สาระน่ารู้ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568

‘พฤกษา’ ส่ง IHC รุกก่อสร้าง-รับสร้างบ้าน เจาะตลาด 1.3 แสนล้าน

พฤกษา โฮลดิ้ง ปักหมุด New S-Curve ส่ง “IHC” รุกตลาดก่อสร้าง–รับสร้างบ้านครบวงจร เจาะดีมานด์รายกลาง-รายเล็ก มูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจให้เช่าเสริมรายได้ระยะยาว

พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เร่งขยายพอร์ตธุรกิจตามแผนสร้างการเติบโตระยะยาว เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดก่อสร้างและรับสร้างบ้าน ผ่านบริษัทในเครือ อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด (IHC) ภายใต้แนวคิด “สร้างการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม” (Building Sustainable Living through Innovation) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและต่อยอดจากฐานธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ สู่การเป็นผู้นำด้านบริการครบวงจรของอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดตัว IHC ถือเป็นก้าวยุทธศาสตร์สำคัญในการต่อยอดระบบนิเวศ (Ecosystem) ของพฤกษาให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า ทั้งด้านวัสดุก่อสร้าง การพัฒนาโครงการ ไปจนถึงการให้บริการที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างเส้นทางรายได้ใหม่และขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพสูง

ธุรกิจหลักของ IHC ถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย IHC (ISC) ซึ่งทำหน้าที่เป็น One-Stop Service Solution สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ รายกลางและรายเล็ก, Primary (Plantnery by Pruksa) ธุรกิจรับสร้างบ้าน และ I Plearn (ไอ เพลิน) ธุรกิจที่อยู่อาศัยให้เช่า โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินของเครือพฤกษาในระยะยาว

นายปิยะกล่าวว่า ตลาดที่ IHC ตั้งเป้าจับกลุ่มนั้นมีมูลค่ารวมราว 1.3 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด โดยมุ่งเจาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่ต้องการลงทุนสร้างทีมก่อสร้างเอง

บริการของ IHC ครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study), การออกแบบ, การวางแผนต้นทุน, การก่อสร้าง ไปจนถึงบริการหลังการขาย โดยอาศัยเครือข่ายซัพพลายเออร์ระดับประเทศและทีมงานมืออาชีพกว่า 60 ทีม รองรับงานก่อสร้างได้ถึง 700 ยูนิตต่อเดือน

“เราไม่ได้แข่งขันกับผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ แต่ต้องการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจให้กับรายกลางและรายเล็กที่ไม่มีทรัพยากรด้านทีมงานและนวัตกรรมการก่อสร้าง ซึ่งถือเป็นช่องว่างในตลาดที่มีดีมานด์จริง” นายปิยะกล่าว

พร้อมเสริมว่าอัตรากำไรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 5% และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของโครงการแนวราบขนาดกลางในเมืองและปริมณฑล

ขณะที่อีกเสาหลักของธุรกิจ คือ Primary (Plantnery by Pruksa) ซึ่งเป็นธุรกิจรับสร้างบ้านที่พฤกษามองว่าเป็น “โอกาสทอง” ในช่วงภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยข้อมูลจากสมาคมไทยรับสร้างบ้านและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 130,000 ล้านบาท แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ครองส่วนแบ่งเพียง 10% หรือประมาณ 15,000 ล้านบาทเท่านั้น ทำให้ตลาดนี้ยังเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่มีมาตรฐานการก่อสร้างและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

Primary ใช้จุดแข็งจากประสบการณ์ก่อสร้างของพฤกษามากกว่า 30 ปี และเทคโนโลยี Precast System ควบคุมคุณภาพและระยะเวลาก่อสร้าง โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือผู้มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะเจ้าของกิจการและผู้ประกอบการ SME ที่ไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก เน้นสร้างบ้านราคา 10-30 ล้านบาท ด้วยต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ต่ำกว่าคู่แข่งประมาณ 10%

“บริษัทมีทีมช่างมืออาชีพและแบบบ้านให้เลือกมากกว่า 100 แบบ ทั้งมาตรฐานและแบบปรับแต่งได้ พร้อมรับประกันโครงสร้างนาน 20 ปี และสร้างเสร็จภายใน 6 เดือน” นายปิยะกล่าว

ทั้งนี้ Primary ตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 แบบไว้ที่ 1,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายสูงสุดที่ 5,000 ล้านบาทในระยะกลาง โดยอัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15% นอกจากสองธุรกิจหลักแล้ว พฤกษายังต่อยอดสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ผ่าน I Plearn (ไอ เพลิน) ธุรกิจที่อยู่อาศัยให้เช่า ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์เติบโตในกลุ่มวัยทำงานและนักศึกษา

บริษัทมีแผนลงทุนสินทรัพย์รวมราว 6,000 ล้านบาท พัฒนาอพาร์ตเมนต์ประมาณ 300 อาคาร ในพื้นที่รังสิต ลำลูกกา และบ่อวิน โดยตั้งเป้าอัตราเข้าพัก (Occupancy Rate) สูงกว่า 90% เพื่อปูทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใน 4 ปี และตั้งเป้ารายได้รวมราว 10,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ อัตราค่าเช่ามีความยืดหยุ่นตามทำเลและกลุ่มเป้าหมาย โดยในเซ็กเมนต์ล่าง ซึ่งเจาะกลุ่มแรงงานจะมีค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มนักศึกษา ที่ต้องการห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ จะอยู่ในช่วง 4,000-5,000 บาทต่อเดือน

ขณะที่โครงการใน ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งเน้นดีไซน์ทันสมัยและระบบความปลอดภัยครบถ้วน จะมีค่าเช่าอยู่ที่ราว 8,000-10,000 บาทต่อเดือน เพื่อเจาะตลาดที่หลากหลายเพื่อรองรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยเช่าทุกระดับรายได้

นายปิยะยํ้าว่า การขยายธุรกิจทั้งสามแขนงของ IHC ไม่ได้เป็นเพียงการต่อยอดทางรายได้เท่านั้น แต่ยังเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่จะทำให้เครือพฤกษากลายเป็นผู้นำในระบบนิเวศอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนา การก่อสร้าง ไปจนถึงการบริหารสินทรัพย์ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เศรษฐกิจปี69ท้าทายตัวแปรเลือกตั้ง ‘กานดา’ ชู แนวคิด ‘ซื้อบ้านแก้หนี้’ ปลดล็อคแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อ

  • เศรษฐกิจปี 2569 เผชิญความท้าทายจากปัจจัยการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
  • กานดา พร็อพเพอร์ตี้ เสนอแนวคิดเชิงนโยบาย “ซื้อบ้านแก้หนี้” เพื่อเป็นทางออกให้กับผู้บริโภคที่ถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ
  • แนวคิดดังกล่าวคือการอนุญาตให้ธนาคารสามารถรวมภาระหนี้เดิมของผู้กู้ เช่น หนี้บัตรเครดิต เข้ากับวงเงินสินเชื่อบ้าน เพื่อช่วยให้ผู้ที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้

แม้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงกำลังซื้อเปราะบาง โดยเฉพาะปี2569 ยังมีความท้าทายสูง สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ ขณะทางออกผู้ประกอบการต่างพลิกเกมการแข่งขันในทำเลศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง อย่างตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตที่ประเมินว่ายังเติบโตต่อเนื่อง

นายหัสกร บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดในปี 2569 ยังคงเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน ส่งผลให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะ “สุญญากาศ” ขาดความชัดเจนด้านนโยบาย

ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศจะได้รับผลกระทบจากนโยบายตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2569 โดยเฉพาะต่อภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง

ทั้งนี้แม้จะมีสัญญาณของดอกเบี้ยขาลง การชะลอการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ และการขยายมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องถึงกลางปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง ยกเว้นรัฐบาลใหม่จะใช้ยาแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

“บริษัทยังต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังเน้นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อที่แข็งแรง โดยในเดือนธันวาคมนี้บริษัทเตรียม Soft Opening โครงการ ParQ Villa เชิงทะเล ภูเก็ต โครงการพูล วิลล่า สไตล์ Modern Contemporary จำนวน 22 หลัง พร้อมสวนเนื้อที่ 4-5 ไร่ จับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ และจะ Grand Opening ในไตรมาสแรกปี 2569 และเตรียมที่จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ I-Leaf Privé บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมสไตล์ Contemporary Resort ที่เน้นความเป็นส่วนตัว โดยเตรียมเปิด 3 ทำเล ได้แก่ ภูเก็ต ลำลูกกา และพระราม 2 ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2569 เป็นต้นไป”

นอกจากนี้ นายหัสกรยังได้เสนอแนวคิดเชิงนโยบาย “ซื้อบ้านแก้หนี้” ต่อภาครัฐ เพื่อช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน และกระตุ้นการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภคที่มีศักยภาพ โดยชี้ว่าลูกค้าจำนวนไม่น้อยแม้จะมีรายได้เพียงพอต่อการกู้ซื้อบ้าน แต่ติดปัญหาหนี้เดิม เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้เช่าซื้อรถยนต์ ที่เป็นอุปสรรคต่อการอนุมัติสินเชื่อบ้าน แนวทางที่เสนอคือ ในกรณีที่ลูกค้ามีศักยภาพเพียงพอหรือสามารถกู้ได้เกินกว่าวงเงินที่ยื่นขอสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังควรหาแนวทางผ่อนปรนเงื่อนไขให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ โดยรวมภาระหนี้เดิมเข้ากับสินเชื่อบ้านได้

ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าต้องการกู้เงินซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท แต่เนื่องจากลูกค้ามีภาระหนี้บัตรเครดิตอยู่ประมาณ 150,000 บาท จึงไม่สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าสามารถปิดภาระหนี้บัตรเครดิตจำนวน 150,000 บาท โดยการรวมหนี้นั้นกับวงเงินสินเชื่อบ้านก็จะสามารถขอกู้ได้ เพราะจากรายได้ที่มีอยู่ลูกค้าสามารถขอกู้ได้สูงสุด 2.5 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งวงเงินกู้บ้านและยอดหนี้บัตรเครดิตเดิมได้

ขณะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 ว่า ตลาดโดยรวมยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ตลาดชะลอตัวจากความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐในการต่อมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 และ 3 จากแรงหนุนของมาตราการที่รัฐต่ออายุให้ทั้งเรื่องของการลดค่าธรรมเนียมโอนและการจดจำนอง

รวมถึงการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่สามารถกู้ได้เต็ม 100% ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดได้ดีในระดับหนึ่ง แต่โดยภาพรวมใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 ก็ยังไม่ดีเท่ากับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 จากปัญหาหลักคือ สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและยังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมาก

สำหรับในไตรมาสที่ 4 คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า และถือเป็นช่วงสำคัญที่ผู้ประกอบการต่างเร่งปิดยอดขาย ตลาดจะมีความคึกคักยิ่งขึ้นจากโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา เพื่อผลักดันยอดขายในช่วงสุดท้ายของปี

นอกจากนี้ การออกแบบบ้านในทุกโครงการของบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกับแนวคิด 5 Kanda Concept  ได้แก่

1.Eco Smart ออกแบบและเลือกใช้วัสดุ เพื่อลดการใช้พลังงาน 

2.Easy Maintenance ออกแบบบ้าน ให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงในอนาคต เลือกใช้วัสดุทนทาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

3.Multi Generation ออกแบบให้มีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ เลี้ยงเด็กเล็ก หรือการใช้ประโยชน์อื่นๆ

4.Space Matter ให้ความสำคัญกับการออกแบบทุกพื้นที่ใช้สอย ต่อเติมพื้นที่ซักล้างหลังบ้านไว้ให้สำหรับบ้านทุกแบบ

5.Flood Protection จัดทำระบบป้องกันอุทกภัย 

“การปล่อยกู้โดยรวมหนี้บัตรเครดิตเข้ากับสินเชื่อบ้านได้ จะก่อให้เกิดผลดีทั้งต่อผู้ซื้อบ้าน ธนาคาร และเศรษฐกิจโดยรวม โดยที่กระทรวงการคลังไม่จำเป็นต้องนำเงินมาอัดฉีดให้กับแนวทางที่นำเสนอนี้ และนอกจากจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและการผ่อนชำระของประชาชนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในตลาดอสังหาฯ ลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ ลดอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) และเป็นการเปลี่ยนหนี้ที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังให้กลายเป็นหนี้บ้านที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบการเงินได้ในระยะยาว” นายหัสกรกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5พ.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนในกรอบที่กว้างมากขึ้น ส่วนเงินดอลลาร์พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐ ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5 พ.ย.2568 ที่ระดับ  32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.53 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าสำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง

 และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวนและเข้าสู่ช่วงภาวะปิดรับความเสี่ยง

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ออกมาแย่กว่าคาด ก็จะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้บ้าง

 ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง (สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของดัชนี US Economic Surprise ซึ่งดูได้ในรายงาน Week Ahead ของเราในวันจันทร์ที่ผ่านมา) ก็สามารถหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม

โดยเรามองว่า ในช่วงคืนนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งแม้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าวมากนัก เนื่องจากสุดท้ายก็จะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls, NFP)

 ทำให้สถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในระดับ +/-1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 30 นาที ราว +0.05%/-0.12% ซึ่งน้อยกว่า การแกว่งตัวหลังรับรู้รายงาน NFP อย่างเห็นได้ชัด

แต่เนื่องจากตลาดจะยังไม่ได้รับรู้รายงาน NFP จนกว่าภาวะ Government Shutdown จะสิ้นสุดลง ทำให้ เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนในกรอบที่กว้างมากขึ้น เช่นระดับ +/- 2SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP 

และที่สำคัญ เราขอเน้นย้ำว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็อาจถูกจำกัดลง และเงินดอลลาร์ก็มีความเสี่ยงย่อตัวลงได้บ้าง จากประเด็นการพิจารณาคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้

โดยหากเริ่มมีแนวโน้มที่ศาลสูงสุดจะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า

ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง (Fiscal Concerns) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น จากแรงขายบอนด์ระยะยาวสหรับฯ ก็ตาม ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลัก (อย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ BOJ จนส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่น) ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงคืนที่ผ่านมา ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ราคาทองคำ (XAUUSD) กลับเผชิญแรงขายต่อเนื่อง จนปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงหนัก จากแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงว่ามูลค่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจอยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งความกังวลดังกล่าวก็เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดา CEO ของทั้ง JP Morgan Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างออกมาเตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญการปรับฐานอย่างน้อย -10% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.17% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.04%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลง -0.30% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน โดยผู้เล่นในตลาดได้ทยอยขายทำกำไรหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่เพิ่มเติม

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare รวมถึงหุ้นสไตล์ Defensive อย่าง กลุ่ม Utilities 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.07% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อย่างไรก็ดี มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้จำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

และอาจทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนไปก่อนได้ จนกว่า ตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP เนื่องจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ได้ทำให้ การประกาศข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS ถูกเลื่อนออกไป

อย่างไรก็ดี เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม (ทว่า หากเกิดภาวะปิดรับความเสี่ยงด้วย ก็อาจชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ได้) โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง

เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยปัจจัยเดิมอย่างการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด และปัจจัยใหม่ คือ ความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน อีกทั้ง ทางการญี่ปุ่นก็เริ่มส่งสัญญาณพร้อมเข้าดูแลค่าเงินเยนญี่ปุ่น หลังอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.9-100.3 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) กลับเผชิญแรงกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้อานิสงส์จากการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ทำให้เงินดอลลาร์น่าสนใจมากกว่าทองคำ)

และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลง สู่โซน 3,940-3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่จะรับรู้ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 21.00 น.

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การพิจารณาไต่สวนคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

ส่วนในฝั่งจีนนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการ โดย RatingDog (เดิม Caixin) ซึ่งจะสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคบริการในส่วนของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง เป็นส่วนใหญ่

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เป็นวันที่ 35 และมีแนวโน้มที่ภาวะ Government Shutdown ในครั้งนี้ อาจยาวนานเป็นประวัติการณ์ได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.54-32.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.24 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าเช่นเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงได้รับอานิสงส์จากการทยอยลดน้ำหนักความเป็นไปได้ของการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค. ประกอบกับน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่องจากช่วงตลาดนิวยอร์กจนถึงตลาดเอเชียเช้าวันนี้    

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงคำตัดสินของศาลสหรัฐฯในประเด็นภาษีสินค้านำเข้าของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนี PMI/ISM ภาคบริการเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนต.ค. ของประเทศชั้นนำอื่นๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“วราวุฒิ-ลลิตา”ผงาดแชมป์โลกยูยิตสูดูโอคู่ผสม 3 สมัยซ้อนศึกชิงแชมป์โลก 2025

“พลับ” วราวุฒิ แสงศรีเรือง จับคู่ “มุก” ลลิตา ยืนนาน คว้าแชมป์โลกยูยิตสูประเภทดูโอคู่ผสม สมัยที่ 3 ติดต่อกัน หลังเอาชนะทีมอิตาลี 214-196 คะแนน ในศึกยูยิตสูชิงแชมป์โลก 2025 ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก ประเทศไทย

การแข่งขัน ยูยิตสูชิงแชมป์โลก 2025 จัดขึ้นที่ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ภายในการกีฬาแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2568 โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในวันที่ 4 ของรายการ

ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ประเภท ดูโอคู่ผสม ซึ่งคู่เต็งแชมป์ของไทยอย่าง “พลับ” วราวุฒิ แสงศรีเรือง และ “มุก” ลลิตา ยืนนาน เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก 2 สมัย (ปี 2023 และ 2024) รวมถึงเหรียญทอง เวิลด์เกมส์ สองครั้งหลังสุด ปี 2022 ที่สหรัฐอเมริกา และปี 2025 ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน กลับมาลงสนามอีกครั้ง

ในรอบชิงชนะเลิศ ทั้งคู่ยังคงโชว์ฟอร์มสมราคาทีมเต็ง ไล่เก็บคะแนนเหนือคู่แข่งจากอิตาลี ก่อนคว้าชัยไปด้วยคะแนน 214-196 ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมจารึกประวัติศาสตร์คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ติดต่อกันให้กับทัพยูยิตสูไทยอีกครั้งอย่างยอดเยี่ยม

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


‘โปรตอน’ รังสีรักษาเทคโนโลยีใหม่ ทำลาย ‘มะเร็ง’ แม่นยำตรงจุด

“โปรตอน” รังสีรักษาเทคโนโลยีใหม่ ควบคุมปริมาณรังสีส่งไปที่ก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด ขณะเดียวกันลดปริมาณรังสีต่อเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียง ประเทศไทยยังมีเพียงเครื่องเดียว 

 

เทคโนโลยี การรักษาด้วย “โปรตอน” เป็นการฉายรังสีรูปแบบใหม่ที่สามารถควบคุมปริมาณรังสีให้ส่งไปยังบริเวณก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ขณะเดียวกันก็ลดปริมาณรังสีต่อเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียง เพื่อลดผลข้างเคียงให้มากที่สุด โดยปัจจุบัน “โปรตอน” ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว 4  ปีที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นเครื่องแรกและยังเป็นเครื่องเดียว

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 ที่ BDMS Wellness Connect Center  ภายในงาน BDMS Annual Meeting 2025 ภายใต้แนวคิด “Striving for Healthcare Excellence Across the Lifespan: From Prevention to Precision Medicine” มีการนำเสนอเรื่อง “Proton Therapy in Practice : A New Era of Targeted Radiation”

รศ.พญ.กาญจนา โชติเลอศักดิ์ อาจารย์แพทย์สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา  คณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  กล่าวว่า  โปรตอนเป็นรังสีรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีใหม่ มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ สามารถที่จะควบคุมให้ปริมาณรังสี ให้อยู่ในบริเวณตำแหน่งก้อนมะเร็งที่ต้องการรักษาได้ดีขึ้น

เนื่องจากเป้าหมายหลักของการใช้รังสีรักษา อยู่ที่การให้ปริมาณรังสีอยู่ที่บริเวณเนื้องอกหรือก้อนมะเร็งให้ได้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ต้องลดปริมาณรังสีที่เนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียงให้ได้น้อยที่สุด เพื่อจะช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษาให้น้อยที่สุด และเพิ่มโอกาสให้คนไข้หายขาดได้สูงสุด และมีผลข้างเคียงจากการรักษาน้อยที่สุด

ปัจจุบันประเทศไทยยังมีเครื่องฉายโปรตอน เครื่องแรกและเครื่องเดียวที่รพ.จุฬาลงกรณ์  เปิดให้บริการมาประมาณ 4 ปี ตั้งแต่ ปี 2021 เริ่มมีคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ ในการให้การรักษาด้วยโปรตอน จะพิจารณาตามข้อบ่งชี้ตามแนวทาง หรือไกด์ไลน์ของ international guideline ซึ่งมีการกำหนดมากขื้นเรื่อยๆว่า ผู้ป่วยกลุ่มไหนที่การใช้โปรตอน จะได้ประโยชน์มากกว่าการใช้รังสีรักษาโดยทั่วไป

 อย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา จะกำหนดว่าคนไข้ที่การฉายรังสีด้วยเทคนิคธรรมดาแล้ว อาจจะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ หรือไม่สามารถลดปริมาณรังสีด้วยเทคนิคธรรมดาได้ ดังนั้น  การใช้โปรตอนก็จะเข้ามาใช้ในคนไข้กลุ่มนี้

รศ.พญ.กาญจนา กล่าวอีกว่า รังสีรักษาไม่ได้ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งอย่างเดียว จะมีผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกธรรมดาก็สามารถใช้รังสีรักษาได้ แต่ไม่ได้แปลว่า คนไข้ทุกคนที่เป็นเนื้องอกธรรมดาจะต้องใช้รังสีรักษา เพราะส่วนใหญ่จะผ่าตัดเสร็จก็จบ  แต่ในคนไข้บางรายที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ บางครั้งการใช้รังสีรักษาก็อาจจะต้องเข้ามาใช้กับคนไข้  

 โดยคนไข้ที่ต้องฉายแสง มีประมาณ 5-10% เท่านั้น ซึ่งการใช้โปรตอนก็จะมีข้อบ่งใช้ของการรักษาแบบเดียวกับการรักษาด้วยรังสี รวมถึง โรคและชนิดของมะเร็งที่ใช้ในการรักษาก็ใช้ได้เหมือนกับกรณีการใช้รังสีรักษาอื่นๆ เพียงแต่โปรตอนสามารถช่วยทำให้ได้ปริมาณรังสีไปที่ก้อนหรือบริเวณที่ต้องการใช้รังสีรักษาได้มากขึ้น และลดปริมาณรังสีบริเวณเนื้อเยื่อใกล้เคียง 

“ไม่ใช่ทุกรายที่การใช้โปรตอนจะเข้ามามีประโยชน์ เพราะคนไข้บางคนรักษาด้วยการฉายด้วยรังสี ธรรมดาก็เพียงพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องใช้โปรตอน”รศ.พญ.กาญจนากล่าว 

รศ.พญ.กาญจนา กล่าวด้วยว่า สำหรับการใช้โปรตอนกับคนไข้เด็กนั้น  เนื่องจากปัจจุบันมะเร็ง ของเด็กเป็นโรคมะเร็งที่ผลการรักษาค่อนข้างดี เพราะฉะนั้น เด็กหลายคนก็มีโอกาสที่จะหายขาดจากโรค แล้วอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน 10 ปี 20 ปี หรือ โตเป็นผู้ใหญ่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลคือเมื่อหายจากโรคแล้วจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา จึงอยากให้คนไข้มีคุณภาพชีวิต ที่ดีที่สุดแล้วก็โตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่เหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น ในการใช้รังสีในเด็ก  โปรตอนสามารถเข้ามามีบทบาท เพื่อจะช่วยลดปริมาณรังสีที่เนื้อเยื่อปกติ ซึ่งจะมีผลในการเติบโตของเด็ก

รศ.พญ.กาญจนา กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยที่ที่ทำการรักษาด้วยโปรตอนที่รพ.จุฬาฯ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยมะเร็งผู้ใหญ่ โดยจะเลือกใช้โปรตอนในมะเร็งที่การรักษาด้วยรังสีธรรมดา อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงสูง เช่น มะเร็งศีรษะและลำคอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปาก เจ็บคอ ปากแห้ง คอแห้ง จนผู้ป่วยไม่สามารถรักษาจนจบคอร์สได้

ทั้งนี้ ความท้าทายหลักของการนำโปรตอนมาใช้ในประเทศไทย คือ “ราคา” เนื่องจากการลงทุนในการติดตั้งเครื่องทั้งค่าเครื่องและค่าอื่นสูงมาก ส่งผลให้ค่ารักษาต่อคอร์สสูงตามไปด้วย ปัจจุบัน การรักษาจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นครั้ง เช่น คอร์สการรักษาของผู้ป่วยเด็ก ที่อาจต้องฉายรังสี 30 ครั้ง ค่ารักษาทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 1 – 1.5 ล้านบาท

รวมถึง เรื่องบุคลากรก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในการใช้รังสีรักษาทั้งโปรตอนหรือเทคนิคอื่นๆ จำเป็นต้องอาศัยทีมงานที่ประกอบด้วย แพทย์รังสีรักษา นักฟิสิกส์ นักรังสีเทคนิค พยาบาล และทีมงานอื่นๆ ที่จะมาช่วยในการดูแลคนไข้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


AI เขย่าวงการนักพัฒนา เปลี่ยนวิถี! คน – งาน – เส้นทางนวัตกรรม

  • AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตประจำวันของนักพัฒนาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • 95% ใช้งานเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาได้ถึง 4-6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ยังไม่ถูกใช้งานเต็มศักยภาพ
  • ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
  • นักพัฒนากว่า 67% ต้องตรวจสอบโค้ดที่สร้างโดย AI ทุกบรรทัด และส่วนใหญ่ยังขาดนโยบายการใช้งานที่ชัดเจนจากองค์กร ทำให้การกำกับดูแลโดยมนุษย์ยังเป็นสิ่งจำเป็น
  • เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทักษะ AI
  • นักพัฒนาส่วนใหญ่ (71%) เรียนรู้ด้วยตนเอง มีเพียง 28% ที่ได้รับการฝึกอบรมจากที่ทำงาน 
  • นักพัฒนาไทยมีความรอบคอบในการใช้ AI สูงที่สุด มีเพียง 5% ที่มั่นใจว่า AI จะทำงานได้เทียบเท่าวิศวกรระดับกลาง 

“อโกด้า” แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยรายงานฉบับใหม่ “AI Developer Report 2025” สำรวจความคิดเห็นนักพัฒนา AI ปี 2568 โดยพบว่าการใช้งาน AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย อยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี การใช้งานดังกล่าวยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ นักพัฒนาเน้นนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน โดยไม่ลดทอนคุณภาพของผลงาน

ขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญความท้าทายในการวางนโยบาย แนวปฏิบัติ และกรอบการทำงานที่เหมาะสม เพื่อรองรับการพัฒนา AI ในระยะต่อไปของภูมิภาค

ข้อมูลเชิงลึกจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินเดีย รวมถึงมุมมองจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอย่าง SCB 10x, Omise, Carousell และ MoMo พบ 3 ประเด็นที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับแนวโน้มการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ดังนี้

AI กลายเป็นเทคโนโลยีหลัก แต่ยังไม่ถูกพัฒนาเต็มที่

ปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย จากรายงานพบว่า มีนักพัฒนาถึง 95% ที่ใช้ AI เป็นประจำทุกสัปดาห์ และกว่า 56% เปิดใช้ผู้ช่วย AI อยู่ตลอดเวลา

ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดการใช้งาน AI คือประสิทธิภาพและความรวดเร็ว โดย 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน และมีกลุ่มนักพัฒนาจำนวนมากเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และมี 37% ที่ระบุว่าสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 4–6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การใช้งาน AI ในปัจจุบันยังคงเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเสริมประสิทธิภาพ มากกว่าการเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ผลงาน   

นอกจากนี้  22% ของกลุ่มนักพัฒนานำเอา AI มาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย และน้อยกว่าครึ่งหรือราว 43% ของกลุ่มนักพัฒนาที่เชื่อว่า AI สามารถทำงานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง

ขณะที่ 94% ใช้ AI เพื่อช่วยในการเขียนโค้ด  อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงการใช้งานประเภทการจัดทำเอกสาร การจัดการทดสอบ และการปรับใช้ระบบ

ผลสำรวจพบด้วยว่า การนำเอา AI เข้ามาใช้งานยังมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการใช้งานจริง กับความน่าเชื่อถือของ AI ซึ่งชี้ให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาให้ AI มีความเสถียร และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์ยังไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด แต่ดีขึ้นเรื่อยๆ

การตรวจสอบและการยืนยันผลลัพธ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานกับ AI ในชีวิตประจำวันของกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างชัดเจน

โดย 79% ของนักพัฒนาระบุว่า ผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ คืออุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย และเพื่อรักษาคุณภาพของงาน นักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 67% จะตรวจสอบโค้ดที่สร้างโดย AI ทุกบรรทัดก่อนนำมารวมเข้ากับงานของตนเอง อีกทั้งกว่า 70% มักปรับแต่งหรือแก้ไขผลงานของ AI เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง และเชื่อถือได้

ผลสำรวจยังพบว่า มาตรการและนโยบายในการใช้งาน AI ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก โดยมีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่ทำงานภายใต้แนวทาง หรือกรอบข้อกำหนดด้าน AI ที่ชัดเจน และนำเอาการตรวจสอบและประเมินผลของคนมาเพื่อใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือแทน

อย่างไรก็ดี การตรวจสอบไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม กว่า 72% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ยืนยันว่าเห็นผลลัพธ์ชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและคุณภาพของโค้ด ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการมีคนเข้ามากำกับดูแลการทำงานของ AI ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อการใช้งาน AI ที่ถูกต้อง

‘ความเหลื่อมล้ำ’ หลีกเลี่ยงได้ยาก

ขณะที่การใช้งาน AI จะเกือบเข้าสู่ระดับที่แพร่หลาย แต่ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือ วิธีการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพ

จากรายงานพบว่า นักพัฒนาส่วนใหญ่กว่า 71% เรียนรู้การใช้ AI ด้วยตนเองผ่านการศึกษาบทเรียนออนไลน์ โครงการเสริม หรือจากแหล่งชุมชนออนไลน์

ขณะที่มีเพียง 28% ที่ได้รับการฝึกอบรมจากที่ทำงาน อีกทั้งการเข้าถึงเพื่อพัฒนาศักยภาพการใช้งาน AI ยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศโดย โดยกลุ่มนักพัฒนาในประเทศสิงคโปร์นั้นมีโอกาสที่จะได้รับการอบรมด้าน AI มากกว่านักพัฒนาในเวียดนามถึงเกือบสองเท่า

แม้จะมีช่องว่างเหล่านี้ นักพัฒนาก็ยังเดินหน้าเสริมความสามารถให้แก่ตนเองอย่างต่อเนื่อง โดย 87% ของนักพัฒนามีการปรับแผนการเรียนรู้ หรือเส้นทางอาชีพเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI และ 62% เชื่อว่า AI จะช่วยขยายโอกาสในอาชีพของตนซึ่งเป็นการวางรากฐานระยะยาวของเหล่านักพัฒนาทั้งภูมิภาค

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แรงงานนั้นมีความสามารถ มีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ มีความมุ่งมั่น พร้อมทดลองสิ่งใหม่ ๆ และมีความรู้ด้าน AI มากกว่าที่องค์กรจะสามารถจัดอบรมให้ความรู้ให้ได้

อิแดน ซาลซ์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ อโกด้า กล่าวว่า AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ และทำงานร่วมกัน

จากเดิมที่ AI ถูกนำมาใช้เพื่อเร่งงาน เช่น การเขียน ทดสอบ หรือแก้ไขโค้ด วันนี้ AI กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการสร้างซอฟต์แวร์ ช่วยให้ทีมทำงานได้รวดเร็วขึ้น เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับการใช้ AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย แม้เป็นสิ่งที่แพร่หลายแต่ความไม่เท่าเทียมก็ยังมีให้ได้พบเห็น  โดยนักพัฒนาได้นำ AI มาใช้อย่างรอบคอบ เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และนำมาปรับใช้ด้วยความรอบคอบ แทนที่จะใช้ AI แทนทักษะต่าง ๆ หรือการตัดสินใจที่สำคัญ

ความท้าทายที่แท้จริงคือการสนับสนุนการเติบโตจากฐานรากนี้ ด้วยแนวปฏิบัติที่เป็นระบบและการทดลองอย่างรับผิดชอบ เพื่อเปลี่ยนการใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน

นักพัฒนาไทย ‘รอบคอบ’ ยังไม่เทใจเต็มที่

สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยยังคงเป็นกลุ่มที่นำ AI มาใช้งานอย่างรอบคอบที่สุด โดยมีเพียง 5% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยที่ “มั่นใจอย่างยิ่ง” ว่า AI สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์จาก 7 ประเทศที่ถูกสำรวจ

ขณะที่ 41.3% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยแสดงความไม่มั่นใจกับการใช้ AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้วิจารณญาณ และความรอบคอบในการใช้ AI มากกว่าการใช้ AI ไปตามกระแส

อีกทั้งผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพก็คงชัดเจน โดยเกือบครึ่งของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทย (46.3%) แสดงความคิดเห็นว่า การใช้งาน AI ช่วยประหยัดเวลาได้ 4 – 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่มากกว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์จากประเทศอื่น ๆ อันชี้ให้เห็นว่าคุณค่าการใช้งานที่แท้จริงนั้นยังมีให้เห็นแม้อาจมีความไม่ชัดเจนอยู่บ้าง

การสำรวจนี้ อโกด้า ได้จัดทำขึ้นร่วมกับ Macramé Consulting เป้าหมายเพื่อสนับสนุนกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สร้างทักษะ และระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนภูมิภาคสู่การเป็น “Silicon Valley of Asia” (ซิลิคอนแวลลีย์ของเอเชีย) ผ่านการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เข้ากับวัฒนธรรมความรับผิดชอบ และการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ไขข้อสงสัย Preposition of time คำบุพบทบอกเวลา เข้าใจง่ายใช้ได้จริง!

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง

in, on, at ใช้ต่างกันอย่างไร

สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้

  1. in ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวหรือไม่เฉพาะเจาะจง โดยจะใช้พูดถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ปี เดือน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาในแต่ละวัน เช่น

– in 2025 (ปี)

– in June (เดือน)

– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night

– in winter (ฤดูกาล)

– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)

– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)

หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น

My sister starts school in August.

(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)

  1. on ใช้กับวันและการระบุวันที่แบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงสิ่งที่เราระบุชัดลงไปได้ เช่น วันหยุดต่าง ๆ ในปฏิทินหรือวันในแต่ละสัปดาห์ เช่น

– on Monday

– on 1st June

– on New Year’s Day

– on my birthday

หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น

Valentine’s Day is on February 14.

(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์)

  1. at ใช้กับการพูดถึงเวลาแบบเฉพาะเจาะจง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น

– at 7 a.m.

– at noon

– at night

– at midnight

– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)

หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น

Let’s meet at noon.

(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน

คำบุพบทบอกเวลา อื่น ๆ ที่พบบ่อย 

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน

  1. by หมายถึง “ไม่เกิน” หรือก่อนถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้เมื่อพูดถึงจุดสิ้นสุดของเวลา เช่น

I’ll finish the report by Monday.

(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)

  1. for และ since

นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้

– I have lived here for 15 years.

(ผมอยู่ที่นี่มา 15 ปีแล้ว)

– I have lived here since 2010.

(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)

  1. before กับ after หมายถึง “ก่อน” และ “หลัง” เช่น

– I had lunch before the meeting.

(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)

– Let’s go out after dinner.

(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)

  1. from … to … ใช้บอกเวลาจากช่วงหนึ่งไปถึงอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่า เรียนภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นอาจยังไม่เจอบุพบทตัวนี้ แต่ถือว่าเป็นคำที่มีความจำเป็นมาก เพราะใช้กับการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น

The store is open from 8 A.M. to 6 P.M.

(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


กินแอปเปิ้ลวันละลูก ผลลัพธ์สุดเซอร์ไพรส์! ร่างกายเปลี่ยนไป 6 อย่างแบบไม่รู้ตัว

กินแอปเปิ้ลวันละลูก ร่างกายเปลี่ยนไป 6 อย่างแบบไม่คาดคิด

แอปเปิ้ลคือผลไม้ที่คุ้นเคยและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย แต่รู้หรือไม่ว่า การกินแอปเปิ้ลเพียงวันละลูก อาจช่วยให้ร่างกายเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ดี” ได้ถึง 6 ประการอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

เว็บไซต์ Daily Mail ของอังกฤษได้เผยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ลิลลี่ เซาเตอร์ (Lily Soutter) ซึ่งกล่าวว่า “แอปเปิ้ลเป็นแหล่งของไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมถึงมีโพลีฟีนอลที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองได้ดีอีกด้วย”

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การกินแอปเปิ้ลเป็นประจำถือเป็น “ยาธรรมชาติ” ของสุขภาพอย่างแท้จริง เพราะเพียงวันละหนึ่งผลก็ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์ถึง 6 ข้อสำคัญดังต่อไปนี้

1. ส่งเสริมระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง

แอปเปิ้ลถือเป็นผลไม้ชั้นดีต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะมีไฟเบอร์ประมาณ 1.8 กรัมต่อผล ซึ่งช่วยเติมเต็มปริมาณไฟเบอร์ที่ร่างกายควรได้รับวันละ 30 กรัมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีทั้งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและบำรุงแบคทีเรียดีในลำไส้

โดยเฉพาะ “เพกติน” ซึ่งอยู่บริเวณเปลือกแอปเปิ้ล เป็นแหล่งอาหารสำคัญของจุลินทรีย์ในลำไส้ เมื่อแบคทีเรียดีในลำไส้ย่อยเพกติน จะเกิดกรดไขมันสายสั้นที่ช่วยลดการอักเสบและรักษาความสมดุลของระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรงอยู่เสมอ

2. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ร็อบ ฮ็อบสัน (Rob Hobson) อธิบายว่า เพกตินในแอปเปิ้ลจะสร้างชั้นเจลในลำไส้ ทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ช่วยป้องกันระดับน้ำตาลพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สารโพลีฟีนอลยังช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น และงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

3. เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

หลายงานวิจัยพบว่า แอปเปิ้ลช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง

เพกตินในแอปเปิ้ลช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือด อีกทั้งโพลีฟีนอลยังช่วยปกป้องผนังหลอดเลือด ลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดที่เป็นสาเหตุของการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ

4. ช่วยควบคุมน้ำหนัก

ดร.แคทเทอรีนา เพโทรปูลู (Katerina Petropoulou) จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ลอนดอน เผยว่า เพกตินในแอปเปิ้ลช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมคาร์โบไฮเดรต ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ที่สำคัญ แอปเปิ้ลหนึ่งผลมีพลังงานเพียงประมาณ 70 กิโลแคลอรีเท่านั้น จึงช่วยลดโอกาสการบริโภคเกินและป้องกันการสะสมของไขมันส่วนเกินได้ดี

5. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

แอปเปิ้ลอุดมด้วยสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าผู้ที่กินแอปเปิ้ลทุกวันมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม ปอด และช่องปากลดลงถึง 30% นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านการเกิดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดเซลล์มะเร็ง

6. บำรุงสมองและความจำ

แอปเปิ้ลมีสารเควอซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ประสาท อีกทั้งสารโพลีฟีนอลในแอปเปิ้ลยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำระยะสั้นได้อีกด้วย

เคล็ดลับกินแอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรกินแอปเปิ้ลทั้งผลรวมถึงเปลือก เพราะสารสำคัญส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณนั้น นอกจากนี้ การกินแอปเปิ้ลคู่กับอาหารที่มีโปรตีนหรือไขมันดี เช่น อะโวคาโด หรือโยเกิร์ต จะช่วยให้การย่อยเป็นไปอย่างช้าๆ ควบคุมระดับน้ำตาล และช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a60,900.0061,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,937.0059,684.9261,800.00
ทองรูปพรรณ 90%3,543.3053,716.43n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,149.6047,747.94n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,771.6526,858.21n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,377.9520,889.72n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,079.7961,849.62n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า