สาระน่ารู้ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2568

ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่ ยอดจองทะลุ 1,400 ล้าน

ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่ ยอดจองทะลุ 1,400 ล้านหลังเปิดเกมรุกคอนโดฝั่งธนฯ ชูทำเลและราคาที่จับต้องได้ พร้อมเชื่อมอนาคตด้วยซูเปอร์ฮับคมนาคม

เมื่อคอนโดไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจังหวะของชีวิต”ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่” กลายเป็นบทพิสูจน์ว่า ‘โอกาส’ ยังคงอยู่ที่ฝั่งธนบุรี ท่ามกลางตลาดที่แข่งขันดุเดือด โครงการนี้กลับคว้ายอดจองรอบพรีเซลกว่า 1,400 ล้านบาทภายในเวลาอันสั้น

คำถามคือ ทำไมจึงขายดีขนาดนี้? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในจังหวะ…และแผนที่เมืองที่กำลังเปลี่ยน

ฝั่งธนฯ กับบทบาทใหม่ของเมือง

การเติบโตของเมืองไม่ได้กระจุกแค่ใจกลาง CBD อีกต่อไปในวันที่ “ฝั่งธนฯ” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็น “คำตอบ” สำหรับชีวิตเมืองศุภาลัยจับจังหวะนั้นได้อย่างแม่นยำ

จุดเด่นของโครงการนี้ไม่ได้มีแค่ “ที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้า”แต่คือการวางตัวในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เชื่อมการเดินทาง4ทิศของกรุงเทพฯทั้ง BTS สายสีเขียว และ MRT สายสีม่วงใต้ ที่กำลังจะเปิดใช้งานในปี 2572และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตรจากโครงการ

“ทำเลที่ดี คืออดีตของคอนโดที่ขายดี แต่จังหวะที่ใช่ คืออนาคตของมัน”

พัฒนาเพื่ออยู่จริง ไม่ใช่แค่ขายให้ได้

ศุภาลัยไม่เพียงวางแผนบนแผนที่แต่ยังวางใจไว้ในชีวิตของผู้คนห้องชุดเริ่มต้น 35 ตร.ม.ในราคาเพียง2.19ล้านบาทหรือเฉลี่ยทั้งโครงการเพียง 77,000 บาท/ตร.ม.ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่คุ้มค่าในสายตานักลงทุนแต่มันคือ“ราคาจับต้องได้”สำหรับคนที่กำลังมองหาชีวิตดีในเมืองใหญ่

ทุกฟังก์ชันถูกออกแบบจากพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยจริงวางตำแหน่งตามทิศแดด–ลม เปิดหน้าต่างแล้วใช้งานได้ ไม่ใช่แค่โชว์ในโบรชัวร์และบริการเสริมอย่าง Shuttle Bus ถึง BTS เพิ่มความสะดวกเหมือนเป็นฟันเฟืองสุดท้ายที่เติมให้ภาพใหญ่สมบูรณ์

ฝั่งธนฯจุดเริ่มต้นของ Super Hub ใหม่

ถ้ามองลึกไปกว่ายอดขายคือความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเมืองจากกรุงเทพฯ ที่เคยเติบโตแบบกระจุก สู่การขยายแนวระนาบเขตคลองสานกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียมในขณะที่ซัพพลายในตลาดระดับกลาง–บน ยังคง “จำกัด”ความต้องการกลับยัง “ล้น” อย่างมีนัยสำคัญ

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคอนโดฯ สูง 38 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,650 ล้านบาทแห่งนี้จึงสามารถปิดการขายพรีเซลได้ทะลุ 1,400 ล้านบาท
ทั้งที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบ

“ในตลาดที่ซัพพลายตึง คนที่มีกลยุทธ์ชนะได้โดยไม่ต้องลดราคา”

คอนโดไม่ใช่แค่เรื่องของตึก แต่คือศาสตร์ของ ‘จังหวะ’

ความสำเร็จของ ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่คือการผสมผสานระหว่าง “ทำเลที่ใช่” + “แปลนที่เข้าใจชีวิต” + “ราคาที่เข้าถึงได้”กับจังหวะการขยายโครงข่ายเมืองที่ไม่ต้องรอให้อนาคตมาถึง เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว

และทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากโชค แต่คือการวางกลยุทธ์ที่มองข้ามแค่ตารางเมตรและเข้าใจว่า “ความต้องการ” ของคนเมือง ไม่เคยอยู่แค่บนกระดาษ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘การบินไทย’ เคาะ 8 รายชื่อกรรมการชุดใหม่ ชงบอร์ดอนุมัติ 23 ต.ค.นี้

  • คณะกรรมการสรรหาฯ จะเสนอรายชื่อกรรมการบริษัทการบินไทยชุดใหม่จำนวน 8 คน โดยไม่มีข้าราชการรวมอยู่ด้วย
  • รายชื่อดังกล่าวจะถูกนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ของการบินไทยพิจารณาอนุมัติในวันที่ 23 ตุลาคม
  • หลังบอร์ดเห็นชอบ จะมีการส่งรายชื่อให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ในเดือนธันวาคมเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้าย

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างบอร์ดการบินไทยนั้น ยืนยันว่า กรรมการใหม่ 8 คนที่จะถูกเสนอโดยคณะกรรมการสรรหา จะไม่มีข้าราชการรวมอยู่ด้วย ทุกคนจะเป็นมืออาชีพ และบอร์ดจะคัดเลือกกรรมการที่ดีที่สุดสำหรับการบินไทย

สำหรับกระบวนการสรรหากรรมการการบินไทยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในวันนี้ (21 ต.ค.68) คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุม เพื่อคัดเลือกรายชื่อกรรมการทั้ง 8 คน หลังจากวันที่ 19 ต.ค.68 ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายสำหรับผู้ถือหุ้น ที่ถือหุ้นเกิน 5% ได้เสนอรายชื่อกรรมการเข้ามา 

ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะพิจารณารายชื่อกรรมการจากหลายมิติ ทั้งความเหมาะสม และประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยเมื่อคัดเลือกรายชื่อเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการสรรหาฯ จะเสนอเข้าการประชุมบอร์ดการบินไทยวันที่ 23 ต.ค.นี้ด้วย 

“เมื่อคณะกรรมการสรรหาฯ พิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว จะนำกลับมาเสนอให้บอร์ดการบินไทยพิจารณาก่อน หากบอร์ดเห็นชอบตามจำนวนที่กำหนด ก็จะส่งรายชื่อเหล่านั้นไปตรวจคุณสมบัติ และส่งรายชื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ที่จะมีขึ้นในเดือนธ.ค.68” 

ขณะที่วาระการประชุมบอร์ดการบินไทยวันที่ 23 ต.ค.นี้ จะมีการหารือถึงวาระสำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ซึ่งหนึ่งในวาระสำคัญคือ การเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 คน เป็น 15 คน ตามข้อบังคับของการบินไทยที่อนุญาตให้มีกรรมการได้สูงสุด 15 คน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 11 คน โดยมีกรรมการที่จะหมดวาระ 3 คน และ 1 คนที่จะต้องจับฉลากออกตามเกณฑ์ที่กำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ทั้งนี้ การประชุม AGM ของปีนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น และจะเป็นการจัดประชุมครั้งแรกของปี โดยการประชุมเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมาเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM)

ส่วนในเรื่องข้อกังวลความล่าช้าและการจัดหาเครื่องบินนั้น นายลวรณ กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องแผนการเช่าเครื่องบิน เป็นการลงทุนระดับหมื่นล้านบาท จำเป็นต้องมีการศึกษาให้รอบคอบ และต้องรักษาสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความสมบูรณ์ของข้อมูล

“บอร์ดการบินไทยจำเป็นต้องได้รับคำตอบที่สิ้นสงสัยจากฝ่ายจัดการเกี่ยวกับคำถามต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงมติ”

ทั้งนี้ การเลือกเครื่องบินต้องเหมาะสมที่สุดและตรงตามแผนยุทธศาสตร์ของการบินไทย โดยเน้นการจำกัดแบบเครื่องบินให้น้อยที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากที่เป็นสาเหตุทำให้บริษัทขาดทุนในอดีต

ขณะเดียวกัน ขณะนี้บอร์ดบริหารกำลังดำเนินการศึกษาอย่างละเอียดถึงสถานะธุรกิจการบินหลังโควิด เพื่อกำหนดจำนวนเครื่องบินและประเภทที่เหมาะสมที่สุดที่การบินไทยควรมี โดยยืนยันว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใส

”เครื่องบินเช่าไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียง 1-2 ปี แต่จะอยู่กับบริษัทอย่างน้อย 6 ปี หากนำเครื่องบินเก่าเข้ามาก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงภายใน“

นอกจากนี้ นายลวรณยังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในที่ประชุม ว่า เรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกันถือเป็นเรื่องปกติที่ดีในการแสวงหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ความเห็นต่างนั้นควรอยู่ภายในห้องประชุม ไม่ควรออกมาให้ข่าวภายนอก การให้ข่าวและภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง และสะท้อนไปที่ราคาหุ้นการบินไทยที่ตกลงไปที่ 10 บาทจากระดับ 14-15 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค.”แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงและอาจผันผวนสูงขึ้นจากช่วงปกติ เหตุจากการปรับตัวแรงของราคาทองคำ เป็นระยะๆ มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค.2568ที่ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.73 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้ ในช่วงคืนที่ผ่านมา จนทำให้โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมาอ่อนกำลังลงอีกครั้ง
ทว่า เราคงมองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง และมีความผันผวนที่สูงขึ้นจากช่วงปกติ เนื่องจากราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หากผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้อย่างชัดเจน
ส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ก็อาจไม่ได้สนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด มากกว่าที่ตลาดกำลังรับรู้และคาดหวังในปัจจุบัน (ผู้เล่นในตลาดเกือบจะ Fully- Priced In ว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า) 

โดยหากราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้จริง หรือ มีจังหวะปรับตัวลดลงแรงบ้าง ก็อาจจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท และอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้

อย่างไรก็ตาม เรายอมรับว่า ราคาทองคำอาจพอได้แรงหนุนบ้าง ในกรณีที่ตลาดการเงินผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เนื่องจากระดับ Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงหรือแพงพอสมควร

อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป

และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down ทะลุกรอบล่าง 32.70 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อน และเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.52-32.74 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน

โดยเงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง หลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงวันก่อนหน้า
โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงต้องการถือทองคำ ก่อนที่จะรับรู้ผลการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ยังมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งที่เริ่มสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ในช่วงก่อน ที่อาจต้องทยอยปิดสถานะดังกล่าว หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นสวนทางกับสถานะที่เปิดไว้ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้เล่นต่างชาติด้วยเช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ตอบรับกระแสข่าวว่า ภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ อาจจบลงได้ภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังคงออกมาสดใส ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.07%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.03% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในฝั่งสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงแรงของ BNP Paribas -7.7% หลังมีคำตัดสินจากศาลสหรัฐฯ ว่า ธนาคารมีส่วนช่วยรัฐบาลซูดานก่ออาชญากรรมร้ายแรง ผ่านการให้บริการทางการเงิน ซึ่งละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.98% อีกครั้ง
แม้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อบอนด์ ก่อนที่จะรับรู้ผลการเจรจาการค้าระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด นอกจากนี้ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจต้องการถือครองบอนด์อยู่บ้าง เพื่อรับมือความเสี่ยงที่ตลาดการเงินอาจผันผวนหนัก หากรายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง

โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับ Valuation ที่แพงพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อต่ำกว่าระดับ 4.00% อีกครั้ง แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ

หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน
โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันบ้างจากการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า บรรยกาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังไม่รับปรับสถานะถือครองก่อนที่จะรับรู้ปัจจัยสำคัญ
ทั้งการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก็พอช่วยพยุงเงินดอลลาร์ไว้ได้บ้าง ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 98.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.4-98.7 จุด) 
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคงต้องการถือทองคำ ก่อนที่จะรับรู้การเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน รวมถึงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ได้ปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 4,380-4,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ยังได้อานิสงส์จากการปรับลดสถานะ Short ทองคำ ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่ได้เริ่มเปิดสถานะดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา   

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.59-32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงเช้าตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกที่กลับขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ และการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชียในภาพรวม อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงแข็งค่ากลับมาเล็กน้อย เนื่องจากตลาดยังรอติดตามสัญญาณจากการหารือระหว่าง ธปท. และส.อ.ท. ในประเด็นผลกระทบจากทิศทางเงินบาทในวันนี้อย่างใกล้ชิด  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และผลการเลือกนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แบ่งกลุ่มเรียบร้อย! ผลจับสลาก วอลเลย์บอล ซีเกมส์ 2025 ทั้งทีมชาย-ทีมหญิง

การแข่งขัน วอลเลย์บอลซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568

โดยได้มีพิธีการจับสลากแบ่งกลุ่มกันไปเป็นที่เรียบร้อย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” เจ้าของแชมป์ 16 สมัย และแชมป์ 14 สมัยหลังสุดอยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์

ขณะที่ ประเภททีมชาย “ทัพตบหนุ่มไทย” เจ้าของแชมป์ 8 สมัย อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ เวียดนาม, สิงคโปร์ และ ลาว

สำหรับ วอลเลย์บอลในร่ม ทั้งประเภททีมหญิง และ ทีมชาย จะนำแชมป์กลุ่ม และรองแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ต่อไป

วอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2025

กลุ่มเอ

  • ไทย (เจ้าภาพ)
  • ฟิลิปปินส์
  • สิงคโปร์

กลุ่มบี

  • เวียดนาม
  • อินโดนีเซีย
  • เมียนมา
  • มาเลเซีย

วอลเลย์บอลชาย ซีเกมส์ 2025

กลุ่มเอ

  • ไทย
  • เวียดนาม
  • สิงคโปร์
  • สปป.ลาว

กลุ่มบี

  • อินโดนีเซีย
  • กัมพูชา
  • ฟิลิปปินส์
  • เมียนมา

การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ จะกระจายการแข่งขันใน 3 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพฯ , ชลบุรี และ สงขลา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เปิดแอร์แล้วคัดจมูก? เผยสาเหตุ พร้อมวิธีแก้ให้ได้ผล

วิธีแก้ “จมูกตัน” ทุกครั้งที่เปิดแอร์ สาเหตุจากอากาศแห้งและการแพ้ฝุ่น

ปัญหา “จมูกตัน” หรืออาการคัดจมูกทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานอนกลางคืน เป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญ อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น อากาศที่เย็นจัดหรือแห้งเกินไป รวมถึงการแพ้สิ่งแปลกปลอม หากไม่ดูแลแก้ไขอย่างถูกวิธี อาการคัดจมูกอาจเรื้อรังจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวมได้

ทำไมเปิดแอร์ถึงทำให้คัดจมูก?

อาการคัดจมูกเมื่อสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสาเหตุหลักๆ มีดังต่อไปนี้:

1. อากาศเย็นทำให้เยื่อบุจมูกบวม

เมื่ออุณหภูมิในห้องลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลอดเลือดภายในโพรงจมูกจะขยายตัวโดยอัตโนมัติ เพื่อพยายามรักษาความชื้นและปรับอุณหภูมิของอากาศที่หายใจเข้าไป การขยายตัวนี้ส่งผลให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดอาการคัดจมูกและหายใจไม่สะดวกได้ง่าย

2. อากาศแห้งจากแอร์ดูดความชื้น

เครื่องปรับอากาศมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นออกจากอากาศในห้อง ทำให้สภาพอากาศแห้งเกินไป เมื่อจมูกสัมผัสอากาศแห้งและระคายเคือง เยื่อบุจมูกจึงเกิดการบวมเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป อาการคัดจมูกนี้เป็นกลไกป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย

3. การแพ้ฝุ่นหรือเชื้อราที่สะสมในเครื่องปรับอากาศ

หากไม่มีการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ ฝุ่นละอองและเชื้อราต่างๆ จะเข้าไปสะสมอยู่ภายในฟิลเตอร์ เมื่อเปิดใช้งาน เครื่องจะพ่นสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ออกมาฟุ้งกระจายในอากาศและเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาการแพ้และคัดจมูกในที่สุด

4. ระบบภูมิแพ้ไวเกิน (Allergic Rhinitis)

ในบางรายมีภาวะที่เรียกว่าเยื่อบุจมูกไวต่อความเย็น (Non-allergic Rhinitis) ซึ่งหมายถึงเยื่อบุจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างความเย็นเป็นพิเศษ เมื่อต้องเจอลมจากแอร์หรือความเย็นทันทีทันใด จะทำให้เยื่อบุบวมและเกิดอาการคัดจมูกหรือจามได้ทันที

วิธีแก้อาการคัดจมูกจากแอร์แบบได้ผล

การปรับพฤติกรรมและการดูแลสภาพแวดล้อมในห้องเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกจากการเปิดแอร์ได้ดีที่สุด โดยมีแนวทางการปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้:

1. เพิ่มความชื้นในห้องนอน

ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) เพื่อให้อากาศไม่แห้งจนเกินไป หรืออาจใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการวางถ้วยน้ำขนาดใหญ่ไว้ในห้อง เพื่อช่วยเพิ่มระดับความชื้นในอากาศ ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองและอาการบวมของเยื่อบุจมูก

2. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ

การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสามารถช่วยชะล้างฝุ่นละออง สิ่งแปลกปลอม และสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าไปในจมูกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุ ควรล้างจมูกอย่างน้อยวันละ 1–2 ครั้ง เพื่อให้จมูกโล่งและหายใจสะดวกขึ้น

3. ปรับอุณหภูมิแอร์ให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย

ไม่ควรตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นจัดจนเกินไป แนะนำให้ตั้งอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส การปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยลดการหดตัวและอาการบวมของหลอดเลือดภายในจมูกจากการสัมผัสความเย็น

4. ทำความสะอาดแอร์อย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อราคือสิ่งสำคัญที่สุด ควรล้างทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ทุก 1–2 สัปดาห์ และควรเรียกช่างมาล้างใหญ่ทุก 3–6 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาเป็นสาเหตุของอาการแพ้และจมูกตัน

5. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม

การดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องให้เพียงพอตลอดทั้งวัน จะช่วยให้เยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเยื่อบุจมูกมีความชุ่มชื้น ลดอาการแห้งและการอุดตันของจมูกลงได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่เย็นจัดจนเกินไป

เมื่อไรควรไปพบแพทย์

แม้ว่าอาการคัดจมูกจากแอร์ส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่หากอาการจมูกตันเรื้อรังนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ มีน้ำมูกข้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีอาการปวดหรือเจ็บบริเวณใบหน้า หรือหายใจลำบากมากขึ้น ควรไปพบแพทย์หูคอจมูกเพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคไซนัสอักเสบ หรือภาวะภูมิแพ้เรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้อง

อาการจมูกตันจากการเปิดแอร์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน เพียงแค่ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม รักษาความชื้นในห้องให้ดี และดูแลความสะอาดของเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ การปรับพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณหายใจโล่งสบาย ไม่ต้องทนทรมานกับอาการคัดจมูก และหลับได้อย่างมีคุณภาพตลอดคืน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไขข้อสงสัย Preposition of time คำบุพบทบอกเวลา เข้าใจง่ายใช้ได้จริง!

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง

in, on, at ใช้ต่างกันอย่างไร

สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้

  1. in ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวหรือไม่เฉพาะเจาะจง โดยจะใช้พูดถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ปี เดือน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาในแต่ละวัน เช่น

– in 2025 (ปี)

– in June (เดือน)

– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night

– in winter (ฤดูกาล)

– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)

– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)

หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น

My sister starts school in August.

(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)

  1. on ใช้กับวันและการระบุวันที่แบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงสิ่งที่เราระบุชัดลงไปได้ เช่น วันหยุดต่าง ๆ ในปฏิทินหรือวันในแต่ละสัปดาห์ เช่น

– on Monday

– on 1st June

– on New Year’s Day

– on my birthday

หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น

Valentine’s Day is on February 14.

(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์)

  1. at ใช้กับการพูดถึงเวลาแบบเฉพาะเจาะจง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น

– at 7 a.m.

– at noon

– at night

– at midnight

– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)

หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น

Let’s meet at noon.

(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน

คำบุพบทบอกเวลา อื่น ๆ ที่พบบ่อย 

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน

  1. by หมายถึง “ไม่เกิน” หรือก่อนถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้เมื่อพูดถึงจุดสิ้นสุดของเวลา เช่น

I’ll finish the report by Monday.

(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)

  1. for และ since

นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้

– I have lived here for 15 years.

(ผมอยู่ที่นี่มา 15 ปีแล้ว)

– I have lived here since 2010.

(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)

  1. before กับ after หมายถึง “ก่อน” และ “หลัง” เช่น

– I had lunch before the meeting.

(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)

– Let’s go out after dinner.

(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)

  1. from … to … ใช้บอกเวลาจากช่วงหนึ่งไปถึงอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่า เรียนภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นอาจยังไม่เจอบุพบทตัวนี้ แต่ถือว่าเป็นคำที่มีความจำเป็นมาก เพราะใช้กับการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น

The store is open from 8 A.M. to 6 P.M.

(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ผัก 4 กลุ่ม แนะคนวัยทองควรกินอย่างระวัง เลี่ยงได้ควรเลี่ยง

ผัก 4 กลุ่ม สำหรับวัยทอง ควรเลือกอย่างเหมาะสม ผักบางชนิดอาจกระทบต่อระบบย่อย ฮอร์โมน หรือโรคประจำตัวโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเข้าสู่วัยทอง ซึ่งมักเริ่มตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งระบบฮอร์โมนที่ลดลง ระบบเผาผลาญที่ช้าลง ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบย่อยอาหาร แม้ “ผัก” จะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับคนวัยทอง การเลือกบริโภคผักอย่างรู้เท่าทัน เพราะมีผักบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพโดยรวม

กลุ่มผักที่ควรพิจารณาให้ดีก่อนบริโภค 

1. ผักตระกูลกะหล่ำ (Cruciferous vegetables)  เช่น กะหล่ำปลี, บรอกโคลี, กะหล่ำดอก, คะน้า

  • ประโยชน์: มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด
  • ข้อควรระวัง: หากรับประทานในปริมาณมาก ดิบๆ อาจไปรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำอยู่แล้ว (hypothyroidism) ซึ่งพบได้ในคนวัยทองบางกลุ่ม
  • คำแนะนำ: ควรปรุงสุกก่อนรับประทาน และไม่ควรบริโภคมากเกินไปในแต่ละวัน

2. ผักที่มีกากใยสูงมากเกินไป เช่น ผักโขม, ใบชะพลู, ตำลึง (ถ้าทานมาก)

  • ประโยชน์: ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
  • ข้อควรระวัง: ระบบย่อยอาหารของคนวัยทองอาจเริ่มทำงานช้าลง การทานผักกากใยสูงมากเกินไปโดยไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ อาจทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือแน่นท้องได้
  • คำแนะนำ: ทานในปริมาณพอเหมาะ สลับกับผักที่ย่อยง่าย และดื่มน้ำให้มาก

3. ผักดองหรือผักหมัก เช่น กิมจิ, ผักกาดดอง, มะยมดอง

  • ประโยชน์: ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้
  • ข้อควรระวัง: ผักหมักดองมักมีปริมาณ โซเดียมสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในวัยทองที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้ความดันไม่คงที่
  • คำแนะนำ: จำกัดปริมาณการรับประทาน หรือเลือกแบบโฮมเมดที่ใช้เกลือน้อย

4. ผักที่มีสารออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมน เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วงอก, เต้าหู้ (แม้จะไม่ใช่ผัก แต่มักอยู่ในหมวดอาหารสุขภาพ)

  • ประโยชน์: มีไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ช่วยทดแทนฮอร์โมนเพศหญิง
  • ข้อควรระวัง: สำหรับบางคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีภาวะฮอร์โมนไวต่อการกระตุ้น อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทานถั่วเหลืองเป็นประจำ
  • คำแนะนำ: ทานในปริมาณพอเหมาะ และเลือกแหล่งที่ไม่ผ่านการแปรรูปมาก

การกินผักในวัยทองยังคงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเลือกชนิด ปริมาณ และวิธีปรุงให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในวัยนี้ จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากผักอย่างเต็มที่ โดยไม่เสี่ยงต่อผลกระทบต่อสุขภาพโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้น อย่าลืมฟังเสียงร่างกาย และเลือกอาหารอย่างมีสติในทุกมื้อค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a67,000.0067,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,331.0065,657.9667,900.00
ทองรูปพรรณ 90%3,897.9059,092.16n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,464.8052,526.37n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,948.9529,546.08n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,515.8522,980.29n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,488.0868,039.29n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า