สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2568

บิ๊กแบรนด์อสังหาฯโหมโปรฯ ระบายสต็อก! ชิงกำลังซื้อโค้งสุดท้าย

บิ๊กแบรนด์โหมโปรฯ ระบายสต็อก! ชิงกำลังซื้อโค้งสุดท้าย ในงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48” หวังกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มคึกคักอีกครั้ง เสียงระฆังของงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48” ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-2 พ.ย. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เร่งการตัดสินใจซื้อ! โค้งสุดท้าย ซึ่งบรรดาดีเวลลอปเปอร์ระดมโครงการเด็ดมาประชันโปรโมชั่น เร่งยอดขายก่อนสิ้นปี

แสนสิริ ปล่อย 108 โครงการ ลดสูงสุด 10 ล้าน

อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ เปิดศึกด้วยคอนเซปต์ “SANSIRI ARENA แชมป์เปี้ยนดีล” ยกขบวน 108 โครงการทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกทำเล ทุกระดับราคา ตั้งแต่ 9 แสนบาท ถึง 40 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอแรง จองเริ่ม 999 บาท ดอกเบี้ย 0% ลดสูงสุด 10 ล้านบาท พร้อมลุ้นทริปชมฟุตบอลที่เมืองลิเวอร์พูล มูลค่ากว่า 7 แสนบาท

“เราตั้งเป้ายอดขาย 1,600 ล้านบาท ภายใน 4 วันงาน เพราะมั่นใจว่าดีลที่นำเสนอจะตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและนักลงทุน”

เอสซีเปิดดีลโปรฏิหาริย์มีจริงเริ่ม 1.99 ล้าน

ณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและนวัตกรรม บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 4 นี้ ได้จัดแคมเปญใหญ่ “SC โปรฏิหาริย์มีจริง” เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยที่ง่ายและคุ้มค่า พร้อมข้อเสนอและรางวัลที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการลงทุน

“เราตั้งชื่อแคมเปญนี้ว่า SC โปรฏิหาริย์มีจริง เพราะต้องการทำให้การซื้อบ้านและคอนโดคุณภาพเป็นเรื่องเป็นไปได้ แบบไม่ต้องรอปาฏิหาริย์ พร้อมข้อเสนอพิเศษแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท”

โดยมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดรวม 86 โครงการ ครอบคลุมทำเลศักยภาพ ราคา 1.99-100 ล้านบาท ส่วนลดสูงสุด 10 ล้านบาท จองเริ่ม 999 บาท ฟรีค่าส่วนกลาง 5 ปี Pre-Approve รับ Cashback สูงสุด 1 แสนบาท ลุ้นทองคำ มูลค่า 2 ล้านบาท

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งหลังของปี 2568 เริ่มกลับมาขยับในหลายเซ็กเมนต์ โดยยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ขยับดีขึ้น ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากกลไกตลาดและการปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมถึงการได้รับอานิสงส์จากนโยบายทางการเงินและสินเชื่อของสถาบันการเงิน การแข่งขันปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มลูกค้าคุณภาพ

ขณะเดียวกัน มาตรการ LTV ที่ปลดล็อกให้กู้ได้ 100% ตั้งแต่เดือน พ.ค. ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ชัดเจนขึ้น อนันดา จึงกระตุ้นกำลังซื้อโค้งสุดท้ายผ่านแคมเปญ “ANANDA MARKET FEST” ขนคอนโด บ้าน และทาวน์โฮมพร้อมอยู่กว่า 20 โครงการ ราคาพิเศษส่วนลดสูงสุด 8 ล้านบาท รางวัลรวมมูลค่ากว่า 6 แสนบาท ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการลงทุน

เอพีส่ง 169 โครงการ ลดสูงสุด 10 ล้าน

กิตติเชษฐ์ สถิตย์นพชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาดองค์กรและดิจิทัล บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เอพีจัดดีลพิเศษ “AP BUY NOW, PAY LESS” ส่งมอบ Living Quality ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้า “จ่ายน้อยลง” แต่ได้พื้นที่ชีวิตคุณภาพทุกตารางนิ้ว ผ่านโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม คอนโด 169 โครงการ

“ข้อเสนอพิเศษที่เราได้คัดสรรมานี้ คือที่สุดของความคุ้มค่าจ่ายน้อยกว่า พร้อมส่วนลดสูงสุดกว่า 10 ล้านบาท ผ่อนน้อยกว่า เริ่มต้นล้านละ 800 บาทต่อเดือน จองเริ่มต้น 900 บาท ดาวน์น้อยเริ่ม 4,900 บาท แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่ง”

ส่วนลดกว่า 200 ล้าน-แจกทองทุกยูนิต

ธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤกษาเดินหน้าปลุกกำลังซื้อช่วงโค้งสุดท้ายของปี ด้วยแคมเปญ “พฤกษา มหาดีล” รวมบ้านและคอนโดกว่า 100 โครงการทั่วประเทศ ด้วยข้อเสนอส่วนลดสูงสุดรวมกว่า 200 ล้านบาท  ลูกค้าจองเริ่ม 499 บาท รับทองคำทุกหลัง ส่วนลดบ้านและคอนโดรวมกว่า 200 ล้านบาท บ้านยูนิตพิเศษ ส่วนลดสูงสุด 4.9 ล้านบาท

พชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้แคมเปญ “AssetWise Super Happy Deal” ดีลเด็ดทุกโซน สุขล้นทุกย่าน ส่งท้ายปีกับดีลพิเศษส่วนลดรวม 20 ล้านบาท รับ ทองคำทุกยูนิต พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin เมื่อจองและโอนบ้านและคอนโดที่ร่วมแคมเปญกว่า 34 โครงการ ภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาฯ ติดหล่มสภาพคล่องหวัง‘บิ๊กล็อต-ร่วมทุน’ทางรอดกู้วิกฤติ

  • ภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญวิกฤตสภาพคล่องรุนแรง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ผู้ซื้อกู้ไม่ผ่านและผู้ประกอบการไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้
  • ผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์การขายแบบ “บิ๊กล็อต” หรือขายเหมาโครงการจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าตลาดให้กับนักลงทุนรายใหญ่หรือกองทุนต่างชาติ เพื่อสร้างกระแสเงินสดอย่างรวดเร็ว
  • การ “ร่วมทุน” กับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เช่น เจ้าของที่ดินหรือบริษัทต่างชาติ เป็นอีกทางรอดที่ได้รับความนิยมเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและแบ่งเบาภาระด้านเงินทุน

สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่โควิด-19 ในปี 2563 ประเทศไทยยังไม่เคยฟื้นตัวเต็มที่!  แม้ในปี 2566 จะมีสัญญาณบวกจากภาคท่องเที่ยว การลงทุน และการบริโภค แต่ปัจจัยลบที่สะสมเรื้อรังกลับบั่นทอนความหวัง ไม่ว่าจะสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน นโยบายภาครัฐยังไม่เดินหน้า การลงทุนภาคอุตสาหกรรมชะงักเพราะนโยบายภาษีสหรัฐ รวมถึงภาวะสงครามชายแดนและการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน 

ความไม่มั่นใจเหล่านี้สะท้อนผ่านการใช้จ่ายในครัวเรือนชะลอตัว โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งถือเป็นหนี้ระยะยาว ขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือ GDP ยังคงสูง

“จากโควิดสู่เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ความไม่มั่นใจของผู้บริโภคลดลง กลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ตลาดอสังหาฯ เปลี่ยนเกม”

โจทย์ยาก “โอนไม่ได้-ไร้กระแสเงินสด”

เมื่อลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ และภาระหนี้สินของผู้บริโภคสูงขึ้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเผชิญปัญหาโอนไม่ได้! 

“เมื่อรายได้ไม่เข้ามาตามแผน แต่ต้นทุนก่อสร้าง รายจ่าย และหนี้สินยังคงเดินหน้าไม่มีหยุด หลายรายจึงต้องเร่งระบายสต็อกเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยวิธีที่ได้รับความนิยมในช่วง 1-2 ปีนี้คือ การขายแบบบิ๊กล็อต ให้นักลงทุนรายใหญ่ กลุ่มทุนต่างชาติ หรือบริษัทตัวแทนอสังหาฯ”

“บิ๊กล็อต” เร็วกว่า…เสี่ยงน้อยกว่า

รูปแบบการขายนี้ต่างจากการขายปลีกให้รายย่อย ทั้งด้าน “ความเร็ว” และ “ความเสี่ยง” เพราะไม่ต้องรอลูกค้ากู้ผ่านทีละราย ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ชะงัก แต่ต้องแลกมาด้วย ราคาขายที่ต่ำกว่าราคาตลาด

“บางครั้งการขายที่ต่ำกว่าราคาปกติเล็กน้อย ก็ดีกว่าปล่อยให้เงินสดขาดมือ”

ยกตัวอย่าง “เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์”  มีการขายคอนโดจำนวน 140 ยูนิต มูลค่ากว่า 200 ล้านบาทให้กับ เอฟ ดี ฮาริสัน ซึ่งถือหุ้น โดยบริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) และ Aurevia Asia Pacific Fangdd Network Group Ltd.เพื่อนำมาทำการตลาดและบริหารการขายโดยเน้นลูกค้าต่างชาติ

ขณะที่ “ออริจิ้น” ขายยูนิตที่เหลือใน 2 โครงการมูลค่ากว่า 1,023 ล้านบาท ให้กับ Delta Electronics และขายพื้นที่พาณิชยกรรมย่านทองหล่อ มูลค่า 500 ล้านบาท ให้กลุ่มทุน JLK Holding จากไต้หวัน หรือการที่ “MQDC” ขายบิ๊กล็อตโครงการใน The Forestias มูลค่ารวมกว่า 4,700 ล้านบาท ให้บริษัทต่างชาติ หรือ “อารียา พรอพเพอร์ตี้” และผู้ประกอบการอีกหลายราย เลือกขายโครงการทั้งก้อน หรือขายบริษัทลูกที่เป็นเจ้าของโครงการให้กับผู้เล่นที่มีศักยภาพ

บางรายที่ไม่ต้องการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างการก่อสร้าง ก็เลือก “ขายโครงการให้ผู้ประกอบการรายอื่น” เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยง แลกเงินสดกลับมาหมุน อย่างเช่น “ออลล์ อินสไปร์” ที่ขายโครงการลาซาล 17 ให้ เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ ด้วยมูลค่ารวมเกือบ 500 ล้านบาท

ทางรอดระยะยาว “ร่วมทุน”

นอกจากขายแบบเหมาแล้ว แนวทางการ “ร่วมทุน” กับเจ้าของที่ดิน นักลงทุนต่างชาติ หรือแม้แต่คู่แข่ง กลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เห็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยรูปแบบความร่วมมือที่ปรากฏ อาทิ การร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน เช่น ออริจิ้น จับมือกับ บุญภา 2020 พัฒนา Smart Complex บางนา มูลค่า 4,000 ล้านบาท หรือร่วมทุนกับต่างชาติ เช่น บริทาเนีย กับ Sotetsu จากญี่ปุ่น เอสซี แอสเสท กับ Tokyo Tatemono และ Daiwa House

หรือการขายหุ้นในบริษัทพัฒนาโครงการร่วมทุน เช่น Noble ขายหุ้น 50% ให้ StekEx Ventures เพื่อพัฒนาโครงการ Asoke-Rama 9 หรือการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ในต่างประเทศ เพื่อพัฒนาอสังหาฯ เช่น เสนาฯ กับ Mitsubishi Logistics สร้างคลังสินค้าให้เช่าย่าน บางนา กม.23

“การร่วมทุนช่วยผู้ประกอบการไทยลดความเสี่ยง และต่อยอดโครงการให้ไกลกว่าขีดจำกัดเดิม”

เกมอสังหาฯ เปลี่ยน

ในโลกที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นปัจจัยถาวร ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่รอดได้ คือผู้ที่ “เข้าใจเงินสด” และ “กล้า” ปรับกลยุทธ์ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบเหมา การปลดภาระผ่านการขายโครงการ หรือการร่วมทุนระยะยาวกับทุนต่างชาติ กลยุทธ์เหล่านี้ คือภาพสะท้อนของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง 

“ในวันที่ลูกค้ารายย่อยยังลังเล ผู้ประกอบการที่เดินหน้าได้ ต้องหาผู้ซื้อแบบ ‘ยกเข่ง’ ให้เจอ”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30 ต.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนสอดคล้องกับการปรับโซนทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออกสำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ และ ECB

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ต.ค.2568 ที่ระดับ  32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.27 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้

เพราะแม้ว่า ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทว่า ในช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่างข้อมูลการจ้างงาน จนกว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลง

ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้น้ำหนักและความสนใจกับรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP มากขึ้น โดยเฉพาะหลัง ADP จะทยอยทำข้อมูลการจ้างงานรายสัปดาห์

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) ซึ่งต้องรอลุ้น ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม BOJ และถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ

 เนื่องจากผู้เล่นในตลาดไม่ได้คาดหวังว่า BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนตุลาคมนี้ ทำให้มีความเสี่ยงที่ หาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด ก็อาจหนุนให้ เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น หรือแม้ว่า BOJ จะคงดอกเบี้ยตามคาด แต่หากมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้

อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นได้บ้าง แต่หาก BOJ คงดอกเบี้ยตามคาด และไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ที่ชัดเจน ก็อาจกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นสามารถอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 153 เยนต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจพอช่วยหนุนเงินดอลลาร์ได้

เนื่องจากเรามองว่า เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน โดยเงินบาทยังพอมีโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์)

ขณะที่โซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจสอดคล้องกับการปรับโซนทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก และฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง)

ทว่า ต้องระวังความผันผวนของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงขึ้นชัดเจน จากช่วงก่อนหน้า และมองว่า เงินบาทก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงไปอีกสักระยะ

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.55 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง สู่โซน 32.40 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.25-32.45 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า เฟดจะมีเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75-4.00% พร้อมส่งสัญญาณยุติการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening) ตามที่ตลาดคาดหวัง

ทว่าก็มีความเซอร์ไพรส์ตลาดอยู่บ้าง ทั้งมติการปรับลดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยมีกรรมการ 1 ท่าน (Jeffrey Schmid) เห็นควรให้เฟดคงดอกเบี้ย ส่วนกรรมการอีก 1 ท่าน (Stephen Miran) ให้ควรให้ลดดอกเบี้ย 50bps

นอกจากนี้ ในช่วง Press Conference ประธานเฟด Jerome Powell ยังได้ส่งสัญญาณว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนั้น อาจยังไม่แน่นอน (“A further reduction in the policy rate at the December meeting is not a foregone conclusion. Far from it.”)

สะท้อนถึงความระมัดระวังของเฟดในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น ท่ามกลางภาวะขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ Data Blindness จากผลกระทบของภาวะ US Government Shutdown ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม เหลือ 67%

 (ส่วนในปีหน้า ผู้เล่นในตลาดยังให้โอกาสราว 70% ที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า) โดยท่าทีของประธานเฟดดังกล่าว ได้หนุนให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างรีบาวด์สูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินบาท

ทว่าการอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมของธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาทิ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน  และมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง หลังประธานเฟด Jerome Powell ส่งสัญญาณว่า เฟดจะระมัดระวังการปรับนโยบายการเงิน โดยการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนั้นยังมีความไม่แน่นอนอยู่

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +3.0% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.004% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.55%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง จากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่ส่งสัญญาณว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนั้นยังมีความไม่แน่นอน สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดบอนด์สหรัฐฯ

โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว จนอาจทำให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้ ในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง

เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม จากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่ระบุว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมยังมีความไม่แน่นอนอยู่

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม BOJ และ ECB ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจน ส่งผลให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,950-3,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง BOJ และ ECB โดยในส่วนของ BOJ นั้น ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ตามเดิม เช่นเดียวกันกับฝั่งของ ECB ที่น่าจะคงดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00%

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ และ ECB โดยเฉพาะผู้ว่าฯ BOJ และประธาน ECB ในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลางหลัก

ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งสองธนาคารกลางอาจสื่อสารไม่ต่างกับประธานเฟด Jerome Powell ว่า แนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายอาจยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เพื่อเปิดกว้างการปรับดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ ยังมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในปีนี้ ส่วน ECB อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้วในปีนี้

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ส่วนในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ 31 ตุลาคม เป็นต้นไปนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น

ทั้ง อัตราเงินเฟ้อในพื้นที่กรุงโตเกียว เดือนตุลาคม ข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่นำมาประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางนโยบายการเงินของ BOJ  

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.37-32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสวนทาง Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่ทยอยฟื้นตัวขึ้น หลังท่าทีของประธานเฟดไม่ได้สะท้อนสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC รอบถัดไปในเดือนธ.ค. แม้ว่าผลการประชุมรอบนี้ เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 25 basis points มาที่ 3.75-4.00% และประกาศเตรียมยุติการลดงบดุลในช่วงต้นเดือนธ.ค. ก็ตาม 

นอกจากนี้ เงินบาทและสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ ยังอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินเยนในช่วงก่อนผลการประชุม BOJ ซึ่งตลาดประเมินว่า อาจจะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมา สถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สกุลเงินเอเชีย รวมถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOJ และ ECB ในวันนี้ด้วยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โกยแต้มต่อเนื่อง! BWF ประกาศอันดับโลก “บาส-เฟม” นักแบดมินตันคู่ผสมทีมไทย

เดินหน้าทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องสำหรับ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่ผสมทีมชาติไทย ที่เพิ่งจะทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแบดมินตัน เฟรนช์ โอเพ่น 2025 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา

โดยในรอบชิงชนะเลิศ คู่ผสมของไทย เป็นฝ่ายแพ้ให้กับ เฝิง หยางเจ๋อ กับ หวง ตงปิง คู่มืออันดับ 2 ของโลกจากจีนไป 0-2 เกม (25-27, และ 12-21) จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์

ล่าสุดของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้ประกาศอันดับโลกใหม่ปรากฎว่า “บาส-เฟม” ขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ของโลก ด้วยการมี 93,095 คะแนน เป็นที่เรียบร้อย หลังเก็บเพิ่ม 9,350 คะแนน จากการคว้ารองแชมป์ เฟรนช์ โอเพ่น 2025

ถือเป็นการก้าวกระโดดของ สองนักแบดมินตันคู่ผสมทีมชาติไทย ที่เดินหน้าเก็บคะแนนสะสมโลกได้อย่างต่อเนื่อง หลังเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ทั้งคู่ยังรั้งอันดับ 57 ของโลก

สำหรับ เดชาพล กับ ศุภิสรา จับคู่ลงเล่นร่วมกันก่นคว้าแชมป์ระดับเวิลด์ทัวร์ ร่วมกัน 6 รายการ ประกอบด้วย คุมาโมโตะ เจแปน มาสเตอร์ส 2024, ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024, มาเลเซีย โอเพ่น 2025, ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025, สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 และ ไชน่า มาสเตอร์ส 2025

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“ผื่นกุหลาบ” คืออะไร เกิดจากอะไร ติดต่อไหม มีอาการอะไรบ้าง

ผื่นกุหลาบ (Pityriasis Rosea) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส มักพบในเด็กและวัยรุ่นอายุระหว่าง 10-35 ปี โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน เริ่มจากมีผื่นแดงวงกลมหรือวงรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ผื่นนำ” จากนั้นจะเกิดผื่นย่อยกระจายทั่วลำตัวในลักษณะคล้ายต้นคริสต์มาส อาจมีอาการคันร่วมด้วย การป้องกันทำได้โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

“ผื่นกุหลาบ” คืออะไร

“ผื่นกุหลาบ” หรือ “โรคขุยดอกกุหลาบ” เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ถึงแม้จะไม่ใช่โรคที่อันตรายอะไรมากนัก แต่กลับเป็นโรคที่สร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้พอสมควร เพราะจะเกิดผื่นขึ้นทั่วร่างกาย หรือในบางรายก็อาจพบอาการอื่นๆร่วมด้วย วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันว่าโรคผื่นกุหลาบมีสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา อย่างไรบ้าง

สาเหตุของ ผื่นกุหลาบ หรือ ผื่นขุยกุหลาบ (Pityriasis rosea)

พญ.กมลวรรณ พงศ์ปริตร แพทย์ผู้ชำนาญด้านผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) ระบุว่า ผื่นกุหลาบ เป็นโรคผิวหนังที่ไม่ค่อยรุนแรง ไม่ใช่โรคติดต่อ เป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาของผิวหนังต่อภาวะบางอย่าง เช่น โรคติดเชื้อไวรัสบางชนิดในกลุ่ม Human herpes virus 6, 7 ซึ่งไม่ใช่ไวรัสสายพันธ์ุที่เป็นสาเหตุของโรคเริมและโรคอีสุกอีใส และผื่นกุหลาบ ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรคได้

สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ การใช้ยาบางประเภทก็อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นกุหลาบได้ เช่น Captopril ยาลดความดันโลหิตกลุ่มยาต้านเอนไซม์เอซีอี ยาฆ่าเชื้อ Metronidazole ยา Isotretinoin ที่ใช้รักษาสิว ยา Omeprazole สำหรับรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ยา Terbinafine สำหรับรักษาเชื้อรา เป็นต้น

กลุ่มเสี่ยงผื่นกุหลาบ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นถึงวัยกลางคน พบน้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ส่งผลให้เกิดผื่นขึ้นบริเวณหน้าอก หลัง ต้นแขน ต้นขา คอ ซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 นิ้ว โดยผื่นจะปรากฎขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป 6-12 สัปดาห์ และอาจหายไปเองภายใน 1-3 เดือน โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา ทั้งยังไม่สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นโดยการสัมผัส ผื่นกุหลาบมักส่งผลกระทบต่อเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยรุ่นช่วงอายุ 10-35 ปี แต่สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคนี้แล้วมักจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

อาการของผื่นกุหลาบ

ผื่นจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้

  • ระยะแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะมีผื่นรูปวงรีราบสีชมพูหรือแดงขนาดใหญ่1ผื่น ตรงกลางจางกว่ารอบๆ นำมาก่อน มีขุยละเอียดสีขาวรอบๆผื่น คล้ายปกเสื้อ (collarette scales) เรียกว่า ผื่นแจ้งข่าวหรือผื่นแจ้งโรค (Herald patch) ขนาดประมาณ 2-4 เซนติเมตร ส่วนใหญ่จะเกิดที่บริเวณลำตัวที่อยู่ในร่มผ้า เช่น ท้อง หน้าอก คอ หลัง ไม่ค่อยพบผื่นที่หน้า หรือบริเวณอวัยวะเพศ
  • ระยะที่ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ (แต่มีรายงานว่าห่างจากระยะที่ 1 ได้ถึง 2 เดือน) ผื่นลักษณะคล้ายกัน แต่ขนาดเล็กกว่า จะเพิ่มจำนวนขึ้น โดยมักพบผื่นกระขายที่ลำตัว หลัง ต้นแขน และต้นขา โดยผื่นมักจะกระขายตามเส้นพับของร่างกาย ซึ่งหากมองบริเวณลำตัว จะดูคล้ายลักษณะของต้นคริสต์มาส (christmas-tree pattern) ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่ทำให้วินิจฉัยจากอาการได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคัน ระคายเคืองร่วมด้วย โรคนี้มักไม่พบผื่นที่มือ เท้า หรือในช่องปาก อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางส่วนอาจพบผื่นในตำแหน่งอื่นๆ เช่น ซอกพับ หน้า หรือฝ่าเท้า เรียกว่ากลุ่ม Atypical pityriasis rosea ซึ่งอาจต้องใช้การตัดชิ้นเนื้อผิวหนังตรวจเพื่อการวินิจฉัย อาจมีอาการคัน ระคายเคืองร่วมด้วย

บางคนอาจรู้สึกไม่สบายร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดข้อ ร่วมด้วย

ทั้งนี้ อาการผื่นขุยทั้ง 2 ระยะจะปรากฏอยู่นาน 2-12 สัปดาห์ อาจหายแล้วทิ้งรอยดำได้ แต่จะไม่ทำให้เกิดแผลเป็น บางรายอาจมีอาการคงอยู่นานถึง 5 เดือนและหายไปเอง

การวินิจฉัยผื่นกุหลาบ

ในเบื้องต้น แพทย์มักวินิจฉัยผื่นกุหลาบด้วยการตรวจดูผิวหนังบริเวณที่เกิดความผิดปกติ หากยังไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน แพทย์อาจสั่งตรวจด้านอื่นเพิ่มเติม เช่น

  • เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ บริเวณที่เป็นผื่นแล้วนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาเชื้อรา เพราะผู้ป่วยบางรายอาจเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่นที่มีอาการคล้ายผื่นกุหลาบ
  • ตรวจเลือด เพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลหรือผื่นตามร่างกายคล้ายผื่นกุหลาบ
  • ในบางกรณีที่ผื่นไม่มีลักษณะสำคัญที่ทำให้วินิจฉัยจากอาหารได้ อาจต้องใช้การตัดชื้นเนื้อผิวหนังตรวจ เช่น กรณีเป็น Atypical pityriasis rosea

ผื่นกุหลาบ ติดต่อไหม

ผื่นกุหลาบ ไม่ใช่โรคติดต่อ โดยปกติแล้วอาการผื่นกุหลาบมักจะหายไปได้เองภายใน 2-12 สัปดาห์ การรักษาเป็นแบบการประคับประคองตามอาการเป็นหลัก

การใช้ยารักษาผื่นกุหลาบ

  • ยารับประทานแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine ใช้เพื่อลดอาการคันที่ผิวหนัง
  • ยาปฏิชีวนะและยาต้านไวรัสที่มีรายงานการใช้ คือ erythromycin 250 mg วันละ 4 ครั้ง หรือ acyclovir 800 mg วันละ5ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งพบว่าสามารถลดระยะเวลาการเกิดผื่นได้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น จึงแนะนำให้ใช้เฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการผื่นมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ไข้ ผื่นขึ้นเยอะมากทั่วตัว และต้องประเมินโอกาสการเกิดผลข้างเคียงของยาในผู้ป่วยร่วมด้วย
  • ครีมบำรุงผิว(Moisturizer) ใช้เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวบริเวณที่เกิดผื่น
  • ยาทาในกลุ่ม Steroidใช้เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง
  • และในบางรายที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง อาจต้องรับการรักษาด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB Light Therapy) เพื่อช่วยให้อาการของโรคทุเลาลง

การดูแลตัวเองสำหรับโรคผื่นกุหลาบ

  • อาบน้ำด้วยน้ำอุณหภูมิปกติและหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน หรือน้ำอุ่นจัด
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยนและไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • หลีกเลี่ยงการเกาผื่นถูผื่นแรงๆ และตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนจากการเกา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและไม่ก่อให้เกิดการเสียดสีระคายเคืองต่อผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนเพราะสภาพอากาศที่อบอ้าว และการมีเหงื่อออกมากอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยบางรายสังเกตตัวเองว่า มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผื่นได้บ่อย ก็อาจหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นนั้นๆ เช่น ยาบางชนิด อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เหงื่อ สิ่งแวดล้อมบางอย่าง เป็นต้น

การป้องกันโรคผื่นกุหลาบ

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันโรค เนื่องจากยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้อย่างแน่ชัด

ผื่นกุหลาบ สามารถพบได้ตลอดทั้งปี โดยส่วนใหญ่มักพบบ่อยในช่วงฤดูฝน อาจเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำลง เป็นโรคที่ไม่รุนแรง หายไปได้เองภายใน 2-12 สัปดาห์ การทราบถึงตัวโรคและสาเหตุ รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตนและพยากรณ์โรค จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจภาวะที่เป็นมากขึ้น ไม่เครียดไม่กังวลจนเกินไป การรักษาตามอาการ เช่น ยารับประทานลดอาการคัน หรือยาทากลุ่ม Steroid จะช่วยบรรเทาอาการคันได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เรียนอังกฤษผ่านการสนทนาจริง เคล็ดลับฝึกพูดกับเจ้าของภาษาโดยไม่เขิน

เคล็ดลับฝึกพูดกับเจ้าของภาษาโดยไม่เขิน

หลายคนอยากพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ฟังง่าย แต่ติดปัญหา ไม่กล้าพูด หรือเขินเวลาเจอเจ้าของภาษา บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ เคล็ดลับฝึกสนทนาภาษาอังกฤษจริง ๆ กับเจ้าของภาษา โดยไม่เขิน พร้อมเทคนิคฝึกอังกฤษออนไลน์ทุกวัน เพื่อให้พูดคล่อง ฟังชัด และมั่นใจ

1. เข้าใจว่าความเขินเป็นเรื่องปกติ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ความเขินเวลาใช้ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความล้มเหลว
เคล็ดลับ:

  • ยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
  • เริ่มจากประโยคสั้น ๆ และค่อย ๆ ขยาย
  • ตั้งเป้าหมายเล็ก เช่น สนทนา 3–5 ประโยคต่อวัน

ประโยชน์: ลดความกังวล ทำให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ

2. เรียนคำศัพท์และประโยคที่ใช้จริง

การรู้คำศัพท์เพียงอย่างเดียวไม่พอ ควรเรียน ประโยคและสำนวนเจ้าของภาษาใช้จริง
ตัวอย่าง:

  • “How’s it going?” = สวัสดีแบบเป็นกันเอง
  • “I’m afraid I don’t understand” = ขอให้ชัดเจนเมื่อฟังไม่ทัน

เคล็ดลับ: จดประโยคสั้น ๆ แล้วฝึกพูดทุกวัน ทำให้พูดได้โดยไม่ต้องคิดมาก

3. ฝึกฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

การฟังเป็นกุญแจสำคัญในการสนทนา
เทคนิค Active Listening:

  • ฟังเจ้าของภาษาอย่างตั้งใจ
  • สังเกตสำเนียง จังหวะ และคำเชื่อม
  • หยุดแล้วตอบสนอง เช่น พยักหน้า พูดคำสั้น ๆ หรือถามกลับ

ประโยชน์: พูดต่อได้คล่องขึ้น และลดความเขิน

4. Shadowing – พูดตามเจ้าของภาษา

Shadowing คือ ฟังแล้วพูดตามทันที ช่วยปรับสำเนียงและจังหวะ
วิธีทำ:

  • เลือกคลิปสั้น 1–2 นาที
  • เล่นประโยคแล้วพูดตามให้ใกล้เคียงที่สุด
  • ทำซ้ำทุกวันเพื่อความคล่อง

เคล็ดลับ: ทำเสียงให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลถ้าไม่เหมือน 100% ในตอนแรก

5. เริ่มสนทนาแบบตัวต่อตัวออนไลน์

การฝึกสนทนาออนไลน์กับ ครูเจ้าของภาษา เป็นวิธีเร็วที่สุด
แพลตฟอร์มแนะนำ:

  • Wall Street English: เรียนตัวต่อตัว ครูเจ้าของภาษา
  • Cambly, iTalki: เลือกครูและสำเนียงตามต้องการ

ข้อดี:

  • ได้ฟีดแบคทันที
  • ฝึกประโยคจริง ใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ลดความเขินเพราะเริ่มจากสภาพแวดล้อมปลอดภัย

6. ใช้เทคนิค “Talk to Yourself”

พูดภาษาอังกฤษกับตัวเองก็ช่วยได้
วิธีฝึก:

  • พูดสิ่งที่ทำอยู่ เช่น “I’m making coffee”
  • ฝึกเล่าเรื่องวันของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ
  • อัดเสียงตัวเองแล้วฟังซ้ำ

ประโยชน์: ทำให้คุ้นกับการพูดโดยไม่กลัวผิด

7. จดบันทึกประสบการณ์และคำศัพท์

หลังจากสนทนาแต่ละครั้ง ให้จด คำศัพท์, ประโยค, ข้อผิดพลาด
เทคนิค:

  • แยกคำศัพท์เป็นหมวด เช่น งาน, ชีวิตประจำวัน, เทคโนโลยี
  • ฝึกพูดซ้ำทุกวัน
  • ใช้บันทึกเป็นแนวทางพัฒนาการพูดต่อไป

8. ฝึกสนทนาในสถานการณ์จริง

หากมีโอกาส ลองพูดอังกฤษในชีวิตจริง เช่น

  • ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร
  • งานอีเวนต์หรือกลุ่ม Meetup
  • เพื่อนต่างชาติออนไลน์

เคล็ดลับ: เริ่มจากประโยคง่าย ๆ และค่อย ๆ ขยาย พูดผิดไม่เป็นไร เพราะถือเป็นการฝึก

9. ตั้งเป้าหมายประจำสัปดาห์

การตั้งเป้าหมายช่วยลดความเขินและสร้างแรงจูงใจ
ตัวอย่าง:

  • สนทนาออนไลน์กับครูเจ้าของภาษา 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • พูดประโยคใหม่ 10–15 ประโยคต่อวัน
  • ฟังพอดแคสต์ภาษาอังกฤษ 30 นาทีต่อวัน

เคล็ดลับ: จดบันทึกความคืบหน้าเพื่อเห็นพัฒนาการ

10. สร้างสภาพแวดล้อมภาษาอังกฤษรอบตัว

ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
วิธีทำ:

  • ตั้งมือถือและแอปเป็นภาษาอังกฤษ
  • ดูซีรีส์, ฟังเพลง, อ่านข่าวเป็นภาษาอังกฤษ
  • พูดกับตัวเองหรือเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษ

ผลลัพธ์: พูดคล่อง ฟังเข้าใจเร็ว และลดความเขิน

สรุป

การสนทนาภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาไม่ยาก หากใช้ เคล็ดลับ 10 ข้อ ข้างต้น และฝึก ทุกวันแบบต่อเนื่อง ทั้งการฟัง, พูด, Shadowing, และสนทนาออนไลน์ การพูดอังกฤษไม่เขินจะเกิดขึ้นเอง พร้อมพัฒนาความมั่นใจและสำเนียงให้คล้ายเจ้าของภาษา

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


‘2C2P’ ทุ่มงบ 1,500 ล้าน ปั้นไทยศูนย์กลางฟินเทคแห่งอาเซียน

“2C2P” ก้าวสู่ยุคใหม่ของฟินเทค ผนึกกำลัง “Antom” ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางฟินเทคแห่งภูมิภาคแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วรฉัตร ลักขณาโรจน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินแบบครบวงจร กล่าวว่า 2C2P เปิดตัวแบรนด์โฉมใหม่ เดินหน้าสู่ยุคแห่งการเติบโตครั้งใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ล่าสุด ผนึกกำลัง Antom ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินและโซลูชันดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการ ในเครือ Ant International ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางฟินเทคแห่งภูมิภาค พร้อมประกาศเดินกลยุทธ์ 3 แกนหลัก เสริมโซลูชันองค์กร-สร้างนวัตกรรมการชำระเงิน-ยกระดับ SME ไทยด้วยแพลตฟอร์มระดับโลก

วรฉัตร กล่าวถึงการก้าวสู่การเติบโตครั้งใหม่ของ 2C2P ว่า ในปี 2568 คาดว่าปริมาณธุรกรรมรวมของ 2C2P ประเทศไทยจะทะลุ 450,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 35% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้จะเติบโตขึ้นราว 25% ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจและความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

ภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทเตรียมลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย ครอบคลุม Cloud Infrastructure, Modernized Architecture, AI & Automation และ Business Intelligence เพื่อเสริมประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์มการชำระเงิน

ทั้งนี้ 2C2P ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการให้บริการแก่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมุ่งขยายสู่ธุรกิจทุกขนาด โดยพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และการชำระเงินข้ามพรมแดน เพื่อให้ทุกการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และไร้รอยต่ออย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเงินเพื่อยกระดับศักยภาพของธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัย โดยเฉพาะใน 4 ธุรกิจหลัก 2C2P ได้นำเทคโนโลยีการชำระเงินครบวงจรมาเชื่อมต่อทุกมิติของธุรกิจ ตั้งแต่ระบบความปลอดภัยระดับโลก ช่องทางการชำระเงินกว่า 400 ช่องทางทั่วโลก ไปจนถึงฟีเจอร์ Click to Pay และระบบตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคง ปลอดภัย และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

2C2P มุ่งลงทุนต่อเนื่องในเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างครอบคลุม เท่าเทียม และทั่วถึงมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาและเสริมศักยภาพบุคลากรในภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางฟินเทคแห่งเอเชีย” (Fintech Hub of Asia)

ปรับโฉมภาพลักษณ์องค์กรใหม่

  • โลโก้ใหม่ “2C2P by Antom”
  • วิสัยทัศน์ (Vision): เป็นพันธมิตรด้านฟินเทคที่เชื่อถือได้และมีนวัตกรรมล้ำสมัยที่สุด เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • พันธกิจ (Mission): ส่งเสริมให้ธุรกิจทุกขนาดในภูมิภาคประสบความสำเร็จ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ปลอดภัย ไร้รอยต่อ และยืดหยุ่น

‘3 ยุทธศาสตร์’ สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต

  1. เสริมความแข็งแกร่งให้กับโซลูชันหลักสำหรับลูกค้าองค์กร (Enterprise Payment Solutions)
  2. สร้างนวัตกรรมการชำระเงินเพื่อ 4 กลุ่มธุรกิจหลักของไทย ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ สายการบิน ประกันภัย และ OTA
  3. ยกระดับศักยภาพ SME ด้วยแพลตฟอร์มระดับองค์กร ผ่าน qwik by 2C2P

ข้อมูลเชิงลึกจาก 2C2P ชี้ว่า ธุรกิจ Online Travel Agency (OTA) มีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 92% รองลงมาคือ ประกันภัย (42%) อีคอมเมิร์ซ (34%) และ สายการบิน (20%) สะท้อนความต้องการระบบชำระเงินที่มั่นคงและยืดหยุ่นในยุคดิจิทัลกลยุทธ์สุดท้าย การยกระดับศักยภาพ SME ด้วยแพลตฟอร์มระดับองค์กร

รายงานธุรกิจและข้อมูลเชิงลึกของ 2C2P ประเทศไทยยังพบว่า แนวโน้มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านช่องทางดิจิทัลอย่าง Alipay และ บัตรเครดิตต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินที่ปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น

  • ยอดการใช้จ่ายผ่าน Alipay เพิ่มขึ้นกว่า 25% โดยหมวดสายการบินมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 14,000 บาทต่อรายการ และหมวด OTA เฉลี่ย 5,500 บาทต่อรายการ
  • บัตรเครดิตต่างประเทศ เติบโตสูงถึง 40% โดยหมวดสายการบินมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 27,000 บาทต่อรายการ และหมวด OTA เฉลี่ย 3,000 บาทต่อรายการ

พฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภคไทยยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มว่าช่องทาง PromptPay และ e-Wallets จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บัตรเครดิตและช่องทางธนาคารยังคงครองสัดส่วนมูลค่าธุรกรรมหลัก

โดยเฉพาะในหมวดการท่องเที่ยว การเดินทาง และสินค้าพรีเมียม ทั้งนี้ 2C2P คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ระบบ PromptPay และ e-Wallets จะมีบทบาทสำคัญในเชิงปริมาณธุรกรรม และภายในปี 2571 ระบบการชำระเงินของประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบดิจิทัลมากกว่า 85%

นอกจากนี้ พฤติกรรมการชำระเงินแบบ ผ่อนชำระ (Installment Payment) ยังเติบโตต่อเนื่องกว่า 12% โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายการประมาณ 22,000 บาท หมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่

  • OTA – เติบโต 33% มูลค่าเฉลี่ยฯ 6,000 บาท
  • ประกันภัย – เติบโต 28% มูลค่าเฉลี่ยฯ 60,000 บาท
  • สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เสริม – เติบโต 12% มูลค่าเฉลี่ยฯ 33,000 บาท
  • สายการบิน – เติบโต 12% มูลค่าเฉลี่ยฯ 42,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ประโยชน์ต้นตีนเป็ด หรือ ต้นพญาสัตบรรณ ที่ดีต่อสุขภาพ

หน้าหนาวมาทีไร แถวบ้านใครที่ปลูกต้นตีนเป็ด หรือ ต้นพญาสัตบรรณ เอาไว้คงได้กลิ่นจากดอกของต้นนี้อย่างชัดเจน บ้างก็ว่าหอมชื่นใจ บ้างก็ว่าเหม็นจนเวียนหัว แต่ไม่ว่าอย่างไรต้นตีนเป็ดก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ลมหนาว” ไปโดยปริยาย นอกจากต้นตีนเป็ดจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงากับเราได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีสรรพคุณดีๆ ที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ในฐานะของการเป็นสมุนไพรไทยได้อีกด้วย

พญาสัตบรรณ หรือ สัตบรรณ หรือ ตีนเป็ด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 12–20 เมตร อยู่ในวงศ์ Apocynaceae มีถิ่นดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบได้ทุกภาคในประเทศไทย และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสาคร

ลักษณะของต้นตีนเป็ด

ต้นตีนเป็ด มีเปลือกหนาแต่เปราะ ผิวต้นมีสะเก็ดเล็ก ๆ สีขาวปนน้ำตาลกรีดดูจะมียางสีขาวลำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขามากลักษณะเป็นชั้น ๆ เปลือกชั้นในสีน้ำตาล มีน้ำยางสีขาว ใบเป็นกลุ่มบริเวณปลายกิ่งช่อหนึ่งมีใบประมาณ 5–7 ใบ ก้านใบสั้น แผ่นใบรูปรีแกมรูปขอบขนานถึงรูปหอกแกมรูปขอบขนาน หรือรูปมนแกมรูปบรรทัด ปลายใบเป็นติ่งเล็กน้อย ใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีสีขาวนวล ถ้าเด็ดก้านใบจะมียางสีขาว ลักษณะใบยาวรีปลายใบมนโคนใบแหลม ขนาดใบยาวประมาณ 10–12 เซนติเมตร ออกดอกสีเขียวอ่อนเป็นช่อตามปลายกิ่ง ปากท่อของกลีบดอกมีขนยาวปุกปุย ดอกมีกลิ่นฉุนรุนแรง สูดดมเพียงเล็กน้อยจะรู้สึกกลิ่นหอม หากสูดดมมากจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ช่วงค่ำจะส่งกลิ่นแรงกว่าเวลาอื่น ๆ ดอกเป็นกลุ่มคล้ายดอกเข็มช่อหนึ่งจะมีกลุ่มดอกประมาณ 7 กลุ่ม ดอกมีสีขาวอมเหลือง ปกติจะออกดอกในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ผลเป็นฝักยาว ฝักคู่หรือเดี่ยว ลักษณะเป็นเส้น ๆ กลมเรียวยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตก มีขุยสีขาวคล้ายฝ้ายปลิวไปตามลมได้ในฝักมีเมล็ดเล็ก ๆ ติดอยู่กับขุยนั้น

ประโยชน์ดีๆ ต่อสุขภาพของต้นตีนเป็ด

  1. เปลือกของลำต้นมีรสขม สามารถนำมาทำเป็นยาที่ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน และแก้หวัด แก้ไอ บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
  2. เปลือกของลำต้น ช่วยรักษาโรคบิด ท้องร่วง ท้องเดินเรื้อรัง โรคลำไส้และลำไส้ติดเชื้อ
  3. เปลือกของลำต้น ต้มน้ำอาบ ลดอาการผดผื่นคัน
  4. ยางจากลำต้น ใช้หยอดหูแก้อาการปวดหู และใช้อุดฟันเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน
  5. ใบอ่อน นำมาต้มเพื่อดื่มรักษาโรคลักปิดลักเปิด
  6. ใบ และยาง ชาวอินเดียใช้รักษาแผล แผลเปื่อย แผลตุ่มหนอง และอาการปวดข้อ 

ข้อควรระวังของต้นตีนเป็ด หรือพญาสัตบรรณ

จำให้ดีว่า ต้นตีนเป็ด (Alstonia scholaris) กับต้นตีนเป็ดน้ำ หรือต้นตีนเป็ดทะเล (Cerbera odollam) ไม่เหมือนกัน ต้นตีนเป็ดน้ำจะมีลำต้นเล็กกว่า และพบอยู่ริมน้ำ ริมคลอง หรือป่าชายเลน มีดอกสีขาวพร้อมกลิ่นอ่อนๆ ผลเป็นลูปกลมๆ หากลูกหลุดจากต้นแล้วแห้ง สามารถนำมารดน้ำปลูกเป็นต้นใหม่ได้

ต้นตีนเป็ดจะลำต้นสูงใหญ่กว่า ดอกเป็นช่อคล้ายดอกเข็ม ผลจะออกมาเป็นฝักยาว เส้นๆ กลมเรียว และที่สำคัญคือส่งกลิ่นได้เข้มข้นรุนแรงกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a60,450.0060,550.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,908.0059,245.2861,350.00
ทองรูปพรรณ 90%3,517.2053,320.75n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,126.4047,396.22n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,758.6026,660.38n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,367.8020,735.85n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,049.7461,394.06n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า