลือด ควบคุมความดันโลหิต และลดอาการตะคริว ใยอาหารชนิดละลายน้ำในกล้วยดิบยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
กล้วยดิบยังอุดมด้วยวิตามิน C, เบต้าแคโรทีน และโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์
ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และคุณค่าทางโภชนาการที่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัย กล้วยดิบ จึงถือเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล รักษาความสมดุลของร่างกาย และส่งเสริมสุขภาพหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม
ข้อควรระวังในการรับประทานกล้วยดิบ
แม้จะมีประโยชน์มาก แต่การรับประทานกล้วยดิบมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องผูก โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาระบบย่อยอาหารหรือภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงผู้ที่มีแนวโน้มแพ้อาหารก็ควรระมัดระวัง ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะ และรับประทานควบคู่กับอาหารหลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน
เมนูอร่อยจากกล้วยดิบ ทั้งคาวและหวาน
กล้วยดิบเป็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย ทั้งเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ตัวอย่างเมนูยอดนิยม ได้แก่
1. ขาหมูตุ๋นกล้วยดิบ
เมนูอุดมด้วยสารอาหาร เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือคุณแม่ให้นมบุตร กล้วยดิบช่วยดูดซับไขมันจากขาหมู ทำให้รสชาติมันน้อยลงแต่ยังคงความหอมอร่อย
2. กล้วยดิบต้มเค็มหรือกล้วยดิบต้มปลาทู
กล้วยดิบช่วยเพิ่มรสสัมผัสและความกลมกล่อมให้เมนูปลา เมื่อนำไปเคี่ยวรวมกันจะได้รสชาติเนื้อนุ่มหอม เหมาะสำหรับมื้ออาหารแบบไทยๆ
3. กบผัดกล้วยดิบ
เนื้อกบแน่น หวานตามธรรมชาติ เมื่อนำมาผัดกับกล้วยดิบจะได้รสกลมกล่อม เค็มมันเล็กน้อย เป็นเมนูพื้นบ้านที่ทั้งอร่อยและให้โปรตีนสูง
4. หอยผัดกล้วยดิบ
เมนูพื้นถิ่นยอดนิยมของภาคเหนือและภาคกลางตอนบน กลิ่นหอมของใบชะพลูหรือใบยี่หร่าผสมกับความมันของกล้วยดิบและความหนึบของหอย ให้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัว
5. กล้วยดิบผัดใบชะพลู
เมนูเรียบง่ายที่เหมาะกับคนควบคุมน้ำหนัก ใช้น้ำมันน้อย รสชาติเบาแต่ยังอร่อยและได้สารอาหารครบถ้วน
จากวัตถุดิบพื้นบ้านแสนธรรมดา กล้วยดิบ กลายเป็นอาหารสุขภาพที่ครบเครื่อง ทั้งช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ความดัน และน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 64,350.00 | 64,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,160.00 | 63,065.60 | 65,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,744.00 | 56,759.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,328.00 | 50,452.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,872.00 | 28,379.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,456.00 | 22,072.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,310.88 | 65,352.94 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.15 | 32.15 | 32.65 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.78 | 31.78 | 32.28 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.89 | 27.89 | – | – | – | – | – | – | 27.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.34 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.34 |
เบนซิน 95 | 40.44 | – | – | 49.81 | – | 40.94 | 40.59 | – | 40.44 |
ดีเซล | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |