สาระน่ารู้ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2568

ออฟฟิศกทม.แข่งดุ! ค่าเช่าปรับลด–อัตราว่างลดเล็กน้อย ปี 2569 ส่อฟื้น

ตลาดอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ แข่งดุ! ค่าเช่าลดอัตราว่างเหลือ 26% เจ้าของอาคารเร่งตรึงราคาดึงผู้เช่า จับตาปี 2569 ฟื้นหากเศรษฐกิจโลกหนุน

แม้ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากอัตราว่างที่ลดลงในไตรมาส 3 ปี 2568 แต่ภาพรวมยังไม่อาจเรียกได้ว่าฟื้นตัวเต็มที่ ความต้องการเช่าพื้นที่ใหม่ยังต้องรอแรงหนุนจากการลงทุนของต่างชาติที่ชะลอการขยายธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา

โดยข้อมูลจาก นายอุกฤษฏ์ พรพัฒนไพโรจน์ หัวหน้าฝ่ายพื้นที่สำนักงานให้เช่า บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า กรุงเทพฯ มีพื้นที่สำนักงานรวมประมาณ 8.93 ล้านตารางเมตร โดยครึ่งหนึ่ง หรือราว 4.97 ล้านตารางเมตรอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)

ในจำนวนนี้ พื้นที่กว่า 2.47 ล้านตารางเมตรเป็นอาคารสำนักงานเกรด A ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้เช่าไทยและต่างชาติ ปัจจุบันยังมีอาคารสำนักงานใหม่อีกกว่า 654,000 ตารางเมตร ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะทยอยเปิดในช่วงปี 2568–2570 โดยกว่า 49.7% หรือราว 325,430 ตารางเมตร อยู่ในทำเล CBD ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในย่านเศรษฐกิจขยายตัว เช่น สุขุมวิทตอนปลาย บางนา และรัชดาภิเษก

อัตราว่างลดเหลือ 26% แต่ค่าเช่าถอย

นายอุกฤษฏ์ เปิดเผยว่า อัตราว่างของอาคารสำนักงานโดยรวมลดลงจาก 26.5% ในไตรมาส 2 เหลือ 26% ในไตรมาส 3 ปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงการกลับมาของดีมานด์ในกลุ่มบริษัทข้ามชาติและธุรกิจเทคโนโลยีบางส่วนที่ขยายพื้นที่เพิ่ม อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงแข่งขันสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารเกรด A ที่มีการเปิดตัวต่อเนื่องในย่านสุขุมวิท สีลม และสาทร

ค่าเช่าสำนักงานเกรด A ในพื้นที่ CBD เฉลี่ยอยู่ที่ 937 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ลดลงจาก 942 บาทในไตรมาสก่อนหน้าสะท้อนแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้น เจ้าของอาคารหลายแห่งเลือกตรึงราคาหรือให้ส่วนลดเพื่อรักษาผู้เช่าเดิมและจูงใจผู้เช่ารายใหม่ ขณะเดียวกัน ผู้เช่ากลุ่มใหญ่ยังคงมองหา “อาคารใหม่” ที่ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม (Green Building) และระบบความปลอดภัยที่ดีกว่า โดยย้ายออกจากอาคารเก่าที่มีอายุใช้งานมากกว่า 10-20 ปี

“ปัจจุบันตลาดอยู่ในช่วงที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เช่า เจ้าของอาคารเก่าและอาคารเปิดใหม่บางแห่งจึงต้องเสนอเงื่อนไขเช่าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อรักษาผู้เช่าและดึงดูดรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่” นายอุกฤษฏ์ กล่าว

อาคารเก่าเร่งอัปเกรด LEED – WELL ดึงผู้เช่ากลับ

แนวโน้มที่เห็นชัดในปีนี้คือการ “รีโนเวต” อาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุเกิน 20 ปี เพื่อให้แข่งขันกับอาคารใหม่ได้ หลายแห่งเร่งปรับปรุงรูปลักษณ์และโครงสร้าง พร้อมยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ (LEED / WELL / WiredScore) รวมถึงติดตั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย Turnstile และลิฟต์อัจฉริยะแบบ Destination Control เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน

นายอุกฤษฏ์ ระบุว่า อาคารที่มีการปรับปรุงและสามารถรักษาอัตราการเช่าไว้ได้ในระดับ 80-90% จะเริ่มมีศักยภาพในการปรับขึ้นค่าเช่าได้เล็กน้อย ในขณะที่อาคารที่อัตราเช่ายังต่ำกว่า 50% หรือสูญเสียผู้เช่ารายใหญ่ อาจจำเป็นต้องตรึงหรือปรับลดราคาเพื่อประคองรายได้

สำหรับแนวโน้มปี 2569 นายอุกฤษฏ์ มองว่า ตลาดสำนักงานยังต้องพึ่งพากำลังซื้อจาก บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เป็นหลัก โดยทิศทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ยุโรป จีน และญี่ปุ่น จะเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการตัดสินใจขยายธุรกิจในไทย

“หากปีหน้าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางเศรษฐกิจหรือการเมืองทั้งในและต่างประเทศ และเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอาคารใหม่ในทำเลศักยภาพที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2569 ซึ่งมีไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงปี 2567-2568” นายอุกฤษฏ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จับตาอสังหากทม.เทียบชั้นดูไบ-สิงคโปร์บิ๊กเนมแห่ผุดคอนโดหรู

  • กรุงเทพฯ กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ระดับอัลตร้าลักชัวรีแห่งใหม่ของเอเชีย เทียบชั้นเมืองใหญ่อย่างดูไบและสิงคโปร์
  • ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่ลงทุนเปิดตัวโครงการคอนโดหรูในทำเลใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสเศรษฐกิจ
  • ตลาดเติบโตจากความต้องการที่แข็งแกร่งของกลุ่มผู้มีสินทรัพย์สูง (UHNWI) ผลักดันให้ราคาขายคอนโดหรูในทำเลสำคัญพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ในโลกที่เมืองใหญ่กำลังแข่งขันกันยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านสถาปัตยกรรมและไลฟ์สไตล์เหนือระดับ มหานครกรุงเทพ กำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ในฐานะ “Luxury Real Estate Hub” แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า ลักชัวรี (Ultra Luxury) ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านราคา ทำเล และคุณภาพโครงการ เทียบเท่ากับมหานครระดับโลกอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และดูไบ

แม้เศรษฐกิจโลกจะยังเปราะบาง แต่อุปสงค์ของผู้ซื้อกลุ่มไฮเอนด์ โดยเฉพาะผู้มั่งคั่งสูง หรือ  Ultra High Net Worth Individuals (UHNWI) ยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จึงไม่ได้ขยับเพียงแนวราบหรือบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีเท่านั้น แต่ “คอนโดมิเนียมอัลตร้า ลักชัวรี ” กลับกลายเป็นสมรภูมิใหม่ที่ท้าทายและเร้าใจยิ่งกว่า

ตลาดร้อนแรง สวนกระแสเศรษฐกิจ

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรี ราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร เปิดตัวรวมมากกว่า 6,625 ยูนิต มูลค่าการพัฒนารวมกว่า 205,000 ล้านบาท

แม้ในช่วงปี 2562-2566 ตลาดชะลอตัวจากผลกระทบโควิด-19 แต่ในปี 2567 การเปิดตัวโครงการใหม่พุ่งกลับมาถึง 958 ยูนิต และคาดว่าช่วงปลายปี 2568 ถึงตลอดปี 2569 จะมีการเปิดขายใหม่กว่า 1,000 ยูนิต ยืนยันถึงความมั่นใจของผู้พัฒนาชั้นนำทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ยังคงทุ่มลงทุนในตลาดบนอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในสถิติที่น่าจับตาคือราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่โครงการหรูหลายแห่งสามารถแตะระดับ 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร ได้เป็นครั้งแรกในไทย เช่น โครงการปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก ที่มียูนิตมูลค่ารวมกว่า 1,400 ล้านบาท ถือเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าความหรูหราไม่ใช่แค่คำพูด แต่กลายเป็น “ทรัพย์สินทางสังคม” ที่สะท้อนสถานะและรสนิยมของเจ้าของ

“คอนโดมิเนียมหรูในวันนี้ ไม่ใช่แค่การลงทุนในที่อยู่อาศัย แต่คือการลงทุนในประสบการณ์ชีวิตและภาพลักษณ์”

ทำเลทองคำกลางเมืองหายาก! แต่ยังร้อนแรง

ทำเลสุขุมวิท ทองหล่อ วิทยุ ชิดลม และ สาทร ยังคงครองแชมป์ทำเลที่มีศักยภาพสูงสุด (Super Prime Area) ที่อยู่ “ใจกลางเมือง” (City Prime Area) ทั้งในแง่ของการอยู่อาศัยและการลงทุน ด้วยความครบเครื่องด้านไลฟ์สไตล์ การเดินทาง และมูลค่าแบรนด์ของพื้นที่ส่งผลให้โครงการใหม่ระดับพันล้าน! ทยอยเปิดตัวหนุนโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรีไทยเข้าสู่เวทีระดับโลก

“ราคาที่ดินสูงกว่า 4 ล้านบาทต่อตารางวา ในย่านวิทยุ จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป”

ขณะที่ “ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา” กลับมาได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะโครงการอย่าง The Residences at Mandarin Oriental หรือ Banyan Tree Residences Riverside ที่เน้นวิวแม่น้ำ พื้นที่กว้าง ดีไซน์งามสง่า สำหรับกลุ่มนักลงทุนมองไกล

ทำเลขอบตะวันออกของเมือง หรือ Eastern Fringe ในบริบทของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ เช่น เอกมัย พระราม 4 หรือ อ่อนนุช กลับกลายเป็น “พื้นที่แห่งโอกาส” เพราะมีราคาที่ยังยืดหยุ่นแต่แฝงด้วยศักยภาพการเติบโตระยะยาว เพราะตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหาทำเลศักยภาพสูงแต่ยังมี “Room to Grow” โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจริง พร้อมกับผลตอบแทนในอนาคต

โครงการใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟเตรียมเปิดตัว

ปลายปี 2568 จะเป็นอีกช่วงเวลาที่ตลาดอัลตร้าลักชัวรีในกรุงเทพฯ กลับมาคึกคัก ด้วยโครงการใหม่ระดับไอคอนิก เช่น สติลล์ สุขุมวิท 20 โดยเอสซี แอสเสท ร่วมกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ มูลค่า 6,000 ล้านบาท จำนวน 124 ยูนิต โครงการ InterContinental Residences Bangkok Asoke โดย CG Capital มูลค่า 5,500 ล้านบาท จำนวน 88 ยูนิต และ โครงการของสไวร์ พร็อพเพอร์ตี้ส์ จากฮ่องกงผนึกกำลัง ซิตี้ เรียลตี้ ของ “ชาลี โสภณพนิช”  ถนนวิทยุ 2 อาคาร จำนวน 395 ยูนิต

“โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เน้นคุณภาพการก่อสร้าง แต่ยังดึงแบรนด์ระดับโลกมาร่วมพัฒนา สะท้อนการขยับตัวของกรุงเทพฯ เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล”

ผู้เล่นใหม่ทะยานสู่สนามหรู

แม้ผู้พัฒนาในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังครองส่วนใหญ่ของตลาดนี้ ไม่ว่าจะเป็น แสนสิริ, เอสซี แอสเสท, อนันดา, ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือ โนเบิล แต่ ผู้เล่นนอกตลาด อย่าง CG Capital, 1.6 Development Real Asset หรือ นายเลิศ ปาร์ค ก็เริ่มเข้ามาสร้างสีสัน พร้อมนำเสนอ “DNA” ของแบรนด์ ที่เน้นเอกลักษณ์และประสบการณ์เหนือกว่าราคา

“อัลตร้าลักชัวรียุคใหม่ไม่ใช่แค่เพดานราคา แต่คือการสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ของการอยู่อาศัย”

กรุงเทพฯ Luxury Hub แห่งใหม่ของเอเชีย

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่ากรุงเทพฯ กำลังก้าวข้ามจากการเป็นเพียงจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว สู่ศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูที่แข่งกับเมืองชั้นนำในเอเชียได้อย่างสมศักดิ์ศรี

“ฮ่องกงมี The Peak สิงคโปร์มี Marina Bay… กรุงเทพฯ กำลังสร้างแลนด์มาร์กหรูในแบบของตัวเอง”

ตลาดคอนโดอัลตร้าลักชัวรีในกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ยังอยู่ได้ แต่กำลัง “เบ่งบาน” ด้วยคุณภาพ อุปสงค์จริง และความเข้าใจในดีเทลของการใช้ชีวิตเหนือระดับ การแข่งขันระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำกับผู้เล่นใหม่ที่มี “จุดขายเฉพาะตัว” จะยิ่งทำให้ตลาดนี้น่าจับตามองมากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ต.ค.ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์ ตลาดรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก เพื่อประเมินการดำเนินนโยบายการเงิน ทั้ง เฟด BOEและ ECB

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้16ต.ค.2568 ที่ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมของเงินบาทได้อ่อนค่าลงมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมตั้งแต่ตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล่าสุด

ขณะเดียวกันประเด็นดังกล่าว ก็ได้หนุนให้ ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์
และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป
อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เร็ว แรง ในช่วงระยะสั้น ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานหนักในช่วงนี้ได้ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำล่าสุด ได้เข้าสู่ Danger Zone (ราคาปรับตัวขึ้นเกิน +28% จากเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งเราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ที่หากอ้างอิงสถิติในอดีต เราพบว่า ราคาทองคำจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐานได้ทุกครั้ง (100%) 

โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ซึ่งเงินบาทมีความอ่อนไหว (Beta/Sensitivity) กับการปรับตัวลงของราคาทองคำ ราว 0.2-0.3 ทำให้ หากราคาทองคำเข้าสู่การปรับฐานจริง อ้างอิงจากสถิติในอดีตที่เฉลี่ยจะย่อตัวลงราว -9% ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ราว -1.8% ถึง -2.7% เปิดโอกาสที่เงินบาทอาจสามารถอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แต่ต้องอ่อนค่าผ่านโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ให้สำเร็จก่อน)

และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เหนือโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.62 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง (ร่วมกับแรงขายทำกำไรทองคำ)
ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ที่สะท้อนว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม

ท่ามกลางการชะลอตัวลงที่ชัดเจนขึ้นของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาทิ Stephen Miran ก็มองว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อาจเป็นตัวแปรที่เร่งการลดดอกเบี้ยของเฟดได้

นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ยังได้หนุนการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor ก็พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น อาทิ AMD +9.4%, Broadcom +2.1% หนุนโดยความหวังการเติบโตของธุรกิจ AI/Semiconductor หลังล่าสุด ASML รายงานผลประกอบการที่สดใส ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.66%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังพลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.57% หนุนโดยรายงานผลประกอบการที่สดใสของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อย่าง LVMH +12.2% และหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +3.1%
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ประเด็นการเมืองฝรั่งเศส อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4.05% ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ล่าสุด ที่สะท้อนว่าเฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงรอจับตาความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.03%  โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงาน
รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว (เกือบ fully priced-in แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดรวม 5 ครั้ง จนถึงสิ้นปี 2026)
โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง

เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง กดดันโดยการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากการ Unwind Sanae Takaichi Trades จากประเด็นความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ส่วนเงินยูโร (EUR) ก็พอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นยุโร
นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์ ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่โซน 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.0 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้าง

อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดก็ยังมีความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่บรรยากาศของตลาดการเงินที่เริ่มกลับมาสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง กอปรกับแรงขายทำกำไรทองคำ ได้จำกัด การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีภาวะภาคธุรกิจ ทั้งในฝั่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ จากเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือนและรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนสิงหาคม

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ พร้อมรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.44-32.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.48 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่า โดยได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ต้องจับตามากขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังถูกกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่ลากยาว

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และประเด็นชัตดาวน์ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทำไม ‘นอนไม่หลับ’ จิตแพทย์ชี้สาเหตุ อาจเพราะ Balance ชีวิตพัง

  • จิตแพทย์ชี้ว่าอาการนอนไม่หลับมี 3 สาเหตุหลัก คือ ภาวะทางร่างกาย, ความเครียดและความกังวล, และพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันไม่สมดุล
  • ภาวะนอนไม่หลับเกิดจากความไม่สมดุลของชีวิต ซึ่งต้องประเมินทั้งกิจกรรมในแต่ละวัน ความเครียด การใช้พลังงาน และสภาพแวดล้อมเพื่อหาทางแก้ไข
  • แม้ร่างกายจะเหนื่อยหรือใช้ยาช่วยนอน แต่หากมีความเครียดและความกังวลสูง สมองจะยังคงทำงานตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถหลับได้สนิท
  • การรักษาที่ถูกต้องคือการพบจิตแพทย์เพื่อประเมินและรับการรักษาที่เหมาะสม ทั้งการใช้ยาและจิตบำบัด เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหานำไปสู่โรคจิตเวชอื่น ๆ

นายแพทย์ธนานันต์ นุ่มแสง แพทย์จิตเวช โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันโรคนอนไม่หลับพบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงาน และเป็นภาวะทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่อาจจะยังไม่นิยามวาเป็นโรค มีต้นเหตุจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. เกิดจากภาวะทางร่างกาย ที่มีวามผิดปกติและไม่ต้องการหลับ 2. เกิดจากความเครียด ความกังวล 3. เกิดจาก Energy ของร่างกายหรือพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน

“อาการนอนไม่หลับ หรือ ภาวะนอนไม่หลับ คือภาวะทางจิตใจที่ต้องประเมินก่อนว่าผู้ป่วยทำกิจกรรมอะไรบ้างในแต่ละวัน มีความเครียดและความกังวลเรื่องอะไรบ้าง ใช้พลังงานร่างกายแบบไหน ต้องประเมินให้ครบรอบด้านก่อนจ่ายยารักษา รวมถึงการปรับ Balance ชีวิตและ Environment หรือสภาพแวดล้อมรอบตัวก็มีส่วนสำคัญด้วย”

กิจกรรมก่อนนอนค่อนข้างส่งผลต่อการนอนแล้วแต่ละบุคคล เช่น การปรัแสไฟ แสงจอโทรทัศน์หรือโทรศัพท์ เปิดเพลงคอนโทรลเสียงเบาๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการนอนที่จะช่วยทำให้ผ่อนคลายความคิด แต่ไม่ควรฟังเสียงข่าว เรื่องเล่า ที่ทำให้เกิดความตึงเครียด ในกรณีอ่อนไหว บางคนแค่อาบน้ำผิดเวลาก็นอนหลับยากแล้ว

ผู้ที่มีภาวะนอนไม่กลับ อาจหากิจกรรมทำเพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงาน หากเหนื่อยมากๆ จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น แต่ในกรณีที่เหนื่อมแต่มีเรื่องของความกังวล ความเครียดเข้ามาด้วย ก็จะเป็นผลทำให้สมองยังคิดและใช้งานอยู่ตลอดเวลา คงภาวะนอนไม่หลับเอาไว้

นายแพทย์ธนานันต์ กล่าวว่า การมาพบจิตแพทย์เป็นส่วนสำคัญมากพอๆ กับการทำจิตบำบัดซึ่งต้องทำควบคู่กันไป ในขณะเดียวกันก็เป็นที่น่ากังวลเพราะบางคนอาจอ้างอิงถึงความเชื่อด้วยการไปวัด หาหมอดู มูเตลู แม้อยู่ในเชิงของการให้คำปรึกษาแต่ก็ต้องระวังผลกระทบด้านอื่นๆ ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจแพงกว่าค่าตรวจกับจิตแพทย์โดยตรงและกลายเป็นธุรกิจความเชื่อที่ไม่ได้รักษาด้วยหลักทางวิทยาศาตร์

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหรือภาวะนอนไม่หลับจะมียาอยู่หลายตัว แพทย์จะจัดยาให้สอดคล้องตามพฤติกรรมของผู้ป่วย เช่น ยาไดอะซีแพม (Diazepam) เมื่อกินเข้าไปแล้วจะออกฤทธิ์ให้เกิดการง่วงซึม ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้ แต่หาผู้ป่วยมีความเครียดสูงก็ไม่สามารถทำให้หลับได้จริง เพราะสมองจะทำงานอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น การประเมินเรื่องของโรคนอนไม่หลับกับจิตแพทย์ เพื่อหาระดับของความเครียด แล้วเลือกยาให้เหมาะสมจะช่วยให้อาการดีขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ปัญหาการนอนไม่หลับก็จะส่งผลให้ก่อเกิดเป็นโรคจิตเวชได้ เพราะเกือบจะทุกโรคทางจิตเวช มักมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับเข้ามาร่วมด้วยเสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ซิวแชมป์ส่งผล! อันดับโลกล่าสุด “โปรจีน อาฒยา” นักกอล์ฟสาวไทยยึดเบอร์ 1 แน่น

ยึดตำแหน่งมือ 1 โลกได้อย่างเหนียวแน่นสำหรับ “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย จากการประกาศของ โรเล็กซ์ เวิลด์ กอล์ฟ แรงกิ้ง เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา

โดย ก้านเหล็กสาววัย 22 ปี เพิ่งจะคว้าแชมป์ บิวอิค แอลพีจีเอ เซี่ยงไฮ้ 2025 ด้วยการเพลย์ออฟชนะ มินามิ คัตสึ นักกอล์ฟสาวชาวญี่ปุ่น ในหลุมที่ 5 ถือเป็นแชมป์รายที่ 2 ของปี

จากความสำเร็จในรายการที่ผ่านมาทำให้ “โปรจีน” เก็บคะแนนสะสมโลกเพิ่มเป็น 468.41 คะแนน ครองอันดับ 1 ต่อไปได้อย่างเหนียวแน่น พร้อมทั้งโกยแต้มทิ้งห่าง เนลลี่ คอร์ด้า อันดับ 2 มากถึง 142.23 คะแนน

สำหรับ อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย เคยครองเบอร์ 1 โลก มาแล้วเมื่อปี 2022 ก่อนกลับคืนสู่มือ 1 โลกได้อีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา พร้อมทั้งครองตำแหน่งมาแล้ว 11 สัปดาห์ติดต่อกัน

สรุปอันดับ นักกอล์ฟหญิง ท็อป 10 ของโลก

  • 1. อาฒยา ฐิติกุล (ไทย) 468.41 คะแนน
  • 2. เนลลี่ คอร์ด้า (สหรัฐ) 326.18 คะแนน
  • 3. อี มินจี (ออสเตรเลีย) 306.62 คะแนน
  • 4. ลิเดีย โค (นิวซีแลนด์) 239.15 คะแนน
  • 5. ชาร์ลีย์ ฮัลล์ (อังกฤษ) 242.55 คะแนน
  • 6. มิยู ยามาชิตะ (ญี่ปุ่น) 326.21 คะแนน
  • 7. หยิน รั่วหนิง (จีน) 198.41 คะแนน
  • 8. คิม ฮโยจู (เกาหลีใต้) 220.42 คะแนน
  • 9. มาโอะ ไซโก (ญี่ปุ่น) 239.18 คะแนน
  • 10. แองเจิล หยิน (สหรัฐ) 5.01 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วงการแพทย์-กฎหมาย-ศาล ตื่นวางกรอบใช้ AI อย่างรับผิดชอบ

  • วงการแพทย์ กฎหมาย และศาลยุติธรรมของไทย กำลังร่วมกันวางกรอบและมาตรฐานการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ โดยเน้นความโปร่งใสและให้มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจหลัก
  • สภาทนายความฯ จัดทำแนวปฏิบัติการใช้ AI สำหรับนักกฎหมาย ขณะที่ศาลฎีกาออกคำแนะนำให้ผู้ใช้ต้องเปิดเผยข้อมูลและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ในการทำคดี
  • แพทยสภาเร่งกำหนดแนวทางการใช้ AI ทางการแพทย์ที่ปลอดภัย โดยให้ AI เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของแพทย์ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเดิมที่เป็นเพียง “การทดลองใช้” สู่ “การกำกับใช้” อย่างเป็นระบบ เมื่อสามเสาหลักของสังคมการแพทย์ กฎหมาย และศาลยุติธรรม ต่างตื่นตัวและขยับพร้อมกัน เพื่อวางกรอบ มาตรฐาน และหลักการกำกับการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการคงไว้ซึ่งอำนาจตัดสินใจของมนุษย์

ดร.พีรภัทร ฝอยทอง อุปนายกฝ่ายวิชาการ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สภาทนายความฯ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งคณะทำงานหารือร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดทำ “แนวปฏิบัติการใช้ AI สำหรับทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย” เป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 พร้อมยกระดับการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรสมัยใหม่ อาทิ กฎหมาย Compliance สำหรับธุรกิจการเงิน-การธนาคาร-ประกันภัย กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน และกฎหมายทางการแพทย์

สภาทนายความฯ พร้อมร่วมมือกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของทนายความไทย ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล สะท้อนโจทย์คู่ขนานทั้งด้านจริยธรรมวิชาชีพและทักษะดิจิทัลที่ต้องเดินไปพร้อมกัน

ศาลฎีกา ยํ้าใข้ AI อย่างเป็นธรรม-รับผิดชอบ

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่าศาลยุติธรรมไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่และการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการปฏิบัติงานคดี แต่การใช้ในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาลจำเป็นต้องมีกรอบและกติกาในการใช้งาน ดังเช่นที่องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรออกมาให้คำแนะนำ เช่น Council of Europe, UNESCO, OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ต่างให้คำแนะนำว่าการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเปิดเผย (disclose)

โดยประธานศาลฎีกาได้ออก “คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานคดี พ.ศ. 2568” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาลทุกฝ่ายว่า การใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของกระบวนการศาลด้วย

โดยหลักการสำคัญที่คู่ความที่เรียบเรียงและยื่นคำคู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลง ต่อศาลต้องยึดเป็นหลักสำคัญก็คือ ต้องเปิดเผยถึงการใช้ข้อมูลที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวตามหลักการเปิดเผย (disclose) และความโปร่งใส (Transparency) อีกทั้งคู่ความจะต้องตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลและสร้างเนื้อหาของปัญญาประดิษฐ์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาคำคู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลง หรือข้อกฎหมาย หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ปัญญาประดิษฐ์ค้นหาอ้างอิงมาให้ เพราะคู่ความเป็นผู้ที่ต้องจะรับผิดชอบต่อการใช้สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นสร้างขึ้นตามหลักความรับผิดชอบ (Accountability)

นอกจากนี้ ยังมีข้อควรคำนึงถึงอื่น ๆ เช่น การนำพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่มีข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ใส่ลงไปในคำสั่ง (Prompt) เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์ประมวลผลอาจต้องระมัดระวังและพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อบุคคลที่สามหรือไม่

ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงขอเน้นย้ำว่า แม้การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะ Generative AI จะทำให้ลดเวลา ลดภาระ ในการทำงานคดีก็จริง แต่มีข้อจำกัดและข้อที่ต้องระมัดระวังอย่างมากในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาล ยิ่งมีข้อควรระมัดระวังเกี่ยวกับกรอบการใช้งานที่ต้องเคารพหลัก Due Process of Law (กระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในกระบวนพิจารณา

แพทยสภา เร่งวางกรอบใช้ AI ปลอดภัย-โปร่งใส

ด้านนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ สภานายกพิเศษแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งต้องมีมาตรฐาน AI การขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบ Telemedicine มาช่วยประเมินอาการเบื้องต้น และเชื่อมต่อกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนา Super App ที่รวมบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว มีระบบ AI คอยช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

โดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะทำงาน ร่วมกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง โดยแพทย์ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการรักษา AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยสนับสนุน ขณะเดียวกันมีแนวคิดที่จะนำจุดแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ การหารายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง / หรือ ATMPs (เอ-ที-เอ็ม-พี)

ซึ่งนโยบายนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ที่จะเข้ามารับบริการ ว่ามีความปลอดภัยและมีประโยชน์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับแพทยสภาอย่างเต็มที่ ในการปรับปรุง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฉบับใหม่ เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบททางการแพทย์และสาธารณสุข ในการกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม

โดยยึดมั่นในจรรยาบรรณ และประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง และขอยืนยันว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของแพทยสภาอย่างเต็มกำลัง ทั้งด้านงบประมาณ กฎหมาย มาตรการ การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการร่วมกันพัฒนามาตรฐาน การใช้เทคโนโลยี และ AI ทางการแพทย์ เพื่อสร้างระบบสุขภาพ ที่เข้มแข็ง ยั่งยืน ทันสมัย มีธรรมาภิบาลและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ขอโทษที่ขัดจังหวะ ภาษาอังกฤษ (Polite Interrupting)

การพูดแทรกอย่างสุภาพ (Polite Interrupting)

พูดขัดจังหวะการสนทนาภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ ได้อย่างไร?

ประโยค ขอโทษที่ขัดจังหวะ ภาษาอังกฤษ

เมื่อคุณต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง :

• I hate to interrupt but I wanted to let you know I have to leave the meeting early.

ฉันไม่ชอบที่จะขัดจังหวะแต่ฉันต้องการจะแจ้งให้พวกคุณทราบว่าฉันต้องออกจากการประชุมก่อนเวลา

• I’m so sorry to interrupt but…

ฉันเสียใจที่ต้องขัดจังหวะนะ แต่ … (ตามด้วยประโยคที่จะพูด)

• I don’t mean to be rude but may I interrupt quickly?

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคาย (rude = หยาบคาย – เสียมารยาท) แต่ขอขัดจังหวะสักนิดนะ (quickly – อย่างไว ๆ)

เมื่อต้องการจะจบการสนทนา :

• I’m terribly sorry to interrupt you but I have to be at work for a meeting shortly and must get going. It was wonderful to see you. Have a nice day.

ฉันเสียใจ/ขอโทษอย่างสุดซึ้งที่ขัดจังหวะคุณ (พวกคุณ) แต่ฉันต้องไปที่ทำงานเพื่อการประชุมแล้วและต้องไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่วิเศษณ์มากที่ได้พบพวกคุณ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะ (get going ในประโยคนี้คือต้องไป ต้องจากแล้ว)

• Oh! Sorry to interrupt but I just noticed the time and I need to get to work. I’m very sorry. But it was great chatting with you.

โอ้ ขอโทษ/เสียใจที่ต้องขัดจังหวะแต่ฉันจะแจ้งให้ทราบว่าเป็นเวลาที่ฉันต้องไปทำงานแล้ว ฉันขอโทษ/เสียใจจริง ๆ แต่มันยอดเยี่ยมมากเลยที่ได้สนทนา/พูดคุยกับคุณ/พวกคุณ

เมื่อต้องจะถามคำถามหรือต้องการความชัดเจนบางประการ :

• Sorry to interrupt but may I ask a quick question?

ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะแค่ขอฉันถามอะไรนิดนึงได้ไหม

• I’m so sorry for interrupting but I’d like to make sure I understood you correctly.

ฉันขอโทษ/เสียใจสำหรับการขัดจังหวะแต่ฉันอยากจะต้องการความแน่ใจว่าฉันเข้าใจคุณอย่างถูกต้อง … (ตามด้วยสิ่ง/ประโยคที่จะถาม)

• I don’t mean to be rude but I’d like to ask a question.

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคาย/เสียมารยาท แต่ฉันอยากจะถามสักคำถามหนึ่ง

เมื่อต้องการเข้าร่วมวงสนทนาหรือแสดงความคิดเห็น :

• So sorry to interrupt but before we move on, I’d like to add my thoughts on this topic.

เสียใจ/ขอโทษที่ขัดจังหวะแต่ก่อนเราจะไปเรื่องต่อไป (move on = ไปต่อในเรื่องถัดไป) ฉันอยากจะขอเพิ่มเติมความคิด(เห็น)ของฉันในหัวข้อนี้สักหน่อย

• Excuse me but may I jump in here?

ขอโทษนะ แต่ขอแทรกตรงนี้หน่อยนะ

• May I add something quickly?

ขออนุญาตเพิ่มเติมบางอย่างนิดนึงนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


8 วิธีการนำเปลือกไข่มาใช้ประโยชน์ ของคนญี่ปุ่น

คนไทยเรานำเปลือกไข่มาใช้ประโยชน์มากมาย แต่มาดูวิธีการนำเปลือกไข่มาใช้ประโยชน์แบบคนญี่ปุ่นกันนะคะ เผื่อว่าจะได้นำไปใช้ประโยชน์เพิ่มจากที่เราเคยรู้มาแล้ว

1. ใช้ปลูกต้นไม้เล็กๆ ประดับบ้า

คนญี่ปุ่นใช้เปลือกไข่ปลูกต้นไม้เพื่อประดับบ้านเพิ่มความเก๋จากเปลือกไข่และต้นไม้ นอกจากจะไม่ทำให้น้ำรั่วเปื้อนที่วางแล้วเปลือกไข่ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อต้นไม้และคงสภาพให้ต้นไม้มีขนาดเล็กคล้ายบอนไซเพราะจำกัดพื้นที่การเจริญเติบโตของต้นไม้ นอกจากปลูกต้นไม้เล็กๆ แล้ว เปลือกไข่ก็ยังเหมาะในการปลูกแคคตัสเก๋ๆ ไว้ประดับบ้านและต้นอ่อนหัวไชเท้าไว้รับประทาน เป็นต้น

2. ใช้ทำความสะอาดภาชนะปากแคบ

ปัญหาการทำความสะอาดภาชนะปากแคบ เช่น กระติกน้ำ ขวด หรือแจกัน จะหมดไป เพียงแค่นำเปลือกไข่ตำหยาบๆใส่ลงไปในภาชนะปากแคบ ใส่น้ำลงไปเล็กน้อยและเขย่า จากนั้นนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

3. ใช้ไล่ศัตรูพืช

เพียงแค่นำเปลือกไข่ตำหยาบๆ โรยรอบต้นไม้ก็จะป้องกันไม่ให้หอยทากและตัวบุ้งมากัดกินใบของต้นไม้ได้ เนื่องจากหอยทากและตัวบุ้งไม่ชอบขอบของเศษเปลือกไข่

4. ใช้เป็นปุ๋ยให้แก่พืช

เปลือกไข่อุดมไปด้วยแคลเซียมซึ่งช่วยให้พืชงอกงามและเจริญเติบโตได้ดี วิธีการนำเปลือกไข่มาเป็นปุ๋ยพืชทำง่ายเพียงนำเปลือกไข่มาล้างตากให้แห้งและตำให้เป็นผงละเอียดแล้วจึงนำไปโรยบนดินปลูกพืช

5. ใช้ทำความสะอาดคราบติดแน่นบนเสื้อผ้า

การนำเปลือกไข่ต้มในน้ำพร้อมกับเสื้อผ้า จะทำให้น้ำกลายเป็นด่างซึ่งจะช่วยชะล้างคราบสกปรกติดแน่นออกจากเสื้อผ้าได้ง่าย

6. ใช้ขัดรอยไหม้บนภาชนะหุงต้ม

เพียงใช้เปลือกไข่ตำละเอียดขัดรอยไหม้บนหม้อหรือกระทะด้วยฟองน้ำก็จะทำให้สามารถขจัดรอยไหม้บนหม้อและกระทะออกได้

7. ผสมกับรำข้าวสำหรับดองผัก

ในฤดูร้อนการหมักผักในรำข้าวนั้นจะเปรี้ยวเร็วมากเนื่องจากแลกติกแอซิด แบคทีเรียเจริญได้ดีและผลิตกรดแลกติกได้อย่างรวดเร็ว การใส่เปลือกไข่ตำละเอียดลงไปผสมกับรำข้าวเพื่อดองผัก จะทำให้กรดแลกติดที่ผลิตได้ไปทำปฏิกิริยากับแคลเซียมในเปลือกไข่ ส่งผลในการลดความเปรี้ยวของผักดองและทำให้ผักดองอร่อยยิ่งขึ้น

8. ช่วยให้น้ำมันสำหรับทอดอาหารสะอาด

น้ำมันที่ผ่านการทอดหลายครั้งมักจะมีสีดำ การใส่เปลือกไข่ที่บุบพอแตกลงไปในน้ำมันเล็กน้อย เปลือกไข่จะดูดซึมเอาสีดำที่เกิดขึ้นในน้ำมันไว้ ทำให้น้ำมันสะอาดขึ้น

ได้รู้วิธีการนำมาใช้ประโยชน์มากมายของเปลือกไข่แล้ว แทนการทิ้งให้ไร้ค่าก็ลองนำไปใช้ประโยชน์ดูนะคะ แต่มีข้อควรระวังหน่อยนึงคือ หากนำมาดองผักก็ควรล้างเปลือกไข่ให้สะอาดและตากแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a65,050.0065,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,205.0063,747.8065,950.00
ทองรูปพรรณ 90%3,784.5057,373.02n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,364.0050,998.24n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,892.2528,686.51n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,471.7522,311.73n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,357.5166,059.85n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.1532.1532.6532.1532.1532.1532.1532.1532.15
แก๊สโซฮอล์ 9131.7831.7832.2831.7831.7831.7831.7831.7831.78
แก๊สโซฮอล์ E2029.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.94
แก๊สโซฮอล์ E8527.8927.8927.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.3449.8449.8440.34
เบนซิน 9540.4449.8140.9440.5940.44
ดีเซล31.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.44
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า