เจาะเทรนด์อสังหาฯปี 2568-2569เมื่อบ้าน…ไม่ใช่เป้าหมายแรก

- ผลสำรวจ SCB EIC ชี้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริโภค (47%) ไม่มีแผนจะซื้อบ้านใน 5 ปีข้างหน้าสะท้อนกำลังซื้อชะลอตัว
- ตลาดบ้านมือสอง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์และคอนโดในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
- การ “เช่า” และ “เช่าซื้อ” (Rent-to-own) กลายเป็นทางเลือก
- ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจคือ “ความคุ้มค่าของราคา” และ “ทำเลที่เดินทางสะดวก” มากกว่าบ้านในฝัน
แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแต่ในไทย ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง ที่ได้รับแรงกดดันจากค่าครองชีพสูง ราคาบ้านพุ่ง และเงื่อนไขการขอสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น
เชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรือ SCB EIC กล่าวว่า จากผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey ปี 2568 พบว่า 47% ของผู้ตอบแบบสอบถาม “ไม่มีแผนซื้อบ้าน” ภายใน 5 ปีข้างหน้า

ขณะที่มีเพียง 27% เท่านั้น ที่ยังตั้งใจซื้อภายใน 2 ปี นัยสำคัญ คือ ตลาดอสังหาฯ อาจต้องรออีกนานกว่ากำลังซื้อจะกลับสู่ระดับก่อนโควิด ซึ่งคาดว่าอาจกินเวลาถึง 5 ปีข้างหน้า มือสองขึ้นแท่นตัวเลือกยอดนิยม เมื่อ “ราคา” คือสิ่งที่คนมองก่อน
“ตลาดที่อยู่อาศัยจะฟื้นหรือฝืด อยู่ที่ความสามารถของคนไทยในการกลับมาผ่อนบ้าน…ไม่ใช่แค่ราคาบ้านเท่านั้น”

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองกลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเซกเมนต์ทาวน์เฮาส์และคอนโด ที่ยังสามารถหาซื้อได้ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็น Sweet Spot สำหรับกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่าง
จากผลสำรวจ พบว่า 65% ของผู้มีแผนซื้อบ้านใน 5 ปีข้างหน้า เลือกสนใจบ้านมือสอง ทาวน์เฮาส์มือสอง (83%) และคอนโดมือสอง (65%) มาแรงไม่แพ้มือหนึ่ง
แม้จะคาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์โดยรวมในตลาดยังคงหดตัว แต่กลุ่มมือสองจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าชัดเจน

“เช่า” และ “เช่าซื้อ” กลายเป็นเทรนด์ถาวร
ความฝันในการเป็นเจ้าของบ้านอาจต้องพับเก็บไว้ก่อนสำหรับหลายครอบครัว โดยเฉพาะผู้มีรายได้ไม่แน่นอนและผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน
ผลสำรวจระบุว่า 44% ของผู้เช่า ยังเช่าเพราะ “งบไม่พอจะซื้อ”
ขณะเดียวกัน มี 2 ใน 3 ของผู้เช่า สนใจเปลี่ยนเป็น “เช่าซื้อ” หากเงื่อนไขเหมาะสม
การเช่าซื้อจึงกลายเป็นประตูบานใหม่ของตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโด ที่สามารถผสานระหว่างการอยู่อาศัยในทำเลดี และโอกาสเป็นเจ้าของในอนาคต

“คุ้มค่า” และ “เดินทางสะดวก” ปัจจัยชี้ชะตา
แม้ความฝันของหลายคนอาจต้องปรับรูปแบบ แต่ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่เปลี่ยน
39% ของผู้มีแผนซื้อบ้านใน 5 ปีหน้า ให้ความสำคัญอันดับแรกกับ “ความคุ้มค่าของราคา”ขณะที่ 28% ยังคงยึด “ทำเล” เป็นหัวใจหลักในการตัดสินใจ
2สิ่งนี้สะท้อนว่า แม้จะมีความพร้อมแค่ไหน ผู้ซื้อก็ยังเลือก “สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่จ่ายไหว” มากกว่า “บ้านในฝันราคาเกินตัว”
SCB EIC มองว่า ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จะยังเป็น “ยุคของผู้ซื้อที่มีความพร้อม” โดยเฉพาะในกลุ่มที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ และมองหาดีลคุ้มค่าจากภาวะการแข่งขันของผู้ประกอบการที่สูงกว่าปกติ
กลุ่มพร้อมซื้อ: ควรเร่งตัดสินใจในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง
กลุ่มไม่พร้อม: พิจารณาทางเลือกเช่าหรือเช่าซื้อ รักษาสภาพคล่องไว้ก่อน
โอกาสยังมี…แต่ต้องมองให้ลึกกว่าแค่ “ราคาบ้าน”
การซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2568-2569 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ “มูลค่า” แต่ขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” และ “ความพร้อม” ของแต่ละคนตลาดอสังหาฯ อาจไม่ใช่สมรภูมิสำหรับทุกคนในเวลานี้ แต่ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ สำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร
“บ้าน…ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่มันคือการลงทุนในคุณภาพชีวิต”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
นายหน้าอสังหาต่างชาติ บุกไทย จี้รัฐสกัดทุนเทา-นอมินี

- สมาคมนายหน้าอสังหาฯ ชี้ปัญหานายหน้าต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาทุนสีเทา การใช้นอมินี และการบุกรุกที่ดินของรัฐ
- การเข้ามาของนายหน้าต่างชาติกระทบต่ออาชีพสงวนของคนไทย และทำให้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
- สมาคมฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ พร้อมผลักดันร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพนายหน้า เพื่อใช้เป็นกฎหมายควบคุมและกำกับดูแล
นายวสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าวิชาชีพนักขาย/นายหน้า/ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เป็นอาชีพสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุน อาชีพนี้มีมานานและมีอยู่ทุกที่
ถึงเวลาต้องพัฒนาวิชาชีพ อีกทั้งระยะหลังพบปัญหาใหญ่จากชาวต่างชาติเข้ามาบุกรุกที่ดินของรัฐ (ปลูกทุเรียน สร้างรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศ) ทั้งเขตป่าสงวน เขตอุทยาน เขตภูเขา ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ระยอง เกาะสมุย ภูเก็ต พัทยา หัวหิน เป็นต้น รวมทั้งปัญหานอมินี ทุนสีเทา
การเข้ามาลงทุนในไทยโดยขาดความรู้ของชาวต่างชาติ จึงจำเป็นต้องใช้นักขายที่มีความรู้ ประสบการณ์ มีมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ ที่สำคัญอาชีพนักขายเป็นอาชีพสงวนของคนไทย เนื่องจากต้องมีความรู้ความเข้าใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เข้าใจกฎหมายไทยเป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันในบางเมือง เช่น ภูเก็ต กลับเต็มไปด้วยนายหน้าต่างชาติ ทั้งที่เป็นคน และ Platform ข้ามชาติต่างๆ เข้ามาทำมาหากินกันอย่างมาก รัฐบาลไม่อาจจัดเก็บภาษี จึงถึงเวลาต้องร่วมกันจัดการปัญหานี้อย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ
สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ (RESAM) เป็นองค์กรรวมกลุ่มของนักขายมืออาชีพที่เป็นคนไทยกว่า 1,000 คน ที่มีความเชี่ยวชาญตลาดชาวต่างชาติมากกว่า 20 ปี รวมทั้งมีเครือข่ายกับ องค์กรอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ ที่ผ่านมาก็ได้พยายามสร้างการรับรู้
การให้ข้อมูลสำคัญให้กับชาวต่างชาติที่มาลงทุน ทำธุรกิจ หรือมาทำงาน มาพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องดำเนินการอย่างไรให้ถูกกฎหมาย ไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศ สร้างความยั่งยืน โดยสมาคมฯได้สร้างมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ การจัดอบรมให้ความรู้ในเรื่องจำเป็นสำหรับการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุนให้ลูกค้าต่างชาติ การขึ้นทะเบียนออกใบรับรองตัวแทน เพื่อให้ลูกค้าชาวต่างชาติได้เลือกใช้บริการ อีกทั้งปัจจุบันสมาคมฯกำลังผลักดันร่างกฎหมาย พรบ.วิชาชีพนายหน้า เพื่อควบคุมกำกับดูแลวิชาชีพโดยกฎหมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20ต.ค.“อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มการอ่อนค่ากลับมามีกำลังมากขึ้น รอลุ้น รายงาน อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ และดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20ต.ค.2568ที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.66 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และมีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.65-32.91 บาทต่อดอลลาร์) หลังสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่เริ่มดูคลี่คลายลงบ้าง จากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ดูอ่อนลง
กอปรกับความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในฝั่งสหรัฐฯ ที่ดูคลี่คลายลงเช่นกัน ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (ซึ่งก็สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด) กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าสู่ช่วงการปรับฐาน
และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด จากแรงขายเงินดอลลาร์และการขายทำกำไร ลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในสหรัฐฯ
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมติดตาม ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึง พัฒนาการสถานการณ์ทางการเมืองญี่ปุ่น พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – เนื่องจากช่วงนี้จะเป็นช่วง Blackout period ของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน (ซึ่งต้องระวังความคลาดเคลื่อนของการเก็บข้อมูลในช่วง US Government Shutdown) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนตุลาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา พัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ หุ้นเทคฯ ใหญ่ Tesla, Netflix และ Intel พร้อมจับตา รายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks เพื่อประเมินความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียว่าจะมีแนวโน้มขยายวงกว้างจนเกิดเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) หรือไม่
ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในเดือนตุลาคม ของยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงไฮไลท์สำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกันยายน ทั้ง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) รวมถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 โดยแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวแย่กว่าคาด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังว่า ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับมาร้อนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 (4th Plenum) ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะมีไฮไลท์สำคัญ คือ การพิจารณาและรับรองร่างข้อเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 15 (2026-2030) โดยแผนพัฒนาฯ ดังกล่าวจะสะท้อนถึงแนวโน้มการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจีน อาทิ การเน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยี และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น เป็นต้น ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ นั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกันยายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาส 66% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ หลังเส้นทางการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ของ Sanae Takaichi จากพรรค LDP ถูกสั่นคลอนจากการประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพรรค Komeito
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวล่าสุด ได้ระบุว่า พรรค LDP ได้ประกาศจับมือกับพรรค JIP (Ishin) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลจะมีเสียงรวมกัน 231 เสียง ขาดอีก 2 เสียง ถึงจะเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทน 465 เสียง แต่ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ Sanae Takaichi ชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้ เนื่องจากฝ่ายค้านของญี่ปุ่นยังคงขาดเอกภาพที่ชัดเจน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น การโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 21 ตุลาคม นี้ โดยประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบายของ BOJ ได้ในช่วงนี้
▪ ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยอาจเผชิญผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังหมดอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทย (Front-Loading) ในช่วงก่อนหน้า โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวเพียง +9%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตราว +10%y/y ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด หากทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนในระดับสูง 140% อาจกดดันการค้าโลก และส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกของไทยได้
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลงในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า และมีแนวโน้มที่ราคาทองคำอาจจะเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้ ซึ่งหากราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้จริง ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า หรืออย่างน้อยก็อาจชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ (ในกรณีที่ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง)
ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์แม้จะเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด แต่เงินดอลลาร์มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด หลังในช่วงสัปดาห์ก่อน ปัจจัยเสี่ยงอย่าง สงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ โอกาสของ Sanae Takaichi ในการขึ้นเป็นนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังการประกาศจับมือร่วมรัฐบาล LDP ของพรรค JIP (Ishin) อาจกดดันเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ผ่านการปรับลดความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB บ้าง และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์คงเสี่ยงเผชิญ Two-way risk แต่อาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสและความกังวลปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ที่ลดลง นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองญี่ปุ่นอาจหนุนเงินดอลลาร์ได้ หากเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง จากแนวโน้ม Sanae Takaichi อาจชนะการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.40-33.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.70-32.95 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.74-32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศปลายสัปดาห์ก่อนที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าเมื่อเทียบกับระดับปิดในช่วงวันศุกร์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ประกอบกับมีแรงหนุนทางอ้อมจากการอ่อนค่าของเงินเยนจากการคาดการณ์ว่า อาจไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในเดือนนี้ หากพรรค LDP สามารถตกลงร่วมกันกับพรรค Innovation Party และเปิดโอกาสให้นาง Sanae Takaichi ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.70-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และการตอบรับของตลาดต่อตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ย. ของจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กระหึ่มโลก! “อัญพัชร์” นักตบลูกขนไก่ดาวรุ่งไทย ผงาดคว้าแชมป์เยาวชนโลก 2025

ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับ “หนูแหวน” อัญพัชร์ พิชิตปรีชาศักดิ์ นักตบลูกขนไก่สาวดาวรุ่งไทยที่สามารถคว้าแชมป์ แบดมินตัน บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ 2025 ที่เมืองกูวาฮาติ ประเทศอินเดีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดย นักตบสาววัย 17 ปี สามารถล้มเต็งหนึ่งของรายการอย่าง แทนวี ชาร์มา มืออันดับ 47 ของโลกจากอินเดีย ในรอบชิงชนะเลิศประเภทหญิงเดี่ยว ด้วยสกอร์ 2-0 เกม (15-7 และ 15-12) คว้าแชมป์โลกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ อัญพัชร์ พิชิตปรีชาศักดิ์ มืออันดับ 99 ของโลก กลายเป็นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวคนที่ 3 ของไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ในศึกเยาวชนโลกได้สำเร็จ ต่อจากรุ่นพี่อย่าง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ และ “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์
นอกจากนี้ ทัพนักแบดมินตันเยาวชนไทย ยังทำผลงานยอดเยี่ยม คว้ามาได้อีก 2 เหรียญทองแดง จากประเภทหญิงเดี่ยว “รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง และประเภทหญิงคู่ “โชยุ” กชพร ชัยชนะ กับ “เอียร์” ปัณณวีร์ พลเยี่ยม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อย่ามองข้าม! 4 อาการเล็กๆ เวลาเดิน ที่บ่งบอกว่าไขมันในเลือดสูง

อาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการเดิน อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระดับไขมันในเลือด (คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์) กำลังสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงได้
ภาวะไขมันในเลือดสูง คือความผิดปกติของระดับไขมัน (lipid) ในเลือด โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และ/หรือไตรกลีเซอไรด์ ไขมันส่วนเกินเหล่านี้สามารถสะสมและก่อตัวเป็นคราบพลัค (plaque) ในผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis)
หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะหลอดเลือดแข็งจากไขมันในเลือดสูงอาจนำไปสู่การตีบแคบของหลอดเลือด และทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
ตามรายงานของสื่อ Sohu (จีน) เมื่อไขมันในเลือดสูง ร่างกายอาจแสดงความผิดปกติบางอย่างระหว่างการเดิน หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์และตรวจสุขภาพ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
4 ความผิดปกติขณะเดินที่อาจบ่งบอกว่าไขมันในเลือดสูง
1. หายใจลำบาก
การรู้สึกหายใจติดขัดแม้เพียงเดินเบา ๆ อาจเป็นสัญญาณของไขมันในเลือดสูง ไขมันส่วนเกินสะสมจนกลายเป็นคราบพลัคในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ ส่งผลให้หัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เกิดอาการหายใจลำบาก และหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตาย (หัวใจวาย)
2. มือเท้าเย็น
หากระหว่างการเดินหรือออกกำลังกายมีอาการมือเท้าเย็น ซีด หรือชามือชาเท้า อาจเป็นสัญญาณของไขมันในเลือดสูง ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดส่วนปลาย (เช่น หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงแขนขา) จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้มือเท้าเย็นผิดปกติ
3. ปวดน่องหรือเป็นตะคริวบ่อย
หลายคนคิดว่าอาการตะคริวเกิดจากเดินหรือออกแรงมากเกินไป แต่หากเป็นตะคริวหรือปวดน่องเป็นประจำขณะเดิน อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดสูง คราบพลัคที่ทำให้หลอดเลือดตีบจะลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดหรือเป็นตะคริว อาการจะดีขึ้นเมื่อพัก แต่กลับมาเป็นอีกหากเดินต่อ
4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
การรู้สึกอ่อนแรงหรือหมดแรงแม้เพียงเดินเบา ๆ อาจเป็นเพราะไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ คราบพลัคที่อุดตันในหลอดเลือดทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด ส่งผลให้ร่างกายสิ้นเปลืองพลังงาน และเหนื่อยง่ายผิดปกติ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘QR Code’ จากความสะดวก สู่เป้าหมาย ‘การโจมตีทางไซเบอร์’

ภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่อย่าง ‘Quishing’ หรือการหลอกลวงผ่าน “QR Code” กำลังแพร่ระบาดมากขึ้น ซ่อนลิงก์อันตรายที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า และนำไปสู่เว็บไซต์ฟิชชิงโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
ปัจจุบัน การสแกน QR Code กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ใช้ชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมผ่านพร้อมเพย์ ใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหาร ลงทะเบียนเข้างานอีเวนต์ หรือรับสิทธิ์โปรโมชันร้านค้าต่างๆ
ข้อมูลจาก Data Reportal ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 ของโลกจาก 55 ประเทศด้านการใช้งาน QR Code โดยมีผู้ใช้งานถึง 61.5% ที่สแกน QR Code เป็นประจำทุกเดือน
การใช้งานที่แพร่หลายนี้เปิดโอกาสให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่อย่าง ‘Quishing’ หรือการหลอกลวงผ่าน QR Code แพร่ระบาดมากขึ้น โดยซ่อนลิงก์อันตรายที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า และนำไปสู่เว็บไซต์ฟิชชิ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
นักวิจัยจาก Unit 42 พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ พบว่า ยุทธวิธีการโจมตีผ่าน QR Code มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยอาชญากรใช้บริการเปลี่ยนเส้นทางลิงก์ที่เชื่อถือได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลิงก์ปลอม
รวมถึงใช้บริการ Cloudflare Turnstile เพื่อบล็อคระบบสแกนอัตโนมัติ แต่ยังคงเน้นเป้าหมายไปที่ผู้ใช้จริง นอกจากนี้ เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้ยังมักถูกปรับแต่งให้ตรงกับข้อมูลของเหยื่อ ชี้ให้เห็นว่าอาชญากรทำการศึกษาข้อมูลของเป้าหมายมาอย่างละเอียดก่อนลงมือโจมตี
การใช้สมาร์ทโฟนที่แพร่หลายของคนไทย รวมถึงความนิยมในการสแกน QR Code ในพื้นที่ที่ยากต่อการควบคุม เช่น โปสเตอร์ ป้ายโฆษณาในที่สาธารณะ หรือบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง LINE ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของภัยคุกคามนี้ให้สูงขึ้นสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันการโจมตีจากภัยคุกคาม
ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและอินโดจีน พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง การสร้างความตระหนักรู้เป็นแนวป้องกันด่านแรก องค์กรควรเน้นย้ำให้พนักงานระมัดระวังในการสแกน QR Code เช่นเดียวกับการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จัก
โดยใช้ฟังก์ชันแสดงตัวอย่างหรือระบบตรวจสอบ URL เพื่อเช็กจุดหมายปลายทางก่อนตอบรับ นอกจากนี้ การใช้การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (Multi-factor authentication หรือ MFA) ยังคงเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการถูกขโมยข้อมูลล็อกอิน
ขณะเดียวกัน องค์กรควรเฝ้าระวังการปลอมแปลงแบรนด์และการเปลี่ยนเส้นทางที่น่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับโดเมนของตน โดยเฉพาะในยุคที่การใช้งาน QR Code เริ่มแพร่หลายมากขึ้น
ข้อควรปฏิบัติ ‘3 ประการ’ สำหรับองค์กรในการป้องกันและลดความเสี่ยงจาก Quishing:
- อัปเดตอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ: ควรอัปเดตความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนและซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องภัยคุกคาม
- ส่งเสริมความรู้ให้กับทีมงาน: จัดอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ QR Code และวิธีสังเกตลักษณะของการหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้น
- ใช้โซลูชันด้านความปลอดภัยระดับองค์กร: เลือกใช้โซลูชันจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมแนวป้องกันภัยคุกคามจาก QR Code อันตราย
ข้อควรปฏิบัติสำคัญ ‘3 ประการ’ สำหรับผู้บริโภคเพื่อหลีกเลี่ยง Quishing:
- ตรวจสอบก่อนสแกน: ตรวจสอบ QR Code ทุกครั้งก่อนสแกน เช่นเดียวกับการระมัดระวังในการคลิกลิงก์ที่ไม่น่าไว้ใจ
- ตรวจสอบก่อนดำเนินการ: เมื่อสแกน QR Code แล้ว ควรตรวจสอบปลายทางของ URL อย่างรอบคอบ สังเกตการเปลี่ยนเส้นทางลิงค์หรือความผิดปกติใด ๆ ก่อนยืนยัน
- เสริมความปลอดภัยของอุปกรณ์: หมั่นอัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยอยู่เสมอ เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (Two-factor authentication หรือ 2FA) ในบัญชีสำคัญ และเลือกใช้แอปความปลอดภัยที่เชื่อถือได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
หลากหลาย วิธีพูด ‘I Don’t Know’ ให้ดูเป็นมืออาชีพ

เรียนรู้วิธีพูดแทนประโยค “I Don’t Know” อย่างมืออาชีพ ทั้งสุภาพ สร้างสรรค์ และเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ พร้อมตัวอย่างประโยคที่ช่วยเสริมความมั่นใจในบทสนทนา
ทำไมการหลีกเลี่ยงคำว่า “I Don’t Know” ตรง ๆ ถึงสำคัญ
ในการสนทนา การพูด “I don’t know” ตรง ๆ อาจทำให้เราดูเหมือนไม่มีความรู้หรือไม่มีความมั่นใจในตัวเอง นอกจากนี้ยังอาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ฟัง โดยเฉพาะในบริบททางธุรกิจหรือการทำงาน การหลีกเลี่ยงการพูดประโยคนี้ตรง ๆ และเปลี่ยนเป็นการสื่อสารที่สร้างสรรค์มากขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงถึงความตั้งใจในการหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหา
ข้อดีของการหลีกเลี่ยง “I Don’t Know” แบบตรง ๆ
- แสดงถึงความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้หรือหาคำตอบ
- ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ร่วมสนทนา
- ช่วยหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดว่าเราไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจในเรื่องนั้น
วิธีพูด ‘I Don’t Know’ อย่างสุภาพ
- ใช้คำพูดที่เปิดโอกาสให้ค้นหาคำตอบ ที่แสดงถึงความตั้งใจที่จะหาคำตอบนั้น ๆ ตัวอย่างประโยค เช่น
“I’m not sure about that, but let me find out for you.”
ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ให้ฉันไปหาคำตอบให้คุณนะ
ข้อดี – แสดงถึงความใส่ใจและความกระตือรือร้นในการหาคำตอบ
“I don’t have the information right now, but I can check and get back to you.”
ในตอนนี้ฉันยังไม่มีข้อมูล แต่ฉันจะตรวจสอบและกลับมาบอกคุณอีกครั้ง
ข้อดี – สร้างความมั่นใจให้กับผู้ฟังว่าเราจะติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง
- บอกความจริงว่าเราไม่รู้ในสิ่งใดอย่างจริงใจ แต่ยังมีความรับผิดชอบ ตัวอย่างประโยค เช่น
“That’s a great question. I’ll need to look into it.”
นั่นเป็นคำถามที่ดีมาก ฉันจะต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ข้อดี – สื่อถึงความชื่นชมในคำถามและความตั้งใจที่จะค้นหาคำตอบ
“I’m not certain, but I’ll make sure to find out.”
ฉันไม่มั่นใจนัก แต่ฉันจะทำให้แน่ใจว่าได้คำตอบแน่นอน
ข้อดี – แสดงถึงความรับผิดชอบและความพยายามในการแก้ปัญหา
- เสนอคำตอบหรือแนวทางเบื้องต้น แม้ว่าเราอาจไม่แน่ใจ แต่การให้คำแนะนำหรือข้อมูลเบื้องต้นสามารถทำได้ ตัวอย่างประโยค เช่น
“I don’t have the exact details, but based on what I know, here’s what I think…”
ฉันไม่มีรายละเอียดที่แน่นอน แต่จากสิ่งที่ฉันรู้ นี่คือสิ่งที่ฉันคิดว่า…
ข้อดี – สร้างความเชื่อมั่นว่าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหัวข้อนั้น
“I’m not completely sure, but here’s an idea to consider.”
ฉันไม่มั่นใจทั้งหมด แต่มีแนวคิดหนึ่งที่อยากให้พิจารณา
ข้อดี – เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความคิดสร้างสรรค์
วิธีพูด ‘I Don’t Know’ ในสถานการณ์ต่างๆ
- ในการสนทนาทางธุรกิจ
“I don’t have the data on that at the moment, but I can gather it for you.”
ฉันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ฉันสามารถรวบรวมมาให้คุณได้
“Let me consult with the team and get back to you.”
ขอฉันปรึกษากับทีมก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณอีกครั้ง
“I haven’t had the chance to study that yet, but I’d be happy to look into it.”
ฉันยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาหัวข้อนั้น แต่ฉันยินดีที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม
“I’m not directly involved in that project, but I can connect you with the person in charge.”
ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในโครงการนั้น แต่ฉันสามารถให้คุณกับผู้รับผิดชอบได้ติดต่อกันได้
- ในการตอบคำถามของลูกค้า
“That’s an interesting question. Let me double-check and confirm it for you.”
นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจ ขอฉันตรวจสอบอีกครั้งเพื่อยืนยันให้คุณ
“I’ll need to verify that information and follow up with you shortly.”
ฉันต้องตรวจสอบข้อมูลนั้นและจะติดตามผลให้คุณในไม่ช้า
“I’ll need to check with the appropriate department and get back to you with precise information.”
ฉันต้องตรวจสอบกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่ถูกต้องให้คุณ
- ในการสนทนาส่วนตัว
“I’m not sure about that, but I’d love to learn more.”
ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ฉันอยากเรียนรู้เพิ่มเติม
“I’ll have to think about it and get back to you.”
ฉันต้องขอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณอีกที
“I’m not familiar with that, but it sounds intriguing! Let’s find out together.”
ฉันยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนั้น แต่มันฟังดูน่าสนใจ! มาหาคำตอบด้วยกันเถอะ
- ในการเรียนหรือการศึกษา
“I’ll need to review my notes to give you a precise answer.”
ฉันต้องทบทวนบันทึกของฉันเพื่อให้คำตอบที่แม่นยำแก่คุณ
“I’m not familiar with that topic yet, but I’m interested in finding out.”
ฉันยังไม่คุ้นเคยกับหัวข้อนั้น แต่ฉันสนใจที่จะหาคำตอบ
ประโยคตัวอย่างที่ใช้แทน ‘I Don’t Know’
- แสดงความสนใจ
“That’s a fascinating question. I’ll need to explore it further.”
นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ฉันต้องสำรวจเพิ่มเติม
- เสริมความกระตือรือร้น
“I’m not sure, but I’ll make it my priority to find out.”
ฉันไม่มั่นใจ แต่ฉันจะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหาคำตอบ
- แสดงความรับผิดชอบ
“Let me confirm that and get back to you.”
ขอฉันยืนยันเรื่องนี้ก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณ
- ชี้แจงว่าไม่มีข้อมูลในขณะนั้น
“I’m sorry, I don’t have that information with me right now.”
ขอโทษ ฉันไม่มีข้อมูลนั้นกับตัวตอนนี้
ตัวอย่างประโยคในการพูด ‘I Don’t Know’ ให้เหมาะกับสถานการณ์
- สถานการณ์: หัวหน้าเรียกประชุมและถามข้อมูลที่คุณยังไม่มี
“I don’t have that information at the moment, but I can prepare it and share it after this meeting.”
ฉันไม่มีข้อมูลในตอนนี้แต่ฉันจะเตรียมข้อมูลและส่งให้หลังจากการประชุมนี้
- สถานการณ์: ลูกค้าถามคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
“Let me verify that with the technical team and get back to you with accurate details.”
ฉันขอตรวจสอบข้อมูลกับทีมทางเทคนิคแล้วจะกลับมาให้รายละเอียดที่ถูกต้องแก่คุณ
- สถานการณ์: เพื่อนร่วมงานขอความคิดเห็นในเรื่องที่คุณไม่เชี่ยวชาญ
“I’m not an expert on this, but I can connect you with someone who is.”
ฉันไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่ฉันสามารถให้คุณติดต่อกับบางคนที่เก่งในเรื่องนี้ได้
- สถานการณ์: นักเรียนถามคำถามที่คุณไม่รู้คำตอบ
“That’s a great question. Let me research it and I’ll get back to you in the next class.”
นั่นเป็นคำถามที่ดีมากเลย ให้ฉันได้ไปค้นคว้าและนำคำตอบมาให้คุณในคาบเรียนหน้า
- สถานการณ์: ถูกถามความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่ยังไม่ได้ศึกษา
“I haven’t had the chance to study that yet, but I’d be happy to look into it.”
ฉันยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาหัวข้อนั้น แต่ฉันยินดีที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม
- สถานการณ์: เจ้านายถามเกี่ยวกับกำหนดการที่คุณไม่แน่ใจ
“I’m not sure about the timeline, but I can confirm it with the team and update you soon.”
ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับกำหนดการ แต่ฉันสามารถยืนยันกับทีมและอัปเดตให้คุณได้ในเร็ว ๆ นี้
- สถานการณ์: เพื่อนถามคำถามเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่คุ้นเคย
“I’m not familiar with that, but it sounds intriguing! Let’s find out together.”
ฉันยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนั้น แต่มันฟังดูน่าสนใจ! มาหาคำตอบด้วยกันเถอะ
- สถานการณ์: ลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ
“I’ll need to check with the appropriate department and get back to you with precise information.”
ฉันต้องตรวจสอบกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่ถูกต้องให้คุณ
- สถานการณ์: เพื่อนร่วมงานถามถึงผลลัพธ์ของโครงการที่คุณไม่ได้ดูแล
“I’m not directly involved in that project, but I can connect you with the person in charge.”
ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในโครงการนั้น แต่ฉันสามารถให้คุณกับผู้รับผิดชอบได้ติดต่อกันได้
การเลือกใช้ประโยคที่เหมาะสมกับสถานการณ์ขึ้นอยู่กับบริบทและความสัมพันธ์กับผู้ถาม ใช้เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในการสื่อสาร
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เผยความลับของมะละกอสุก ประโยชน์เด่นไม่ใช่แค่ช่วยขับถ่าย

เปิดคุณค่าที่หลายคนมองข้าม! มะละกอสุก ตัวช่วยผิวใสและหัวใจแข็งแรง
มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง และอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลายคนอาจมองข้ามไป จริงอยู่ที่มะละกอช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่ผลไม้นี้ยังมีสารอาหารที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ผิวพรรณ และสุขภาพหัวใจอีกด้วย จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการดูแลสุขภาพที่หลายคนควรให้ความสนใจ
สารอาหารสำคัญที่คุณจะได้รับจากมะละกอสุก
ในมะละกอสุกปริมาณ 100 กรัม มีพลังงานต่ำเพียงประมาณ 43 กิโลแคลอรีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มะละกออัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น วิตามินซีที่มีปริมาณสูงกว่าส้มหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอในรูปของเบต้าแคโรทีนซึ่งช่วยในการบำรุงสายตา รวมถึงโฟเลต วิตามินบี และโพแทสเซียมที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่มีส่วนช่วยในการย่อยโปรตีนอีกด้วย
ประโยชน์เด่นของมะละกอสุกต่อสุขภาพ
การบริโภคมะละกอสุกเป็นประจำมีผลดีต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายหลายด้าน ตั้งแต่ระบบย่อยอาหารไปจนถึงการบำรุงผิวพรรณ โดยประโยชน์หลัก ๆ ที่ควรรู้มีดังนี้
1. ช่วยระบบขับถ่ายและแก้ท้องผูก
ไฟเบอร์หรือใยอาหารในมะละกอสุกมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ลดอาการท้องผูกลงได้ดี การกินมะละกอจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบขับถ่ายที่ไม่ปกติ หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มใยอาหารในมื้ออาหารแต่ละวัน
2. บำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส
วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในมะละกอจะช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนผิว การกินมะละกอจึงสามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย ทำให้ผิวพรรณดูสดใสและมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
สารอาหารหลายชนิดในมะละกอสุก โดยเฉพาะวิตามินซีและวิตามินเอ มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและลดโอกาสในการเจ็บป่วยได้ดี
4. ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ทั้งไฟเบอร์และโพแทสเซียมในมะละกอมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด พร้อมทั้งช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ การบริโภคมะละกอจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
5. เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก
มะละกอสุกมีแคลอรีที่ค่อนข้างต่ำ แต่ให้ความอิ่มท้องได้นานจากปริมาณไฟเบอร์ที่มีอยู่ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นของว่างเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือต้องการลดปริมาณพลังงานในอาหารแต่ละวัน
วิธีเลือกและกินมะละกอสุกให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เพื่อให้ได้รับคุณประโยชน์จากมะละกอสุกอย่างเต็มที่ ควรเลือกผลที่มีผิวสีส้มอมเหลืองและไม่เละจนเกินไป แนะนำควรกินมะละกอหลังมื้ออาหาร เพื่อให้เอนไซม์ปาเปนช่วยในการย่อยโปรตีน และหากต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาล ก็ไม่ควรกินมะละกอสุกเกิน 1 ถ้วยต่อวัน สุดท้ายควรเก็บมะละกอไว้ในตู้เย็น เพื่อคงความสดและรักษาวิตามินเอาไว้ให้ได้นานที่สุด
สรุปแล้ว มะละกอสุกไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลไม้ที่ช่วยเรื่องการขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งของวิตามินและสารอาหารที่ดีต่อผิวพรรณ เสริมภูมิคุ้มกัน และดีต่อหัวใจด้วย ควรรับประทานมะละกอสุกในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 66,100.00 | 66,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,273.00 | 64,778.68 | 67,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,845.70 | 58,300.81 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,418.40 | 51,822.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,922.85 | 29,150.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,495.55 | 22,672.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,427.98 | 67,128.18 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.15 | 32.15 | 32.65 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 | 32.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.78 | 31.78 | 32.28 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 | 31.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.89 | 27.89 | – | – | – | – | – | – | 27.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.34 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.34 |
เบนซิน 95 | 40.44 | – | – | 49.81 | – | 40.94 | 40.59 | – | 40.44 |
ดีเซล | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |