สาระน่ารู้ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568

จับตาร่างกม.ที่พัก-โรงแรมใหม่สู่ยุคปล่อยเช่าถูกกฎหมาย

จับตาร่างกฎหมาย‘ที่พัก-โรงแรม’ใหม่เขย่าคอนโด! สู่ยุคปล่อยเช่าถูกกฎหมาย หลังจากเป็นปัญหาที่เรื้อรังโดยเฉพาะกลุ่มซื้อคอนโดที่แอบปล่อยเช่ารายวัน มานาน

2 ร่างกฎหมายใหม่ ว่าด้วยการจัดระเบียบ “ที่พักที่ไม่ใช่โรงแรม” และ “โรงแรม” กำลังปูทางให้คอนโดมิเนียมกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนปล่อยเช่าระยะสั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ท่ามกลางคำถามใหญ่เรื่องความเป็นส่วนตัวในที่อยู่อาศัย!

สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางกระแส Sharing Economy ที่ยังแรงไม่เลิก รัฐบาลไทยกำลังขยับครั้งใหญ่ในด้านกฎหมาย เพื่อจัดระเบียบ “ที่พักขนาดเล็ก” ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโรงแรม แต่ให้บริการคล้ายโรงแรม เช่น โฮมสเตย์ เกสต์เฮ้าส์ โฮสเทล รถบ้าน หรือแม้แต่คอนโด

จากการเปิดเผยของ Airbnb ที่ระบุว่า มีร่างกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรูปแบบธุรกิจของโฮสต์ในไทย กลายเป็นกระแสทันที โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนคอนโด ที่เคยเล่นเกม “ปล่อยเช่ารายวัน” อย่างหลบๆ ซ่อนๆ มานาน

ร่างพระราชบัญญัติฉบับแรก เจาะจงควบคุมที่พักขนาดเล็กที่ไม่ใช่โรงแรมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโฮสเทล รถบ้าน แพพัก หรือลานกางเต็นท์ โดยไม่รวมยูนิตในคอนโด

“สาระสำคัญ คือ ผู้ให้บริการต้องลงทะเบียน ขออนุญาต และจัดให้มี  Caretaker หรือผู้ดูแลที่พักที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงเรื่องสุขอนามัย ระบบป้องกันอัคคีภัย และความปลอดภัยด้านอาคาร”

ข้อกำหนดเหล่านี้ยกระดับมาตรฐานของที่พักให้ใกล้เคียงกับโรงแรม แต่อาจสร้างภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นสำหรับเจ้าของรายย่อยที่ไม่เคยเผชิญกับกฎเข้มข้นเช่นนี้มาก่อน

คอนโดเปิดเกมเช่า“รายวัน”ถูกกฎหมาย

อีกฉบับหนึ่งคือร่างพระราชบัญญัติสถานที่พักแรม พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอขึ้นมา เพื่อปรับปรุง พ.ร.บ.โรงแรมเดิม ให้สอดรับกับสภาพความเป็นจริงของธุรกิจที่พักในยุคใหม่ 

“สาระสำคัญ คือ การแบ่งกลุ่มผู้ให้บริการที่พักเป็น 3 ขนาด ตามจำนวนยูนิตหรือห้องพัก ขนาดเล็ก ไม่เกิน 8 ห้อง ครอบคลุมโฮมสเตย์ ลานกางเต็นท์ แพพัก คอนโดที่ปล่อยเช่ารายเดือน ขนาดกลาง 9-40 ห้อง ครอบคลุมคอนโดปล่อยเช่ารายวันหรือรายสัปดาห์ และขนาดใหญ่เกิน 40 ห้อง ต้องมีใบอนุญาตโรงแรมเต็มรูปแบบ” 

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ! คอนโดสามารถปล่อยเช่ารายวันได้ เพียงแจ้งหรือจดทะเบียนกับรัฐ โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตโรงแรม เช่นในอดีตอีกต่อไป

ห้ามไม่ได้ ก็ต้อง “ควบคุม”

เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางกฎหมายครั้งนี้ สะท้อนมุมมองของรัฐที่ตระหนักว่า “ห้าม” ธุรกิจแบบ Airbnb อย่างเด็ดขาดนั้นเป็นไปได้ยาก แนวทางจึงเปลี่ยนจากการปราบปราม เป็นการนำเข้าสู่ระบบเพื่อให้ควบคุมได้ และเก็บภาษีได้อย่างเป็นธรรม โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการโรงแรมดั้งเดิมเกินไป

 “กฎหมายใหม่นี้อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของปัญหา แต่คือ ‘ทางสายกลาง’ ที่ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้”

“คอนโด” อาจไม่ใช่บ้านอีกต่อไป?

แม้รัฐได้ประโยชน์จากการควบคุมและจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่วาทกรรมที่ว่า “คอนโดคือบ้าน” กำลังถูกตั้งคำถามครั้งใหญ่ เพราะหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน คอนโดก็อาจไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไป 

ผู้พักอาศัยระยะยาว ซึ่งซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัยจริง อาจต้องเผชิญกับความพลุกพล่าน ความไม่ปลอดภัย และการใช้งานส่วนกลางที่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น จากการเข้าออกของแขกชั่วคราวจำนวนมาก

เปิดช่องลงทุน…หรือเปิดศึกในที่อยู่อาศัย?

หากร่างกฎหมายนี้บังคับใช้จริง คอนโดจะกลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนปล่อยเช่าระยะสั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ประกอบการอาจออกแบบยูนิตเพื่อขายนักลงทุนโดยเฉพาะ แยกตึก แยกชั้น สำหรับคนอยู่อาศัยจริง กับนักลงทุนปล่อยเช่า กลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ปัจจุบันใช้ชื่อคนไทยถือกรรมสิทธิ์ก็จะมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้น

“ตลาดจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนอยากอยู่จริง อาจเลือกซื้อบ้านแทนคอนโด เพราะเส้นแบ่งระหว่าง ‘บ้าน’ และ ‘ธุรกิจ’ กำลังเลือนราง”

2 ร่างกฎหมายที่ดูเหมือนมีเป้าหมายเพื่อจัดระเบียบ ปรับปรุงความล้าสมัยให้ทันสมัย โดยรัฐอาจมองว่าเป็นโอกาสในการควบคุม เปิดช่องรายได้ใหม่จากภาษี แต่นั่นกำลังจะเป็น Game Changer! ในตลาดอสังหาฯ ไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนบทบาทของ “คอนโด” ไปตลอดกาล

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


พฤกษารุก!ผุดอพาร์ตเมนต์ให้เช่า เจาะ Gen Z ไม่อยากซื้อบ้าน

เมื่อเทรนด์คนรุ่นใหม่ “อยากอยู่ ไม่อยากเป็นเจ้าของ” กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดที่อยู่อาศัยไทย พฤกษา พลิกเกมรุกผุดอพาร์ตเมนต์ให้เช่า เจาะ Gen Z ไม่อยากซื้อบ้าน

ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด หรือ IHC ในเครือพฤกษา กล่าวว่า ปี 2568 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยไทยเมื่อ พฤติกรรมคนรุ่นใหม่หันมา “เช่าอยู่” แทนการ “ซื้อเป็นเจ้าของ” ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกดดันกำลังซื้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ทัศนคติของคน Gen Z มองว่าการเป็นเจ้าของบ้านไม่จำเป็นอีกต่อไป

เทรนด์นี้จุดประกายให้ “พฤกษา โฮลดิ้ง” ต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ตในระยะยาว ผ่านบริษัทลูก “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ” ซึ่งถือเป็น “แขนใหม่” ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรุกตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่าเต็มรูปแบบ

ไอเพลิน ทางเลือกใหม่ของคนยุคเช่า

ภายใต้แบรนด์ “iPlern” (ไอเพลิน) โดยนำที่ดินเก่าของพฤกษาที่เคยวางแผนจะพัฒนาเป็นทาวน์เฮ้าส์หรือคอนโดมิเนียม มาปัดฝุ่นพัฒนาใหม่ในรูปแบบอพาร์ตเมนต์ให้เช่าเจาะทำเลศักยภาพสูงรอบมหาวิทยาลัยและแหล่งงาน เช่น รังสิต ลำลูกกา และนิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีดีมานด์สูงต่อเนื่องจากกลุ่มวัยเริ่มทำงานและแรงงานภาคอุตสาหกรรม

ปัจจุบันตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่ามีขนาดใหญ่กว่าที่หลายคนคิด โดยมีมากถึง 745,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าช่วงอายุ 20–30 ปี ที่มีอัตราการเช่าสูงถึง 90% ซึ่งถือเป็น “โอกาสทอง” ที่พฤกษาต้องรีบคว้าไว้

นำร่อง 5 แห่งทำเลรังสิต ลำลูกกา บ่อวิน

แผนธุรกิจปี 2568 เริ่มต้นลงทุนราว 100 ล้านบาท เปิดโครงการ “ไอเพลิน” 5 แห่งในย่านรังสิต ลำลูกกา และบ่อวิน เพื่อทดสอบตลาด คาดว่าจะสร้างรายได้ประจำจากค่าเช่ารวมปีละกว่า 1 ล้านบาท ความสำเร็จของโครงการนำร่องทำให้บริษัทเดินหน้ารุกหนักในปี 2569 เตรียม อัดงบลงทุนเพิ่ม 2,000ล้านบาท เพื่อเปิดอพาร์ตเมนต์เพิ่มอีก 100 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยหลัก เช่น ม.กรุงเทพ และม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตต่างๆ

เป้าหมายระยะกลางภายในปี 2572 คือการขยายครบ 316แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะสร้างรายได้ประจำจากค่าเช่าราว 640 ล้านบาทต่อปี และมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 6,300 ล้านบาท ก่อนนำสินทรัพย์ทั้งหมดเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เพื่อหมุนเงินลงทุนขยายต่อเนื่อง

จับ 3 กลุ่มเป้าหมายในราคาจับต้องได้

อพาร์ตเมนต์“ไอเพลิน” วางกลยุทธ์เจาะตลาดผู้เช่าที่ต้องการความคุ้มค่าและทำเลสะดวก โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ นักศึกษา 40% พนักงานโรงงาน 35%และกลุ่มคนเริ่มต้นทำงาน(First jobber) 25% มีขนาดห้องเริ่มต้น 21 ตารางเมตร แต่ฟังก์ชันครบ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวกและสไตล์มินิมอล ด้านราคาค่าเช่าวางระดับให้ต่ำกว่าคอนโดมิเนียมในพื้นที่เดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับสินค้าหลักของพฤกษา เช่น พลัมคอนโด ที่มีค่าเช่าเฉลี่ย 7,000–8,000 บาทต่อเดือนรอบมหาวิทยาลัย 4,000–5,000 บาท/เดือน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 2,000–3,000 บาท/เดือน ทำเลกลางเมือง 8,000–10,000 บาท/เดือน

สร้างรายได้ประจำ–ลดความเสี่ยง

ในอดีต พฤกษาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงเพื่อ “ขายขาด” แต่ในภาวะที่ตลาดซื้อ–ขายชะลอตัว การสร้าง “รายได้ประจำ” (Recurring Income)จากพอร์ตอสังหาฯ ให้เช่ากลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและรักษาสภาพคล่องระยะยาว

ปิยะกล่าวว่าพอร์ตอพาร์ตเมนต์ให้เช่ามีอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) สูงถึง 13–15% และอัตราผลตอบแทนจากค่าเช่า (Yield) อยู่ที่ 8–10% ต่อปี ซึ่งถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อสังหาฯ ประเภทอื่น

รวมคอนโด–อพาร์ตเมนต์ในที่เดียว

นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาโมเดลใหม่ภายใต้แบรนด์ “เพลิน” ซึ่งจะรวมอพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมในทำเลเดียวกัน แต่แยกอาคารเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่และตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของตลาด

ฝั่งคอนโดมิเนียมจะวางราคาขายระดับ “Affordable” เริ่มต้นเพียง 600,000–700,000 บาท เพื่อเจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตแต่ยังมีข้อจำกัดทางการเงิน ถือเป็นแนวคิด “Hybrid Living” ที่ผสานการอยู่อาศัยระหว่างการเช่าและการเป็นเจ้าของในโครงการเดียวกัน

การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจให้เช่าในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ของพฤกษาแต่สะท้อนการปรับตัวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการเพียง “ที่อยู่อาศัย” แต่ต้องการ “อิสระ” ในการใช้ชีวิต การเช่าจึงตอบโจทย์ทั้งด้านค่าใช้จ่าย ความยืดหยุ่น และความคล่องตัวทางอาชีพ

การเคลื่อนไหวของพฤกษครั้งนี้เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สะท้อนว่า พฤกษาให้ความสำคัญกับโมเดลรายได้ต่อเนื่อง และบริหารพอร์ตสินทรัพย์ให้เกิดมูลค่าเพิ่มในระยะยาว เพื่อการวางฐานธุรกิจใหม่ในยุคที่ คนรุ่นใหม่ไม่สนใจซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมเหมือนในอดีต

หากแผนขยายกว่า 300 แห่งทั่วประเทศเป็นไปตามเป้า ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า พฤกษา จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าของไทย และอาจเป็นต้นแบบการปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายอื่น ที่กำลังมองหา“ทางรอด”ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมคนรุ่นใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้6พ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าอยู่ หรือ เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up จากปัจจัยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ด อลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 6พ.ย.2568 ที่ระดับ  32.50 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) อาจถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มชะลอการแข็งค่าขึ้น ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และ

มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า สุดท้ายศาลสูงสุด (Supreme Court) อาจมีคำสั่งเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจมากขึ้นได้

แต่โดยรวม เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน ซึ่งในช่วงที่ ตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจเป็นตัวเลือกของตลาดในการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) แทนที่จะเลือกถือทองคำ

เนื่องจากโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทชะลอลง แต่ความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังมีอยู่ (ไม่ว่าจะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ) ทำให้ เราเรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up

 แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดตั้งแต่โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปจนถึงโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (โซนแนวต้านถัดไป 32.85 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่ เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนนัก

 หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง อย่างในช่วงโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ เรามองว่า จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่มีแนวโน้มชัดเจนอีกครั้ง

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ และประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down ใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.45-32.56 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่พยายามรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ส่วนเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้น 4.2 หมื่นราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ +3.2 หมื่นราย และพลิกจากที่ลดลงถึง 2.9 หมื่นราย ในเดือนกันยายน

ส่วนดัชนี ISM ภาคการบริการในเดือนตุลาคม ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.4 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด สะท้อนถึงภาวะขยายตัวของภาคการบริการ) ดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งภาพดังกล่าวก็หนุนให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม (ล่าสุด มองว่า เฟดมีโอกาสราว 61% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประขุมเดือนธันวาคม)

ทว่า เงินดอลลาร์ก็ย่อตัวลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ศาลสูงสุด (Supreme Court) มีโอกาส 74% (จาก Polymarket) ที่จะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น ตอบรับทั้งรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด

นอกจากนี้ การรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่นเดียวกันกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ศาลสูงสุด (Supreme Court)

มีแนวโน้มที่อาจมีคำสั่งให้เพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้กฎหมาย IEEPA  ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.37% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.65%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.23% สอดคล้องกับการบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป

อาทิ รายงานผลประกอบการของ BMW +6.9% ซึ่งมีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ด้วยเช่นกัน ขณะที่กลุ่ม Healthcare เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของ Novo Nordisk -4.5% หลังบริษัทมีการปรับลดคาดการณ์รายได้

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.15% ตอบรับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม (แต่ต้องจับตาบรรยากาศในตลาดการเงินด้วยเช่นกัน เพราะหากเกิดภาวะปิดรับความเสี่ยงด้วย ก็อาจชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ได้)

โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ทว่า เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง หลังตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคาดหวังว่า ศาลสูงสุดอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถว 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.1-100.4 จุด)

 ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะทยอยเปิดรับความเสี่ยง แต่การย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่กังวลต่อแนวโน้มการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด ก่อนที่จะแกว่งตัวแถวโซน 3,980-3,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงเรา ยังคงประเมินว่า BOE อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% ในการประชุมครั้งนี้

ทว่า ต้องจับตาการส่งสัญญาณของ BOE ต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า BOE มีโอกาสราว 62% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งภาคเอกชนได้ทยอยประกาศมาพอควรแล้ว

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไม่มีชื่อในทีมแน่นอน! “โค้ชอ๊อต” พูดชัด “ยูฟ่า ดลพร” ลูกยางสาวหมดสิทธิ์เล่นซีเกมส์

“โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ประธานเทคนิค และหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ที่เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าว มีต เดอะ เพรส ซีเกมส์​ 2025 ครั้งที่ 5 ที่ห้องประชุม 222 สนามราชมังคลากีฬาสถาน กกท. เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2568

โดยเผยเป้าหมายของ “ทัพนักตบลูกยางหญิง” ว่าหวังที่จะรักษาเหรียญทองเอาไว้ให้ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งยืนยันว่าผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสที่เล่นในต่างประเทศ ยืนยันจะกลับมาลงเล่นให้กับทีมชาติในซีเกมส์ครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม “โค้ชอ๊อต” ได้ออกมายืนยันว่าในรายของ “ยูฟ่า” ดลพร สินโพธิ์ นักตบดาวรุ่งวัย 21 ปี หมดสิทธิ์ช่วยทีมอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากมีอาการบาดเจ็บมาจากการลงเล่นให้กับ อารันมาเร ยามากาตะ ต้นสังกัดในลีกญี่ปุ่น

ซึ่งล่าสุดทางต้นสังกัดได้ออกมาเผยอาการบาดเจ็บของนักตบลูกยางสาวไทย หลังจากเข้ารับการตรวจ MRI แพทย์เผยได้รับบาดเจ็บเอ็นเข่าซ้ายฉีกขาด และคาดว่าจะต้องใช้เวลาพักอย่างน้อย 6 เดือน

สำหรับ “ยูฟ่า” ดลพร สินโพธิ์ ถือเป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งหัวเสา และมือเซต ติดทีมตั้งแต่ชุดเยาวชน ก่อนก้าวขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่เมื่อปี 2024

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


งานวิจัยชี้วัยทำงานเครียดสูง เผยทางเลือกช่วยผ่อนคลายที่หลายคนอาจไม่รู้

  • งานวิจัยพบว่าคนวัยทำงานในไทยมีความเครียดสูงและเผชิญภาวะหมดไฟ ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพการนอนหลับ
  • คนรุ่นใหม่เริ่มมองหาการพักผ่อนที่สามารถตัดขาดจากเรื่องงานได้อย่างแท้จริง นอกเหนือจากการนอนหลับหรือเล่นโซเชียลมีเดีย
  • ผลิตภัณฑ์ CBD ถูกนำเสนอเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น โดยไม่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหมือน THC

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล พบคนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 กำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟในการทำงาน โดยมีสาเหตุจากความเครียด ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันและความรู้สึกผิดที่จะหยุดพัก สอดคล้องกับข้อมูลจากบริษัทบริการด้านสุขภาพระดับโลก Cigna ที่ระบุว่า 97% ของหนุ่มสาววัยทำงานเริ่มหมดไฟ และ 86% รู้สึกเครียด

ขณะที่วัฒนธรรมองค์กรต่างยกย่องคนทำงานหนัก ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ไม่กล้าหยุดพัก ดังนั้นการพักผ่อนจึงเปลี่ยนไป จากเคยพักวันหยุดยาวอาจใช้ช่วงเวลาแห่งความสงบเล็ก ๆ ที่แทรกอยู่ในกิจวัตรประจำวันแทน เช่น การปัดหน้าจอโทรศัพท์ท่องโลกโซเชียลก่อนนอน แต่บางครั้งสมองก็ยังคงคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถพักผ่อนหรือนอนหลับได้อย่างเต็มที่ 

โดยงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Somnologie (2024) ระบุว่า การจมอยู่กับความคิดที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และความเครียด ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับที่จะแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปจะกลายเป็นความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากภายใน นำไปสู่การทำงานที่เหนื่อยหน่ายและทำงานให้พอแค่ผ่านไปวัน ๆ

ดังนั้น คนรุ่นใหม่บางส่วนเริ่มตระหนักว่าการพักผ่อนไม่ใช่แค่การนอนหลับ แต่คือความสามารถในการตัดขาดเรื่องงานออกจากความคิดและเวลาส่วนตัวอย่างแท้จริง และมองหาวิธีที่จะรีเซ็ตหลังจากการทำงานที่ยาวนาน เช่น การฝึกควบคุมลมหายใจ การเล่นโยคะ หรือแม้แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ CBD เพื่อผ่อนคลาย

จากข้อมูลงานวิจัยโดย BH Synergy Group Solutions บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Biopharma Research พบว่าผู้เข้าร่วมงานวิจัยใช้ผลิตภัณฑ์ CBD กว่า 79.2% มีความวิตกกังวลลดลง ในขณะที่ 66.7% สามารถนอนหลับและพักผ่อนได้ดีขึ้น เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งผลิตภัณฑ์ CBD (Cannabidiol) มักถูกเข้าใจสลับกับ THC (Tetrahydrocannabinol) ที่มาจากพืชตระกูลเดียวกัน แต่มีการทำงานต่อร่างกายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดย THC มีผลต่อระบบประสาทและทำให้เกิดอาการมึนเมา เป็นสาเหตุให้ผู้คนลังเลที่จะใช้งาน CBD ที่ในทางกลับกันไม่ก่อให้เกิดอาการมึนเมา แต่จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid System) ในร่างกาย สร้างความสมดุลเป็นมิตรต่อชีวิตประจำวัน เช่น ผลิตภัณฑ์ CBD จาก Diip ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ผู้บริโภคสามารถนำไปเป็นทางเลือกใสประจำวันได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


WEF ชี้ยุคควอนตัม ปฏิวัติอุตสาหกรรมโลก ผู้ผลิต-โลจิสติกส์ต้องเร่งปรับตัว

  • WEF ระบุว่าเทคโนโลยีควอนตัมกำลังเปลี่ยนผ่านจากการวิจัยสู่การใช้งานจริง ซึ่งจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ทั่วโลก
  • เทคโนโลยีควอนตัมจะกลายเป็นปัจจัยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ โดยช่วยแก้ปัญหาการคำนวณที่ซับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความปลอดภัยให้ห่วงโซ่อุปทาน
  • ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีควอนตัมแต่เนิ่นๆ เนื่องจากผู้ที่ปรับตัวช้าจะเผชิญความเสี่ยงและสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) เผยรายงานสำคัญล่าสุด “เทคโนโลยีควอนตัม: โอกาสสำคัญสำหรับการผลิตขั้นสูงและห่วงโซ่อุปทาน” (Quantum Technologies: Key Opportunities for Advanced Manufacturing and Supply Chains) ระบุว่าโลกอุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

ความสามารถด้านเทคโนโลยีขั้นสูงจะเป็นตัวแยกผู้ชนะออกจากผู้ตาม โดยเฉพาะเทคโนโลยีควอนตัมที่เริ่มเปลี่ยนบทบาทจากงานวิจัยเชิงทฤษฎีสู่การใช้งานจริงในธุรกิจการผลิตและโลจิสติกส์ทั่วโลก ทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และสร้างระบบซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก

รายงานระบุว่า ความผันผวนระดับโลกเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ความไม่แน่นอนภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ ไปจนถึงภัยธรรมชาติและการโจมตีไซเบอร์ที่เกิดถี่ขึ้น บริษัทต่าง ๆ เผชิญความปั่นป่วนระบบห่วงโซ่อุปทานเพิ่มขึ้นกว่า 38% ในปีที่ผ่านมา ทำให้แนวคิดเดิม ๆ ในการบริหารซัพพลายเชนไม่เพียงพออีกต่อไป

โรงงานต้องตอบสนองการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด สินค้ามีความเฉพาะตัวมากขึ้น วัดความสำเร็จจากความแม่นยำ ความรวดเร็ว และความยืดหยุ่น ไม่ใช่กำลังผลิตเพียงอย่างเดียว

ในมิติเทคโนโลยี ควอนตัมถูกวางให้เป็น “ตัวเร่งความได้เปรียบเชิงแข่งขัน” แทนที่ระบบคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่เริ่มถึงขีดจำกัด ทั้งด้านคำนวณข้อมูลจำนวนมหาศาล การจำลองสถานการณ์ที่ซับซ้อน และการป้องกันข้อมูลในอนาคต องค์กรที่เริ่มต้นสร้างความพร้อมควอนตัมก่อนจะได้เปรียบเชิงโครงสร้าง ขณะที่การไล่ตามหลังในภายหลังอาจต้องเผชิญต้นทุนที่สูงกว่าและความเสี่ยงทางธุรกิจที่รุนแรงขึ้น

โดยเทคโนโลยีควอนตัมแบ่งออกเป็น 3 เสาหลัก ได้แก่ ควอนตัมคอมพิวติ้ง ที่ช่วยแก้โจทย์คำนวณระดับโมเลกุลและห่วงโซ่ซับซ้อน ควอนตัมเซ็นซิ่ง ที่ช่วยตรวจจับสัญญาณระดับนาโนเพื่อควบคุมคุณภาพ และควอนตัมซีเคียวริตี้ ที่สร้างมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลใหม่เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต

ตัวอย่างการใช้งานจริงสะท้อนชัดเจน เช่น Ford Otosan ใช้ควอนตัมช่วยวางแผนผลิตรถยนต์กว่า 1,500 รุ่นย่อย ลดเวลาคำนวณลงกว่าครึ่ง เพิ่มกำลังการผลิตเฉลี่ยหนึ่งคันต่อสิบชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงการทดลอง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม TSMC ผู้นำเซมิคอนดักเตอร์โลกนำเซ็นเซอร์ควอนตัมมาใช้ยกระดับคุณภาพเวเฟอร์โดยไม่เพิ่มต้นทุน ขณะที่ท่าเรือรอตเตอร์ดัมใช้เทคนิค QKD เพื่อปกป้องข้อมูลโลจิสติกส์เชิงยุทธศาสตร์

นอกจากอุตสาหกรรมหลักแล้ว สถาบันวิจัยและบริษัทเทคโนโลยียังนำควอนตัมมาพัฒนาเรื่องวัสดุอากาศยานและชีวเวชภัณฑ์ เช่น Boeing ที่ใช้จำลองการกัดกร่อนโลหะเพื่อพัฒนาวัสดุแข็งแรงขึ้น ลดวงจรทดสอบ และ Moderna ที่ใช้ควอนตัมเร่งวิเคราะห์ mRNA เพื่อพัฒนายาและวัคซีน ภาพรวมนี้สะท้อนว่าเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มเชื่อมโยงห่วงโซ่นวัตกรรมตั้งแต่ห้องทดลองจนถึงโรงงาน

WEF ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคควอนตัมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การสร้างพันธมิตร การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม และการใช้แพลตฟอร์มควอนตัมบนคลาวด์เพื่อลดภาระต้นทุนเริ่มต้น องค์กรที่เริ่มต้นวันนี้จะก้าวสู่ความพร้อมก่อนผู้อื่น และตั้งมาตรฐานใหม่ในโลกอุตสาหกรรม

WEF เตือนว่า บริษัทที่เลือก “รอให้เทคโนโลยีสุกงอม” อาจต้องเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุน ระบบต้านทานความเสี่ยงที่ด้อยกว่า และการตัดโอกาสแข่งขันในตลาดโลกยุคใหม่ ในขณะที่ผู้กล้าลงมือก่อนจะได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว ในโลกที่ความได้เปรียบไม่ได้วัดเพียงความเร็ว แต่คือความแม่นยำ ความโปร่งใส ความปลอดภัย และการตัดสินใจเชิงข้อมูลที่เหนือกว่า

นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่าเทคโนโลยีควอนตัมจะเข้ามาผสาน AI, IoT และระบบโรงงานอัตโนมัติในแนวคิด “โรงงานยุคควอนตัมช่วยตัดสินใจ” ซึ่งระบบจะสามารถคาดการณ์ความผิดปกติของเครื่องจักรแบบทันที ตรวจสอบคุณภาพสินค้าแบบเรียลไทม์ และวางแผนการผลิตอัตโนมัติที่ตอบสนองความต้องการตลาดได้อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเร่งนำมาตรการความมั่นคงไซเบอร์ยุคหลังควอนตัมมาใช้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเจาะระบบเข้ารหัสดั้งเดิมได้ในอนาคต

รายงานยังระบุว่า แพลตฟอร์ม Quantum-as-a-Service ทำให้บริษัททุกขนาดเข้าถึงเทคโนโลยีควอนตัมได้ผ่านคลาวด์ ลดข้อจำกัดด้านเงินลงทุนและบุคลากร ขณะที่ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างแรงงานยุคใหม่ในสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล ควอนตัม และระบบควบคุมอัตโนมัติ

สำหรับประเทศไทย การก้าวสู่ยุคควอนตัมมีความสำคัญกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การบิน-อวกาศ โลจิสติกส์ และระบบผลิตอัจฉริยะ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ที่เป็นฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค การเริ่มต้นทดลองใช้เทคโนโลยีควอนตัมในภาคอุตสาหกรรม และการสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าจะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


รถภาษาจีน 车辆(chēliàng) ขับรถ นั่งรถ เรียกแท็กซี่ภาษาจีน

车辆(chēliàng) ยานพาหนะ/รถภาษาจีน

  • 汽车 (qìchē) ชี่เชอ — รถยนต์
  • 公共汽车 (gōnggòng qìchē) กงก้งชี่เชอ — รถประจำทาง
  • 出租车 (chūzūchē) ชูจูเชอ — รถแท็กซี่
  • 三轮车 (sānlúnchē) ซานหลุนเชอ — รถสามล้อ
  • 面包车 (miànbāochē) เมี้ยนปาวเชอ — รถตู้
  • 巴士 (bāshì) ปาซื่อ — รถบัส
  • 救护车 (jiùhù chē) จิ้วฮู้เชอ — รถพยาบาล
  • 电车 (diànchē) เตี้ยนเชอ — รถไฟฟ้า
  • 火车 (huǒchē) หั่วเชอ — รถไฟ
  • 马车 (mǎchē) หม่าเชอ — รถม้า
  • 自行车 (zìxíngchē) จื้อสิงเชอ — รถจักรยาน
  • 摩车 (mótuōchē) หมัวทัวเชอ — รถมอเตอร์ไซค์
  • 水 摩托车 (shuǐ mótuō chē) สุ่ย หมัวทัวเชอ — เจ็ทสกี
  • 骑马 (qí mǎ) ฉี หม่า — ขี่ม้า
  • 游轮 (yóulún) โหยวหลุน — เรือสำราญ
  • 游艇船 (yóutǐng chuán) โหยวถิ่งฉวน — เรือยอร์ช

คำว่ารถในภาษาจีนไม่มีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษเหมือนคำว่ารถในภาษาญี่ปุ่น カ (kā) ที่เป็นคำทับศัพท์มาจากคำว่ารถภาษาอังกฤษ Car (รถ) แต่ภาษาจีนจะมีคำว่ารถที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาจีน 2 แบบ คือ จีนตัวเต็ม หรือจีนดั้งเดิม (นิยมใช้ในฮ่องกง และไต้หวัน) และจีนตัวย่อ (นิยมใช้ในจีนและสิงคโปร์)

คำว่า 汽车 (qìchē) เป็นคำภาษาจีนตัวย่อ ส่วนภาษาจีนตัวเต็มจะเขียนว่า 汽車 (qìchē) ซึ่งตัวอักษรสุดท้าย เป็นตัวอักษรเดียวกับคำว่ารถภาษาญี่ปุ่น 車 (kuruma) ที่เขียนด้วยตัวคันจิ

การเรียนภาษาจีนเราจะเรียนคำลักษณนามด้วย ซึ่งเหมือนคำลักษณนามในภาษาไทย เพื่อให้ทราบว่ารถที่กล่าวถึงคือรถอะไร โดยคำลักษณนามที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทของยานพาหนะนั้นๆ ต่อไปนี้มาดูลักษณนามของรถในภาษาจีนกัน

 (Liàng) — คัน

 (Liàng) เป็นลักษณนามนี้นิยมใช้กับยานพาหนะหลากหลายประเภท รวมถึงรถยนต์ รถประจำทาง จักรยานและรถบรรทุก

ตัวอย่างเช่น

  • 一辆汽车
    (Yī liàng qìchē)
    อี เลี่ยง ชี่ เชอ
    รถยนต์หนึ่งคัน
  • 两辆公交车
    (Liǎng liàng gōngjiāo chē)
    เหลี่ยง เลี่ยง กงเจียว เชอ
    รถประจำทางสองคัน
  • 三辆自行车
    (Sān liàng zìxíngchē)
    ซาน เลี่ยง จื้อสิงเชอ
    จักรยานสามคัน
  • 五辆卡车
    (Wǔ liàng kǎchē)
    หวู่ เลี่ยง ข่าเชอ
    รถบรรทุกห้าคัน

 (Jià) — ลำ (เครื่องบิน)

 (Jià) ใช้กับยานพาหนะที่บินได้ ได้แก่ เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์

ตัวอย่างเช่น

  • 一架飞机
    (Yī jià fēijī)
    อี เจี้ย เฟยจี
    เครื่องบินหนึ่งลำ
  • 两架直升机
    (Liǎng jià zhíshēngjī)
    เหลี่ยง เจี้ย จื๋อเซิงจี
    เฮลิคอปเตอร์สองลำ
  • 三架小型飞机
    (Sān jià xiǎoxíng fēijī)
    ซาน เจี้ย เสี่ยว สิง เฟยจี
    เครื่องบินลำเล็กสองลำ

 (Sōu) — ลำ

 (Sōu) ใช้สำหรับเรือขนาดเล็กทั่วไป รวมถึงเรือที่มีนขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย

ตัวอย่างเช่น

  • 一艘船
    (Yī sōu chuán)
    อี โซว ฉวาน
    เรือหนึ่งลำ
  • 两艘快艇
    (Liǎng sōu kuàitǐng)
    เหลี่ยง โซว ไคว่ถิ่ง
    เรือเร็วสองลำ
  • 五艘货轮
    (Wǔ sōu huòlún)
    หวู่ โซว ฮั่วหลุน
    เรือบรรทุกสินค้าห้าลำ

 (Tiáo) — ลำ

 (Tiáo) ใช้กับยานพาหนะที่มีลักษณะยาวและแคบ เช่น เรือขนาดเล็กหรือเรือขนาดใหญ่ก็ได้ โดยทั่วไปเมื่อใช้สำหรับอธิบายเกี่ยวกับเรือ มักใช้กับเรือขนาดเล็กที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น

  • 三条小船
    (Sāntiáo xiǎozhōu)
    ซาน เถียง เสี่ยว โจว
    เรือสามลำ
  • 一条渔船
    (Yītiáo yúchuán)
    อีเถียว ยวี๋ฉว่าน
    เรือประมงหนึ่งลำ

 (Liè) — ขบวน

 (Liè) ใช้สำหรับรถไฟที่มีมากกว่าหนึ่งตู้

ตัวอย่างเช่น

  • 一列火车
    (Yīliè huǒchē)
    อี เลี่ย หั่วเชอ
    รถไฟหนึ่งขบวน
  • 两列地铁
    (Liǎng liè dìtiě)
    เหลี่ยง เลี่ย ตี้เถี่ย
    รถไฟใต้ดินสองขบวน
  • 五列货运火车
    (Wǔ liè huòyùn huǒchē)
    หวู่ เลี่ย ฮั่วยวิ่น หั่วเชอ
    รถไฟบรรทุกสินค้าห้าขบวน

 (Jié) — ตู้

 (Jié) เป็นลักษณนามที่ใช้กับยานพาหนะที่มีการแบ่งช่องหรือส่วนต่างๆ เช่น รถไฟ, รถไฟใต้ดิน เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น

  • 一节火车车厢
    (Yī jié huǒchē chēxiāng)
    อี เจี๋ย หั่วเชอ เชอเซียง
    รถไฟหนึ่งตู้
  • 两节地铁车厢
    (Liǎng jié dìtiě chēxiāng)
    เหลี่ยง เจี๋ย นี้เถี่ย เชอเซียง
    รถไฟใต้ดินสองตู้
  • 三节动车车厢
    (Sānjié dòngchē chēxiāng)
    ซานเจี๋ย ต้งเชอ เชอเซียง
    รถไฟฟ้าสามตู้

โปรดสังเกตว่า 节 (Jié) จะใช้สำหรับรถไฟแต่ละตู้ ในขณะที่ 辆 (Liàng) และ 列 (Liè) ใช้สำหรับรถไฟทั้งขบวน

ขึ้นรถ/โดยสารรถภาษาจีน

คำอื่นๆ ที่ใช้ในการขึ้นลงยานพาหนะ เช่น

  • 上车 (shàngchē) ซั่งเชอ — ขึ้นรถ
  • 下车 (xià chē) เซี่ยเชอ — ลงรถ
  • 骑 (qí) ฉี — ขี่
  • 游船 (yóuchuán) โหยวฉวน — ล่องเรือ

คำศัพท์เกี่ยวกับการขับรถ

คำศัพท์ภาษาไทยคำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านภาษาไทย
รถพยาบาล救护车Jiù hù chēจิ้วฮู่เชอ
ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง检查机油Jiǎnchá jī yóuเจี่ยนฉา จี โหยว
ขับตรงไปข้างหน้า一直往前开Yīzhí wǎng qián kāiอีจื๋อ หว่าง เฉียน ไค
รถดับเพลิง救火车Jiù huǒchēจิ้ว หั่ว เชอ
ยางแบน, ยางระเบิด爆胎Bào tāiเป้าไท
มิเตอร์จอดรถ停车计时器Tíngchē jìshí qìถิงเชอ จี้สือ ชี่
ชำระค่าจอดรถ支付停车费Zhīfù tíngchē fèiจือฟู่ ถิงเชอ เฟ่ย
รถตำรวจ警车Jǐngchēจิ่ง เชอ
ด่านตำรวจ警察检查站Jǐngchá jiǎnchá zhànจิ่งฉา เจี่ยนฉา จ้าน
กระจกมองหลัง后视镜Hòu shì jìngโฮ่ว ซื่อ จิ้ง
กลับรถ倒车Dàochēเต้าเชอ
จำกัดความเร็ว速度限制Sùdù xiànzhìซู่ตู้ เสี้ยนจื้อ
เลี้ยวซ้าย转左Zhuǎn zuǒจว๋าน จั่ว
เลี้ยวขวา转右Zhuǎn yòuจว่าน โย่ว
สัญญาณไฟจราจร红绿灯Hónglǜdēngหง ลวี่ เติง

ประโยคเกี่ยวกับการขับรถภาษาจีน

  • ฉันนั่งรถไปโรงเรียน
    我坐车辆去学校
    (Wǒ zuò chēliàng qù xuéxiào)
  • รบกวนช่วยฉันคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยค่ะ
    请帮我弄安全带。
    (Qǐng bāng wǒ nòng ānquán dài.)
    ฉิ่ง ปัง หว่อ น่ง อันเฉวียน ไต้
  • กรุณาคาดเข็มขัดนิรภัย
    请系好安全带
    (Qǐng xì hǎo ānquán dài)
    ฉิว ซี่ เห่า อันเฉวียน ไต้
  • คนอังกฤษขับรถทางซ้าย คนฝรั่งเศสขับรถทางขวา
    英国人行车靠左, 法国人靠右
    (Yīngguó rén xíngchē kào zuǒ, fàguó rén kào yòu)
    ยิงกั๋ว เหริน สิงเชอ เข้า จั่ว, ฟ่ากั๋ว เหริน เข้า โย่ว
  • รถของพวกเรายางแบน
    我们的车爆胎了
    (Wǒmen de chē bào tāile)
    หว่อเมิน เตอ เชอ เป้า ไทเลอ
  • ขับรถเร็วขึ้นอีกนิดได้ไหม? ฉันกำลังรีบ
    您能开快点儿吗?我赶时间
    (Nín néng kāi kuài diǎn er ma? Wǒ gǎn shíjiān)
    หนิน เหนิง ไค ไคว่ เตียน เออร์ มะ? หวอ ก่าน สือเจียน
  • กรุณาขับช้าๆ
    请慢点开
    (Qǐng màn diǎn kāi)
    ฉิ่ง ม่าน เตี่ยน ไค
  • น้ำมันของเรากำลังจะหมด
    我们的汽油要用完了
    (Wǒmen de qìyóu yào yòng wánliǎo)
    หว่อเมิน เตอ ชี่โหยว เย่า ย่ง หวานเหลี่ยว
  • ขับรถด้วยความระมัดระวัง
    开车小心点
    (Kāichē xiǎoxīn diǎn)
    ไคเชอ เสี่ยวซิน เตี่ยน
  • รถเรายางแบน
    我们有一个轮胎爆了
    (Wǒmen yǒu yīgè lúntāi bàole)
    หว่อเมิน โหย่ว อีเก้อ หลุนไท เป้าเลอ
  • ฉันกำลังเอารถไปซ่อมบำรุง
    我在检修我的汽车
    (Wǒ zài jiǎnxiū wǒ de qìchē)
    หว่อ ไจ้ เจี่ยน ซิว หว่อ เตอ ชี่เชอ
  • ฉันต้องจ่ายค่าจอดรถ
    需要支付停车费
    (Wǒ xūyào zhīfù tíngchē fèi)
    หว่อ ซวีเย่า จือฟู่ ถิงเชอ เฟ่ย
  • เขาเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวหรือเปล่า?
    他打转向灯了吗?
    (Tā dǎ zhuàn xiàng dēngle ma?)
    ทา ต่า จว่าน เสี้ยง เติงเลอ มะ?
  • เหยียบคลัตช์เบาๆ
    轻轻踩下离合器踏板
    (Qīng qīng cǎi xià líhéqì tàbǎn)
    ชิงชิง ไฉ่ เซี่ย หลีเหอชี่ ท่าป่าน
  • ขับรถเร็วหน่อย
    开快点
    (Kāi kuài diǎn)
    ไค ไคว่ เตี่ยน
  • ขับช้าลงหน่อย
    开慢点
    (Kāi màn diǎn)
    ไค ม่าน เตี่ยน
  • จอดข้างทางตรงนี้เลย
    请在这里靠边停
    (Qǐng zài zhèlǐ kàobiān tíng)
    ฉิ่ง ไจ้ เจ้อหลี่ เข้าเปียน ถิง
  • ฉันกำลังหาที่จอดรถ
    我正在找停车场
    (Wǒ zhèngzài zhǎo tíngchē chǎng)
    หว่อ เจิ้งไจ้ เจ่า ถิงเชอ ฉ่าง

ขอบคุณข้อมูลจาก bestkru.com


ปลาเนื้อขาว vs ปลาเนื้อแดง แบบไหนเหมาะกับใคร ประโยชน์ไม่เหมือนกัน

ปลาเนื้อขาว vs ปลาเนื้อแดง เลือกกินแบบไหน? ไขข้อข้องใจประโยชน์ที่แตกต่าง

เวลาเลือกซื้อปลา หลายคนอาจสงสัยว่าระหว่าง ปลาเนื้อขาว อย่าง ปลากะพง ปลานิล หรือปลาค็อด กับ ปลาเนื้อแดง อย่าง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปลาแมคเคอเรล ควรเลือกรับประทานแบบไหนดี แม้ว่าปลาทั้งสองประเภทจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนทั้งในด้านโภชนาการและคุณประโยชน์เฉพาะตัว

บทความนี้จะพามาไขข้อข้องใจว่า ปลาเนื้อขาว vs ปลาเนื้อแดง มีจุดเด่นต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

ความแตกต่างที่ “สี” บอกอะไรเรา

ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างปลาสองกลุ่มนี้ มาจากปริมาณของโปรตีนที่เรียกว่า ไมโอโกลบิน (Myoglobin) ซึ่งทำหน้าที่เก็บออกซิเจนไว้ในกล้ามเนื้อ

  • ปลาเนื้อแดง: (เช่น แซลมอน ทูน่า) มักเป็นปลาที่ว่ายน้ำเคลื่อนไหวตลอดเวลา หรืออพยพเป็นระยะทางไกล กล้ามเนื้อจึงต้องการออกซิเจนปริมาณมาก ทำให้มีไมโอโกลบินสูง เนื้อปลาจึงมีสีเข้ม แดง หรือชมพู

ปลาเนื้อขาว: (เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาค็อด) มักเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล หรือไม่ได้เคลื่อนไหวต่อเนื่องยาวนาน ใช้พลังงานแบบฉับพลันเพื่อหนีศัตรูหรือจับเหยื่อ จึงมีไมโอโกลบินน้อยกว่า เนื้อปลาจึงมีสีขาว

เทียบโภชนาการ: ใครเด่นเรื่องไหน

แม้ปลาทั้งสองชนิดจะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเหมือนกัน แต่จุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดคือ “ปริมาณและชนิดของไขมัน”

ปลาเนื้อแดง: จุดเด่นคือ “ไขมันดี” (โอเมก้า-3)

ปลาเนื้อแดงจะมีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อสูงกว่า ทำให้มีแคลอรีสูงกว่าเล็กน้อย แต่ไขมันส่วนใหญ่นั้นเป็น กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งเป็นไขมันดีที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะ EPA และ DHA ซึ่งมีส่วนช่วยสำคัญในการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ลดการอักเสบ บำรุงสมองและระบบประสาท นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และวิตามิน D

ปลาเนื้อขาว: จุดเด่นคือ “โปรตีนลีน” (แคลอรีต่ำ)

ปลาเนื้อขาวคือขวัญใจของคนควบคุมน้ำหนักอย่างแท้จริง เนื่องจากมี ไขมันต่ำและแคลอรีต่ำ แต่ให้โปรตีนคุณภาพสูง (Lean Protein) ที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี จึงเป็นแหล่งโปรตีนสะอาดที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย

เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเรา

การจะบอกว่าปลาชนิดไหน “ประโยชน์สูงกว่ากัน” นั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายด้านสุขภาพของแต่ละคน

ปลาเนื้อแดง เหมาะกับ:

  • ผู้ที่ต้องการบำรุงหัวใจและสมอง: ด้วยคุณประโยชน์จากโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและบำรุงระบบประสาท
  • ผู้ที่ต้องการลดการอักเสบ: เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่มีอาการปวดข้อ
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มวิตามิน D: ซึ่งหาได้ยากในอาหารทั่วไป แต่มีมากในปลาอย่างแซลมอน

ปลาเนื้อขาว เหมาะกับ:

  • ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก: อิ่มท้องจากโปรตีน แต่ได้แคลอรีและไขมันต่ำมาก
  • ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ป่วยพักฟื้น: เนื่องจากเนื้อปลาย่อยง่าย ไม่สร้างภาระให้ระบบย่อยอาหาร
  • เด็ก: เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่ย่อยง่ายสำหรับพัฒนาร่างกาย

สรุป: ควรกินสลับกัน คือดีที่สุด

สรุปแล้ว ไม่มีปลาชนิดไหนดีกว่ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้ง ปลาเนื้อขาว vs ปลาเนื้อแดง ต่างก็มีประโยชน์ในแบบของตัวเอง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการรับประทานสลับกันไป เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งโปรตีนลีนย่อยง่ายจากปลาเนื้อขาว และไขมันดีโอเมก้า-3 จากปลาเนื้อแดง

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการมักแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยพยายามให้มีปลาที่มีไขมันดี (ปลาเนื้อแดง) รวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a61,150.0061,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,953.0059,927.4862,050.00
ทองรูปพรรณ 90%3,557.7053,934.73n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,162.4047,941.98n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,778.8526,967.37n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,383.5520,974.62n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,096.3762,100.97n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า