สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568

SMART รุกวัสดุรักษ์โลกรับเทรนด์ Green Building ดันมาร์จิ้นโต

SMART ชูจุดแข็งบริหารต้นทุน–พัฒนาอิฐมวลเบาเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับเทรนด์ Green Building รุกวัสดุก่อสร้างรักษ์โลกขยายตลาดรัฐ–เอกชนดันมาร์จิ้นโต

รังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง เผยว่า เพื่อ
รับเทรนด์ Green Building ที่กำลังขยายตัวในอุตสาหกรรมก่อสร้าง มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองยั่งยืน บริษัทจึงมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์อาคารเขียว

ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 326.98 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 23.08 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3 มีรายได้รวม 115.59 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.92 ล้านบาท แม้ตัวเลขลดลงจากปีก่อน แต่ SMART ยังคงรักษามาร์จิ้นได้จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

อสังหาฯ ชะลอตัว แต่ Green Building โต

รังสี   เผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/68 ยังคงทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกหนุนชัดเจน แต่บริษัทเชื่อว่าความต้องการวัสดุก่อสร้าง “รักษ์โลก” จะเป็นแรงผลักสำคัญในระยะยาว โดยเฉพาะในโครงการ Mixed Use ขนาดใหญ่ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองเศรษฐกิจหลักที่ให้ความสำคัญกับอาคารประหยัดพลังงานและลดคาร์บอน

ปัจจุบัน สัดส่วนลูกค้าของ SMART มาจากภาครัฐ 20% เช่น โครงการอาคารสำนักงานและงานปรับปรุงอาคารภาคเอกชน 80% เน้นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ตามแนวรถไฟฟ้า และโครงการเชิงพาณิชย์หลากหลายรูปแบบ

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมก่อสร้างสู่ยุค Green Construction ที่ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนในทุกขั้นตอนของการพัฒนาอาคาร

ขยายตลาด–เพิ่มช่องทางขาย ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

SMART มุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดทดแทน (Replacement Market) และเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่าน โมเดิร์นเทรด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างและเข้าถึงผู้บริโภคปลายทางได้มากขึ้น

กลยุทธ์ดังกล่าวสอดรับกับกระแสการก่อสร้างยุคใหม่ที่มองหาวัสดุที่ “ติดตั้งง่าย ประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” ซึ่งอิฐมวลเบาของ SMART สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและต้นทุนในระยะยาว

แม้ผลประกอบการงวด 9 เดือนลดลงจากปีก่อนหน้า (รายได้ 458.99 ล้านบาท กำไร 75.89 ล้านบาท) เนื่องจากตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวและต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น แต่ SMART ยังรักษากำไรได้ด้วยการควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

“เรามองว่าเทรนด์ Green Building คือโอกาสสำคัญของ SMART ในการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต เพราะลูกค้าเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

จุดเปลี่ยนใหม่ของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทย

กระแสการพัฒนาเมืองยั่งยืน (Sustainable Urban Development) และนโยบายลดคาร์บอนทั่วโลก กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย โดยวัสดุก่อสร้างที่ตอบโจทย์ด้าน พลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะผู้ใช้อาคาร กำลังถูกยกระดับให้เป็น “มาตรฐานใหม่”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เช็กลิสต์ 6 มิติ ‘บ้านยั่งยืนอยู่สบาย’ เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ระยะยาว

“บ้านยั่งยืนอยู่สบาย” กำลังกลายเป็นแนวคิดใหม่ของตลาดอสังหาฯ ไทย เมื่อผู้บริโภคเริ่มมองหาบ้านที่ให้คุณค่าทั้งสุขภาวะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม พร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว

ในยุคที่คำว่า “บ้าน” ไม่ได้หมายถึงเพียงที่อยู่อาศัย แต่คือ “สินทรัพย์ชีวิต” ที่สะท้อนสุขภาวะ เศรษฐกิจ และความรับผิดชอบต่อโลก แนวคิด “บ้านยั่งยืนอยู่สบาย” จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดย นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดับเบิลยูเอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ชี้ว่า บ้านที่ดีในอนาคตจะต้อง “อยู่สบาย ประหยัดพลังงาน ส่งเสริมสุขภาวะ และเพิ่มมูลค่าได้จริง” ซึ่งเป็นทั้งเทรนด์ผู้บริโภคและทิศทางการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของโลก

แนวคิด “บ้านอยู่สบาย” (Liveable Home) มุ่งเน้นสุขภาวะของผู้อยู่อาศัยทั้งทางกายและใจ ด้วยสภาพแวดล้อมภายในที่ดีต่อชีวิตประจำวัน เช่น อากาศบริสุทธิ์ แสงธรรมชาติที่เหมาะสม และเสียงรบกวนน้อย ส่วน “บ้านยั่งยืน” (Sustainable Home) คือบ้านที่ออกแบบ ก่อสร้าง และใช้งานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในระยะยาว โดยยึดหลัก 3E ได้แก่ Energy ประสิทธิภาพพลังงาน, Environment สิ่งแวดล้อม, และ Experience ประสบการณ์ของผู้อยู่อาศัย

แนวโน้มตลาดในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคไม่ได้มองเพียงราคาขายหรือทำเลอีกต่อไป แต่เริ่มให้ความสำคัญกับ “คุณค่าที่อยู่ในตัวบ้าน” สอดรับกับ 4 เมกะเทรนด์หลักของโลก ได้แก่ พลังงานที่แพงขึ้น ภาวะโลกร้อน สุขภาวะหลังโควิด และการเข้ามาของการเงินสีเขียว ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังผลักดันให้แนวคิดบ้านยั่งยืนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของตลาดที่อยู่อาศัย

พลังงานกลายเป็นต้นทุนชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บ้านที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน เช่น บ้านโซลาร์รูฟ หรือบ้านที่ออกแบบให้เย็นโดยธรรมชาติ ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 20–60% ต่อปี ส่วนในมิติของสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำและระบบจัดการน้ำ–ของเสียที่ดี สามารถลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ได้หลายตันต่อปี ขณะเดียวกัน บ้านที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะ เช่น ระบบกรองอากาศ HEPA หรือช่องแสงธรรมชาติที่เหมาะสม ยังช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

นายประพันธ์ศักดิ์ระบุว่า บ้านที่ยั่งยืนอยู่สบายจะสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับทรัพย์สินในระยะยาว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและจิตใจ งานวิจัยต่างประเทศชี้ว่า บ้านที่ได้รับการรับรองอาคารเขียว เช่น EDGE หรือ TREES มักขายได้เร็วกว่าโครงการทั่วไปถึง 25% และราคาขายสูงขึ้น 5-10% เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่ยอมจ่ายเพื่อคุณค่าที่ยั่งยืนมากกว่าความหรูหราเพียงอย่างเดียว

หัวใจของบ้านยั่งยืนอยู่สบาย คือ “การออกแบบแบบบูรณาการ” ครอบคลุม 6 มิติหลัก ได้แก่

  • มิติแรก คือ กรอบอาคาร (Building Envelope) ที่ต้องลดความร้อนจากภายนอก เช่น การใช้ฉนวนกันความร้อน กระจก Low-E และผนังมวลเบา เพื่อให้บ้านเย็นโดยธรรมชาติ
  • มิติที่สอง ระบบเครื่องกลและไฟฟ้า (M&E) ที่ต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องปรับอากาศ Inverter หลอด LED และระบบควบคุมอัจฉริยะที่ช่วยลดการใช้ไฟโดยไม่ลดความสะดวกสบาย
  • มิติที่สาม สุขภาวะในอาคาร (Indoor Environmental Quality) บ้านต้องมีอากาศบริสุทธิ์ แสงเหมาะสม เสียงรบกวนต่ำ และใช้วัสดุตกแต่งที่ปลอดสารระเหย (Low-VOC)
  • มิติที่สี่ น้ำและภูมิทัศน์ (Water & Landscape) ต้องมีระบบจัดการน้ำฝนและการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เช่น สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การเก็บน้ำฝน การใช้พืชพื้นถิ่นทนแล้ง และพื้นซึมน้ำได้เพื่อลดน้ำท่วมขัง
  • มิติที่ห้า วัสดุและของเสีย (Materials & Waste) เน้นการเลือกใช้วัสดุท้องถิ่น วัสดุรีไซเคิล การแยกขยะและการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อลดของเสียฝังกลบ
  • มิติสุดท้าย พลังงานสะอาดและความยืดหยุ่น (Clean Energy & Resilience) คือการสร้างบ้านที่ผลิตพลังงานใช้เองได้ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟ แบตเตอรี่สำรองไฟ และเตรียมโครงสร้างสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นสู่บ้านยั่งยืน นายประพันธ์ศักดิ์แนะนำว่า ควรเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ทันทีหรือ “Quick Wins” เช่น การปรับพฤติกรรมการใช้พลังงาน ตั้งแอร์ที่ 26 องศา ล้างฟิลเตอร์แอร์ เปลี่ยนหลอดไฟ LED หรือซีลช่องรั่วซึมในบ้าน ก็สามารถลดค่าไฟได้ 5-10% ต่อเดือน หากต้องการก้าวต่อไปในระดับกลาง ควรลงทุนกับฉนวนหลังคา กระจก Low-E หรือระบบระบายอากาศ ซึ่งคืนทุนใน 2-4 ปี และในระยะยาวสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 3,000 บาทต่อเดือน

นิยามแนวคิด  “บ้านยั่งยืนอยู่สบาย” จึงเปรียบเสมือนการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทั้งทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิต เพราะในท้ายที่สุด บ้านที่อยู่สบายและยั่งยืน คือบ้านที่สร้างความสุขให้เจ้าของได้ยาวนาน และยังส่งต่อคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในเวลาเดียวกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทวันที่ 17พ.ย. เวลา 10.00 น. ปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.43-32.45 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตามภาพรวมของทิศทางเงินเอเชีย ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ แนะติดตามผลตอบรับของตลาดต่อตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของไทยที่ขยายตัวเพียง 1.2% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดและชะลอลงต่อเนื่องจากที่ขยายตัว 2.8% YoY ในไตรมาส 2/2568 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.43-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันทำการก่อนหน้าที่ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามภาพรวมของทิศทางเงินเอเชีย ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ หลังสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดในระยะนี้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ตลาดทยอยปรับลด Probability ของการลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 50%

นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของไทยที่ขยายตัวเพียง 1.2% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 1.6% YoY และชะลอลงต่อเนื่องจากที่ขยายตัว 2.8% YoY ในไตรมาส 2/2568 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินไว้ที่ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก และการตอบรับของตลาดต่อตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แชมป์ที่ 2 ของปี! “เมย์ รัชนก” ฟอร์มสวยหยิบแชมป์ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส 2025

การแข่งขันแบดมินตัน รายการ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 9 ของโลก พบกับ เกรกอเรีย มาริสก้า ตุนจุง มืออันดับ 11 ของโลกจากอินโดนีเซีย

เกมแรก นักตบลูกขนไก่สาวไทย ทำได้ดีกว่าออกนำ 7-2 จากนั้นรักษาระยะห่าง 11-8 ก่อนปิดเกมเอาชนะไปได้ 21-16 ขึ้นนำ 1-0 เกม

เกมสอง รัชนก เป็นฝ่ายทำได้ดีออกนำ 11-6 อย่างไรก็ตาม เกรกอเรีย มาริสก้า ตุนจุง มาตีเสมอ 13-13 ก่อนสู้กันยาวเสมอที่ 20-20 อย่างไรก็ตามสุดท้ายเป็น “เมย์ รัชนก” ที่เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 22-20 คว้าชัย 2-0 เกม

จากชัยชนะในเกมนี้ทำให้ รัชนก อินทนนท์ คว้าแชมป์ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน 2025 รวมทั้งถือเป็นการหยิบแชมป์รายการที่ 2 ในปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อย่าปล่อยไว้! สัญญาณเตือน’ลำไส้เน่า’ ที่ร่างกายขอให้ช่วย

  • ภาวะลำไส้เน่า เกิดได้จากการติดเชื้อ/สิ่งแวดล้อม พันธุกรรม/ภูมิคุ้มกันตนเอง ไลฟ์สไตล์และปัจจัยการรับประทานอาหาร
  • สัญญาณเตือนว่ากำลังเสี่ยงเป็นภาวะลำไส้เน่า ได้แก่ ท้องอืด แพ้อาหาร อาเจียน ความง่วง ความไม่เสถียรของอุณหภูมิ และเลือดในอุจจาระ
  • ลำไส้เน่าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กทารก ไปจนถึงทุกคน ดังนั้น ควรเตรียมพร้อม วางแผน และตรวจเช็กสุขภาพ เพราะภาวะลำไส้เน่าอักเสบเป็นภาวะที่ส่งผลต่อร่างกาย

ภาวะลำไส้เน่าอักเสบ (Necrotizing Enterocolitis: NEC) เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อของระบบทางเดินอาหารตายจากการอักเสบจนขาดเลือด มักเกิดบริเวณลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ในทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย และเป็นสาเหตุการตาย และทุพลภาพของทารกแรกเกิดที่พบได้มากที่สุด

การทำความเข้าใจโรคลำไส้เน่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครอง ผู้ดูแล และผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ เนื่องจากการตรวจพบและการแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ได้อย่างมาก เพราะ “โรคลำไส้เน่าตาย” เป็นโรคลำไส้ร้ายแรงที่ส่งผลต่อทารกคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะทารกที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อลำไส้เกิดการอักเสบและเริ่มตาย ส่งผลให้ลำไส้ทะลุและเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของการติดเชื้อไปทั่วร่างกาย

สาเหตุการเกิดภาวะลำไส้เน่า

  • การติดเชื้อ/สิ่งแวดล้อม

แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของ NEC แต่ปัจจัยด้านการติดเชื้อและสิ่งแวดล้อมหลายประการอาจส่งผลต่อการพัฒนาของโรคได้ การศึกษาวิจัยบางกรณีแนะนำว่าแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ โดยเฉพาะแบคทีเรียที่เป็นอันตราย อาจมีบทบาทในการกระตุ้นการตอบสนองของการอักเสบที่พบใน NEC นอกจากนี้ ปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้นมผง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ และการได้รับยาบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคได้

  • พันธุกรรม/ภูมิคุ้มกันตนเอง

งานวิจัยระบุว่าความเสี่ยงต่อภาวะ NEC อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ทารกบางคนอาจได้รับโรคที่ส่งผลต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันหรือสุขภาพลำไส้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการลำไส้อักเสบมากขึ้น ปัจจัยภูมิคุ้มกันตนเอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเองโดยผิดพลาด อาจมีส่วนด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในด้านนี้

  • ไลฟ์สไตล์และปัจจัยการรับประทานอาหาร

ปัจจัยด้านอาหาร โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด อาจส่งผลต่อความเสี่ยงของ NEC ได้อย่างมาก ทารกที่กินนมผงแทนนมแม่มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากนมแม่มีแอนติบอดีที่ปกป้องและแบคทีเรียที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยส่งเสริมให้จุลินทรีย์ในลำไส้มีสุขภาพดี นอกจากนี้ เวลาและวิธีการให้อาหาร (เช่น การให้อาหารทางสายยาง) อาจส่งผลต่อการพัฒนาของ NEC ได้

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเกิดลำไส้เน่า

มีการระบุปัจจัยเสี่ยงหลักหลายประการสำหรับ NEC รวมถึง

  • อายุ: ทารกคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ มีความเสี่ยงสูงที่สุด
  • น้ำหนักแรกเกิด: ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ NEC มากขึ้น
  • เพศ: ผู้ชายมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าผู้หญิง
  • ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: การศึกษาวิจัยบางกรณีชี้ให้เห็นว่า NEC อาจพบได้บ่อยในบางภูมิภาคหรือในสถานพยาบาลบางแห่ง
  • เงื่อนไขพื้นฐาน: ทารกที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือการติดเชื้อ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

สัญญาณเตือนเกิดภาวะลำไส้เน่า

อาการทั่วไปของภาวะลำไส้เน่า อาจแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่มักจะมีสัญญาณเตือน ดังต่อไปนี้ 

  • ท้องอืด: อาการท้องบวมหรืออืดเป็นสัญญาณที่พบบ่อย
  • อาการแพ้อาหาร: ทารกอาจปฏิเสธที่จะกินอาหารหรือแสดงอาการไม่สบายในระหว่างการกินอาหาร
  • อาเจียน: อาจรวมถึงการอาเจียนเป็นสีน้ำดี ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการอุดตันได้
  • ความง่วง: ทารกที่ได้รับผลกระทบอาจดูเหนื่อยล้าหรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวผิดปกติ
  • ความไม่เสถียรของอุณหภูมิ: อุณหภูมิร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงได้
  • เลือดในอุจจาระ: นี่อาจเป็นสัญญาณที่น่ากังวลและควรแจ้งให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทราบทันที

อาการที่ไม่ควรปล่อยไว้ ต้องรีบพบแพทย์

ผู้ปกครองและผู้ดูแลควรไปพบแพทย์ทันทีหากสังเกตเห็นสิ่งใด ๆ ต่อไปนี้:

  • อาการท้องอืดรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
  • อาเจียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้ามีสีเหมือนน้ำดี
  • มีเลือดในอุจจาระหรือมีการเปลี่ยนแปลงสีอุจจาระผิดปกติ
  • อาการช็อก เช่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นอ่อน หรือซึมมาก

การวินิจฉัยโรคของแพทย์

  • การประเมินผลทางคลินิก

การวินิจฉัย NEC เริ่มต้นด้วยการประเมินทางคลินิกอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงประวัติผู้ป่วยโดยละเอียดและการตรวจร่างกาย ผู้ให้บริการด้านการแพทย์จะประเมินประวัติการให้อาหารของทารก ปัญหาสุขภาพก่อนหน้านี้ และการเริ่มต้นของอาการ

  • การทดสอบวินิจฉัย

อาจใช้การทดสอบการวินิจฉัยหลายอย่างเพื่อยืนยัน NEC รวมถึง:

  • เอกซเรย์ช่องท้อง: สิ่งเหล่านี้อาจเผยให้เห็นสัญญาณของการอุดตันของลำไส้ การเจาะ หรือมีอากาศในช่องท้อง
  • อัลตราซาวด์: เทคนิคการถ่ายภาพนี้ช่วยให้มองเห็นลำไส้และประเมินความผิดปกติได้
  • การทดสอบเลือด: การทดสอบในห้องปฏิบัติการสามารถตรวจหาสัญญาณของการติดเชื้อ การอักเสบ หรือความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์

การวินิจฉัยแยกโรค เป็นการแยกความแตกต่างระหว่าง NEC กับภาวะทางระบบทางเดินอาหารอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกันถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น:

  • ลำไส้อุดตัน
  • โรคกรดไหลย้อน (GERD)
  • การติดเชื้อ (เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด)
  • โรคลำไส้อักเสบอื่น ๆ

การรักษาทางการแพทย์

การจัดการ NEC มักเกี่ยวข้องกับการผสมผสานระหว่างการแพทย์และการผ่าตัด:

  • สถานะองค์กรไม่แสวงหากำไร: โดยปกติแล้วทารกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น NEC จะถูกจัดอยู่ในสถานะ “ห้ามกินอะไรทางปาก” (NPO) เพื่อให้ลำไส้ได้พักผ่อน
  • ของเหลวในหลอดเลือดดำ (IV): เพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกายและโภชนาการ จึงต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
  • ยาปฏิชีวนะ: ยาปฏิชีวนะแบบกว้างสเปกตรัมมักถูกกำหนดให้ใช้เพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
  • การแทรกแซงการผ่าตัด: ในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อเยื่อลำไส้ที่เน่าตายออกหรือแก้ไขรูพรุน

การรักษาแบบไม่ใช้ยา

นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว วิธีการที่ไม่ใช้ยาก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน:

การสนับสนุนทางโภชนาการ: เมื่อทารกมีอาการคงที่แล้ว แนะนำให้ค่อยๆ กลับมาให้อาหารอีกครั้ง โดยควรใช้นมแม่แทน

โปรไบโอติก: การศึกษาวิจัยบางกรณีระบุว่าโปรไบโอติกอาจช่วยลดความเสี่ยงของ NEC ในทารกที่มีความเสี่ยง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก็ตาม

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาหรือจัดการไม่ดี NEC อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น:

  • ลำไส้ทะลุ: อาจส่งผลให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบซึ่งเป็นการติดเชื้อในช่องท้องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • แบคทีเรีย: การติดเชื้อในระบบที่อาจเกิดขึ้นได้หากแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด
  • โรคลำไส้สั้น: หากตัดส่วนสำคัญของลำไส้ออก ทารกอาจประสบปัญหาการย่อยอาหารในระยะยาวได้

ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้นและระยะยาว

ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้นอาจรวมถึงการต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานและต้องผ่าตัดเพิ่มเติม ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวอาจรวมถึงการเจริญเติบโตที่ล่าช้า ความยากลำบากในการให้อาหาร และปัญหาด้านพัฒนาการทางระบบประสาทที่อาจเกิดขึ้นได้

ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะลำไส้เน่า

แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกัน NEC ได้ในทุกกรณี แต่มีกลยุทธ์หลายประการที่อาจช่วยลดความเสี่ยงได้ ดังนี้:

  • เลี้ยงลูกด้วยนม: แนะนำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยเฉพาะ เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • การปฏิบัติด้านสุขอนามัย: มาตรการสุขอนามัยที่เคร่งครัดในหน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤต (NICU) สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
  • การให้อาหารแบบค่อยเป็นค่อยไป: การแนะนำการให้อาหารอย่างช้าๆ และการติดตามการทนทานสามารถช่วยลดความเสี่ยงของ NEC ได้

ผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวัคซีนและตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อติดตามสุขภาพของทารกที่มีความเสี่ยง ผู้ปกครองควรได้รับการศึกษาเกี่ยวกับสัญญาณและอาการของ NEC เพื่อให้ได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างทันท่วงทีหากจำเป็น

พยากรณ์และแนวโน้มระยะยาว

การพยากรณ์โรคสำหรับทารกที่มีอาการ NEC จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความทันท่วงทีของการรักษา ทารกจำนวนมากสามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสม ในขณะที่ทารกบางรายอาจเผชิญกับความท้าทายในระยะยาว

  • ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพยากรณ์โรค

ปัจจัยหลายประการสามารถส่งผลต่อการพยากรณ์โดยรวม ได้แก่:

  • การวินิจฉัยเบื้องต้น: การรับรู้และการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถปรับปรุงผลลัพธ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • สุขภาพโดยรวมของทารก: ทารกที่มีปัญหาสุขภาพพื้นฐานน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะมีการพยากรณ์โรคที่ดีกว่า
  • การปฏิบัติตามการรักษา: การปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์และแผนการรักษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฟื้นตัว

ภาวะลำไส้เน่าอักเสบเป็นภาวะที่ส่งผลต่อร่างกายของทารกอย่างรุนแรง อีกทั้งร่างกายของเด็กทารกยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และความแข็งแรงมากพอที่จะต่อสู้กับภาวะอักเสบร้ายแรงได้มาก จึงเสี่ยงที่ทารกจะเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาได้ทันเวลา

ว่าที่คุณแม่มือใหม่รวมถึงผู้หญิงทุกคนที่กำลังวางแผนมีบุตร จึงต้องเตรียมดูแลสุขภาพของตนเองให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ลูกของคุณมีสุขภาพแข็งแรง ไร้ภาวะแทรกซ้อนที่เสี่ยงอันตราย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ธุรกิจเร่งอัดงบ ‘AI’ รับศึกใหญ่ ‘ไซเบอร์ซิเคียวริตี้’

  • องค์กรทั่วโลกจัดให้ “การลงทุนในเทคโนโลยี AI” เป็นลำดับความสำคัญแรกสำหรับแผนงาน 12 เดือนข้างหน้า เพื่อรับมือภัยไซเบอร์
  • องค์กรต่างๆ เร่งลงทุนใน AI เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
  • องค์กรเกือบ 8 ใน 10 เตรียมเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปีหน้า
  • สำหรับประเทศไทย การนำ AI มาใช้เชิงรุกเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยไซเบอร์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น 

ผลสำรวจ “Global Digital Trust Insights 2026” โดย “พีดับบลิวซี (PwC)” เผยว่า องค์กรทั่วโลกต่างเร่งเดินหน้าลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนและทวีความรุนแรง

โดย AI ขึ้นแท่นเป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่ใช้ปกป้ององค์กรจากความเสี่ยง แต่ยังถูกนำมาแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ พร้อมผลักดันการพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรในอนาคต

จุดเปลี่ยน ‘ไซเบอร์ซิเคียวริตี้’

จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารธุรกิจและผู้บริหารด้านเทคโนโลยีจำนวน 3,887 คนใน 72 ประเทศและอาณาเขต พบว่า แม้องค์กรต่างๆ จะเร่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI ควอนตัมคอมพิวติง เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ความเสี่ยงไซเบอร์

แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของผู้นำด้านความปลอดภัยและปฏิบัติการเท่านั้นที่ระบุว่า องค์กรของตน “มีความสามารถสูงมาก” ในการรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ ขณะที่มีองค์กรเพียง 6% ที่ประเมินว่าตนเองมี “ความสามารถสูงมาก” ในทุกมิติที่สำรวจ   

องค์กรส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจในศักยภาพการจัดการกับประเด็นสำคัญ เช่น การยืนยันตัวตนและการควบคุมการเข้าถึง, การป้องกันผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อที่มีช่องโหว่, การรับมือกับระบบที่ล้าสมัย, และการป้องกันช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทานดิจิทัล ซึ่งชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนที่สำคัญขององค์กรต่อความเสี่ยงทางไซเบอร์ยุคใหม่ 

ฌอน จอยซ์ หัวหน้าความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวระดับโลก พีดับบลิวซี สหรัฐ เปิดมุมมองว่า เทคโนโลยีใหม่ที่กำลังพัฒนา พร้อมกับระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงทั่วโลกและภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนำไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในด้านไซเบอร์

ดังนั้นผู้นำองค์กรจำเป็นต้องวางแนวทางรับมือระยะยาวโดยเน้นการร่วมมือระหว่างผู้บริหาร องค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่ให้ CISO มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงธุรกิจและบูรณาการความปลอดภัยไซเบอร์เข้ากับกลยุทธ์หลัก

ผู้นำในอนาคตจะเป็นองค์กรที่เน้นการลงทุนเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยง มากกว่าการตอบสนอง ความยืดหยุ่นเกิดจากการมีวิสัยทัศน์ล่วงหน้า ไม่ใช่การมองย้อนอดีต

‘AI’ โฟกัสใหม่ ‘การลงทุน’

ที่น่าสนใจ องค์กรส่วนใหญ่เกือบแปดในสิบ (78%) เตรียมเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปีหน้า สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงไซเบอร์ที่ปรับเปลี่ยนและทวีความซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เกือบหนึ่งในสาม (32%) ยังคาดว่า งบประมาณด้านไซเบอร์จะเพิ่มขึ้นในอัตราสูงถึง 6-10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

เมื่อพิจารณาถึงลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณ พบว่า “การลงทุนในเทคโนโลยี AI” ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับแรก (36%) สำหรับแผนงานใน 12 เดือนข้างหน้า แซงหน้าการลงทุนในระบบความปลอดภัยบนคลาวด์ (34%) ความปลอดภัยของเครือข่าย (28%) และการปกป้องข้อมูล (26%)

AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนและยกระดับภูมิทัศน์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรในยุคดิจิทัล

พีดับบลิวซี เผยว่า องค์กรต่างๆ หันมาประเมินความเสี่ยงด้านไซเบอร์ในรูปแบบเชิงปริมาณมากขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ทวีความซับซ้อนและรุนแรง หนึ่งในสี่ของผู้บริหารเผยว่า องค์กรต้องเผชิญกับความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลร้ายแรงที่สุดในรอบสามปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สูญเสียเงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์

ที่น่ากังวล ช่องว่างด้านทักษะ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเสริมสร้างศักยภาพ AI และการป้องกันภัยไซเบอร์

นอกจากนี้ ที่น่าจับตามองยังมี การมาของเทคโนโลยี “ควอนตัม” ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและถูกจัดให้เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่องค์กรทั่วโลกยังรับมือได้จำกัด รองจากภัยคุกคามจากคลาวด์ การโจมตีผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกัน และการละเมิดข้อมูลจากบุคคลที่สาม

ไทยยังขาด ‘กลยุทธ์เชิงรุก’

ริชี อานันท์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท พีดับบลิวซี ประเทศไทย ประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันองค์กรไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในแต่ละอุตสาหกรรมยังมีความแตกต่างกัน ภาคการเงินและโทรคมนาคมถือเป็นกลุ่มที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ส่วนองค์กรในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมักมีความเชื่อว่าขนาดธุรกิจของตนเล็กเกินกว่าจะตกเป็นเป้าหมาย กลับตั้งรับมากกว่ารุก ทั้งที่ในความเป็นจริงองค์กรทุกขนาดสามารถกลายเป็นเหยื่อได้ทั้งสิ้น

เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากล ความพร้อมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ยังขาด คือ “การขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงรุก” รวมถึงการนำแนวคิดการบริหารจัดการความเสี่ยงมาเป็นฐานในการวางแผน และมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มากขึ้น

แม้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยไซเบอร์จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและองค์กรไทยเริ่มนำเครื่องมือต่างๆ มาใช้มากขึ้น แต่การนำ AI มาใช้เชิงรุกเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยไซเบอร์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น

ความท้าทายหลักๆ ไม่ได้อยู่ที่การเลือกใช้เครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะบุคลากรและการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม การสร้างความยืดหยุ่นอย่างแท้จริงต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการซื้อโซลูชัน AI สำเร็จรูป มาเป็นการเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เห็นด้วยยังไงให้เป๊ะ? ถอดรหัส การใช้ agree แบบเจ้าของภาษายกนิ้วให้

การกล่าวให้ผู้สนทนาทราบถึงการเห็นด้วยของเราเองนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อความหมายว่าเราเห็นด้วยนั้นก็มีหลายรูปแบบ บทความนี้จะอธิบาย การใช้ agree ในภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องตามหลักเจ้าของภาษา โดยเน้นโครงสร้างที่แตกต่างกัน เช่น agree with, agree on, agree about, agree to และ agree that พร้อมแจกแจงการใช้ในแต่ละกรณีอย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้ได้เหมาะสมตามบริบท ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การตอบรับข้อตกลง หรือการพูดถึงข้อเท็จจริง นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง ผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย หรือผู้ที่กำลังลงคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ จุดเด่นของบทความคือเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่าย ใช้คำศัพท์ไม่ซับซ้อน เหมาะกับทุกระดับ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นที่ต้องการฝึกใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติและมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสาร

1) คำว่า agree ตามด้วยอะไรได้บ้าง?

คำว่า agree สามารถตามด้วยบุคคล ความคิดเห็น ข้อเสนอ หรือประเด็นต่างๆ ได้ แต่การเลือกใช้คำหรือโครงสร้างที่ตามหลัง agree ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการจะ “เห็นด้วย” ด้วย เช่น

– agree with + บุคคล หรือความคิดเห็น เช่น I agree with you.
– agree on/about + หัวข้อ ประเด็น เช่น We agree on the plan.
– agree to + เงื่อนไข ข้อเสนอ ข้อตกลง เช่น She agreed to the terms.
– agree that + ประโยคบอกเล่า เช่น I agree that this is important.

2) วิธี การใช้ agree with / agree on / agree about / agree that / agree to

Agree with ใช้เมื่อเห็นด้วยกับใครบางคน หรือเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา เช่น:
– I agree with my manager about the budget.
– We agree with your suggestion completely.

Agree on / Agree about ใช้เมื่อเห็นด้วยกับ “หัวข้อ” หรือ “ประเด็น” บางอย่างร่วมกัน:

– We finally agreed on the travel plan.
– They agreed about the need to change policy.

ทั้ง agree on และ agree about ใช้ในบริบทที่เราต้องการเน้นความเห็นพ้องในประเด็นเดียวกัน ช่วยให้บทสนทนาดูชัดเจนขึ้น

Agree to ใช้เมื่อเห็นด้วยหรือตอบรับข้อเสนอ ข้อตกลง หรือเงื่อนไข:

– I agreed to join the project.
– She didn’t agree to the new policy.

Agree that ใช้เพื่อแสดงความเห็นด้วยกับข้อความหรือความจริงบางอย่าง โดยตามด้วยประโยคเต็ม:

– I agree that learning English opens new opportunities.

– We all agree that communication is key.

3) ตัวอย่างประโยค การใช้ agree แบบเข้าใจง่าย

– I totally agree with my friend about the movie.

– Do you agree on the solution to the problem?

– They agreed to postpone the meeting.

– We agree that teamwork is essential.

การฝึกประโยคเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์และทำให้ เรียนภาษาอังกฤษ ได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


“กล้วยหอม vs กล้วยน้ำว้า” ประโยชน์ต่างกันในข้อไหน กินคู่กันจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย

กล้วยหอม vs กล้วยน้ำว้า ต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ดีต่อสุขภาพและช่วยลดน้ำหนัก

เมื่อพูดถึงผลไม้ที่กินง่าย ราคาเข้าถึงได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย “กล้วย” มักเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกล้วยหอมและกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นสองชนิดที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้จะชื่อนำหน้าว่ากล้วยเหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ สารอาหาร และผลต่อร่างกายกลับมีความแตกต่างกันไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรืออยากเลือกผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพสูงสุด

กล้วยหอม: พลังงานมากกว่า เหมาะสำหรับเติมพลังระหว่างวัน

กล้วยหอม ถือเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง โดยกล้วยหอมขนาดกลาง 1 ผลอยู่ที่ประมาณ 100–120 แคลอรี่ ให้คาร์โบไฮเดรตสูงและย่อยช้า จึงช่วยให้อิ่มนาน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังงานก่อนออกกำลังกายหรือช่วงที่ร่างกายต้องใช้แรง นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียมสูง ช่วยป้องกันตะคริว และมีสารทริปโตเฟนที่ช่วยให้ผ่อนคลาย อารมณ์ดีมากขึ้น

กล้วยน้ำว้า: แคลอรี่เบากว่า ย่อยง่ายดีต่อระบบขับถ่าย

กล้วยน้ำว้า ขนาดกลาง 1 ผลให้พลังงานประมาณ 60–80 แคลอรี่ น้อยกว่ากล้วยหอมเกือบครึ่ง จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก กล้วยน้ำว้าย่อยง่ายกว่า มีใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพคตินที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ทำให้ขับถ่ายดีขึ้น และยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยหรือเด็กที่ระบบย่อยอาหารอ่อนโยน ต้องการอาหารที่เบาและไม่ระคายท้อง

ลดน้ำหนักควรกินแบบไหนดี?

สำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนัก กล้วยน้ำว้าจะตอบโจทย์มากกว่าเพราะแคลอรี่น้อยกว่าและช่วยให้อิ่มอยู่ท้องได้ดี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตัดกล้วยหอมออกจากชีวิต เพราะกล้วยหอมมีประโยชน์ด้านการเพิ่มพลังงาน โดยเฉพาะช่วงก่อนออกกำลังกาย หากต้องการความอิ่มนานระหว่างวันก็สามารถเลือกกล้วยหอมครึ่งผลหรือผลเล็ก เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี่ได้เช่นกัน

ถ้ากิน “กล้วยหอม + กล้วยน้ำว้า” พร้อมกัน จะเกิดอะไรขึ้น?

หลายคนชอบกินทั้งสองชนิดพร้อมกัน ซึ่งสามารถทำได้และไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะกล้วยทั้งสองชนิดให้ใยอาหาร วิตามินบี และโพแทสเซียมที่ดีต่อหัวใจ ทั้งยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้พอสมควร แต่ควรระวังเรื่องปริมาณ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่ให้คาร์โบไฮเดรตสูง หากกินรวมกันหลายผลอาจทำให้ได้รับแคลอรี่มากเกินไปและทำให้น้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การกินกล้วยทั้งสองชนิดร่วมกันยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเพราะใยอาหารสูง แต่บางคนอาจรู้สึกแน่นท้องหากกินในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะช่วงท้องว่าง ดังนั้นควรกินในปริมาณพอเหมาะ เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ผล และกล้วยหอม 1/2 ผล เพื่อให้ได้ทั้งพลังงานและใยอาหารที่สมดุล

สรุป: เลือกให้เหมาะกับเป้าหมายสุขภาพ

หากต้องการควบคุมน้ำหนักหรืออยากได้ผลไม้ที่แคลอรี่ต่ำ กล้วยน้ำว้าคือตัวเลือกที่เหมาะที่สุด แต่ถ้าต้องการพลังงานก่อนออกกำลังกายหรืออยากอิ่มนานขึ้น กล้วยหอมตอบโจทย์มากกว่า ส่วนการกินทั้งสองชนิดคู่กันสามารถทำได้ แต่ควรควบคุมปริมาณเพื่อไม่ให้ได้รับแคลอรี่มากเกินไป

ท้ายที่สุด กล้วยคือผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า หากเลือกให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย ก็ช่วยให้ทั้งสุขภาพดีขึ้น และยังคงควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a62,600.0062,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,047.0061,352.5263,500.00
ทองรูปพรรณ 90%3,642.3055,217.27n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,237.6049,082.02n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,821.1527,608.63n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,416.4521,473.38n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,193.7863,577.70n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า