สาระน่ารู้ประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

ตลาดวัสดุก่อสร้างปี69 ‘ทรงตัว’ ถูกกดดันจากดีมานด์หดตัว

SCB EIC ชี้แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างปี69 ‘ทรงตัว’ หลังถูกกดดันจากดีมานด์ที่หดตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กระทบต่อโครงการก่อสร้างภาครัฐ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์   หรือ SCB EIC   ระบุว่า  ในปี 2569 วงการก่อสร้างไทยมีแนวโน้มอยู่ระหว่าง “ทรงตัว”และ “ชะลอ” โดยเฉพาะภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างซึ่งประเมินไว้ในระดับประมาณ 1.41 ล้าน ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตลดลงจากความไม่แน่นอนในหลายด้าน  ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างภาครัฐคาดว่าการก่อสร้างจะขยายตัวเล็กน้อย ประมาณ +1% เมื่อเทียบปีต่อปี และมีมูลค่าราว 860,000 ล้านบาท ตามข้อจำกัดจากกรอบวงเงินงบประมาณปี งบประมาณ 2569 ที่ลดลง ทั้งในส่วนของงบประมาณรายจ่ายและโดยเฉพาะงบลงทุนลดลงถึง 5% เมื่อเทียบกับปี งบประมาณ 2568 

รวมถึงปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคอยกดดันด้านภาคเอกชนมูลค่าการก่อสร้างถูกประเมินว่าจะหดตัวต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 551,000 ล้านบาท (–1% YOY) โดยเฉพาะในส่วนของอาคารที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในช่วงปรับตัว ขณะที่อาคารเชิงพาณิชย์ค่อนข้างทรงตัว สอดคล้องกับการหดตัวของ พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในปี 2567 และ 2568 ส่งสัญญาณว่ากิจกรรมก่อสร้างภาคเอกชนจะชะลอลงในระยะข้างหน้า

ความท้าทายของธุรกิจก่อสร้าง

แม้จะมี “โครงการเมกะ” (Mega Project) ที่กำลังเดินหน้าและมีแผนประมูลใหม่ในปี 2569 แต่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงเผชิญแรงกดดันหลายประการ เช่น ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง แม้ราคาวัสดุก่อสร้างบางรายการจะลดลง แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปี 2565 ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ได้ถูกมากขึ้น แรงงานต่างด้าวพื้นฐานลดลง

โดยเฉพาะแรงงานชาวเมียนมา ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อแรงงานก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการอาจถูกกดดันให้ปรับค่าแรงขึ้น ความเชื่อมั่นในโครงการก่อสร้างถูกกระทบ เหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ทำให้ผู้ว่าจ้างโครงการเพิ่มความเข้มงวดด้านคุณภาพวัสดุและกระบวนการก่อสร้างมากขึ้น การแข่งขันจากผู้รับเหมาต่างชาติ โดยเฉพาะผู้รับเหมาสัญชาติจีน ที่เข้ามามีบทบาทในตลาดผ่านการประมูลงานราคาต่ำ ส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและซัพพลายเชนในประเทศต้องปรับตัว

ในระยะกลาง ยังมีเงื่อนไขที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น ภาวะ Oversupply ของอสังหาริมทรัพย์ ที่สะสมอยู่, Productivity ของภาคก่อสร้างอยู่ในระดับต่ำ, และแรงกดดันด้าน การลดการปล่อย Emission ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ของการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างจึงปรับกลยุทธ์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพันธมิตรกับผู้ค้า/ผู้ผลิตวัสดุ,การวางแผนสั่งซื้อวัสดุล่วงหน้า, การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, การเน้นมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ต้นทุนพุ่ง-อุปสงค์ลดลงสะเทือนตลาด

ในปี 2569 สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างภาพรวมมีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนจากหลายปัจจัยที่สั่นสะเทือนทั้งด้านต้นทุน และ อุปสงค์ ราคาวัสดุก่อสร้างหลัก เหล็ก, ปูนซีเมนต์, กระเบื้อง, สีทาอาคาร มีแนวโน้มปรับลดลง ตามราคาวัตถุดิบ เช่น สินแร่เหล็ก, ถ่านหิน, น้ำมัน และค่าไฟฟ้าที่มีแรงกดดันลดลง  อย่างไรก็ดี แม้ราคาจะลดแต่ ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปี 2562 ปริมาณการใช้งานวัสดุที่พึ่งพาภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารที่อยู่อาศัย ถูกกดดันจากการหดตัวของตลาด ส่งผลให้การใช้งานวัสดุบางรายการลดลง

แต่ในกลุ่มวัสดุโครงสร้างอย่างเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบนมีแนวโน้มหดตัวน้อย หรือแทบทรงตัว เช่น เหล็กทรงยาวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน (+0.5% YOY) และเหล็กทรงแบนประมาณ 10.4 ล้านตัน (+0.2% YOY) ขณะที่ปูนซีเมนต์คาดว่าจะอยู่ที่ราว 36.1 ล้านตัน ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2568

กรณีที่ควรจับตามองคือ สินค้านำเข้าโดยเฉพาะ “เหล็กจีน” และเหล็กจากญี่ปุ่น/เกาหลีใต้ที่อาจถูกระบายเข้ามาในไทยมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้หาตลาดใหม่ในอาเซียน และไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมาย

ทิศทางและโอกาสในตลาดวัสดุ

ท่ามกลางแรงกดดันและความท้าทาย ตลาดวัสดุก่อสร้างจะเปลี่ยนผ่านจาก “ปริมาณ” ไปสู่ “คุณภาพ + มาตรฐาน + นวัตกรรม”  เป็นทางรอดของยุคนี้ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างควร จับมือพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรองรับการแข่งขันจากสินค้านำเข้า และเสริมมาตรฐานการผลิตให้ชัดเจนทั้งในด้านคุณภาพ และ สิ่งแวดล้อมส่วนผู้ค้าควร พร้อมรับสถานการณ์แบบ Real­Time จัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพสูง รองรับโครงการที่เน้นมาตรฐาน และ เทคโนโลยี รวมถึงบริการหลังการขายที่เข้มแข็ง

ตลาดวัสดุจะเริ่มให้โอกาสแก่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ “green building” และ “low-carbon” มากขึ้น เห็นได้จากทิศทางอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ตั้งเป้าลด Emission และปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเทคโนโลยีในห่วงโซ่การผลิต – เช่น การใช้การผลิตล่วงหน้า (prefabrication) , ระบบ BIM, หุ่นยนต์ในไซต์ก่อสร้าง จะเป็นเครื่องมือที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่ม Productivity และลดความเสี่ยง

สำหรับปี 2569 แม้ว่าตัวเลขภาพรวมจะดูไม่โดดเด่น  ตลาดก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง “ทรงตัว” มากกว่าจะเติบโตอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการปรับตัวของอุตสาหกรรม มากกว่าการขยายตัวแบบก้าวกระโดด

ธุรกิจที่รู้จักสร้าง “ความแตกต่าง” จากด้านคุณภาพ มาตรฐาน นวัตกรรม และ ความยั่งยืน จะมีโอกาสมากกว่าในตลาดที่กำลังแคบลงและมีการแข่งขันจากสินค้านำเข้าผู้ประกอบการทั้งในวงการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างควรมองปี 2569 ไม่ใช่เพียงปีแห่งการรอคอย แต่เป็นปีแห่ง การปรับรากฐาน เพื่อรองรับ “ยุคใหม่” ที่ตลาดไม่ได้โตด้วยปริมาณอีกต่อไป แต่โตด้วย “คุณค่าและความเชื่อมั่น”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘SC Asset’  ชู 3แกนหลัก ฝ่าเศรษฐกิจขาลง ไตรมาส 4 ตลาดอสังหาฯยังท้าทาย

  • SC Asset เผชิญความท้าทายในตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 4 จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง และการแข่งขันด้านราคา
  • บริษัทชูกลยุทธ์ 3 แกนหลัก หรือ “3B” เพื่อรับมือกับสถานการณ์และสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ
  • กลยุทธ์ดังกล่าวประกอบด้วย การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ (Believe) การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน (Buffer) และการกระจายความเสี่ยงโดยสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ (Blend)

สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง อุปทานล้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะไตรมาสที่4  การแข่งขันรุนแรงและนำไปสู่ “สงครามราคา” ขณะที่หลายค่ายต่างปรับตัว มองหาลูกเล่นใหม่ๆ ชิงกำลังซื้อในตลาด

เช่นเดียวกับ  “SC Asset”  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย มีกลยุทธ์รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เน้นความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ รักษาสภาพคล่องให้เกิดความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นจุดแข็ง ที่ทำให้ฝ่าพายุใหญ่ทางเศรษฐกิจไปได้ 

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์  ไตรมาสที่ 4 ว่า ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งไม่แตกต่างจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการต่างรับมือ

3แกนหลักรับมือ

โดยกลยุทธ์รับมือความไม่ชัดเจนทางเศรษฐกิจ มี 3 แกนหลัก  “ประการแรก” เริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่น  ปัจจัยภายนอกอาจไม่ชัดเจนรวมถึงในประเทศ แต่ผู้ประกอบการยังสามารถควบคุมความจริงใจและแบรนด์ของตนเองได้ สิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นว่าแบรนด์นั้น “ทำจริง พูดจริง และทำได้จริง ๆ”

 “ประการที่สอง” การบริหารสภาพคล่อง โดยในช่วงเวลาที่สถานการณ์ไม่แน่นอน สภาพคล่อง  เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องมั่นใจว่าตนเองมี “กันชน” ที่ดีและมีสภาพคล่องที่ดีอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งในการรับมือกับความเสี่ยง

 “ประการที่สาม” การสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ  เนื่องจากสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง การกลับมาพิจารณาธุรกิจตนเองให้มีความหลากหลายจึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น ซึ่งความหลากหลายนี้จะช่วยป้องกันความไม่ชัดเจน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

อุปสรรคกดดันตลาด

 โดยอุปสรรคหลัก ๆ ที่กดดันตลาดมี 3 ประเด็นสำคัญ

1.ความไม่ชัดเจนและความไม่ต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคมีการ ชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนหลาย ๆ เรื่อง ความไม่ชัดเจนดังกล่าวเกิดขึ้นในวงกว้าง  ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ต้องถูกชะลอออกไป

2. ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง อุปสรรคที่ทำให้คนซื้อของชิ้นใหญ่ยาก และส่งผลให้ผู้บริโภคกู้สินเชื่อได้ยาก ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

3. อุปทานส่วนเกินในตลาด และสงครามราคา แม้จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับโครงสร้างตลาด แต่ปัญหา ซัพพลาย  ที่ค่อนข้างสูงในตลาด เมื่อรวมกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจและกู้ยาก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดสงครามราคา พอสมควร เนื่องจากผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันระบายสินค้าคงคลังในภาวะที่ความต้องการซื้ออ่อนตัว ประเมินว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ยังคงอยู่ในภาวะที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภค ชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้านั้น มาจากความไม่ชัดเจนและความไม่ต่อเนื่องของสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง  นอกจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่ชัดเจนแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันและส่งผลให้การซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ทำได้ยากขึ้น คือหนี้ครัวเรือนสูง การขอกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินยากมากขึ้น ส่งผลให้การซื้อของชิ้นใหญ่อย่างที่อยู่อาศัยยากตามไปด้วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นผู้ประกอบการควรกลับมาพิจารณาและตรวจสอบธุรกิจของตนเองให้มีความหลากหลาย”

กลยุทธ์ “3B”  ฝ่าวิกฤต

อย่างไรก็ตาม SC Asset ปรับโครงสร้างธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตแบบมีเสถียรภาพในระยะยาว ภายใต้กลยุทธ์ “3B” (Believe, Buffer, Blend) เสริมความแข็งแกร่งทุกมิติ พร้อมกระจายพอร์ตสร้างกำไร เติบโต และเพื่ออนาคต

 นายณัฐพงศ์ สะท้อนว่า SC Asset ยึดมั่นในกลยุทธ์ 3B เพื่อรับมือกับภูเขานํ้าแข็งแห่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่สุดท้ายแล้วจะเป็นบทพิสูจน์ให้กับบริษัทที่เป็น “ตัวจริง”  ในภาวะวิกฤต โดยเน้นยํ้าถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมมิติสำคัญดังนี้

 “Believe” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และสร้างแบรนด์ SC Asset ให้เป็นที่น่าเชื่อถือในด้านคุณภาพ บริการ และความใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในยามที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง

  “Buffer” การรักษาฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องสูง และมีหนี้ในระดับตํ่า เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน บริษัทกระจายแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ทั้งจากสถาบันการเงิน พันธมิตรการลงทุน และการออกหุ้นกู้ โดยในปี 2568 ได้ออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น อาทิ โตเกียว ทาเทโมโนะ, ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป และนิชิเทตสึ ใน 10 โครงการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน

 “Blend” การผสมผสานพอร์ตธุรกิจให้หลากหลายเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อกระจายความเสี่ยง และรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ขับเคลื่อน 3 เครื่องยนต์ธุรกิจหลัก

ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน 3 เครื่องยนต์ธุรกิจหลัก ดังนี้ “Engine for Profit” เน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างกำไรสมํ่าเสมอ โดยปัจจุบันตั้งเป้าสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจนี้อยู่ที่ 85% ในครึ่งปีแรกของปี 2568 โดยกลุ่มสินค้าที่ยังเป็นแกนหลักคือกลุ่มบ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งทำให้ยอดขายโครงการแนวราบของ SC Asset เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 118% ในไตรมาสที่สอง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะขับเคลื่อนให้สัดส่วนกำไรเป็น 75% ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยผลักดันสัดส่วนกำไรของธุรกิจรายได้ประจำมากขึ้น

 “Engine for Growth” พอร์ตธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ซึ่งสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจนี้อยู่ที่ 15% ในปีนี้ และจะขับเคลื่อนให้เพิ่มเป็น 25% ภายใน 5 ปี ตัวอย่างธุรกิจนี้ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า ที่ปัจจุบัน SC Asset มีพื้นที่ 100,000 ตร.ม. ซึ่งปล่อยเช่าเต็ม 100% และตั้งเป้าจะขยายเป็น 200,000 ตร.ม. ภายในต้นปี 2569 โดยมีแผนขยายเพิ่มราวปีละ 50,000-100,000 ตร.ม. และธุรกิจโรงแรม KROMO CURIO COLLECTION by Hilton เปิดให้บริการในเดือนตุลาคม และ The Standard Pattaya Na Jomtien ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา

“Engine for Future” การลงทุนในธุรกิจอนาคต ตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด ซึ่งขณะนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงศึกษาแผนที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยในอนาคตภายใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะแบ่งสัดส่วน Engine 1 ที่ 70%, Engine 2 ที่ 25% และ Engine 3 ที่ 5%

 นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส4 ยังคงมีการแข่งขันสูง แต่ก็มีความหวังจากนโยบายภาครัฐที่เป็นช่วงออกผลชัดเจนยิ่งขึ้น และจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย และความคืบหน้าของนโยบายสิทธิการเช่าทรัพย์อิงสิทธิ 99 ปี ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3 พ.ย.“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ขณะเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3พ.ย. 2568ที่ระดับ  32.47 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.30 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.49 บาทต่อดอลลาร์)

หลังเงินดอลลาร์ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) พลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ล่าสุดของเฟด ที่มีลักษณะ “Hawkish Cut”

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ พร้อมติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – ในช่วงทุกๆ ต้นเดือน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน จากผลกระทบภาวะ Government Shutdown (รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ จากหน่วยงานรัฐ)

 ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากฝั่งเอกชน ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่ตลาดจะให้ความสำคัญมากขึ้น

รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนตุลาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) สำหรับเดือนพฤศจิกายน

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด 

▪ฝั่งยุโรป – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์รวมถึงเรา ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษก็ยังอยู่ในระดับสูง ทว่าสัญญาณการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานอังกฤษก็อาจทำให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย RatingDog (หรือเดิมคือ Caixin PMI) ในเดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เช่นกัน

ส่วนการประชุมธนาคารกลางที่น่าสนใจ จะประกอบไปด้วย การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ทั้ง RBA และ BNM อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ แต่อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีหน้า หากเศรษฐกิจออสเตรเลียและมาเลเซีย ชะลอตัวลงมากกว่าคาด

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตค่าจ้าง (Wage Growth) โดยหลังการประชุม BOJ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ และให้โอกาสราว 48% ที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม

 ▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนตุลาคม จะยังคง “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.79% (-0.12%m/m) ตามการปรับตัวลงของทั้งราคาเนื้อสัตว์และราคาพลังงานจากเดือนก่อนหน้า อีกทั้งฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะชะลอตัวลงบ้าง

ทว่าเรายังไม่เห็นความเสี่ยงภาวะเงินฝืด หรือสัญญาณการปรับตัวลงของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนตุลาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับมามีกำลังบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ (เราขอย้ำว่า ราคาทองคำได้เข้าสู่ช่วงการพักฐาน) ตามการปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ทว่า เงินดอลลาร์แม้จะแข็งค่าขึ้นต่อได้ แต่ก็ต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งควรย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง ถึงทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม

ทำให้ เงินดอลลาร์ก็ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อีกทั้งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มทยอยปรับลดสถานะถือครองหรือขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาได้บ้าง

 โดยเฉพาะเมื่อดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 100 จุด (หากแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจเห็นดัชนี DXY ปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 102 จุด ได้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาท เข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์)

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB บ้าง และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following

เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ (หรือปรับตัวขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์) ได้อย่างชัดเจน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.20-32.70 ติดตามข้อมูลสหรัฐและค่าเงินหยวน

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง  สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.70 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.35 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.23-32.73 บาท/ดอลลาร์

โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือน เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ลดดอกเบี้ย 25bp เป็น 3.75-4.00% และประกาศยุติมาตรการ Quantitative Tightening ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม อย่างไรก็ดี ประธานเฟดเน้นย้ำว่ายังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอนว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนธันวาคม

 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯพุ่งขึ้นโดยตลาดลดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับดอกเบี้ยของเฟดในช่วงถัดไป ทางด้านเงินเยนอ่อนค่าลงหลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) คงดอกเบี้ยที่ 0.50% และแสดงท่าทีระมัดระวังต่อจังหวะเวลาที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย

ส่วนธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ตรึงดอกเบี้ยที่ 2.00% ตามคาด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 5,045 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสูงถึง 30,485 ล้านบาท ขณะที่ในเดือนตุลาคมเงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.11%

สำหรับในสัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูล ISM ภาคการผลิตและบริการรวมถึงการจ้างงานภาคเอกชนเดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ขณะที่ภาวะ Government Shutdown เข้าสู่เดือนที่สอง ในภาพใหญ่ความต้องการขายดอลลาร์ในระยะนี้อาจถูกจำกัดจากการปรับคาดการณ์ของตลาด

เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดหลังจากเจ้าหน้าที่เฟดสะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลายและหลีกเลี่ยงที่จะให้คำมั่นเกี่ยวกับความต่อเนื่องของการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับจีนซึ่งช่วยคลายความวิตกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจสนับสนุนการแข็งค่าของเงินหยวนและสกุลเงินในภูมิภาครวมถึงเงินบาท โดยนักลงทุนจะติดตามการตั้งค่ากลางรายวันสำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนจีน ทั้งนี้ สหรัฐฯประกาศลดภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนเหลือ 47% จาก 57% ขณะที่จีนจะชะลอการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือนกันยายนเติบโต 19.0% สูงสุดรอบ 42 เดือน ขณะที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯชัดเจนมากขึ้น ส่วนมูลค่านำเข้าเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 17.2%

ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุประเด็นที่ต้องติดตามสำหรับเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการผลิต ผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ พัฒนาการภาคท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐและการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กกท. ไฟเขียว “พิคเคิลบอล” เป็นชนิดกีฬา มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งเป็นสมาคมฯ

“พิคเคิลบอล” (Pickleball) ได้รับการรับรองให้เป็นชนิดกีฬาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว หลังการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) มีมติอนุมัติให้สามารถยื่นจัดตั้ง “สมาคมกีฬาพิคเคิลบอลแห่งประเทศไทย” ได้ เพื่อรองรับกระแสกีฬาสมัยใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก และเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยได้เข้าถึงกีฬาทางเลือกชนิดนี้มากขึ้น

นางทยา ทีปสุวรรณ ประธานกลุ่ม Thailand Pickleball Championship และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า “ต้องขอขอบคุณ ดร.ก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. และคณะกรรมการบริหาร ที่ให้ความสำคัญกับพิคเคิลบอล และเห็นศักยภาพของกีฬานี้จนมีมติรับรองให้เป็นชนิดกีฬาอย่างเป็นทางการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเป็นความหวังของนักพิคเคิลบอลทั่วประเทศ”

พิคเคิลบอล เป็นกีฬาลูกผสมระหว่าง เทนนิส, แบดมินตัน และปิงปอง ใช้ไม้ตีลักษณะคล้ายพายคู่กับลูกบอลพลาสติก เจาะรูคล้ายวิฟเฟิลบอล มีลักษณะการเล่นที่เน้นความเร็วและความแม่นยำ ผู้เล่นต้องเสิร์ฟลูกข้ามเน็ตในแนวทแยงและรอให้ลูกตกก่อนจึงตีโต้กลับได้ หลังจากลูกกระดอนครบหนึ่งครั้ง ผู้เล่นสามารถตีวอลเลย์ได้ทันที เกมจะให้คะแนนเมื่อคู่แข่งตีพลาดหรือลูกออกนอกสนาม

หลังจากได้รับมติรับรองให้เป็นชนิดกีฬาอย่างเป็นทางการ ทางกลุ่ม Thailand Pickleball Championship เตรียมเดินหน้ายื่นจัดตั้ง “สมาคมพิคเคิลบอลแห่งประเทศไทย” ต่อ กกท. ทันที เพื่อสร้างระบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงทีมชาติ

นางทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า “วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมฯ คือเพื่อวางรากฐานที่ถูกต้อง สนับสนุนนักกีฬาพิคเคิลบอลให้เติบโตสู่ระดับทีมชาติ และมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต”

สำหรับประเทศไทย เพิ่งมีการจัดการแข่งขัน Thailand Pickleball Championship ครั้งแรก ที่สนาม Rugby School จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 18–20 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนักกีฬากว่า 15 ประเทศ เข้าร่วม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการพิคเคิลบอลไทยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันยังไง? สายพันธุ์ไหนอันตรายมากกว่า

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A vs B ต่างกันอย่างไร? ความรุนแรงและการกลายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัส ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ สายพันธุ์ B แม้ว่าจะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการระบาดของทั้งสองสายพันธุ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ความแตกต่างดังกล่าวส่งผลต่อระดับความรุนแรง การกลายพันธุ์ และศักยภาพในการก่อโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B จึงมีความสำคัญในการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับวัคซีนป้องกัน

เปรียบเทียบความแตกต่างหลักระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B

การเปรียบเทียบในตารางนี้จะช่วยให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในด้านความรุนแรง การระบาด และกลุ่มเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์

ลักษณะเปรียบเทียบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza A)ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Influenza B)
ความรุนแรงโดยทั่วไปมีแนวโน้มรุนแรงกว่า และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้มากกว่าโดยทั่วไปมีอาการรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A แต่ยังคงอันตรายในกลุ่มเสี่ยง
การระบาด/กลายพันธุ์มีการกลายพันธุ์ได้ง่ายกว่า ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ได้กลายพันธุ์ได้ช้ากว่าสายพันธุ์ A มาก
ศักยภาพการระบาดสามารถทำให้เกิดการระบาดได้ในวงกว้างไม่สามารถทำให้เกิดการระบาดวงกว้าง (มักระบาดจำกัดตามฤดูกาล)
ช่วงการระบาดมักระบาดและมีสัดส่วนผู้ป่วยสูงในช่วงต้นฤดูไข้หวัดใหญ่ (ฤดูฝน-ต้นหนาว)มักระบาดในช่วงปลายฤดูไข้หวัดใหญ่ (ปลายฤดูหนาว-ต้นฤดูร้อน)
กลุ่มเสี่ยงทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมากกว่าพบในเด็กเล็กและวัยรุ่นมากกว่า

รายละเอียดอาการและภาวะแทรกซ้อน

แม้ว่าอาการเริ่มต้นของทั้งสองสายพันธุ์จะคล้ายกัน เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียดของอาการ

อาการของสายพันธุ์ A

  • มักมีอาการไข้สูงขึ้นอย่างรุนแรงและเฉียบพลันกว่า
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วร่างกายมาก
  • มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ได้สูงกว่า

อาการของสายพันธุ์ B

  • อาการมักค่อย ๆ ปรากฏ ไม่รุนแรงทันทีเหมือนสายพันธุ์ A
  • มีไข้ในระดับปานกลาง
  • อาจมีอาการน้ำตาไหล หรือตาแดงร่วมด้วยได้

ความสำคัญของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ A และ B มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการสำคัญที่สุดในการป้องกัน เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่กลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความรุนแรงของเชื้อเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่ใช้ในปัจจุบันจึงเป็นแบบ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ (Trivalent/Quadrivalent) ซึ่งจะครอบคลุมไวรัสหลัก ๆ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H1N1, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H3N2, และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (อย่างน้อย 1-2 สายตระกูล)

สรุป

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงและมีศักยภาพในการกลายพันธุ์ รวมถึงการระบาดใหญ่ได้มากกว่าสายพันธุ์ B แต่ทั้งสองสายพันธุ์ก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการป่วยหนัก การแพร่ระบาด และการเสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘Social Engineering’ เพียงคลิกเดียวก็ตกเป็นเหยื่อโจรไซเบอร์

  • การโจมตีแบบ “วิศวกรรมสังคม” (Social Engineering) มักใช้ประโยชน์จาก “จุดอ่อนของมนุษย์” หลอกให้คลิกลิงก์อันตรายโดยไม่ทันระวัง
  • AI ถูกนำมาใช้อัปเกรดความสามารถในการหลอกลวง ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและตรวจจับได้ยากยิ่งขึ้น
  • การโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้แรนซัมแวร์ทำงานได้เร็วขึ้น 100 เท่า 
  • พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ พบว่า AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลักกว่า 82% ของอีเมลฟิชชิง

จากจุดเริ่มต้นง่ายๆ อย่างอีเมลหรือเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนเรื่องการส่งพัสดุ หรือข้อความรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชีที่ใช้บ่อยๆ เพียงแค่คลิกหนึ่งครั้งโดยไม่ทันระวัง ก็อาจทำให้กลายเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์ได้ง่ายๆ

ทุกวันนี้ผู้โจมตีมักเล็งที่ “จุดอ่อนของมนุษย์” สร้างความคุ้นเคยเพื่อหลอกให้คลิกลิงก์ที่อันตราย ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ “วิศวกรรมสังคม (Social Engineering)” ที่ขณะนี้ถูกอัพเกรดความสามารถในการปลอมแปลงโดย AI ส่งผลให้การตรวจจับทำได้ยากยิ่งขึ้น

ผลวิจัยโดย “พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์” ระบุว่า AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลักกว่า 82% ของอีเมลฟิชชิ่ง โดยในปีที่ผ่านมา 78% ของผู้ที่ได้รับ มีการเปิดอ่านอีเมล์หรือเอสเอ็มเอส

สำหรับวิธีการสังเกตและเรียนรู้ภัยคุกคามที่สร้างโดย AI เพื่อปกป้องภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าเทคนิควิศวกรรมสังคมกำลังพัฒนาอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อ AI มีส่วนที่ทำให้เทคนิคการหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้

‘3 วิธีการ’ หลอกลวงยอดฮิต

  1. พบ 67% ของเคสมีการใช้ AI สร้างฟิชชิ่งอีเมลที่มีรายละเอียดส่วนตัวของผู้รับ ทำให้ดูเหมือนข้อความจากธนาคารหรือบริษัท
  2. พบ 23% ของเคส มีการโทรด้วยเสียงปลอม โดยการคัดลอกเสียงของคนในครอบครัวหรือบุคคลอื่นจากคลิปเสียงสั้นๆ ที่ค้นหาได้ผ่านออนไลน์ 
  3. แฮกเกอร์ใช้ AI ทำให้เว็บไซต์ปลอมของตนปรากฏเป็นผลลัพธ์จากการค้นหาอันดับแรกๆ บนกูเกิลเสิร์ซเพื่อหลอกลวงผู้ใช้ที่ค้นหาบริการลูกค้าสัมพันธ์ หรือค้นหาดีลเด็ด 

การโจมตีด้วยเทคนิควิศวกรรมทางสังคมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้แรนซัมแวร์ ทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 100 เท่า ระยะเวลาในการขโมยข้อมูลลดลงจาก 9 วันในปี 2564 เหลือเพียง 2 วันในปี 2566

ฟิลิปปา ค็อกส์เวลล์ Managing Partner, Unit 42 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า ระยะเวลาในการโจมตีถูกบีบให้สั้นลง 100 เท่า จากเป็นวันเหลือเพียงไม่กี่นาที

เรากำลังอยู่ในยุคใหม่ของการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งผู้โจมตีโดยใช้ AI เป็นอาวุธเพื่อเพิ่มระดับการหลอกลวงผ่านเทคนิควิศวกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นช่องโหว่หลักของมนุษย์จากความไว้วางใจ

ปัจจุบัน แคมเปญขั้นสูง เช่น การฟิชชิงมีความสมจริงมาก ทั้งการโคลนเสียงด้วย AI และเทคนิคการปลอมใบหน้า ประสบความสำเร็จจากช่องว่างพื้นฐานด้านความปลอดภัย

Unit 42 เสนอแนะแนวทางป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการหลอกลวงผ่านเทคนิควิศวกรรมทางสังคม ดังนี้

ใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (MFA) :การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัยเป็นชั้นความปลอดภัยเสริม เหมือนการล็อคประตูอิเล็กทรอนิกส์สองชั้น แม้แฮกเกอร์จะได้รหัสผ่านมาจากช่องทางใดๆ  แต่หากไม่มีรหัสผ่านชั่วคราวจากมือถือหรืออุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ก็ไม่สามารถเข้าถึงระบบได้ ดังนั้นจึงควรเปิดใช้งาน MFA ในบริการสำคัญ เช่น อีเมล บัญชีธนาคารและบัญชีโซเชียลมีเดีย

ทำให้ระบบความปลอดภัยเป็นเรื่องง่าย : การทำให้ระบบความปลอดภัยเรียบง่ายมีความสำคัญมาก ระบบความปลอดภัยที่ซับซ้อนอาจส่งผลให้ผู้ใช้งานหาวิธีหลบเลี่ยงเพื่อลดความยุ่งยากนั้น ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

เช่น การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการสร้างและจดจำรหัสผ่าน ทำให้ผู้ใช้งานหาทางเลี่ยงในการเลือกใช้รหัสผ่านที่ง่ายต่อการจดจำ และแน่นอนว่าง่ายต่อการคาดเดา ระบบความปลอดภัยที่เรียบง่ายจึงส่งเสริมให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การใช้แอปพลิเคชันจัดการรหัสผ่านเพื่อรักษามาตรฐานการใช้งานรหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกันในทุกบัญชี

แจ้งเตือนอีเมลจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จัก : ปัจจุบันระบบอีเมลส่วนใหญ่มีเครื่องหมายเตือน “ข้อความจากภายนอก” ผู้ใช้งานจึงควรสังเกตและใช้ความระมัดระวัง อีเมลที่มีเครื่องหมายเหล่านี้ถูกออกแบบให้แตกต่างและโดดเด่นจากอีเมลปกติ เพื่อเตือนให้ผู้ใช้งานระวังก่อนจะคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบ

บล็อกการเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย : ระบบความปลอดภัยสมัยใหม่สามารถบล็อกการเข้าสู่ระบบจากตำแหน่งที่ผิดปกติ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศไทยและมีการพยายามเข้าถึงบัญชีจากต่างประเทศ ระบบจะแจ้งเตือนและบล็อกทันที นอกจากนี้ยังตรวจจับการเข้าสู่ระบบในเวลาที่ไม่ปกติ เช่น ช่วงเวลาตอนตี 3 ที่คนส่วนใหญ่พักผ่อน เป็นต้น

อัปเดตอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ : การใช้งานแอปพลิเคชันหรือระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการซัพพอร์ทมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ เมื่อมีการค้นพบภัยคุกคามและช่องโหว่ใหม่ๆ นักพัฒนาจะอัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นทันที แต่แอปพลิเคชันหรือระบบปฏิบัติการที่หมดอายุแล้วจะไม่ถูกแก้ไข จึงเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการถูกโจมตี ดังนั้นจึงควรกำหนดให้มีการอัปเดตระบบเป็นประจำ รวมถึงการเปิดใช้งานระบบอัปเดตอัตโนมัติ เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเสถียรของอุปกรณ์และเครือข่ายอยู่เสมอ

สุดท้ายการใส่ใจกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการโจมตีแบบแรนซัมแวร์และฟิชชิงมีความรวดเร็วมาก การตระหนักรู้และการป้องกัน เช่น การใช้ AI ในการตรวจจับและตอบสนองอัตโนมัติ กลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลและองค์กรในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เทคนิคพูดอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษา: 10 วิธีปรับสำเนียงและการออกเสียงให้คล่อง

เทคนิคพูดอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษา: 10 วิธีปรับสำเนียงและการออกเสียงให้คล่อง

ถ้าคุณกำลังฝันอยากพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา ฟังชัด พูดคล่อง ไม่สะดุดเวลาเจอสถานการณ์จริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 10 เทคนิคปรับสำเนียงและออกเสียงภาษาอังกฤษ ที่ใช้ได้จริง ทั้งสำหรับผู้เริ่มต้นและคนที่อยากยกระดับภาษาอังกฤษให้เป็นมืออาชีพ พร้อมแนะนำวิธีเรียนอังกฤษออนไลน์แบบได้ผลสูงสุด

1. ฟังเจ้าของภาษาให้เยอะ ๆ

การฟังเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดสำหรับการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา ลองฟังพอดแคสต์ รายการทีวี หรือยูทูบของเจ้าของภาษา ฟังให้ได้หลายสำเนียง เช่น อังกฤษแบบบริติช อเมริกัน หรือออสซี่
เทคนิค:

  • ฟังซ้ำประโยคสั้น ๆ แล้วลองพูดตาม
  • จดศัพท์และสำนวนเจ้าของภาษา

2. ฝึก Shadowing

Shadowing คือการฟังเจ้าของภาษาแล้วพูดตามทันที เทคนิคนี้ช่วยปรับ สำเนียง, จังหวะ, และโทนเสียง ของคุณให้เหมือนเจ้าของภาษา
วิธีทำ:

  • เลือกคลิปสั้น ๆ 1-2 นาที
  • เล่นคลิปทีละประโยค
  • พูดตามน้ำเสียงและจังหวะให้ใกล้เคียงที่สุด

3. เรียนรู้เสียง IPA และออกเสียงให้ถูกต้อง

IPA (International Phonetic Alphabet) คือเครื่องมือสำหรับเรียนรู้เสียงภาษาอังกฤษอย่างแม่นยำ
ข้อดี:

  • ลดการออกเสียงผิดบ่อย
  • รู้ว่าตัวอักษรแต่ละตัวควรออกเสียงอย่างไร

4. ใช้ Tongue Twister ฝึกปากและลิ้น

Tongue Twister เป็นวิธีสนุก ๆ ที่ช่วยปรับ ความคล่องของลิ้นและปาก สำหรับเสียงที่ยาก เช่น /th/ /r/ /l/
ตัวอย่าง:

  • “She sells seashells by the seashore”
  • “Red lorry, yellow lorry”

5. จดจำ Rhythm และ Intonation

เจ้าของภาษาจะมี จังหวะการพูดและเสียงสูงต่ำ ที่เป็นธรรมชาติ
วิธีฝึก:

  • ฟังประโยคแล้วสังเกตจังหวะเสียง
  • พูดตามโดยเลียนแบบขึ้นลงของเสียง

6. บันทึกเสียงตัวเองและฟังซ้ำ

การฟังตัวเองช่วยให้คุณเห็นจุดอ่อนของสำเนียงและการออกเสียง
เทคนิค:

  • บันทึกเวลาอ่านบทความสั้น ๆ
  • ฟังแล้วเปรียบเทียบกับเจ้าของภาษา
  • แก้ไขเสียงที่ออกต่างกัน

7. เรียนคำศัพท์และสำนวนที่เจ้าของภาษาใช้จริง

เจ้าของภาษามักใช้ สำนวนและคำพูดธรรมชาติ แทนประโยคทางการ
ตัวอย่าง:

  • “I’m starving” = หิวมาก
  • “Hang on a sec” = รอสักครู่

ประโยชน์: พูดแล้วฟังเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนแปลตรงตัว

8. ฝึกสนทนาออนไลน์กับเจ้าของภาษา

วิธีที่เร็วที่สุดในการปรับสำเนียงคือ คุยกับเจ้าของภาษาโดยตรง
แพลตฟอร์มแนะนำ:

  • Wall Street English: ครูเจ้าของภาษา สอนออนไลน์ตัวต่อตัว
  • iTalki, Cambly (เสริมเพิ่มเติม)

ข้อดี:

  • ได้ฟีดแบคทันที
  • เรียนรู้การออกเสียงและสำนวนจริง

9. ฝึกพูดประโยคสั้น ๆ ทุกวัน

เริ่มจาก ประโยคง่าย ๆ และใช้ซ้ำ เช่น

  • “How’s it going?”
  • “I’d love to help”
    เคล็ดลับ: พูดให้บ่อยจนติดปาก จะช่วยให้พูดคล่องโดยไม่ต้องคิดเยอะ

10. ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ฝึกภาษาอังกฤษทุกวันในชีวิตจริง เช่น

  • ตั้งมือถือและโซเชียลเป็นภาษาอังกฤษ
  • ดูซีรีส์พร้อมซับอังกฤษ
  • พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษเวลาทำกิจกรรม

ผลลัพธ์: สำเนียงและการออกเสียงค่อย ๆ ดีขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ

สรุป

การพูดอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษาไม่ใช่เรื่องยากถ้าคุณฝึกอย่างต่อเนื่อง ใช้เทคนิค 10 วิธีปรับสำเนียงและการออกเสียง ข้างต้นเป็นแนวทาง และอย่าลืม เรียนออนไลน์กับครูเจ้าของภาษา เพื่อให้การฝึกพูดได้ผลเร็วและชัดเจนที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


4 ประโยชน์จาก “ถั่วแมคคาเดเมีย” อร่อย ดีต่อสุขภาพ

ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วรสชาติหวานมัน ที่ได้รับความนิยมในการรับประทานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ว่าจะนำมารับประทานเป็นของว่าง สอดใส้ในช็อกโกแลต หรือทำเป็นไอศกรีม แมคคาเดเมียนั้นนอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่แสนอร่อยแล้ว ยังเป็นถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และดีต่อสุขภาพอย่างมากอีกด้วย

Hello คุณหมอ จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ “แมคคาเดเมีย ถั่วมหัศจรรย์ มากประโยชน์ต่อสุขภาพ”

ถั่วแมคคาเดเมีย ราชาแห่งถั่ว ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร

ถั่วแมคคาเดเมีย (Macadamia) นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งถั่ว เนื่องจากเป็นถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ และโดยเฉพาะ ไขมันดี

ในถั่วแมคคาเดเมีย 1 ออนซ์ จะให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

  • พลังงาน 204 แคลอรี่  
  • ไขมัน 23 กรัม  
  • โปรตีน 2 กรัม  
  • คาร์โบไฮเดรต  4 กรัม  
  • น้ำตาล 1 กรัม  
  • ใยอาหาร 3 กรัม  
  • แมงกานีส 58% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน  
  • ไทอามีน (Thiamine) 22% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน  
  • ทองแดง 11% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน  
  • แมกนีเซียม 9% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน  
  • ธาตุเหล็ก 6% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน  
  • วิตามินบี 6 5% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน

แมคคาเดเมียนั้นมีไขมันสูงก็จริง แต่ไขมันกว่า 79% ที่พบในแมคคาเดเมียนั้นล้วนแล้วแต่ก็เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) หรือที่เรารู้จักกันว่าเป็น ‘ไขมันดี’ (HDL) ไขมันเหล่านี้เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เนื่องจากสามารถช่วยลด ‘ไขมันไม่ดี’ (LDL) ที่อยู่ในเลือดได้


ประโยชน์ของถั่วแมคคาเดเมีย

  • ดีต่อสุขภาพหัวใจ

จากที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น ถั่วแมคคาเดเมีย นั้นอุดมไปด้วยไขมันดี ที่สามารถช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล และไขมันไม่ดีที่อยู่ในกระแสเลือดได้

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารที่มีไขมันมูฟ่า (MUFA) สูง อย่างถั่วแมคคาเดเมีย สามารถช่วยทำให้สุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น นอกจากนี้ยังอาจสามารถช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล และระดับของความดันโลหิต ซึ่งล้วนแล้วแต่ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพหัวใจทั้งสิ้น

  • อาจช่วยป้องกันมะเร็ง

เนื่องจากในถั่วแมคคาเดเมียนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) หรือวิตามินอี ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านการอักเสบ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยป้องกันความเสียหายต่อเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอย่างถั่วแมคคาเดเมีย จึงอาจสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้นั่นเอง

  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนลงพุง

โรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลในเลือดสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งการรับประทานถั่วแมคคาเดเมีย อาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เหล่านี้ได้

มีงานวิจัยที่พบว่า การรับประทานถั่วแมคคาเดเมีย อาจสามารถช่วยป้องกันได้ทั้งโรคอ้วนลงพุง และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการลดระดับของน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (fasting blood sugar levels)

งานวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานถั่วแมคคาเดเมียวันละ 28-84 กรัมต่อวัน จะมีระดับของน้ำตาลสะสมในเลือดลดลง (HbA1c) และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ในระยะยาว

  • ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า การรับประทานถั่วยืนต้น เช่น แมคคาเดเมีย อาจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำการทดลองกับหนูที่เป็นโรคเบาหวาน แล้วพบว่า หนูที่รับประทานอาหารที่มีไขมันมูฟ่าสูง อย่างถั่วแมคคาเดเมีย ร่วมกับการออกกำลังกาย จะสามารถลดระดับของค่าน้ำตาลสะสมได้มากกว่า หนูที่ออกกำลังกายเพียงแค่อย่างเดียว


ข้อควรระวังในการกินถั่วแมคคาเดเมีย

  • แคลอรี่สูง

ถั่วแมคคาเดเมียนั้นมีแคลอรี่ที่สูงมาก การรับประทานแมคคาเดเมีย 1 ถ้วย หรือประมาณ 132 กรัม อาจให้พลังงานมากถึง 950 กิโลแคลอรี่ เกือบเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของปริมาณแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวัน การรับประทานแมคคาเมียร่วมกับอาหารอื่นที่ให้พลังงานสูง อาจทำให้คุณได้รับแคลอรี่มากเกินไปได้

  • โรคภูมิแพ้

ผู้ที่เป็นโรคแพ้ถั่วอาจมีอาการแพ้เมื่อรับประทานแมคคาเดเมียได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วยืนต้นอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง เป็นต้น การนำไปประกอบอาหาร บางคนมักจะนำแมคคาเดเมียไปคั่วผ่านความร้อนก่อนรับประทาน ซึ่งความร้อนจากการประกอบอาหารนั้นอาจทำให้แมคคาเดเมียสูญเสียสารอาหารบางอย่างได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a61,400.0061,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,969.0060,170.0462,300.00
ทองรูปพรรณ 90%3,572.1054,153.04n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,175.2048,136.03n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,786.0527,076.52n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,389.1521,059.51n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,112.9562,352.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า