ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่ ยอดจองทะลุ 1,400 ล้าน

ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่ ยอดจองทะลุ 1,400 ล้านหลังเปิดเกมรุกคอนโดฝั่งธนฯ ชูทำเลและราคาที่จับต้องได้ พร้อมเชื่อมอนาคตด้วยซูเปอร์ฮับคมนาคม
เมื่อคอนโดไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจังหวะของชีวิต”ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่” กลายเป็นบทพิสูจน์ว่า ‘โอกาส’ ยังคงอยู่ที่ฝั่งธนบุรี ท่ามกลางตลาดที่แข่งขันดุเดือด โครงการนี้กลับคว้ายอดจองรอบพรีเซลกว่า 1,400 ล้านบาทภายในเวลาอันสั้น
คำถามคือ ทำไมจึงขายดีขนาดนี้? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในจังหวะ…และแผนที่เมืองที่กำลังเปลี่ยน
ฝั่งธนฯ กับบทบาทใหม่ของเมือง
การเติบโตของเมืองไม่ได้กระจุกแค่ใจกลาง CBD อีกต่อไปในวันที่ “ฝั่งธนฯ” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็น “คำตอบ” สำหรับชีวิตเมืองศุภาลัยจับจังหวะนั้นได้อย่างแม่นยำ
จุดเด่นของโครงการนี้ไม่ได้มีแค่ “ที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้า”แต่คือการวางตัวในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เชื่อมการเดินทาง4ทิศของกรุงเทพฯทั้ง BTS สายสีเขียว และ MRT สายสีม่วงใต้ ที่กำลังจะเปิดใช้งานในปี 2572และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตรจากโครงการ
“ทำเลที่ดี คืออดีตของคอนโดที่ขายดี แต่จังหวะที่ใช่ คืออนาคตของมัน”
พัฒนาเพื่ออยู่จริง ไม่ใช่แค่ขายให้ได้
ศุภาลัยไม่เพียงวางแผนบนแผนที่แต่ยังวางใจไว้ในชีวิตของผู้คนห้องชุดเริ่มต้น 35 ตร.ม.ในราคาเพียง2.19ล้านบาทหรือเฉลี่ยทั้งโครงการเพียง 77,000 บาท/ตร.ม.ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่คุ้มค่าในสายตานักลงทุนแต่มันคือ“ราคาจับต้องได้”สำหรับคนที่กำลังมองหาชีวิตดีในเมืองใหญ่
ทุกฟังก์ชันถูกออกแบบจากพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยจริงวางตำแหน่งตามทิศแดด–ลม เปิดหน้าต่างแล้วใช้งานได้ ไม่ใช่แค่โชว์ในโบรชัวร์และบริการเสริมอย่าง Shuttle Bus ถึง BTS เพิ่มความสะดวกเหมือนเป็นฟันเฟืองสุดท้ายที่เติมให้ภาพใหญ่สมบูรณ์
ฝั่งธนฯจุดเริ่มต้นของ Super Hub ใหม่
ถ้ามองลึกไปกว่ายอดขายคือความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเมืองจากกรุงเทพฯ ที่เคยเติบโตแบบกระจุก สู่การขยายแนวระนาบเขตคลองสานกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียมในขณะที่ซัพพลายในตลาดระดับกลาง–บน ยังคง “จำกัด”ความต้องการกลับยัง “ล้น” อย่างมีนัยสำคัญ
นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคอนโดฯ สูง 38 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,650 ล้านบาทแห่งนี้จึงสามารถปิดการขายพรีเซลได้ทะลุ 1,400 ล้านบาท
ทั้งที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบ
“ในตลาดที่ซัพพลายตึง คนที่มีกลยุทธ์ชนะได้โดยไม่ต้องลดราคา”
คอนโดไม่ใช่แค่เรื่องของตึก แต่คือศาสตร์ของ ‘จังหวะ’
ความสำเร็จของ ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่คือการผสมผสานระหว่าง “ทำเลที่ใช่” + “แปลนที่เข้าใจชีวิต” + “ราคาที่เข้าถึงได้”กับจังหวะการขยายโครงข่ายเมืองที่ไม่ต้องรอให้อนาคตมาถึง เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว
และทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากโชค แต่คือการวางกลยุทธ์ที่มองข้ามแค่ตารางเมตรและเข้าใจว่า “ความต้องการ” ของคนเมือง ไม่เคยอยู่แค่บนกระดาษ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘การบินไทย’ เคาะ 8 รายชื่อกรรมการชุดใหม่ ชงบอร์ดอนุมัติ 23 ต.ค.นี้

- คณะกรรมการสรรหาฯ จะเสนอรายชื่อกรรมการบริษัทการบินไทยชุดใหม่จำนวน 8 คน โดยไม่มีข้าราชการรวมอยู่ด้วย
- รายชื่อดังกล่าวจะถูกนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ของการบินไทยพิจารณาอนุมัติในวันที่ 23 ตุลาคม
- หลังบอร์ดเห็นชอบ จะมีการส่งรายชื่อให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ในเดือนธันวาคมเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้าย
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างบอร์ดการบินไทยนั้น ยืนยันว่า กรรมการใหม่ 8 คนที่จะถูกเสนอโดยคณะกรรมการสรรหา จะไม่มีข้าราชการรวมอยู่ด้วย ทุกคนจะเป็นมืออาชีพ และบอร์ดจะคัดเลือกกรรมการที่ดีที่สุดสำหรับการบินไทย
สำหรับกระบวนการสรรหากรรมการการบินไทยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในวันนี้ (21 ต.ค.68) คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุม เพื่อคัดเลือกรายชื่อกรรมการทั้ง 8 คน หลังจากวันที่ 19 ต.ค.68 ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายสำหรับผู้ถือหุ้น ที่ถือหุ้นเกิน 5% ได้เสนอรายชื่อกรรมการเข้ามา
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะพิจารณารายชื่อกรรมการจากหลายมิติ ทั้งความเหมาะสม และประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยเมื่อคัดเลือกรายชื่อเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการสรรหาฯ จะเสนอเข้าการประชุมบอร์ดการบินไทยวันที่ 23 ต.ค.นี้ด้วย
“เมื่อคณะกรรมการสรรหาฯ พิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว จะนำกลับมาเสนอให้บอร์ดการบินไทยพิจารณาก่อน หากบอร์ดเห็นชอบตามจำนวนที่กำหนด ก็จะส่งรายชื่อเหล่านั้นไปตรวจคุณสมบัติ และส่งรายชื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ที่จะมีขึ้นในเดือนธ.ค.68”
ขณะที่วาระการประชุมบอร์ดการบินไทยวันที่ 23 ต.ค.นี้ จะมีการหารือถึงวาระสำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ซึ่งหนึ่งในวาระสำคัญคือ การเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 คน เป็น 15 คน ตามข้อบังคับของการบินไทยที่อนุญาตให้มีกรรมการได้สูงสุด 15 คน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 11 คน โดยมีกรรมการที่จะหมดวาระ 3 คน และ 1 คนที่จะต้องจับฉลากออกตามเกณฑ์ที่กำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ทั้งนี้ การประชุม AGM ของปีนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น และจะเป็นการจัดประชุมครั้งแรกของปี โดยการประชุมเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมาเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM)
ส่วนในเรื่องข้อกังวลความล่าช้าและการจัดหาเครื่องบินนั้น นายลวรณ กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องแผนการเช่าเครื่องบิน เป็นการลงทุนระดับหมื่นล้านบาท จำเป็นต้องมีการศึกษาให้รอบคอบ และต้องรักษาสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความสมบูรณ์ของข้อมูล
“บอร์ดการบินไทยจำเป็นต้องได้รับคำตอบที่สิ้นสงสัยจากฝ่ายจัดการเกี่ยวกับคำถามต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงมติ”
ทั้งนี้ การเลือกเครื่องบินต้องเหมาะสมที่สุดและตรงตามแผนยุทธศาสตร์ของการบินไทย โดยเน้นการจำกัดแบบเครื่องบินให้น้อยที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากที่เป็นสาเหตุทำให้บริษัทขาดทุนในอดีต
ขณะเดียวกัน ขณะนี้บอร์ดบริหารกำลังดำเนินการศึกษาอย่างละเอียดถึงสถานะธุรกิจการบินหลังโควิด เพื่อกำหนดจำนวนเครื่องบินและประเภทที่เหมาะสมที่สุดที่การบินไทยควรมี โดยยืนยันว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใส
”เครื่องบินเช่าไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียง 1-2 ปี แต่จะอยู่กับบริษัทอย่างน้อย 6 ปี หากนำเครื่องบินเก่าเข้ามาก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงภายใน“
นอกจากนี้ นายลวรณยังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในที่ประชุม ว่า เรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกันถือเป็นเรื่องปกติที่ดีในการแสวงหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ความเห็นต่างนั้นควรอยู่ภายในห้องประชุม ไม่ควรออกมาให้ข่าวภายนอก การให้ข่าวและภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง และสะท้อนไปที่ราคาหุ้นการบินไทยที่ตกลงไปที่ 10 บาทจากระดับ 14-15 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค.”แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงและอาจผันผวนสูงขึ้นจากช่วงปกติ เหตุจากการปรับตัวแรงของราคาทองคำ เป็นระยะๆ มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค.2568ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้ ในช่วงคืนที่ผ่านมา จนทำให้โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมาอ่อนกำลังลงอีกครั้ง
ทว่า เราคงมองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง และมีความผันผวนที่สูงขึ้นจากช่วงปกติ เนื่องจากราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หากผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้อย่างชัดเจน
ส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ก็อาจไม่ได้สนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด มากกว่าที่ตลาดกำลังรับรู้และคาดหวังในปัจจุบัน (ผู้เล่นในตลาดเกือบจะ Fully- Priced In ว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า)
โดยหากราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้จริง หรือ มีจังหวะปรับตัวลดลงแรงบ้าง ก็อาจจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท และอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้
อย่างไรก็ตาม เรายอมรับว่า ราคาทองคำอาจพอได้แรงหนุนบ้าง ในกรณีที่ตลาดการเงินผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เนื่องจากระดับ Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงหรือแพงพอสมควร
อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป
และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down ทะลุกรอบล่าง 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อน และเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.52-32.74 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน
โดยเงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง หลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงวันก่อนหน้า
โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงต้องการถือทองคำ ก่อนที่จะรับรู้ผลการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ยังมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งที่เริ่มสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ในช่วงก่อน ที่อาจต้องทยอยปิดสถานะดังกล่าว หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นสวนทางกับสถานะที่เปิดไว้ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้เล่นต่างชาติด้วยเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ตอบรับกระแสข่าวว่า ภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ อาจจบลงได้ภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังคงออกมาสดใส ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.07%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.03% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในฝั่งสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงแรงของ BNP Paribas -7.7% หลังมีคำตัดสินจากศาลสหรัฐฯ ว่า ธนาคารมีส่วนช่วยรัฐบาลซูดานก่ออาชญากรรมร้ายแรง ผ่านการให้บริการทางการเงิน ซึ่งละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.98% อีกครั้ง
แม้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อบอนด์ ก่อนที่จะรับรู้ผลการเจรจาการค้าระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด นอกจากนี้ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจต้องการถือครองบอนด์อยู่บ้าง เพื่อรับมือความเสี่ยงที่ตลาดการเงินอาจผันผวนหนัก หากรายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง
โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับ Valuation ที่แพงพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อต่ำกว่าระดับ 4.00% อีกครั้ง แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน
โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันบ้างจากการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า บรรยกาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังไม่รับปรับสถานะถือครองก่อนที่จะรับรู้ปัจจัยสำคัญ
ทั้งการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก็พอช่วยพยุงเงินดอลลาร์ไว้ได้บ้าง ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 98.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.4-98.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคงต้องการถือทองคำ ก่อนที่จะรับรู้การเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน รวมถึงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ได้ปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 4,380-4,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ยังได้อานิสงส์จากการปรับลดสถานะ Short ทองคำ ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่ได้เริ่มเปิดสถานะดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.59-32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงเช้าตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกที่กลับขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ และการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชียในภาพรวม อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงแข็งค่ากลับมาเล็กน้อย เนื่องจากตลาดยังรอติดตามสัญญาณจากการหารือระหว่าง ธปท. และส.อ.ท. ในประเด็นผลกระทบจากทิศทางเงินบาทในวันนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และผลการเลือกนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบ่งกลุ่มเรียบร้อย! ผลจับสลาก วอลเลย์บอล ซีเกมส์ 2025 ทั้งทีมชาย-ทีมหญิง

การแข่งขัน วอลเลย์บอลซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568
โดยได้มีพิธีการจับสลากแบ่งกลุ่มกันไปเป็นที่เรียบร้อย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” เจ้าของแชมป์ 16 สมัย และแชมป์ 14 สมัยหลังสุดอยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
ขณะที่ ประเภททีมชาย “ทัพตบหนุ่มไทย” เจ้าของแชมป์ 8 สมัย อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ เวียดนาม, สิงคโปร์ และ ลาว
สำหรับ วอลเลย์บอลในร่ม ทั้งประเภททีมหญิง และ ทีมชาย จะนำแชมป์กลุ่ม และรองแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ต่อไป

วอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2025
กลุ่มเอ
- ไทย (เจ้าภาพ)
- ฟิลิปปินส์
- สิงคโปร์
กลุ่มบี
- เวียดนาม
- อินโดนีเซีย
- เมียนมา
- มาเลเซีย

วอลเลย์บอลชาย ซีเกมส์ 2025
กลุ่มเอ
- ไทย
- เวียดนาม
- สิงคโปร์
- สปป.ลาว
กลุ่มบี
- อินโดนีเซีย
- กัมพูชา
- ฟิลิปปินส์
- เมียนมา
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ จะกระจายการแข่งขันใน 3 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพฯ , ชลบุรี และ สงขลา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดแอร์แล้วคัดจมูก? เผยสาเหตุ พร้อมวิธีแก้ให้ได้ผล

วิธีแก้ “จมูกตัน” ทุกครั้งที่เปิดแอร์ สาเหตุจากอากาศแห้งและการแพ้ฝุ่น
ปัญหา “จมูกตัน” หรืออาการคัดจมูกทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานอนกลางคืน เป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญ อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น อากาศที่เย็นจัดหรือแห้งเกินไป รวมถึงการแพ้สิ่งแปลกปลอม หากไม่ดูแลแก้ไขอย่างถูกวิธี อาการคัดจมูกอาจเรื้อรังจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวมได้
ทำไมเปิดแอร์ถึงทำให้คัดจมูก?
อาการคัดจมูกเมื่อสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสาเหตุหลักๆ มีดังต่อไปนี้:
1. อากาศเย็นทำให้เยื่อบุจมูกบวม
เมื่ออุณหภูมิในห้องลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลอดเลือดภายในโพรงจมูกจะขยายตัวโดยอัตโนมัติ เพื่อพยายามรักษาความชื้นและปรับอุณหภูมิของอากาศที่หายใจเข้าไป การขยายตัวนี้ส่งผลให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดอาการคัดจมูกและหายใจไม่สะดวกได้ง่าย
2. อากาศแห้งจากแอร์ดูดความชื้น
เครื่องปรับอากาศมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นออกจากอากาศในห้อง ทำให้สภาพอากาศแห้งเกินไป เมื่อจมูกสัมผัสอากาศแห้งและระคายเคือง เยื่อบุจมูกจึงเกิดการบวมเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป อาการคัดจมูกนี้เป็นกลไกป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย
3. การแพ้ฝุ่นหรือเชื้อราที่สะสมในเครื่องปรับอากาศ
หากไม่มีการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ ฝุ่นละอองและเชื้อราต่างๆ จะเข้าไปสะสมอยู่ภายในฟิลเตอร์ เมื่อเปิดใช้งาน เครื่องจะพ่นสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ออกมาฟุ้งกระจายในอากาศและเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาการแพ้และคัดจมูกในที่สุด
4. ระบบภูมิแพ้ไวเกิน (Allergic Rhinitis)
ในบางรายมีภาวะที่เรียกว่าเยื่อบุจมูกไวต่อความเย็น (Non-allergic Rhinitis) ซึ่งหมายถึงเยื่อบุจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างความเย็นเป็นพิเศษ เมื่อต้องเจอลมจากแอร์หรือความเย็นทันทีทันใด จะทำให้เยื่อบุบวมและเกิดอาการคัดจมูกหรือจามได้ทันที
วิธีแก้อาการคัดจมูกจากแอร์แบบได้ผล
การปรับพฤติกรรมและการดูแลสภาพแวดล้อมในห้องเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกจากการเปิดแอร์ได้ดีที่สุด โดยมีแนวทางการปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้:
1. เพิ่มความชื้นในห้องนอน
ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) เพื่อให้อากาศไม่แห้งจนเกินไป หรืออาจใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการวางถ้วยน้ำขนาดใหญ่ไว้ในห้อง เพื่อช่วยเพิ่มระดับความชื้นในอากาศ ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองและอาการบวมของเยื่อบุจมูก
2. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสามารถช่วยชะล้างฝุ่นละออง สิ่งแปลกปลอม และสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าไปในจมูกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุ ควรล้างจมูกอย่างน้อยวันละ 1–2 ครั้ง เพื่อให้จมูกโล่งและหายใจสะดวกขึ้น
3. ปรับอุณหภูมิแอร์ให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย
ไม่ควรตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นจัดจนเกินไป แนะนำให้ตั้งอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส การปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยลดการหดตัวและอาการบวมของหลอดเลือดภายในจมูกจากการสัมผัสความเย็น
4. ทำความสะอาดแอร์อย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อราคือสิ่งสำคัญที่สุด ควรล้างทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ทุก 1–2 สัปดาห์ และควรเรียกช่างมาล้างใหญ่ทุก 3–6 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาเป็นสาเหตุของอาการแพ้และจมูกตัน
5. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
การดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องให้เพียงพอตลอดทั้งวัน จะช่วยให้เยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเยื่อบุจมูกมีความชุ่มชื้น ลดอาการแห้งและการอุดตันของจมูกลงได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่เย็นจัดจนเกินไป
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการคัดจมูกจากแอร์ส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่หากอาการจมูกตันเรื้อรังนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ มีน้ำมูกข้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีอาการปวดหรือเจ็บบริเวณใบหน้า หรือหายใจลำบากมากขึ้น ควรไปพบแพทย์หูคอจมูกเพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคไซนัสอักเสบ หรือภาวะภูมิแพ้เรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้อง
อาการจมูกตันจากการเปิดแอร์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน เพียงแค่ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม รักษาความชื้นในห้องให้ดี และดูแลความสะอาดของเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ การปรับพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณหายใจโล่งสบาย ไม่ต้องทนทรมานกับอาการคัดจมูก และหลับได้อย่างมีคุณภาพตลอดคืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขข้อสงสัย Preposition of time คำบุพบทบอกเวลา เข้าใจง่ายใช้ได้จริง!

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง
in, on, at ใช้ต่างกันอย่างไร
สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้
- in ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวหรือไม่เฉพาะเจาะจง โดยจะใช้พูดถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ปี เดือน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาในแต่ละวัน เช่น
– in 2025 (ปี)
– in June (เดือน)
– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night
– in winter (ฤดูกาล)
– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)
– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)
หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น
My sister starts school in August.
(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)
- on ใช้กับวันและการระบุวันที่แบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงสิ่งที่เราระบุชัดลงไปได้ เช่น วันหยุดต่าง ๆ ในปฏิทินหรือวันในแต่ละสัปดาห์ เช่น
– on Monday
– on 1st June
– on New Year’s Day
– on my birthday
หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น
Valentine’s Day is on February 14.
(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์)
- at ใช้กับการพูดถึงเวลาแบบเฉพาะเจาะจง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น
– at 7 a.m.
– at noon
– at night
– at midnight
– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)
หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น
Let’s meet at noon.
(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน
คำบุพบทบอกเวลา อื่น ๆ ที่พบบ่อย
ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน
- by หมายถึง “ไม่เกิน” หรือก่อนถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้เมื่อพูดถึงจุดสิ้นสุดของเวลา เช่น
I’ll finish the report by Monday.
(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)
- for และ since
นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้
– I have lived here for 15 years.
(ผมอยู่ที่นี่มา 15 ปีแล้ว)
– I have lived here since 2010.
(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)
- before กับ after หมายถึง “ก่อน” และ “หลัง” เช่น
– I had lunch before the meeting.
(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)
– Let’s go out after dinner.
(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)
- from … to … ใช้บอกเวลาจากช่วงหนึ่งไปถึงอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่า เรียนภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นอาจยังไม่เจอบุพบทตัวนี้ แต่ถือว่าเป็นคำที่มีความจำเป็นมาก เพราะใช้กับการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น
The store is open from 8 A.M. to 6 P.M.
(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ผัก 4 กลุ่ม แนะคนวัยทองควรกินอย่างระวัง เลี่ยงได้ควรเลี่ยง

ผัก 4 กลุ่ม สำหรับวัยทอง ควรเลือกอย่างเหมาะสม ผักบางชนิดอาจกระทบต่อระบบย่อย ฮอร์โมน หรือโรคประจำตัวโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเข้าสู่วัยทอง ซึ่งมักเริ่มตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งระบบฮอร์โมนที่ลดลง ระบบเผาผลาญที่ช้าลง ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบย่อยอาหาร แม้ “ผัก” จะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับคนวัยทอง การเลือกบริโภคผักอย่างรู้เท่าทัน เพราะมีผักบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพโดยรวม
กลุ่มผักที่ควรพิจารณาให้ดีก่อนบริโภค
1. ผักตระกูลกะหล่ำ (Cruciferous vegetables) เช่น กะหล่ำปลี, บรอกโคลี, กะหล่ำดอก, คะน้า
- ประโยชน์: มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด
- ข้อควรระวัง: หากรับประทานในปริมาณมาก ดิบๆ อาจไปรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำอยู่แล้ว (hypothyroidism) ซึ่งพบได้ในคนวัยทองบางกลุ่ม
- คำแนะนำ: ควรปรุงสุกก่อนรับประทาน และไม่ควรบริโภคมากเกินไปในแต่ละวัน
2. ผักที่มีกากใยสูงมากเกินไป เช่น ผักโขม, ใบชะพลู, ตำลึง (ถ้าทานมาก)
- ประโยชน์: ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
- ข้อควรระวัง: ระบบย่อยอาหารของคนวัยทองอาจเริ่มทำงานช้าลง การทานผักกากใยสูงมากเกินไปโดยไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ อาจทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือแน่นท้องได้
- คำแนะนำ: ทานในปริมาณพอเหมาะ สลับกับผักที่ย่อยง่าย และดื่มน้ำให้มาก
3. ผักดองหรือผักหมัก เช่น กิมจิ, ผักกาดดอง, มะยมดอง
- ประโยชน์: ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้
- ข้อควรระวัง: ผักหมักดองมักมีปริมาณ โซเดียมสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในวัยทองที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้ความดันไม่คงที่
- คำแนะนำ: จำกัดปริมาณการรับประทาน หรือเลือกแบบโฮมเมดที่ใช้เกลือน้อย
4. ผักที่มีสารออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมน เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วงอก, เต้าหู้ (แม้จะไม่ใช่ผัก แต่มักอยู่ในหมวดอาหารสุขภาพ)
- ประโยชน์: มีไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ช่วยทดแทนฮอร์โมนเพศหญิง
- ข้อควรระวัง: สำหรับบางคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีภาวะฮอร์โมนไวต่อการกระตุ้น อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทานถั่วเหลืองเป็นประจำ
- คำแนะนำ: ทานในปริมาณพอเหมาะ และเลือกแหล่งที่ไม่ผ่านการแปรรูปมาก
การกินผักในวัยทองยังคงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเลือกชนิด ปริมาณ และวิธีปรุงให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในวัยนี้ จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากผักอย่างเต็มที่ โดยไม่เสี่ยงต่อผลกระทบต่อสุขภาพโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้น อย่าลืมฟังเสียงร่างกาย และเลือกอาหารอย่างมีสติในทุกมื้อค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/10/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 67,000.00 | 67,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,331.00 | 65,657.96 | 67,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,897.90 | 59,092.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,464.80 | 52,526.37 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,948.95 | 29,546.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,515.85 | 22,980.29 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,488.08 | 68,039.29 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |