แสนสิริเผยเรียลดีมานด์หนุนกำไรพุ่ง 3,029 ล้านคาดไตรมาส 4 พีคสุด

แสนสิริเผย 9 เดือนฟันกำไร 3,029 ล้านชี้เรียลดีมานด์หนุนพร้อมเร่งเครื่องโค้งสุดท้ายด้วยโปรโมชันบ้าน–คอนโดไตรมาส 4 หวังดันยอดรับรู้รายได้ทะยานสู่จุดสูงสุดรอบปี
วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)เผยภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือนสิ้นสุดกันยายน 2568 ว่าบริษัททำรายได้รวม 23,670 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,029 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารองค์กรภายใต้ความผันผวนของตลาด
หากเจาะลึกโครงสร้างรายได้ พบว่าตัวขับเคลื่อนหลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จถึง 9 โครงการ รวมมูลกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่การคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมช่วยเสริมกำไรให้เติบโตแข็งแรงต่อเนื่องโค้งสุดท้ายความหวังไตรมาส 4 จ่อทำสถิติใหม่ ยอดสะสมแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท
แสนสิริประเมินว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเป็นไตรมาสที่ “ดีที่สุด” จากแรงส่งหลายปัจจัย ตั้งแต่การทยอยรับรู้รายได้จากโครงการแนวราบเปิดใหม่ ไปจนถึงคอนโดพร้อมอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์อย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต ซึ่งทำยอดขายเฉลี่ยทะลุ 70% แล้ว รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท

ส่งแคมเปญ“แสนสิริ อลังเซล” ชิงกำลังซื้อปลายปี
เพื่อเร่งยอดปิดเกมในไตรมาส 4 แสนสิริเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “แสนสิริ อลังเซล” มอบส่วนลดสูงสุดถึง 10 ล้านบาท ครอบคลุมกว่า 109 โครงการทุกเซกเมนต์ พร้อมข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษจากหลายธนาคารพันธมิตร เช่น ผ่อนล้านละเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท จัดยาวถึง 30 ธันวาคม 2568 ถือเป็นการล็อกดีมานด์ช่วงก่อนปีใหม่
ESG เสริมความเชื่อมั่น นักลงทุน
ด้านการกำกับดูแลกิจการ แสนสิริได้รับคะแนน CGR ปี 2568 ระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 พร้อมทั้งได้รับ SET ESG Ratings 2567 ระดับ AAA ตอกย้ำความจริงจังในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าบริหารธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ
เดินหน้าเปิดเกมใหม่ 7 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้าน พร้อม Backlog หนา 25,000 ล้านรับรู้ถึงปี 2571
สำหรับแผนธุรกิจในโค้งสุดท้าย แสนสิริเตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท อาทิ โครงการเศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต, บุราสิริ จตุโชติ, สราญสิริ จตุโชติ รวมถึงคอนโดใหม่ทำเลกะทู้ ภูเก็ต รองรับดีมานด์ในเมืองท่องเที่ยว
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมขายกว่า 135 โครงการ และยังเดินหน้าหาพันธมิตรรายใหม่เพื่อขยายการลงทุน พร้อมมี Backlog สูงถึง 25,000 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2571 สะท้อนฐานรายได้ระยะยาวที่แข็งแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ต้นทุนก่อสร้างบ้านพุ่งต่อเนื่อง REIC ชี้ค่าแรงงานเพิ่ม 7.9%

REIC ายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 143.2 เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน และ 2.8% จากปีก่อน สะท้อนต้นทุนก่อสร้างขยับตามค่าแรง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยวิเคราะห์ “ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 3 ปี 2568” พบว่า ดัชนีล่าสุดอยู่ที่ระดับ 143.2 จุด เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แสดงให้เห็นว่าต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านในตลาดยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หมวดงานออกแบบก่อสร้างและระบบ
เมื่อแยกพิจารณารายหมวด พบว่า งานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร เป็นหมวดที่มีการปรับขึ้นมากที่สุดจากปีก่อน เพิ่ม 7.6% (YoY) แต่ลดลงเล็กน้อย 0.7% (QoQ) ขณะที่ งานสถาปัตยกรรม ขยับขึ้น 3.2% (YoY) และ 1.5% (QoQ) ส่วน งานวิศวกรรมโครงสร้าง ปรับเพิ่ม 1.3% (YoY) และ 2.0% (QoQ) ขณะที่ งานระบบสุขาภิบาล ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อนหน้า โดยหมวดนี้มีสัดส่วนรวมกว่า 26% ของต้นทุนงานก่อสร้างทั้งหมด
หมวดวัสดุก่อสร้าง
ในส่วนของวัสดุก่อสร้าง พบว่า กระเบื้อง มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 6.1% จากปีก่อน รองลงมาคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา เพิ่ม 5.6%, ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เพิ่ม 1.1% ส่วน เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลง 4.8%, สุขภัณฑ์ ลดลงมากสุดถึง 8.3%, ขณะที่ วัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ลดลง 2.5%
ทั้งนี้ หมวดวัสดุก่อสร้างถือเป็นต้นทุนหลักที่มีน้ำหนักมากที่สุด โดย ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้คิดเป็นสัดส่วน 29% ของหมวดนี้ ตามด้วยวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ 41.1%, อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา 6.3% และกระเบื้อง 6.1%
หมวดแรงงาน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันต้นทุนก่อสร้างให้เพิ่มขึ้น คือ ค่าแรงงาน ซึ่งปรับตัวสูงขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการประกาศปรับขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน จากเดิม 363 บาทต่อวัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ทำให้ต้นทุนแรงงานในโครงการก่อสร้างเพิ่มขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมดัชนีราคาค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในทุกหมวด สะท้อนถึงแรงกดดันด้านต้นทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการบ้านจัดสรรและผู้รับเหมาก่อสร้างที่ต้องบริหารต้นทุนให้เหมาะสม ขณะที่ REIC ประเมินว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งล่าสุดอาจยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2569
ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังคงใช้ปี 2553 เป็นปีฐาน ในการคำนวณดัชนี โดยมีการจัดเก็บข้อมูลต้นทุนจากหลายภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ นักพัฒนาโครงการ และหน่วยงานรัฐในการวางแผนนโยบายด้านที่อยู่อาศัยและการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14พ.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14พ.ย.2568ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายข้อมูลอาจมีการทยอยประกาศออกมาได้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่จะเห็นได้ว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ แถวโซนแนวต้าน
นอกจากนี้ หากมุมมองของเรานั้นถูกต้อง ว่า เฟดจะสามารถทยอยปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีโอกาสพลิกกลับมาปรับตัวลดลงได้ไม่ยาก ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจต้องอาศัยการรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานชะลอตัวลงมากขึ้น หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเพียง 50% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้
โดยเราประเมินว่า ราคาทองคำจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรืออาจมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมากดดันตลาดเพิ่มเติม ขณะที่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงนี้ อาจไม่ได้หนุนราคาทองคำมากนัก
หากสาเหตุในการเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ของตลาดนั้น มาจากความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง
ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และ
การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.40 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่า เฟดอาจยังไม่สามารถทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน แม้ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง
กอปรกับ ในช่วงนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างยังคงย้ำจุดยืนว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ซึ่งภาพดังกล่าวได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
ทั้งนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการทยอยรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
แม้ว่า ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลงได้ ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาจมีการเลื่อนประกาศไปก่อน ซึ่งอาจทำให้เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ยไปก่อนได้
โดยความกังวลดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น กดดันบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นสไตล์ Growth ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.66% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.29%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง -0.61% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดหลัง ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง (Sell on Fact)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจาก แรงขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ จากความกังวลว่า เฟดอาจชะลอการเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม หากขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง สู่ระดับ 4.10% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ก็สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม
และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip)
ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจาก เฟดยังสามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ (Alternative Data) รวมถึงการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลสำรวจภาคธุรกิจของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ
ซี่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนีภาคธุรกิจ ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการ จากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ทำให้เรายังคงมองว่า เฟดมีโอกาสทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ และอาจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในการประชุมเดือนมีนาคม และมิถุนายน ปี 2026
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรับรู้ ภาวะ US Government Shutdown ที่สิ้นสุดลงของผู้เล่นในตลาด และจังหวะแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กอปรกับภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่โซน 99.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.9-99.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะ US Government Shutdown ที่สิ้นสุดลง กอปรกับ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการรีบาวด์ขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงสู่โซน 4,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน เข้าใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
และในฝั่งสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะเป็นที่สนใจของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะหลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาจสามารถกลับมาทยอยประกาศได้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-เฟม” ทะยานตัดเชือกชนเจ้าถิ่น ขนไก่ “เจแปน 2025”

“เดชาพล พัววรานุเคราะห์“ กับ ”ศุภิสรา เพียวสามพราน” ทะยานตัดเชือกชนเจ้าถิ่น ในศึก แบดมินตัน “เจแปน 2025”
การแข่งขันแบดมินตัน “คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2025” เวิลด์ทัวร์ซูเปอร์ 500 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ประเทศญี่ปุ่น ประเภทคู่ผสม รอบก่อนรองชนะเลิศ ”บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ”เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน “แชมป์เก่า” มืออันดับ 3 ของโลก และ มือวางอันดับ 1 ของรายการ ลงสนามเจอกับ “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบรรลือกิจ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด มืออันดับ 109 ของโลก
ผลปรากฏว่า ”บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ”เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน “แชมป์เก่า” เล่นได้ดีกว่าและเฉียบขาดกว่า เป็นฝ่ายชนะ โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบรรลือกิจ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด ไป 2-0 เกม 21-12, 21-17 ใช้เวลา 32 นาที
ทำให้ รอบรองชนะเลิศ ”บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ”เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน เข้าไปพบกับ อากิระ โคกะ และ มิซากิ มัตสึโตโมะ คู่เจ้าถิ่น ที่เอาชนะ เพรสลีย์ สมิธ และ เจนนี่ ไก จากสหรัฐฯมา 2-0 เกม 21-16, 21-14
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ภัยเงียบนักเดินป่า ระวัง “ไข้รากสาดใหญ่” (Scrub Typhus) อันตรายถึงชีวิต!

โรคไข้รากสาดใหญ่ (Scrub Typhus): ภัยเงียบจาก “ตัวไรอ่อน” ที่นักเดินป่าต้องระวัง
การเดินป่าและท่องเที่ยวธรรมชาติในประเทศไทยเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มีอากาศเย็นสบาย แต่ท่ามกลางความสวยงามของป่าเขา มีภัยเงียบที่มาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่า “ตัวไรอ่อน” ซึ่งเป็นพาหะนำโรค “ไข้รากสาดใหญ่” หรือ โรคสครับไทฟัส (Scrub Typhus) โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ไข้รากสาดใหญ่เกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไร?
โรคไข้รากสาดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Orientia tsutsugamushi โดยมี “ตัวไรอ่อน” เป็นพาหะนำโรคหลัก ตัวไรอ่อนนี้มีขนาดเล็กมากเพียงประมาณ $1$ มิลลิเมตร และมักอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ ทุ่งหญ้า หรือใบไม้ใกล้พื้นดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชื้น เมื่อนักเดินป่าเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ตัวไรอ่อนจะกัดเพื่อดูดน้ำเหลือง ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายคนผ่านบาดแผล
หลังจากถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดแล้ว จะมีระยะฟักตัวประมาณ $10$-$12$ วัน ก่อนที่จะเริ่มมีอาการ ซึ่งอาการสำคัญที่บ่งชี้ว่าถูกไรอ่อนกัดคือ ไข้สูงเฉียบพลัน (อาจสูงถึง $40^\circ \text{C}$) ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ผู้ป่วยประมาณ $30$-$50$ เปอร์เซ็นต์ จะพบ รอยแผลเป็นสีดำคล้ำ (Eschar) คล้ายถูกบุหรี่จี้ตรงบริเวณที่ถูกกัด มักพบในบริเวณร่มผ้าที่อับชื้น
คู่มือ 5 วิธีป้องกันตัวจากภัยเงียบ “ตัวไรอ่อน”
เนื่องจากโรคไข้รากสาดใหญ่ไม่มีวัคซีนป้องกัน การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกกัดจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดสำหรับนักเดินป่า การเตรียมพร้อมและระมัดระวังตัวก่อนเข้าป่าจะช่วยให้คุณสนุกและปลอดภัยจากภัยเงียบที่มองไม่เห็นนี้
1. แต่งกายให้มิดชิดระหว่างเดินป่า
ควรสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ปิดคออย่างมิดชิด และเพื่อป้องกันไรอ่อนไต่เข้าไปในร่มผ้า ควรเหน็บชายเสื้อเข้าในกางเกง และสวมถุงเท้าหุ้มปลายขากางเกงไว้ การแต่งกายที่ถูกต้องจะช่วยลดโอกาสที่ผิวหนังจะสัมผัสกับตัวไรอ่อนโดยตรง
2. ใช้สารไล่แมลงที่มีประสิทธิภาพ
ทาหรือฉีดพ่นสารไล่แมลงที่มีส่วนผสมของ DEET หรือเพอร์เมทริน (Permethrin) ทั้งบนผิวหนังส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า และฉีดพ่นบนเสื้อผ้าและอุปกรณ์เดินป่า สารไล่แมลงจะช่วยสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ตัวไรอ่อนเข้าใกล้หรือเกาะติดกับร่างกายและเครื่องแต่งกายของคุณ
3. หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงสำหรับการพักแรม
ควรหลีกเลี่ยงการนั่ง นอน หรือวางสัมภาระบนพื้นดิน พุ่มไม้ หรือหญ้าที่ขึ้นรก ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของตัวไรอ่อน ควรเลือกกางเต็นท์ในบริเวณที่โล่งเตียน สะอาด และมีแสงแดดส่องถึง เพราะตัวไรอ่อนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าชื้นหรือบริเวณที่มีหญ้าขึ้นรก
4. ตรวจสอบร่างกายและซักเสื้อผ้าทันที
หลังจากออกจากพื้นที่ป่า ควรอาบน้ำ สระผม และสำรวจร่างกายตัวเองอย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณร่มผ้าและซอกพับต่าง ๆ เพื่อหาร่องรอยการถูกกัดหรือตัวไรอ่อนที่อาจติดมา และควรนำเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่ใช้ในป่าไปซักด้วยผงซักฟอกเข้มข้นทันทีเพื่อกำจัดตัวไรอ่อนที่อาจติดมา
5. ไม่ปล่อยปละละเลยอาการป่วยหลังกลับจากป่า
หากภายใน $2$ สัปดาห์หลังกลับจากเดินป่า มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หรือมีอาการอื่น ๆ ข้างต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และสำคัญที่สุดคือ แจ้งประวัติการเข้าป่า ให้แพทย์ทราบอย่างชัดเจน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
60 แคปชั่นวันหยุด กวนๆ ฮาๆ แคปชั่นวันหยุดหมดแล้ว แคปชั่นวันหยุด ภาษาอังกฤษ

แคปชั่นวันหยุด ภาษาอังกฤษ
- Hello, long weekend. Long time no see.
สวัสดีวันหยุดยาว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ
- I love it when my weekends are as long as my lashes.
ฉันรักมัน เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ของฉันยาวเท่าขนตาของฉัน
- Every weekend should be a three-day weekend.
ทุกสุดสัปดาห์ควรเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์สามวัน
- Ain’t no weekend like a long weekend.
ไม่มีวันหยุดไหนดีเท่าวันหยุดยาว
- Let’s make Monday through Thursday jealous.
มาทำให้วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีอิจฉากัน
- Weekend, don’t ever leave me.
วันหยุดสุดสัปดาห์อย่าทิ้งฉันไป
- All work and no play? Not today!
ทำงานทั้งหมดและไม่เล่น? ไม่ใช่สำหรับวันนี้จ่ะ!
- Weekend-ing is my favorite sport.
วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นกีฬาที่ฉันชอบ
- Professional weekender.
ฉันน่ะคือนักหยุดสุดสัปดาห์มืออาชีพจ่ะ
- Friday afternoon feels like heaven.
บ่ายวันศุกร์ทีไรรู้สึกเหมือนสวรรค์เลย
- Chill vibes only.
อารมณ์ชิลเท่านั้นตอนนี้
- Hello, Saturday! You’re looking pretty fine.
สวัสดีวันเสาร์! คุณดูดีมาก
- Keep smiling and enjoy the weekend!
ยิ้มเข้าไว้และสนุกกับวันหยุดสุดสัปดาห์!
- Life is better in pajamas.
ชีวิตดีขึ้นเมื่อเราได้อยู่ในชุดนอนตลอดทั้งวันนน
- No weekend, all weakened.
ไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์ มีแต่วันที่อ่อนล้าเท่านั้นล่ะ
- Rest easy and get all cozy.
พักผ่อนสบายๆ และมองหาอะไรที่มันสบายๆ ในวันหยุด
- Take a pause, breathe deeply, and relax.
หยุดพัก หายใจเข้าลึกๆ และผ่อนคลาย
- A weekend wasted is no wasted weekend at all.
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เสียไปคือวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่สูญเปล่าเลย
- All happiness depends on a leisurely weekend.
ความสุขทั้งหมดขึ้นอยู่กับวันหยุดสุดสัปดาห์สบายๆ
- Dear Saturday, you are the love of my life.
วันเสาร์ที่รัก คุณคือความรักในชีวิตของฉัน
- Energy-saving mode, on!
โหมดประหยัดพลังงาน เปิด!
- Getting out of bed never.
วันหยุดแบบนี้ ไม่เคยลุกออกจากเตียง
- Happy lazy weekend.
สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนขี้เกียจ
- Live every day like it’s Saturday.
ใช้ชีวิตทุกวันเหมือนเป็นวันเสาร์
- No plans sound like a good plan!
ไม่มีแผนใดในวันหยุด ฟังดูเป็นแผนที่ดี!
- Cheers to the weekend.
สวัสดีวันหยุดสุดสัปดาห์
- It’s a messy hair and comfy sleepwear kind of day.
มันเป็นวันที่ผมยุ่งและอยู่ในชุดนอนที่แสนสบาย
- Oversleep this weekend.
สุดสัปดาห์นี้นอนไปยาวๆ
- The best days are here!
วันที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่แล้ว!
- Weekend vibes.
บรรยากาศวันหยุดสุดสัปดาห์ มันดีจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net
IMD จัดอันดับ NVIDIA นำโด่งผู้นำโลกด้านการพลิกโฉมธุรกิจด้วย AI

- IMD จัดอันดับให้ NVIDIA เป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกด้านการพลิกโฉมธุรกิจด้วย AI จากดัชนีชี้วัดความพร้อมด้าน AI (AI Maturity Index) ประจำปี 2025
- การจัดอันดับดังกล่าวมี Microsoft และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ตามมาในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
- ดัชนีชี้ว่าบริษัทที่มีความพร้อมด้าน AI สูง มีผลประกอบการทางธุรกิจที่เหนือกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการเติบโตของรายได้และมูลค่าตลาด
IMD (International Institute for Management Development) ได้เผยแพร่ดัชนีชี้วัดความพร้อมด้าน AI (AI Maturity Index) ประจำปี 2025 พร้อมด้วยสมุดปกขาวที่เกี่ยวข้องในชื่อ AI Strategies that are working โดยระบุให้ NVIDIA เป็นผู้นำระดับโลกในการพลิกโฉมธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

การจัดอันดับที่ประเมินประสิทธิผลที่บริษัทชั้นนำ 300 แห่งทั่วโลกนำ AI มาใช้เพื่อปรับกลยุทธ์ การดำเนินงาน และความได้เปรียบทางการแข่งขัน พบว่า Microsoft และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ตามมาในอันดับที่สองและสาม ตามลำดับ
ดัชนีนี้พัฒนาโดยศูนย์ระดับโลกเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและ AI ของ IMD ที่ชื่อ TONOMUS Global Center for Digital and AI Transformation โดยประเมินความพร้อมด้าน AI ใน 5 มิติ ได้แก่ การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การลงทุนด้านเทคโนโลยี การบูรณาการในการปฏิบัติงาน การพัฒนาบุคลากร และธรรมาภิบาลด้านจริยธรรม
ภาคการเงินโดดเด่นติดอันดับ 32% ของ Top 100
บริษัทเทคโนโลยีนำในดัชนี แต่ภาคการเงินกลับโดดเด่นด้วยจำนวน 32 บริษัทที่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรก ซึ่งตอกย้ำถึงผลกระทบในวงกว้างของ AI ข้อมูลปี 2025 แสดงให้เห็นการประยุกต์ใช้ AI ที่แตกต่างกันใน 10 อุตสาหกรรมที่รวมอยู่ในดัชนี
นอกจากนี้ ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น สุขภาพ ยา ยานยนต์ และการผลิต ก็มีการนำ AI มาใช้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีบริษัทอย่าง Johnson & Johnson, Roche, Volkswagen, และ Siemens นำ AI ไปประยุกต์ใช้ในทุกด้าน ตั้งแต่การผ่าตัด การค้นพบยา ไปจนถึงการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และระบบอัตโนมัติ
ผลตอบแทนทางธุรกิจเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ดัชนีชี้ว่า บริษัทที่มีความพร้อมด้าน AI สูงแสดงให้เห็นผลประกอบการทางธุรกิจที่เหนือกว่า โดยบริษัท 100 อันดับแรกมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยแบบปีต่อปี (YoY) อยู่ที่ 6.79% เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีความพร้อมด้าน AI ต่ำกว่าซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยที่ -0.51% การเติบโตของมูลค่าตลาดก็สนับสนุนผู้นำ AI โดยมีการเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ถึง 3.97% เทียบกับ 0.82% ของกลุ่มที่ตามหลัง
บริษัทที่มีความพร้อมด้าน AI สูงยังให้ความสำคัญกับการเติบโตเหนือกว่าการทำกำไร โดยให้ความสำคัญกับการขยายรายได้และการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพกำไรในระยะสั้น
ไมเคิล เวด (Michael Wade) ศาสตราจารย์ด้านกลยุทธ์และดิจิทัลที่ IMD และผู้อำนวยการศูนย์ระดับโลก TONOMUS กล่าวว่า “ดัชนีปีนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการวิจัยของเรา ผู้นำไม่ได้เพียงแค่ทดลองกับ AI อีกต่อไป แต่พวกเขากำลังขยายขนาดการใช้งานไปทั่วทั้งองค์กร”
AI ในฐานะผลิตภัณฑ์เทียบกับขีดความสามารถ
ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญจากรายงานคือความแตกต่างระหว่างการใช้ AI ในฐานะ “ผลิตภัณฑ์” กับ “ขีดความสามารถ” ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ AI ถูกฝังอยู่ในระบบทางกายภาพ ขณะที่ในบริการและเทคโนโลยี AI เสริมประสิทธิภาพข้อเสนอและโครงสร้างพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น Copilot ของ Microsoft, Nova ของ Amazon, และ watsonx ของ IBM
แนวทางการกำกับดูแลมีความหลากหลายตามภูมิภาค โดยบริษัทในยุโรปเน้นความโปร่งใสและกฎระเบียบ บริษัทในสหรัฐอเมริกาเลือกใช้รูปแบบที่ยืดหยุ่นและอิงตามหลักการ ขณะที่ผู้นำในเอเชียผสมผสานการกำกับดูแลของผู้บริหารระดับสูงเข้ากับกรอบการปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ
ไมเคิล เวด (Michael Wade) เสริมว่า “ปี 2025 เป็นปีที่ AI เคลื่อนจากการทดลองสู่การเป็นแพลตฟอร์ม อนาคตเป็นของบริษัทที่เชื่อมั่น กำกับดูแล และขยายขนาด AI ไม่ใช่แค่พูดถึงมัน”
10 บริษัทแรกที่มีความพร้อมด้าน AI สูงสุดในโลกประจำปี 2025 โดย IMD :
| อันดับ | บริษัท | ประเทศ | คะแนน |
| 1 | NVIDIA | สหรัฐอเมริกา | 100 |
| 2 | Microsoft | สหรัฐอเมริกา | 90.7 |
| 3 | Alphabet | สหรัฐอเมริกา | 88.5 |
| 4 | Meta Platforms | สหรัฐอเมริกา | 80.6 |
| 5 | Amazon | สหรัฐอเมริกา | 79.8 |
| 6 | SAP | เยอรมนี | 77.1 |
| 7 | IBM | สหรัฐอเมริกา | 76.8 |
| 8 | Tencent Holdings | จีน | 75.9 |
| 9 | Sony | ญี่ปุ่น | 75.3 |
| 10 | Mastercard | สหรัฐอเมริกา | 74.1 |
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 ซูเปอร์ฟู้ด ที่ดีต่อสุขภาพ-ความงาม

Super Food เป็นอาหารที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดมีคุณสมบัติดังนี้ มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 12 ชนิด มีคุณค่าสารอาหารสูงแต่ให้พลังงานต่ำ และมีองค์ประกอบที่เป็นอาหารและสมุนไพร
แม้ว่าจะมีอาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็มีเพียงไม่กี่ชนิดที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน มารู้จักซูเปอร์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงญี่ปุ่นและประโยชน์ของอาหารเหล่านี้กัน
5 ซูเปอร์ฟู้ด ที่ดีต่อสุขภาพ-ความงาม
- เมล็ดเจีย (Chia seeds)
เมล็ดเจียมีลักษณะคล้ายเม็ดแมงลักแต่มีขนาดเล็กกว่า เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร โดยเมล็ดเจีย 1 ช้อนโต๊ะมีเส้นใยอาหารสูงถึง 12 กรัม มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สูงกว่าถั่ววอลนัทถึง 2.6 เท่า และมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้แต่ต้องรับมาจากการรับประทานอาหารเท่านั้นถึง 8 ชนิด เมล็ดเจียเป็นทางเลือกของอาหารเพื่อความงามและการลดน้ำหนักเพราะมีเส้นใยอาหารสูงและให้พลังงานต่ำ
วิธีการนำมารับประทานทำได้โดยการรับประทานเป็นสมูทตี้หรือรับประทานพร้อมกับโยเกิร์ต โดยปริมาณที่เหมาะสมต่อวันคือ 2 ช้อนโต๊ะ
- อาไซอิ (Acai)
อาไซอิเป็นผลไม้ที่ผลิตได้มากจากแถบแอมะซอนและจังหวัดโอกินาวะในญี่ปุ่น ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติหวานจืดเปรี้ยวน้อย และมีรสเฝื่อนจากแอนโทไซยานิน เนื้อผลอะไซอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ประมาณ 3 เท่า และมีแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามิน อี บี 1 บี 2 เส้นใยอาหาร กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 9 การรับประทานอะไซเป็นประจำจะช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยชะลอความแก่
สามารถนำมารับประทานได้ทั้งในรูปแบบของอาไซอิแช่แข็งรับประทานกับโยเกิร์ต แต่อาจรับประทานยากหน่อยเพราะเมล็ดอาไซอิมีขนาดค่อนข้างใหญ่ หรือนำเนื้อผลอาไซอิบดมารับประทานเป็นสมูทตี้ เป็นต้น
- สไปรูลิน่า (Spirulina)
สไปรูลิน่าเป็นสาหร่ายชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย สารไฟโคไซยานิน (Phycocyanin) และโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างและเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว จึงช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ธาตุเหล็กและกรดโฟลิก ที่ช่วยป้องกันโลหิตจาง และวิตามิน บี 1 บี 2 บี 6 และบี 12 ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาทและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี นอกจากนี้สไปรูลิน่ายังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย และมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา คนญี่ปุ่นรับประทานสไปรูลิน่าในรูปแบบอาหารเสริมที่รับประทานได้ง่ายในทุกวัน
- ควินัว (Quinoa)
ควินัวเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีโปรตีนกลูเตนเป็นส่วนประกอบจึงดีต่อผู้แพ้โปรตีนกลูเตน ควินัวอุดมไปด้วยโปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามินอี โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กและสังกะสีในปริมาณที่สูงกว่าข้าวกล้อง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดลิโนเลอิกและกรดโอเลอิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดลิโนเลอิกจะมีผลในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด และช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดดี ควินัวเป็นอาหารทางเลือกที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดต่อความงามและการลดน้ำหนัก
- ถั่วเสือ (Tigernuts)
ถั่วเสือเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานเป็นของว่าง ถั่วเสือมีรสชาติหวานคล้ายกับเมล็ดถั่วอัลมอนด์และเฮเซลนัทแต่ให้พลังงานที่ต่ำกว่าถั่วต่างๆ อีกทั้งมีเส้นใยอาหารและวิตามินอีสูงกว่าอัลมอนด์ถึง 3 และ 2.5 เท่า ตามลำดับ และอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ถั่วเสือเป็นอาหารว่างที่ดีสำหรับผู้ที่รักความงามและต้องการลดและควบคุมน้ำหนัก
มีอาหารซูเปอร์ฟู้ดมากมายที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพและความงามสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา อย่างไรก็ดี มีข้อควรคำนึงคือ ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะและไม่รับประทานเพียงแค่ซูเปอร์ฟู้ดแต่ให้รับประทานร่วมกับอาหารว่างหรืออาหารตามปกติ เพื่อจะทำให้ซูเปอร์ฟู้ดเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพกายและความงามอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 64,250.00 | 64,350.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,153.00 | 62,959.48 | 65,150.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,737.70 | 56,663.53 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,322.40 | 50,367.58 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,868.85 | 28,331.77 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,453.55 | 22,035.82 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,303.63 | 65,243.03 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







