สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2568

Branded Residence ในเมืองไทยผงาดเบอร์หนึ่งเอเชียแปซิฟิก

ซีบีอาร์อี เผยประเทศไทยกลายเป็นผู้นำตลาด Branded Residence ของเอเชียแปซิฟิกภูเก็ต ติด อันดับ 5 เมืองที่มี Branded Residence มากที่สุดในโลก กทม.ติด อันดับ 7

ในวันที่อสังหาริมทรัพย์ไม่อาจพึ่งพาความหรูหราเพียงอย่างเดียว การมี “ชื่อแบรนด์” ติดหน้าประตูจึงกลายเป็นคุณสมบัติที่เปลี่ยนเกม ไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่คือระบบมาตรฐานที่จับต้องได้จริง ทั้งด้านดีไซน์ บริการ และการบริหารจัดการแบบเดียวกับโรงแรมห้าดาว

นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของตลาด Branded Residence ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นรายสำคัญในภูมิภาคอีกต่อไป แต่ก้าวขึ้นสู่ “ผู้นำของเอเชียแปซิฟิก” อย่างสมบูรณ์แล้ว

“Branded Residence คือการนำมาตรฐานระดับโลกมาใส่ในโครงการ”

มากกว่าความหรู คือความเชื่อมั่น

Branded Residence ไม่ได้โดดเด่นเพียงเพราะตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม หรือมีบริการเหมือนอยู่ในโรงแรม แต่จุดต่างที่สำคัญคือ แบรนด์ระดับโลก ได้เข้ามากำหนดมาตรฐานตั้งแต่ การออกแบบ สเปควัสดุ ความปลอดภัย ระบบสุขาภิบาล ไปจนถึง แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม ทุกองค์ประกอบต้องผ่านการตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งต่างจากคอนโดมิเนียมทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

แบรนด์โรงแรมจึงไม่ได้ “ติดป้าย” เฉย ๆ แต่ลงลึกถึงระดับ โครงสร้างความมั่นใจ ที่เพิ่มมูลค่าทั้งระยะสั้นและยาวให้แก่โครงการ

ไทยแชมป์ Branded Residence ในเอเชียแปซิฟิก

จากข้อมูลของ CBRE  ประเทศไทย มี Branded Residence ที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 40 โครงการ มากที่สุดในภูมิภาคหากรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ไทยจะขึ้นแท่น อันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก และ อันดับ 4 ของโลก ภูเก็ต ติด อันดับ 5 เมืองที่มี Branded Residence มากที่สุดในโลก กรุงเทพฯ ติด อันดับ 7 ของโลก

“ตลาดนี้ไม่ได้โตเพราะกระแส แต่เพราะมี ‘ของจริง’ รองรับ”

อะไรทำให้ไทยกลายเป็นแม่เหล็กของ Branded Residence?

  • การท่องเที่ยวแข็งแกร่ง – ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
  • ระบบโครงสร้างพื้นฐานดีเยี่ยม – ทั้งสนามบิน รถไฟฟ้า ทางด่วน และระบบสาธารณูปโภค
  • ระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่ได้มาตรฐาน
  • คุณภาพชีวิตที่ดีในต้นทุนที่ต่ำกว่าเมืองใหญ่ในโลก
  • ผลตอบแทนการลงทุนสูง – โดยเฉพาะในทำเลระดับ Prime Location

Branded Residenceตอบโจทย์ทั้งอยู่เองและลงทุน

แม้ Branded Residence จะมีต้นทุนการพัฒนาสูงกว่าโครงการทั่วไป แต่ผลตอบแทนที่ได้นั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง โดย CBRE รายงานว่า

เมื่อพิจารณาควบคู่กับสิทธิในกรรมสิทธิ์ (Freehold) และมาตรฐานการบริหารจากแบรนด์ระดับโลก ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่กลุ่มผู้ซื้อระดับบน รวมถึงนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก เลือกลงทุนในทรัพย์สินรูปแบบนี้

Branded Residence คืออนาคตของตลาดอสังหาฯ หรือไม่?

หากมองในเชิงโครงสร้าง ตลาด Branded Residence ไม่ใช่แค่ “แฟชั่นอสังหา” ชั่วคราว เพราะมันคือการยกระดับที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นสินทรัพย์ระดับโลก ทั้งในแง่คุณภาพ มาตรฐาน และผลตอบแทน

แนวโน้มในอนาคตจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะ “มา” หรือ “ไม่มา” แต่เป็นคำถามว่า ใครจะทำได้ดีพอในตลาดที่เริ่มแข่งขันกันด้วยคุณภาพมากกว่าชื่อเสียง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


การบินไทย ลุยไฟ ดันเช่าเครื่องบินหมื่นล้าน ชิงตัดหน้า AGM ตั้งบอร์ดใหม่

  • การบินไทยเตรียมเสนอที่ประชุมบอร์ดพิจารณาแผนเช่าเครื่องบินลำตัวกว้าง 8-10 ลำ วงเงินลงทุนกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเครื่องบิน
  • แผนดังกล่าวถูกผลักดันให้ตัดสินใจก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น (AGM) ซึ่งจะมีการเสนอเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 คน เป็น 15 คน
  • ตัวเลือกในการเช่ามี 2 ทาง คือ แอร์บัส A330-200 ที่ค่าเช่าถูกกว่าและจัดหาได้แน่นอน กับ โบอิ้ง 787-800 ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าแต่ค่าเช่าสูงและมีความไม่แน่นอน

การประชุมคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บอร์ดการบินไทย ในวันที่ 23 ตุลาคม 2568 นี้ แหล่งข่าวระบุว่า ต้องจับตาการหารือในประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.การพิจารณา การเช่าเครื่องบินของการบินไทย ท่ามกลางการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทครั้งนี้ 

2. การเสนอให้จัด ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือ Annual General Meeting (AGM) ในวันที่ 19 ธันวาคม นี้ เพื่อเพิ่มจำนวนบอร์ดการบินไทยอีก 4 คน จากปัจจุบันมีจำนวน 11 คน เป็น 15 คน โดยการบินไทยได้ส่งหนังสือให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นเสนอชื่อบอร์ดได้ แต่รายชื่อทั้งหมดจะต้องนำมาโหวตคัดเลือกในการประชุม AGM ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่ารายชื่อบอร์ดจากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกระทรวงการคลังจะได้รับสิทธิคัดเลือก เพราะกระทรวงการคลังมีสิทธิในการโหวตมากที่สุด

ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ใช้สิทธิผู้ถือหุ้นในการเสนอรายชื่อผู้ที่จะคัดเลือกเข้าเป็นบอร์ดรวม 10 คน เป็นการเสนอเพื่อเตรียมทดแทนบอร์ดชุดเดิมที่จะหมดวาระ 3 คน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร พล.อ.อ.อำนาจ จีระมณีมัย ซึ่งมี 1 คนที่ต้องจับฉลากออกตามเกณฑ์กำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนบอร์ด 1 ใน 3 ของจำนวนปัจจุบัน
สำหรับบอร์ดการบินไทยในปัจจุบัน 11 คน ประกอบด้วย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย นายลวรณ แสงสนิท (ประธานบอร์ดปัจจุบัน) ดร.กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล นายสัมฤทธิ์ สำเนียง และนายชาย เอี่ยมศิริ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการบินไทย)

ชงแผนเช่าเครื่องบินกว่า 1 หมื่นล้าน

สำหรับประเด็นการเสนอพิจารณาการเช่าเครื่องบิน แหล่งข่าวระบุว่า การบินไทยมีความต้องการที่จะเช่าเครื่องบินลำตัวกว้าง 8-10 ลำ ที่ผ่านมาการบินไทยไม่ได้เจรจากับบริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบินแอร์บัส A330-200 เท่านั้น แต่ยังมีการเจรจากับ โบอิ้ง 787 ด้วยเช่นกัน และมีการรายงานบอร์ดมาโดยตลอด เนื่องจากการบินไทยจำเป็นต้องมีเครื่องบินลำตัวกว้าง เพื่อนำมาใช้ทดแทนเครื่องบิน ที่จะต้องถูกปลดระวางในปีหน้า อีก 10 ลำ โดยเครื่องบินทั้ง 2 ล็อตนี้มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน

แหล่งข่าวระบุว่า ที่ผ่านมา การบินไทยมีการเจรจากับบริษัทผู้เช่าเครื่องบินหลายราย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสายการบินต่าง ๆ ก็มีความต้องการเครื่องบินเช่าเพื่อขยายฝูงบิน ทำให้การพิจารณาการเช่าเครื่องบินลำตัวกว้างเพื่อนำมาใช้ในระยะสั้น 6-8 ปีของการบินไทย ที่พอจะหาได้ จึงมีอยู่ด้วยกัน 2 ล็อต ใน 2 ทางเลือก ที่ได้เจรจากับบริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบินตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ได้แก่

กางแผนเช่า 2 ล็อต 2 ทางเลือก

1. การเจรจากับบริษัทให้เช่า (Lessor) ชื่อ Jetran (สัญชาติอเมริกา) ที่เสนอแอร์บัส เอ 330-200 จำนวน 8 ลำ เป็นเครื่องบินเก่า ที่เคยประจำการกับสายการบิน American Airlines เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง มีพิสัยการบินไกล บินได้ 14-17 ชั่วโมง สามารถทำการบินไปยังยุโรปได้ ราคาค่าเช่าต่อลำต่อรองกันอยู่ที่ 450,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สัญญาเช่า 8 ปี หากรวมค่าปรับปรุงห้องโดยสารและเครื่องยนต์สำรองของ Rolls Royce รวมการลงทุนจะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลา 8 ปี

ข้อดีของแอร์บัส เอ 330-200 คือ เป็นทางเลือกที่ได้เครื่องบินมาใช้แน่นอน สามารถจัดหาได้เร็ว และฝูงบิน A330-200 ที่เช่า ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกัน กับ A330-300 ที่การบินไทยมีอยู่แล้ว บริษัทมีเครื่องฝึกบินจำลอง (Simulator) A330 ทำให้ต้นทุนการฝึกนักบินไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องบินนานขึ้น เนื่องจากแอร์บัสเอ 330-300 เป็นเครื่องบินในเที่ยวบินระยะกลาง บินได้ราว 7 ชั่วโมง ส่วนข้อเสียคือ ประสิทธิภาพ รวมถึงความประหยัดน้ำมันสู้ 787 ไม่ได้ แต่สามารถใช้ทดแทนกันได้

2.การเจรจาขอเช่าเครื่องบินโบอิ้ง 787-800 ของไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส จำนวน 10 ลำ จากบริษัทผู้ให้เช่า ชื่อ Avolon ของไอซ์แลนด์ ราคาค่าเช่าต่อลำอยู่ระหว่าง 800,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สัญญาเช่า 6 ปี หากรวมการปรับปรุงและตกแต่งภายในก็จะอยู่ไม่ต่ำกว่า 1.3 หมื่นบาท เพราะค่าเช่าแพงกว่าแอร์บัส เอ 330-200

ข้อดีของโบอิ้ง 787-800 คือ เป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพ และการประหยัดน้ำมัน ดีกว่าแอร์บัส A330-200 และโบอิ้ง 787 ก็เป็นเครื่องบินประเภทเดียวกับที่การบินไทยได้วางแผนจะสั่งซื้อในอนาคต นอกจากนี้ยังใช้เครื่องยนต์ GE Engine ซึ่งดีกว่า Rolls Royce Engine เนื่องจากการบินไทยเคยมีปัญหามาก่อน และ Rolls Royce ก็มีคิวในการซ่อมบำรุงเป็นจำนวนมาก เพราะต้องนำเครื่องไปซ่อมที่ศูนย์ซ่อมของโรลส์-รอยซ์เท่านั้น ต่างจากเครื่องยนต์ของจีอี ที่จะไปซ่อมที่ศูนย์ซ่อมที่ไหนก็ได้

ส่วนข้อเสีย คือ ค่าเช่า และต้องจ่ายค่ามัดจำ อีก 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ภายหลังมีการต่อรอง จึงลดราคาค่าเช่าต่อลำให้เหลือ 750,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวม รวมการปรับปรุง ก็ยังสูงกว่า A330-200 อย่างแน่นอน และยังมีความเสี่ยงว่าทางบริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบิน จะชนะการประมูลหรือไม่ เนื่องจากต้องเข้าสู่การประมูลแข่งกับสายการบินอื่นในประเทศจีน ทำให้มีความไม่แน่นอนว่าจะได้รับเครื่องบินได้หรือไม่

การบินไทยแจงเหตุผลยิบ

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การจัดหาเครื่องบินเช่า ของการบินไทย เป็นแผนในการจัดหาเครื่องบินที่มาเติมกำลังการผลิต ระหว่างรอเครื่องบินฝูงบินใหญ่โบอิ้ง 787 รุ่นใหม่ ที่จะทยอยรับมอบในปี 2571

ที่สำคัญ คือ ในช่วงนี้การบินไทยมีเครื่องบินที่อยู่ในสถานะ AOG (Aircraft on Ground) ซึ่งเรามองเห็นตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งยังจะมีเครื่องบินปลดระวางอีก 10 ลำในปีนี้ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินลำตัวกว้างกว่า 8 ลำ ประกอบด้วย 777-200 จำนวน 4 ลำ, A350 จำนวน 2 ลำ, 787-800 จำนวน 2 ลำ และแอร์บัสเอ 330-300 ที่จะหมดสัญญาในปี 2573

อีกทั้งวันนี้ยังเครื่องบินรุ่น 787-800 อีก 2 ลำที่ต้องจอดอยู่ เนื่องจากปัญหาเครื่องยนต์ Rolls-Royce ที่การบินไทยส่งซ่อมยังไม่มาตามนัด และปีหน้าก็แอร์บัส A 350 อีก มีแนวโน้มต้องจอดเหมือนกัน เพราะไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทต้องเร่งหาเครื่องบินลำตัวกว้างเพื่อเสริมศักยภาพ เพราะต้องการมี capacity เพิ่มเข้ามา

โดย ณ เมื่อปีที่แล้ว มีแอร์บัส เอ 330-200 เสนอเข้ามา ก็มีการเสนอผู้บริหารพิจารณา แต่ตอนนั้นมีความเสี่ยงเรื่องการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา (Tariff ) ก็ให้ยุติไปก่อน ค่อยไปเสนอกรรมการบริษัท พอ Tariff War คลี่คลาย การบินไทยจึงนำเรื่องเสนอกรรมการบริษัท

ต่อมาในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็มีเครื่องบินอีกฝูงหนึ่ง คือ โบอิ้ง 787-800 ซึ่งเป็นเครื่องบินเก่าเหมือนกัน อายุใกล้เคียงกัน เป็นเครื่องบินของสายการบิน China Southern ซึ่งออกมาประมูลขายพอมีเรื่อง Tariff ทางสายการบินก็ยกเลิกการประมูลไป ณ วันนั้นการบินไทย ก็แสดงความจำนงค์ไปว่าจะยื่นประมูลด้วย จากนั้นสายการบินก็ประกาศจะประมูลอีกทีในเดือนสิงหาคม แต่ครั้งนี้สายการบินเจ้าของเครื่องบินก็มีข้อกำหนดออกมามากมาย

จากนั้นก็มีผู้เช่าเครื่องบิน มาเสนอการบินไทย ทางบริษัทผู้เช่าเครื่องบินจะไปยื่นประมูล แต่เขาอยากให้การบินไทยเสนอราคาค่าเช่าเครื่องบินมา ซึ่งก็คือทางบริษัทผู้เช่าเครื่องบินจะไปประมูลและอยากหาลูกค้าทันที จึงมาติดต่อการบินไทย ซึ่งทางบริษัทผู้เช่าเครื่องบินก็ต้องไปประมูลแข่ง ขณะที่การบินไทยก็อยากได้ราคาค่าเช่าถูก แต่ในความเป็นจริงเวลาเขาไปประมูลก็ต้องเสนอราคาสูง ซึ่งตรงนี้มีความไม่แน่นอน ก็ว่ากันไปได้ก็ได้ ไม่ ได้ก็ไม่ได้

สำหรับฝ่ายบริหารของการบินไทย ก็ศึกษาตัวเลขแล้ว เนื่องจากค่าเช่า แอร์บัส เอ 330-200 ถูกกว่าโบอิ้ง 787-800 มาก และถึงแม้จะโบอิ้ง 787-800 จะกินน้ำมันน้อยกว่า แอร์บัสเอ 330-200 แต่ค่าเช่าก็สูงกว่ามาก ดังนั้นเมื่อเราดูภาพรวมแล้ว ตัวเลขจึงบ่งไปทางแอร์บัสเอ 330-200 และไม่ว่าจะการบินไทยจะเช่าเครื่องบินรุ่นไหน ก็ต้องนำเครื่องมาปรับปรุงตกแต่งให้เป็นเครื่องของการบินไทย

ชงบอร์ดตัดสินใจ

นายชาย ยังกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีความเข้าใจผิดในกรณีเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-200 ว่าทำการบินได้แค่ 7 ชั่วโมง จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะเครื่องบิน แอร์บัส เอ 330-200 ที่เป็นหนึ่งในทางเลือกที่การบินไทยจะเช่ามานั้น มีพิสัยการบินระยะไกล เทียบเท่ากับโบอิ้ง 787-800 สามารถบินไปได้ถึงยุโรป

แต่คนไม่เข้าใจเพราะไปเทียบกับแอร์บัสเอ 330-300 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่อยู่ในฝูงบินของการบินไทยในปัจจุบันที่เป็นเครื่องบินของการบินไทยมีอยู่ 3 ลำ และเป็นเครื่องเช่า 3 ลำ รวมเป็น 6 ลำ ซึ่งเครื่องบินแอร์บัสเอ 330-300 ทำการบินได้ราว 7 ชั่วโมง

ส่วนในประเด็นที่มีกระแสข่าวการบินไทยจะเอาเครื่องบินแอร์บัสเอ 330-300 ออกจากฝูงบินทำไมจึงสั่งแอร์บัส 330-200 มาเพิ่ม จริง ๆ แล้วแผนเดิมเครื่องบินแอร์บัสเอ 330-300 ที่การบินไทยมีอยู่ในฝูงบินที่เช่ามาจากเวอร์จิ้น จะหมดสัญญาปี 2573 และยังมีที่เป็นเครื่องบินของการบินไทยเอง จำนวน 3 ลำ แต่ถ้าเราเช่าฝูงบินแอร์บัสเอ 330-200 ก็จะเพิ่มไปอีก 2 ปี จากแอร์บัสเอ 330-300 เป็น แอร์บัส เอ 330-200 ซึ่งก็เพิ่มมาแค่ 2 ปี

“ฝ่ายบริหารไม่ได้เชียร์หรือมีผลประโยชน์ว่าการบินไทยต้องเช่าเครื่องบินรุ่นไหน แต่ผมตอบด้วยตัวเลข ข้อเท็จจริงและผลประกอบการที่ออกมา ทุกอย่างโปร่งใส มีข้อมูลอ้างอิง ไม่ได้พูดลอย ๆ ซึ่งวันนี้ทางเลือกที่บอร์ดการบินไทยพิจารณาว่าจะให้การบินไทยเช่าเครื่องบินหรือไม่ ก็มีอยู่ 2 ทางเลือก คือ แอร์บัสเอ 330-200 และโบอิ้ง 787-800 ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ดการบินไทย และจากที่มีกระแสข่าวว่าการบินไทยจะเช่าโบอิ้ง 777-300 ER ก็ไม่ใช่ เพราะวันนี้การหาเครื่องบินไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในอดีตการบินไทยก็เคยจะเช่าเครื่องบินรุ่นนี้มา 6 ลำแต่ก็ไม่ได้”

อย่างไรก็ตามการบินไทยก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบินโบอิ้งอยู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังมีเวลา ซึ่งในการประชุมบอร์ดวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ก็คงต้องมีข้อเสนอ เพราะที่ผ่านมาก็มีรายการงานที่เกี่ยวกับ 2 ทางเลือกในการเช่าเครื่องนี้กับทางบอร์ดมาโดยตลอด

นอกจากนี้ตามแผนการรับมอบเครื่องบินใหม่โบอิ้ง 787 ที่การบินไทยได้สั่งซื้อไว้ 45 ลำ จะทยอยรับเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 2571 แต่หากการบินไทยไม่สามารถเช่าเครื่องบินช่วงนี้ก็ทำให้เครื่องบินลำตัวกว้างขาดช่วง ซึ่งในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ การบินไทยมีแผนลงทุนจัดหาเครื่องบินใหม่ ประมาณ 120,000 ล้านบาท โดยจะทยอยชำระค่าเครื่องบิน เพื่อขยายธุรกิจ

เปิดแผนขยายฝูงบินการบินไทย

สำหรับแผนการขยายฝูงบินของการบินไทย เดิมในปี 2562 การบินไทยมีเครื่องบินรวม 103 ลำ เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง 83 ลำ เครื่องบินลำตัวแคบ 20 ลำ ประเภทเครื่องบิน มี 8 แบบ ประเภทเครื่องยนต์ 9 แบบ นักบิน 8 แบบ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 การบินไทยมีเครื่องบิน 103 ลำ เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง 58 ลำ เครื่องบินลำตัวแคบ 20 ลำ ประเภทเครื่องบิน 6 แบบ ประเภทเครื่องยนต์ 7 แบบ นักบิน 4 แบบ

ปี 2569 มีเครื่องบินรวม 93 ลำ เนื่องจากมีเครื่องบินต้องออกจากฝูงบิน 10 ลำ ส่วนในปี 2573 การบินไทยก็จะปลดระวางแอร์บัสเอ 330

ปี 2576 การบินไทยมีเครื่องบิน 150 ลำ เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง 98 ลำ เครื่องบินลำตัวแคบ 52 ลำ ประเภทเครื่องบิน 4 แบบ คือ โบอิ้ง 777-300 (17 ลำ) แอร์บัสเอ 350-900 (17 ลำ)โบอิ้ง 787 (64 ลำ) แอร์บัสเอ 320/ เอ 321 นีโอ (52 ลำ) ประเภทเครื่องยนต์ 5 แบบ นักบิน 3 แบบ

ส่วนแผนการจัดหาเครื่องบินไม่ว่าจะเช่าหรือซื้อ เป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจของการบินไทย เพราะแม้การบินไทยจะมีรายได้ 1.8 แสนล้านบาท แต่มาร์เก็ตแชร์ของการบินไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26% ซึ่งการบินไทยมีเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ส่วนนี้ขึ้นมาเป็น 35% ในปี 2572

จึงทำให้การบินไทยได้วางแผนการปรับโครงสร้างฝูงบินและจำนวนเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพโดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีเครื่องบินจำนวน 150 ลำในปี 76 ซึ่งลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบก่อนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเหลือเพียง 4 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลวรณ ยันเฟ้นคนดี-มีความสามารถ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสรรหากรรมการบอร์ดชุดใหม่เพิ่มเติม จาก 11 คน เป็น 15 คน ที่เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นการบินไทยในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ เป็นเพราะวันนี้การบินไทยมีกรรมการชุดย่อยบางชุดที่ตั้งไม่ได้ เพราะจำนวนกรรมการ
ของบริษัทฯ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาทิ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพราะตามระเบียบข้อบังคับแล้ว คณะกรรมการตรวจสอบจะต้องเป็นกรรมการอิสระ

เมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบไปแล้วก็จะเป็นกรรมการชุดอื่นอีกไม่ได้ เท่ากับกรรมการหายไปแล้ว 3 คน รวมประธานคณะกรรมการแล้ว ก็กลายเป็น 4 คน จากนั้นก็มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและค่าตอบแทนอีก 3 คน รวมเป็น 7 คน เราใช้กรรมการไปหมดแล้ว ไม่สามารถตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ตรงนี้คือข้อจำกัดของบริษัท และผู้บริหารของการบินไทยก็ทราบ จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 เป็น 15 คน 

นายลวรณ กล่าวต่อว่า จำนวนกรรมการไม่ใช่ประเด็น แต่ถ้าเราเลือกกรรมการที่ดี เก่ง มีความรู้ความสามารถ เป็นที่ยอมรับของสังคม จะส่งผลดีต่อองค์กร เพราะตราบใดที่ได้คนที่ดีจริง เก่งจริง ก็ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งนโยบายของกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะไม่กลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจแน่นอน ยังเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีระบบการตรวจสอบที่โปร่งใส และในช่วงที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริษัท จะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ต.ค “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจลดความสนใจCorrelation Trade ระหว่างเงินบาทกับทองคำที่เคยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า ในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ต.ค.2568ที่ระดับ  32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบ ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมของเงินบาทได้อ่อนค่าลงมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ เนื่องจากการปรับตัวขึ้นแรงล่าสุดของราคาทองคำ กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปมาก ซึ่งอาจสะท้อนว่า Correlation Trade ระหว่างเงินบาทกับทองคำ ที่เคยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ลดลงไปพอสมควร (อาจเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอย่าง กลุ่ม Systematic Hedge Funds อาจลดความสนใจ Correlation Trade ดังกล่าวลง)

และอาจสะท้อนว่า โฟลว์ธุรกรรมในตลาดที่เกี่ยวกับทองคำ ในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการทยอยเข้าซื้อทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น จากปกติที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยขายทำกำไรทองคำ (อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ยิ่งราคาทองคำปรับตัวขึ้น จะเกิดโฟลว์ธุรกรรม FOMO Buy ไล่ราคาซื้อทองคำ ซึ่งอาจกดดันเงินบาทได้)

และหากประเมินจากการปรับตัวขึ้น เร็ว แรง ของราคาทองคำล่าสุด ซึ่งปรับตัวขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (ซึ่งเราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ถึง +33% ทำให้ เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ไม่ยาก 

นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว ทำให้ควรต้องระวังความเสี่ยงที่ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
รวมถึงพัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น (ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นพอสมควร) ซึ่งอาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ได้ และอาจกลับมาเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าในระยะข้างหน้า หรืออย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following
โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป 

และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.4032.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.46-32.57 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญปัจจัยกดดันรอบด้าน ทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีภาวะภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ในเดือนตุลาคม ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ -12.8 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไปมาก ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ล่าสุด ก็ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงคืนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม (หรือบางท่าน อย่าง Stephen Miran ก็ย้ำจุดยืนสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ย)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็เผชิญความกังวลเพิ่มเติม จากรายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด และสะท้อนถึงความเสี่ยงหนี้เสียที่สูงขึ้น (ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกังวลว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Silicon Valley Bank) ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยมองว่า เฟดอาจมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ได้ในการประชุมที่เหลือของปีนี้ และนอกเหนือจากปัจจัยแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) ที่ได้แรงหนุนจากสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่ความวุ่นวายอาจลดลงในระยะสั้น หลังนายกฯ Sébastien Lecornu รอดจากการโหวตลงมติไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็แข็งค่าขึ้น จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ล่าสุด ที่ยังทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ได้

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ดูจะถูกชะลอลงบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน แม้ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทว่า ผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่รีบทยอยขายทำกำไรและบางส่วนก็เข้าซื้อทองคำบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาท

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น จากทั้งประเด็นเดิม อย่างความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาวะ Government Shutdown ที่ดูยืดเยื้อ และประเด็นล่าสุด อย่าง รายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ที่ออกมาแย่กว่าคาด และสะท้อนความเสี่ยงหนี้เสียที่สูงขึ้น ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +1.1% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.63% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.47%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อ +0.69% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส (ดัชนี CAC40 พุ่งขึ้น +1.38%) หลังความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสดูจะคลี่คลายลงได้ในระยะสั้น จากการที่นายกฯ Sébastien Lecornu รอดจากการโหวตลงมติไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.95% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ภายในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ยในจากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน รวมถึง ความกังวลต่อผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ที่กดดันบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง มากกว่าที่เราประเมินไว้

แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว (ซึ่งล่าสุด เริ่มมีการคาดหวังถึงการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps)

โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยและบางส่วนก็สนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR)

หลังสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสดูจะวุ่นวายน้อยลงในระยะสั้น ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.7 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน

กอปรกับ การปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งทำให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) พุ่งสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เปิดผลวิจัย 6 กีฬาช่วยให้อายุยืน “แชมป์อันดับ 1” ยืดอายุให้ยืนยาวได้เกือบ 10 ปี

หลายคนอาจรู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีสุขภาพดี และช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

โดย ดร. แพทริเซีย โคโลวิช ศัลยแพทย์กระดูก และข้อประจำศูนย์การแพทย์กีฬา เฮนรี ฟอร์ด แห่งรัฐมิชิแกน ชี้ว่า 3 สิ่งดังกล่าวจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวาน

พร้อมกันนี้มีรายงานการวิจัย และติดตามผลยาวนานถึง 25 ปี ของ การศึกษาด้านโรคหัวใจในเมืองโคเปนเฮเกน ชี้ว่าการเคลื่อนไหวร่างกายทุกประเภทดีต่อสุขภาพ และการเล่นกีฬาก็จะช่วยให้คนหนึ่งคนมีอายุยืนขึ้นที่แตกต่างออกไป ซึ่งมีการจัดอันดับ 6 กีฬาที่ทำให้อายุยืน

6 อันดับกีฬาที่ทำให้อายุยืน

  • 1.เทนนิส ช่วยให้อายุยืนขึ้น 9.7 ปี
  • 2.แบดมินตัน ช่วยให้อายุยืนขึ้น 6.2 ปี
  • 3.ฟุตบอล ช่วยให้อายุยืนขึ้น 4.7 ปี
  • 4.ปั่นจักรยาน ช่วยให้อายุยืนขึ้น 3.7 ปี
  • 5.ว่ายน้ำ ช่วยให้อายุยืนขึ้น 3.4 ปี
  • 6.วิ่ง ช่วยให้อายุยืนขึ้น 3.2 ปี

“กีฬาเทนนิส ทำให้ร่างกายได้ใช้ทั้งแขน และขา คุณได้ใช้กล้ามเนื้อ มีการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอด้วย เป็นกีฬาที่ต้องใช้ความกระฉับกระเฉงมาก”

“นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่คุณสามารถเล่นได้ทุกวัย เล่นได้ตั้งแต่เด็ก เล่นได้ตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ หรือแม้แต่อายุ 75 ปี แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้เล่นแบบจริงจังมากก็ตาม” ดร. โคโลวิช อธิบายผลการวิจัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ถ้าอวัยวะในร่างกายพูดได้ คุณจะได้ยินเสียงเรียกร้องอะไรจากพวกเขาบ้าง?

เสียงกระซิบจากอวัยวะภายใน: 6 อวัยวะสำคัญอยากบอกอะไรกับคุณบ้าง?

ร่างกายของเราเป็นเครื่องจักรที่น่าอัศจรรย์ซึ่งทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน แต่น้อยครั้งที่เราจะหยุดฟังเสียงของอวัยวะภายในที่กำลังส่งสัญญาณเตือนหรือร้องขอการดูแล ลองจินตนาการดูว่า หากวันหนึ่งอวัยวะเหล่านี้สามารถพูดคุยกับเราได้ พวกเขาจะบอกอะไรกับเราบ้าง บทความนี้จะพาคุณไปเงี่ยหูฟัง “เสียงกระซิบ” จากอวัยวะสำคัญ เพื่อให้เราหันกลับมาใส่ใจดูแลสุขภาพองค์รวมให้ดียิ่งขึ้น

ร่างกายของเราสื่อสารกับเราอยู่เสมอผ่านอาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด หรือความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น เพียงแต่เราอาจจะละเลยหรือไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญญาณเหล่านั้น การสวมบทบาทสมมติว่าอวัยวะต่าง ๆ พูดได้ จะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของร่างกายและตระหนักถึงผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เสียงจากอวัยวะสำคัญ: พวกเขาอยากบอกอะไร?

สมอง: ขอเวลาให้ฉันได้พักและจัดระเบียบเสียบ้าง

สมองทำงานหนักตลอดเวลา ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และยังรับข้อมูลไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวัน สิ่งที่สมองต้องการคือการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้สมองได้จัดระเบียบความทรงจำ กำจัดของเสีย และเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ได้อย่างสดใส นอกจากนี้ ควรหาเวลาทำสมาธิหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เพื่อลดความเครียดที่ถาโถมเข้ามา

หัวใจ: ช่วยขยับร่างกายหน่อย ฉันจะได้แข็งแรง

หัวใจคือเครื่องปั๊มเลือดที่ทำงานโดยไม่มีวันหยุด เพื่อส่งออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย แต่การนั่งนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ทำให้หัวใจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หัวใจจึงอยากขอให้คุณลุกขึ้นมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ได้โปรดลดอาหารเค็ม ๆ มัน ๆ ลงบ้าง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือภาระหนักที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป

ปอด: ขออากาศบริสุทธิ์ให้ฉันได้หายใจเต็มที่ได้ไหม

ทุกครั้งที่ร่างกายสูดควันพิษเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นควันบุหรี่ ฝุ่น PM2.5 หรือมลภาวะต่าง ๆ มันเหมือนกับการส่งผู้ร้ายเข้ามาทำลายปอดโดยตรง ปอดต้องการอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์เพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนให้ร่างกายมีชีวิตชีวา หากเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับมลภาวะ ก็ควรป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัย และหาโอกาสไปพักผ่อนในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์บ้าง

กระเพาะอาหารและลำไส้: ได้โปรดกินให้เป็นเวลา

การกินอาหารไม่ตรงเวลาทำให้ระบบย่อยอาหารต้องปั่นป่วนกับการหลั่งน้ำย่อยออกมาเก้อ เมื่อถึงเวลากิน เธอกลับรีบเร่งเคี้ยวไม่ละเอียด หรือกินอาหารที่ย่อยยากและไม่มีประโยชน์ ทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักมากเกินไป ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างผักผลไม้ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำคือตัวช่วยสำคัญในทุกกระบวนการ

ตับ: อย่าส่งสารพิษมาให้ฉันกำจัดมากเกินไปเลย

ตับเปรียบเสมือนโรงงานกำจัดของเสียของร่างกาย ทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์ กินยาเกินความจำเป็น หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและผ่านการแปรรูปมาก ๆ ภาระหนักจะตกมาอยู่ที่ตับ แม้ตับจะแข็งแกร่งและฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากใช้งานหนักเกินไปเรื่อย ๆ สักวันตับอาจจะป่วยและไม่สามารถทำงานให้ร่างกายได้เหมือนเดิม

ดวงตา: พักสายตาจากหน้าจอบ้างนะ

ดวงตาทนกับความน่าสนใจของโลกในจอทั้งสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ แต่การจ้องมองแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ตาแห้งและเมื่อยล้าเหลือเกิน ควรพักสายตาทุก ๆ 20 นาที ด้วยการมองไปไกล ๆ สัก 20 วินาที และกะพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้น้ำตามาหล่อเลี้ยง ดวงตาอยากทำหน้าที่ให้คุณได้มองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ไปตราบนานเท่านาน

บทสรุป: ถึงเวลาฟังเสียงร่างกายของคุณ

แม้ในความเป็นจริงอวัยวะต่าง ๆ จะไม่สามารถพูดกับเราได้ แต่ “อาการ” ที่ร่างกายแสดงออกมาคือรูปแบบการสื่อสารที่สำคัญที่สุด การปวดหัวเรื้อรัง อาการอ่อนเพลีย ท้องอืด หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่สดชื่น ล้วนเป็น “เสียง” ที่ร่างกายพยายามจะบอกเราว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น แทนที่จะรอให้ร่างกายประท้วงจนเจ็บป่วย ลองเริ่มต้นเป็น “ผู้ฟังที่ดี” ตั้งแต่วันนี้ ใส่ใจกับอาหารที่รับประทาน ขยับร่างกายให้มากขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม การดูแลเอาใจใส่อวัยวะทุกส่วนก็เหมือนกับการขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ทำงานหนักเพื่อเรามาทั้งชีวิต เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่กับเราและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปอีกนานแสนนาน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ซิสโก้ เผยดัชนีความพร้อม AI ชี้องค์กรไทย 98% เตรียมใช้ AI Agents

  • ผลสำรวจดัชนีความพร้อม AI ของซิสโก้ ชี้ว่าองค์กรไทย 98% มีแผนที่จะนำ AI agents มาใช้งานในองค์กร
  • อย่างไรก็ตาม องค์กรไทยส่วนใหญ่ยังเผชิญความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเพียง 52% ที่มีเครือข่ายพร้อมรองรับ และ 27% ที่มองว่าเครือข่ายมีความยืดหยุ่นเพียงพอ
  • มีองค์กรไทยเพียง 21% ที่ถูกจัดเป็นกลุ่มผู้นำ (Pacesetters) ซึ่งมีความพร้อมสูงทั้งด้านกลยุทธ์ การลงทุน และการผนวก AI เข้ากับระบบความปลอดภัย

ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) เผยผลการศึกษาจาก “ดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2568 (Cisco AI Readiness Index 2025)” ซึ่งจัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ครอบคลุมผู้นำด้าน AI กว่า 8,000 คน จาก 30 ประเทศ และ 26 อุตสาหกรรมทั่วโลก โดยพบว่ากลุ่มองค์กรที่มีความพร้อมสูงสุดด้าน AI หรือที่เรียกว่า “Pacesetters” สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติ

ผลการศึกษาชี้ว่า กลุ่ม Pacesetters มีโอกาสมากกว่าองค์กรทั่วไปถึง 3 เท่า ในการนำโครงการทดลอง AI ไปสู่การใช้งานจริง และมีโอกาส สูงกว่า 20% ที่จะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดได้ เช่น การเพิ่มผลผลิตและผลกำไร ซึ่งสะท้อนว่า “ความพร้อม” คือปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยน AI จากแนวคิดสู่คุณค่าที่แท้จริง

นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “องค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI จะสามารถแปลงเทคโนโลยีให้เกิดมูลค่าได้จริง” โดยองค์กรเหล่านี้มีโอกาสมากกว่าถึงสามเท่าในการทำให้โครงการ AI ประสบความสำเร็จ และเป็นกลุ่มที่มีแนวทางเชิงระบบ มีวินัยในการลงทุน และมองไกลถึงโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต

ในประเทศไทยเอง รายงานพบว่า 98% ขององค์กรไทยวางแผนนำ AI agents มาใช้งาน และราว 31% คาดว่า AI จะสามารถทำงานร่วมกับพนักงานภายในหนึ่งปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม โครงสร้างพื้นฐานและระบบความปลอดภัยยังเป็นข้อจำกัดสำคัญ เนื่องจากมีเพียง 52% ขององค์กรที่มีระบบเครือข่ายพร้อมรองรับการขยายขนาด และเพียง 27% ที่มองว่าเครือข่ายของตนมีความยืดหยุ่นเพียงพอ

รายงานยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้ม “AI Infrastructure Debt” ที่เกิดจากการสะสมของระบบเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุง ทำให้ขาดประสิทธิภาพและเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว เช่น 61% ขององค์กรยังไม่สามารถรวมศูนย์ข้อมูลได้สำเร็จ และมีเพียง 31% ที่มีความจุ GPU เพียงพอต่อความต้องการ

ในทางกลับกัน กลุ่ม Pacesetters ซึ่งคิดเป็น 21% ขององค์กรไทย แสดงให้เห็นแนวทางที่แตกต่างอย่างชัดเจน โดยเกือบทั้งหมด (99%) มีแผนด้าน AI ที่ชัดเจน และ 91% มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ขณะเดียวกัน 79% ให้ AI เป็น “วาระสำคัญในการลงทุน” และเกือบทั้งหมด (96%) มีกลยุทธ์ด้านเงินทุนระยะยาวรองรับ

ด้านความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของกลุ่มนี้ โดย 87% ของ Pacesetters มีการตระหนักรู้ภัยคุกคามด้าน AI และกว่า 62% ผนวก AI เข้ากับระบบความปลอดภัยขององค์กรแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยขององค์กรไทยที่มีเพียง 35% เท่านั้น ส่งผลให้กลุ่มผู้นำเหล่านี้สามารถสร้างความไว้วางใจในระบบ AI และผลักดันให้เกิดกระแสรายได้ใหม่ (New Revenue Streams) ได้มากกว่า 70%

ซิสโก้มองว่า การเข้าสู่ยุค Agentic AI ทำให้การแข่งขันในอนาคตไม่ได้อยู่ที่ “ใครใช้ AI ก่อน” แต่คือ “ใครมีความพร้อมมากกว่า” ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย และการจัดการข้อมูล โดยองค์กรที่มีความพร้อมครบถ้วนจะสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้เต็มศักยภาพ สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้เร็วกว่าคู่แข่ง และลดความเสี่ยงจากหนี้เทคโนโลยีในอนาคต

รายงานฉบับนี้ตอกย้ำว่า ความพร้อมด้าน AI ไม่ได้หมายถึงการมีเทคโนโลยีล้ำหน้าเท่านั้น แต่คือการมี “วิสัยทัศน์และรากฐาน” ที่มั่นคง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในยุคที่ AI กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คำศัพท์น่ารู้ที่มักอยู่ใน ประกาศรับสมัครงาน

ในประกาศรับสมัครงานนั้นมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่เราจำเป็นต้องรู้มากมายเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งงาน คุณสมบัติ รวมถึงฐานเงินเดือน วันนี้เราจึงได้รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มักจะพบได้บ่อยๆ ในประกาศรับสมัครงานมาฝากกัน 

ศัพท์พบบ่อยในใบประกาศรับสมัครงาน (Job Advertisement)

คำศัพท์คำอ่านความหมาย
Applicant    แอพ’พลิเคินทฺผู้สมัครงาน
Applicationแอพพลิเค’เชิน การสมัครงาน
Apply in person      อะไพล-อิน-เพอ’เซินสมัครด้วยตัวเอง
Positionพะซิช’เชินตำแหน่ง
Job descriptionจอบ-ดิสคริพ’เชินลักษณะหรือขอบเขตของงาน
Urgently Requiredเออเจ็นทลิ-ริคไวรต้องการด่วน (รีบสมัครเลย)
Qualificationควอลละฟะเค’เชินคุณสมบัติ 
Educationเอดจุเค,’เชินการศึกษา
Personalityเพอซะแนล’ลิทีบุคลิกภาพ 
Experienceอิคซฺเพีย’เรียนซฺประสบการณ์
Skillสคิลทักษะ, ความเชี่ยวชาญ
Work permitเวิร์ค-เพอมิทใบอนุญาตทำงาน
Company benefitsคัมพะนี-เบนอิฟิทสวัสดิการของบริษัท
Compensationคอมเพนเซ’เชินค่าตอบแทน
Working hoursเวิร์ค’คิง-เอา’เออะชั่วโมงการทำงาน 
Working timeเวิร์ค’คิง-ไทมเวลาในการทำงาน
Marital status แม’ริเทิล-สเท’ทัสสถานภาพทางการแต่งงาน
Military statusมิล’ลิเทอรี-สเท’ทัสสถานภาพทางทหาร
Expected salaryอิคสเพค’ทิด-แซล’ละรีเงินเดือนที่ต้องการ
Present salary  เพรส’เซินทฺ-แซล’ละรีเงินเดือนปัจจุบัน
Overtime payment    โอ’เวอะไทมฺ-เพ’เมินทฺค่าล่วงเวลา
Probationary periodพโระเบฌะเนริ-เพีย’เรียดระยะเวลาหรือช่วงทดลองงาน
Walk- in interview วอล์ค-อิน อิน’เทอวิวเข้าไปสมัครที่ทางบริษัทได้
Own transportationโอน-แทรนสเพอเท’เชินมียานพาหนะเป็นของตัวเอง
Full-timeฟลู-ไทมเต็มเวลา
Part-timeพาร์ท-ไทมไม่เต็มเวลาหรือรายชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


เปิดตำนาน 8 ชนิด “ผักโบราณ” ราคาไม่แรง แถมประโยชน์เพียบ

8 ชนิด “ผักโบราณ” มีมานานมาก ประโยชน์เพียบ ราคาไม่แพง

ผักโบราณ คือพืชผักพื้นบ้านที่คนไทยปลูกและบริโภคกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ปัจจุบันเริ่มหายไปจากตลาด เพราะผู้คนนิยมผักเมืองนอกหรืออาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ทั้งที่จริงแล้วผักพื้นบ้านเหล่านี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก แถมยังปลูกง่าย ปลอดสารเคมี และสะท้อนภูมิปัญญาไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

1. ผักติ้ว

ลักษณะ: เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบอ่อนสีเขียวอมแดง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ฤดูปลูก: ช่วงต้นฤดูฝน
ภาคที่นิยม: ภาคอีสานและภาคเหนือ
ประโยชน์: ใบอ่อนให้รสเปรี้ยว ใช้แนมกับน้ำพริกหรือใส่แกง ช่วยเพิ่มวิตามินซี เสริมภูมิคุ้มกัน และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย

2. ผักกูด

ลักษณะ: เป็นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามริมน้ำหรือที่ชื้น มีใบอ่อนขดเป็นวงคล้ายหางกุ้ง
ฤดูปลูก: ปลูกได้ตลอดปี แต่จะงามช่วงหน้าฝน
ภาคที่นิยม: ภาคเหนือ ภาคใต้
ประโยชน์: อุดมด้วยแคลเซียม ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์สูง ช่วยบำรุงเลือดและกระดูก นิยมลวกกินกับน้ำพริกหรือทำแกงกะทิ

3. ผักปลัง

ลักษณะ: เป็นไม้เลื้อยลำต้นอวบน้ำ มีทั้งพันธุ์แดงและพันธุ์เขียว
ฤดูปลูก: ปลูกได้ตลอดปี ชอบดินร่วนระบายน้ำดี
ภาคที่นิยม: ปลูกทั่วไปทั่วประเทศ
ประโยชน์: ใบและยอดอ่อนมีเมือกลื่น ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี บำรุงผิวพรรณ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย

4. ผักแขยง

ลักษณะ: เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเล็ก มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบมีขนาดเล็กเรียวยาว
ฤดูปลูก: ขึ้นเองตามธรรมชาติในที่ชื้น โดยเฉพาะหน้าฝน
ภาคที่นิยม: ภาคอีสาน
ประโยชน์: มีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด และช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร นิยมใส่ในลาบ แกงหน่อไม้ หรือก้อย

5. ผักเชียงดา

ลักษณะ: ไม้เถาเลื้อย ใบคล้ายผักตำลึงแต่ขนาดใหญ่กว่า
ฤดูปลูก: ปลูกได้ดีในฤดูฝน
ภาคที่นิยม: ภาคเหนือ
ประโยชน์: มีสารช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในร่างกาย และฟื้นฟูการทำงานของตับอ่อน จึงถูกเรียกว่า “ผักคนเบาหวาน” นิยมลวกจิ้มหรือผัดกับไข่

6. ผักหวานบ้าน

ลักษณะ: ไม้พุ่มสูง ใบอ่อนสีเขียวสด
ฤดูปลูก: ปลูกได้ทุกฤดู ชอบดินร่วนซุย
ภาคที่นิยม: ภาคกลางและภาคอีสาน
ประโยชน์: มีโปรตีนและวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน นิยมใส่แกงเลียงหรือแกงส้ม

7. ผักเสี้ยน

ลักษณะ: เป็นไม้ล้มลุก ใบเรียวยาว มีดอกสีม่วงอ่อน
ฤดูปลูก: ปลูกได้ในฤดูฝน
ภาคที่นิยม: ภาคเหนือและอีสาน
ประโยชน์: นิยมหมักทำผักเสี้ยนดอง รสเปรี้ยวอร่อย ช่วยขับลมและเจริญอาหาร มีแคลเซียมสูงและช่วยให้ระบบขับถ่ายดี

8. ชะพลู

ลักษณะ: ไม้เลื้อยอายุหลายปี ใบรูปหัวใจ
ฤดูปลูก: ปลูกได้ตลอดปี ชอบร่มเงา
ภาคที่นิยม: ทั่วประเทศ
ประโยชน์: มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ นิยมใช้ห่อเมี่ยงคำ หรือกินสดกับน้ำพริก

อนุรักษ์ผักโบราณไว้ให้รุ่นต่อไป

ผักโบราณเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายและการพึ่งพาธรรมชาติ การปลูกผักพื้นบ้านไว้กินเองช่วยลดสารเคมีในครัวเรือน ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นการสืบสานมรดกทางอาหารให้คงอยู่ต่อไป

ผักโบราณจึงไม่ใช่เพียงอาหารในความทรงจำ แต่คือเรื่องราวของรากเหง้าความเป็นไทย ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันอนุรักษ์ไว้ได้ง่าย ๆ เพียงปลูกไว้กินในบ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a67,300.0067,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,351.0065,961.1668,200.00
ทองรูปพรรณ 90%3,915.9059,365.04n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,480.8052,768.93n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,957.9529,682.52n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,522.8523,086.41n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,508.8168,353.56n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.1532.1532.6532.1532.1532.1532.1532.1532.15
แก๊สโซฮอล์ 9131.7831.7832.2831.7831.7831.7831.7831.7831.78
แก๊สโซฮอล์ E2029.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.94
แก๊สโซฮอล์ E8527.8927.8927.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.3449.8449.8440.34
เบนซิน 9540.4449.8140.9440.5940.44
ดีเซล31.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.4431.44
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า