‘บ้านมือสอง’โตแรง!แซงบ้านมือหนึ่งคนผ่อนไม่ไหว ปล่อยหลุดพุ่ง

- ปัญหาหนี้ครัวเรือนส่งผลให้คนผ่อนบ้านไม่ไหว ทำให้จำนวนทรัพย์สินรอการขายจากกรมบังคับคดีพุ่งสูงขึ้นกว่า 210% ภายในปีเดียว
- ตลาดบ้านมือสองเติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางบ้านมือหนึ่ง เนื่องจากมีอุปทานจากบ้านหลุดจำนองเพิ่มขึ้นและตอบโจทย์ผู้ซื้อที่มองหาที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้
- บ้านมือสองได้รับความสนใจไม่เพียงเพราะราคาถูกกว่า แต่ยังมีจุดเด่นด้านพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและวัสดุคุณภาพดีที่หาได้ยากในโครงการใหม่
ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งทะยาน! ทำให้หลายคนเผชิญภาวะ “ผ่อน (ที่อยู่อาศัย) ไม่ไหว” บ้านจำนวนมากหลุดเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี ส่งผลให้พอร์ตทรัพย์ของกรมบังคับคดีขยายตัวพุ่งทะลุ 210% ภายในเวลาเพียงปีเดียว ตลาด “บ้านมือสอง” คึกคักขึ้นท่ามกลางความเปราะบางของกำลังซื้อ เป็น “จังหวะทอง” ของผู้ต้องการที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้ สะท้อนภาพ 2 ด้านของวิกฤติและโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดบ้านมือสองซึ่งครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม กลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นทุกปี ทั้งจากคนซื้ออยู่เองและนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสจากการฟื้นฟูและขายต่อ
“บ้านมือสอง” แบ่งเป็น 2 แบบ คือ บ้านที่เคยมีผู้อยู่อาศัยจริง และบ้านที่ไม่เคยมีคนอยู่ แต่เมื่อออกจากมือผู้ประกอบการมาแล้ว ถือว่าเป็นมือสอง! ความน่าสนใจของตลาดนี้ไม่ใช่เพียงราคาที่ถูกกว่าโครงการใหม่ แต่ยังอยู่ที่ “พื้นที่ใช้สอย” และ “วัสดุเก่า” ซึ่งปัจจุบันหาไม่ได้แล้ว
ตลาดบ้านมือสองคึกคักเกินคาด
จากตัวเลขทรัพย์หลุดจำนองในมือกรมบังคับคดีพุ่งแรงกว่า 2 เท่าภายในปีเดียว สวนทาง “บ้านมือสอง” จากธนาคารที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนแรงกดดันเรื่องรายได้ หนี้ครัวเรือน และความสามารถในการผ่อนบ้าน ที่กำลังถดถอยลงและสัญญาณเปลี่ยนผ่านสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยไทย เมื่อรายการทรัพย์กรมบังคับคดีล็อตใหม่ สูงถึง 67,641 ยูนิต เพิ่มขึ้นกว่า 210.1% เทียบไตรมาส 2 ปี 2567

เมื่อสภาพเศรษฐกิจบีบ…ตลาดบ้านมือสองเปลี่ยน จำนวนประกาศขายบ้านมือสองโดยเจ้าของและนายหน้าอยู่ที่ 68,834 ยูนิต หรือ 36.6% ของตลาดรวม ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% จากปีก่อน เป็นความเคลื่อนไหวที่ยังอยู่ในกรอบปกติ แต่น้ำหนักของการเปลี่ยนแปลงกลับไม่อยู่ที่ “คนขายทั่วไป” แต่อยู่ใน “ทรัพย์หลุดจำนอง” ซึ่งสะท้อนปัญหาหนี้อย่างจริงจัง
ตัวเลขทรัพย์หลุดจำนองพุ่ง
บ้านมือสองในมือ กรมบังคับคดี (คดีล้มละลาย-คดีแพ่ง) จำนวน 67,641 ยูนิต เพิ่มขึ้น 210.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ตรงกันข้าม ธนาคารพาณิชย์ซึ่งปกติถือครองทรัพย์ NPA จำนวนมาก กลับมีทรัพย์เหลือขายเพียง 6,144 ยูนิต ลดลงถึง 11.9% มูลค่าทรัพย์ยังลดลง 13.1%
ตัวเลขนี้บอกอะไร? นั่นหมายถึง ธนาคารไม่รับความเสี่ยงต่อ เมื่อเจรจากับลูกหนี้ไม่ได้ผล สถาบันการเงินจึงผลักทรัพย์เข้าสู่มือกรมบังคับคดี หรือขายต่อให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) แทน การส่งต่อเช่นนี้สะท้อนแรงกดดันในระบบสินเชื่อ และความยากลำบากของผู้กู้ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“นโยบายคุมสินเชื่อและรายได้ครัวเรือนที่ไม่โต ทำให้ตลาดบ้านมือสองสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเร็วกว่าบ้านมือหนึ่ง”
ทรัพย์หลุด “ราคาดี” แต่ต้องกล้าและรู้จริง
นักลงทุนจำนวนมากจับตาทรัพย์จากกรมบังคับคดีและบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพราะราคาที่ต่ำกว่าตลาด 20-40% แต่การซื้อประเภทนี้ไม่ใช่เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ ปัญหาที่พบเป็นประจำ เช่น บ้านสภาพทรุดโทรม ไม่มีการดูแล ยังมีผู้อาศัยอยู่ ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่สามารถตรวจสภาพทรัพย์ได้ครบ เงื่อนไขการประมูลเข้มงวด
หากแต่กลุ่มนักลงทุนที่ชำนาญกลับมองว่านี่คือ “โอกาสทอง” เพราะเมื่อตลาดแรกเริ่มฟื้น ราคาทรัพย์เหล่านี้จะไต่ระดับขึ้นเร็วกว่าตลาดทั่วไป
“ทรัพย์บังคับคดีมีความเสี่ยง แต่ถ้าศึกษาเอกสารครบและตรวจพื้นที่จริง ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดทั่วไป”
บ้านมือหนึ่งกำลังถูกท้าทาย
ตลาดบ้านมือสองร้อนแรงขึ้น เพราะบ้านมือหนึ่งในทำเลเดียวกันราคาพุ่งสูงจนคนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ราคาปรับขึ้นตามต้นทุนที่ดินและวัสดุก่อสร้าง เมื่อสภาพเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ดีมานด์บ้านมือสองจึงขยายตัว และแทรกตัวเป็น “คู่แข่งตัวจริง” ของบ้านมือหนึ่งในหลายทำเล
“ดอกเบี้ยที่ยังสูง รายได้ครัวเรือนไม่โต และหนี้ครัวเรือนระดับสูง คาดว่าจำนวนบ้านมือสองที่เข้าสู่ตลาดจากสถาบันการเงินจะยังเพิ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า แนวโน้มนี้ไม่ได้บอกเพียงจำนวนทรัพย์ที่มากขึ้น แต่ยังสะท้อน ‘แรงสะสมของปัญหาหนี้’ ที่ยังไม่คลี่คลาย”
สุรเชษฐ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญอสังหาฯ วิเคราะห์ว่า “ถ้ารายได้ประชาชนไม่โตขึ้นกว่านี้ เราจะเห็นทรัพย์หลุดมากขึ้น และบ้านมือสองจะกลายเป็นสินค้าที่คนหันหามากกว่าโครงการใหม่ในหลายกลุ่มราคา”
อย่างไรก็ตาม มีคำเตือนสำหรับผู้ซื้อบ้านมือสอง แม้จะมีเสน่ห์ในเรื่องราคาและพื้นที่ แต่ผู้ซื้อควรเตรียมตัวมากกว่าการซื้อบ้านใหม่ เพราะต้องตรวจสภาพทรัพย์ด้วยตนเอง เช็คเอกสารสิทธิ ภาระผูกพัน เตรียมเงินก้อนล่วงหน้า เพราะไม่มีการผ่อนดาวน์ ตรวจคุณสมบัติสินเชื่อก่อนตัดสินใจ การซื้อบ้านจากธนาคารหรือกรมบังคับคดีต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพราะหากพลาดเพียงเล็กน้อยอาจเกิดปัญหาระยะยาวตามมาได้
ตลาดบ้านมือสองภาพสะท้อนชีวิตจริง
ตัวเลขการเพิ่มขึ้นมากกว่า 210% ของทรัพย์ในมือกรมบังคับคดี คือเสียงสะท้อนวิกฤติครัวเรือนที่กำลังค่อยๆ เดินเข้าหาเส้นเปราะบาง ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดนี้กลับเป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการบ้านราคาจับต้องได้ และนักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพในช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ระวังตัว
ตลาดบ้านมือสองจึงเป็นภาพสะท้อน 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือความยากลำบากของเจ้าของบ้านเดิม อีกด้านคือความหวังของผู้ซื้อใหม่ที่กำลังมองหาที่อยู่ถาวร เรื่องราวของบ้านมือสอง ไม่ใช่เรื่องของอสังหาฯ เพียงอย่างเดียว แต่ตอกย้ำชัดว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เปิดวิชั่นซีอีโอ ‘สิงห์ เอสเตท’ วาง 4 แกนสร้างฐานเติบโตยั่งยืน

- ‘เปิดวิสัยทัศน์ซีอีโอคนใหม่ สิงห์ เอสเตท วางยุทธศาสตร์ 4 แกนหลัก เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืน
- ประกอบด้วย Stability , Strength , Synergy และ Sincerity
- กลยุทธ์มุ่งสร้างสมดุลพอร์ตธุรกิจที่มีทั้งรายได้ประจำ และไม่ประจำเพื่อลดความผันผวน พร้อมรักษาวินัยทางการเงิน
ทศวรรษที่ 2 ของ “สิงห์ เอสเตท” ก้าวสู่บทใหม่ที่ต้องเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ความระส่ำระสายด้านเงินทุน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้
ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ซีอีโอคนใหม่ มุ่งวาง “รากฐานที่มั่นคง” ผ่านยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ด้วยวิสัยทัศน์ “Enriching (Your) Life การสร้างคุณค่าให้ชีวิต”
ชัยรัตน์ ย้ำว่า “เติบโตอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป” องค์กรต้องยืนอยู่บนฐานที่แข็งแรงพอจะรับมือความผันผวน พร้อมส่งต่อคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างยั่งยืน คือที่มาของยุทธศาสตร์ “A Stable Foundation Drives Sustainable Growth” และ 4S “Stability-Strength-Synergy-Sincerity” เครื่องยนต์หลักของสิงห์ เอสเตท จากนี้
ความท้าทายใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ รายได้ที่แปรผันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ สิงห์ เอสเตท ได้เปรียบด้วยพอร์ตที่ครอบคลุม ทั้งโรงแรม ที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ และนิคมอุตสาหกรรม สร้างรายได้แบบประจำ (Recurring Income) และไม่ประจำ (Non-recurring Income)

ในปีที่เศรษฐกิจแกว่งแรง! รายได้ประจำเป็น “กันชนหลัก” โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและสำนักงานที่สร้างกระแสเงินสดคงที่ ช่วยประคองผลประกอบการ เสริมฐานกำไร เพื่อให้บริษัทมีพลังเพียงพอในการลงทุนด้านอื่น
ส่วนธุรกิจรายได้แบบไม่ประจำ เช่น ที่อยู่อาศัย นิคมอุตสาหกรรม ต้องอาศัยจังหวะตลาด และความยืดหยุ่นในการลงทุน ตัวอย่างชัดเจนคือโครงการคอนโดมิเนียมริมเจ้าพระยา “ONE RIVER พระราม 3” ซึ่งเปิดตัวในปีที่การแข่งขันสูง แต่มียอดขายทะลุ 95% ภายในเวลาไม่นาน สะท้อนความแม่นยำในการอ่านตลาด และพลังพันธมิตร วัน เรียลเอสเตท
ภาพรวมจึงชัดเจนว่า Stability (ความมั่นคง) ไม่ใช่เพียงการรักษาสมดุล แต่คือ การวางหมากให้พอร์ตทำงานประสานกันเป็นระบบ เพื่อให้ทุกก้อนรายได้กลายเป็นเสาหลักเสริมกัน และกัน
วินัยการเงิน “หัวใจ” เติบโตระยะยาว
ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน วินัยทางการเงินจึงเป็นเสมือน “สายคาดนิรภัย” ขององค์กร สิงห์ เอสเตท ระดมทุนต่อปีระดับหมื่นล้านบาท ทั้งจากธนาคาร และตลาดทุน โดยคงสัดส่วนเงินกู้ต่อหุ้นกู้ที่ 80:20 และมุ่งสู่ 70:30 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
แม้เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดหุ้นกู้เพียง 4 ปี แต่กลับระดมทุนได้กว่า 10,000 ล้านบาท เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นในองค์กรที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ธุรกิจโรงแรมทั่วโลกสั่นสะเทือน แต่บริษัทรักษาวินัยการชำระหนี้ได้อย่างครบถ้วน ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก 1.จำนวนเงินที่ออกจำหน่ายต้องเหมาะสม สร้างความน่าเชื่อถือในการชำระคืน 2.อัตราดอกเบี้ยเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหน่วยได้รับ และเหมาะสมกับสภาวะตลาด 3.รักษาช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงลูกค้าธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์
“ช่องทางระดมทุนจากธนาคาร และหุ้นกู้มีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การรักษาสมดุลของการระดมทุนผ่าน 2 ช่องทาง เป็นกุญแจสำคัญสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน”
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านระเบียบวินัยทางการเงิน แม้แต่ละหน่วยธุรกิจไม่มีบทบาทโดยตรงในการจัดหาเงินทุน แต่ผู้บริหารของแต่ละหน่วยธุรกิจต้องมีเป้าหมายรักษาอัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร เพื่อรักษาเสถียรภาพโดยรวม ไม่ปล่อยให้ “ตัวเลขการเงิน” เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเงินเพียงฝ่ายเดียว ผู้บริหารทุกหน่วยธุรกิจต้องร่วมรับผิดชอบรักษาความแข็งแรงขององค์กร เพื่อผลักดันการปรับอันดับเครดิตในอนาคต
“2 เจน” ร่วมขับเคลื่อนองค์กร
หนึ่งในจุดเด่นของ สิงห์ เอสเตท คือ โครงสร้างบุคลากรที่ต่างจากองค์กรไทยส่วนใหญ่ โดยพนักงานกว่า 60% เป็น Gen Y-Z ผู้จัดการขึ้นไปเกือบครึ่งขององค์กร ทำให้บริษัทมี “หัว” และ “ขา” ใกล้เคียงกัน โครงสร้างคล้ายทรงกระบอก ความท้าทายคือจะสร้างสมดุลระหว่าง “ประสบการณ์” ของรุ่นใหญ่ และ “ความกล้า-ความคิดสร้างสรรค์” ของรุ่นใหม่ได้อย่างไร
ชัยรัตน์ มองว่า ประสบการณ์ คือ “กระดูกสันหลัง” ขององค์กร ไอเดียของคนรุ่นใหม่คือ “ล้อ” และ “เครื่องยนต์” ที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า ต้องสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่กล้าตั้งคำถาม ผู้บริหารต้องเรียนรู้ที่จะรับฟัง และเริ่มต้นการสนทนาด้วยคำถามมากกว่าคำตอบ เพื่อเปิดโอกาสให้ความคิดหลากหลายผสานกันอย่างเป็นระบบ
ในยุคที่การพัฒนาโครงการไม่สามารถหว่านแหไปตลาดกว้างเหมือนเดิม ต้องยิงตรงลูกค้าเฉพาะ 40-50 ครอบครัว การเปิดรับไอเดียจากคนรุ่นใหม่จึงเป็น “อาวุธลับ” อีกภารกิจสำคัญคือ การปรับโครงสร้างจาก “ทรงกระบอก” เป็น “ทรงพีระมิด” เปิดเส้นทางเติบโตให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารได้เร็วขึ้น แม้ไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่คือการวางฐานผู้นำรุ่นถัดไปให้พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว
ความยั่งยืนต้องจริงใจ ไม่ใช่ภาพลักษณ์
สำหรับ สิงห์ เอสเตท ความยั่งยืนไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือ “การลงทุน” ที่สร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างโปรเจกต์ “CROSSROADS Maldives” เป็นตัวอย่างชัดเจน การอนุรักษ์เต่าทะเล และโลมาไม่เพียงรักษาระบบนิเวศ แต่เป็น “มูลค่าเชิงธุรกิจ” เมื่อแขกโรงแรมสามารถสัมผัสประสบการณ์ธรรมชาติที่สมบูรณ์ นั่นคือความยั่งยืนที่จับต้องได้
หรือโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย บนพื้นที่ 625 ไร่ ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ แต่คือ การใช้ไม้พันธุ์ถิ่น เพื่อเพิ่มอัตราการรอด และเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนจริง ผูกเชื่อมกับโครงการ “Green Button” ในเครือโรงแรม SAii ที่เปิดโอกาสให้แขกมีส่วนร่วมลดพลังงานผ่านการเลือกไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอน กลไกที่นำทรัพยากรที่ประหยัดได้กลับมาสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม
ชัยรัตน์ ย้ำว่า ความยั่งยืนจะมีพลังก็ต่อเมื่อ “ธุรกิจ” และ “สิ่งแวดล้อม” เติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำเพื่อภาพลักษณ์ชั่วครั้งคราว
“4 แกนหลัก” ไม่ใช่เพียงกรอบกลยุทธ์ แต่คือ วิธีคิดใหม่ของสิงห์ เอสเตท สร้างสมดุลพอร์ตธุรกิจ แหล่งเงินทุน การเติบโตของคน ความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม คือ รากฐานที่องค์กรต้องการปลูกให้แข็งแรงเพื่อรับแรงเสียดทานจากโลกธุรกิจยุคใหม่ และไม่ใช่แค่เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต แต่ สิงห์ เอสเตท กำลังวางโครงสร้างเพื่อ “กำหนดอนาคตของตัวเอง” บนความมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20พ.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหวผันผวนสูงพอสมควร หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ กอรปกับปัจจัยเชิงเทคนิคัลการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐอาจกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20พ.ย.2568 ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวผันผวนสูงของเงินบาท (USDTHB) แม้ว่าโดยรวมเงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์
แต่เงินบาทก็เสี่ยงเคลื่อนไหวผันผวนสูงพอสมควร หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ โดยจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 1 ปี เราพบว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ +/-1 SD ราว +/-0.40% หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ราว 30 นาที
ทว่า ข้อมูลตลาดแรงงานที่จะได้รับรู้นั้น เป็นข้อมูลเดือนกันยายน ซึ่งตลาดก็พอจะรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากฝั่งเอกชน อาทิ ADP และ Revelio ไปแล้ว ทำให้ ความอ่อนไหวของค่าเงินบาทต่อรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจลดลงจากสถิติในอดีตได้บ้าง
โดยเรากังวลว่า เงินบาทเสี่ยงกลับมาแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ออกมาต่ำกว่าคาด (น้อยกว่า 5 หมื่น ราย) สะท้อนภาพการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ซึ่งจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง หนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (ซึ่งอาจเร็วและแรง) ของเงินเยนญี่ปุ่นได้ ซึ่งจะขึ้นกับว่า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ นั้น ชะลอตัวลง หรือ เลวร้ายมากเพียงใด
โดยการแข็งค่าขึ้นเร็ว แรง ของเงินเยนญี่ปุ่น (Sudden Appreciation of JPY) อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง เหมือนในอดีต หากตลาดกลับมากังวลประเด็นเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งสหรัฐฯ (Recession Fears)
ซึ่งเรามองว่า อาจยังไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายนักในช่วงนี้ แต่อาจเป็นเพียงภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน ที่ทำให้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังในปัจจุบัน
แต่หาก ยอดการจ้างงานฯ ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด เช่น จ้างงานเพิ่มขึ้น 6-7 หมื่นราย เป็นต้นไป หรือเซอร์ไพรส์มากแบบ 1 แสนราย เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างชัดเจน ทั้งในการประชุมเดือนธันวาคม (Completely Priced-Out rate cut) และการลดดอกเบี้ยในปีหน้า ที่อาจลดลงจากราว 3 ครั้ง เหลือ 1-2 ครั้ง ได้ ในกรณีนี้
กอปรกับปัจจัยเชิงเทคนิคัล ก็อาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้พอสมควร กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น ก็มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อทะลุโซน 158 เยนต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซน 160 เยนต่อดอลลาร์ (ซึ่งอาจเห็นการส่งสัญญาณพร้อมเข้าแทรกแซงค่าเงินที่ชัดเจนจากทางการญี่ปุ่นได้)
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court)
ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.49 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ในช่วงรอลุ้นผลประกอบการของ Nvidia (ซึ่งสุดท้ายออกมาดีกว่าคาด
ทั้งผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 หนุนให้ ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นราว +5% ในช่วง After Market) ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม
โดยเฉพาะโอกาสในการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมนี้ ที่ลดลงเหลือราว 28% ซึ่งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กอปรกับการปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง
ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการเข้าซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +2.9%
หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า รายงานผลประกอบการของ Nvidia อาจออกมาสดใสได้ (ซึ่งก็ออกมาดีกว่าคาดและคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ก็ยังออกมาดีกว่าคาด) ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันบ้างจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.59%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเพียง -0.03% แม้จะพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ASML +2.4% ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและการทหาร
อาทิ Rheinmetall -7.0% หลังทางการสหรัฐฯ มีความพยายามอีกครั้งในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานยุโรป Shell -1.0% เช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.15% สอดคล้องกับการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip)
เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบันได้บ้าง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุโซน 157 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 100.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลง ทว่า ราคาทองคำก็พอได้แรงหนุนบ้าง ตามโฟลว์ซื้อตอนย่อตัวของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งผลให้ ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ในเดือนกันยายน
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามทั้งถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานดัชนีภาวะธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในช่วงราว 06.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม
รวมถึงยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเพียง 20% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม นี้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตาม การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 32.50 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.47-32.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทและสกุลเงินเอเชียอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินเยน (ซึ่งถูกกดดันจากการคาดการณ์ว่า BOJ คงยังไม่ส่งสัญญาณคุมเข้มดอกเบี้ย) สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดทยอยตัดโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธ.ค. ลง หลังจากบันทึกการประชุมเฟดที่เปิดเผยเมื่อคืนที่ผ่านมา ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านประเมินว่า การคงกรอบอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปีน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม ขณะที่ เจ้าหน้าที่เฟดบางรายมองว่า การปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในเดือนธันวาคม ซึ่งสะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมย์” รัชนก พร้อม 2 คู่ผสมไทยลิ่วรอบสองแบดมินตัน ออสเตรเลียน โอเพ่น

“เมย์” รัชนก อินทนนท์ โชว์ฟอร์มสมราคา! ไล่ต้อนคู่แข่งขาดลอยทะลุรอบสอง แบดมินตัน “ออสเตรเลียน โอเพ่น” พร้อมด้วยคู่ผสม “ไตเติ้ล-เจน” และ “โอโม่-ปอป้อ” ที่เก็บชัยได้สำเร็จ
การแข่งขันแบดมินตันรายการ ออสเตรเลียน โอเพ่น 2025 (Australian Open 2025) ซึ่งเป็นรายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 15,437,500 บาท ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันพุธที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก โดยมีนักกีฬาไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 4 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลก ลงสนามพบกับ แจ็คกี้ เดนท์ มืออันดับ 418 ของโลกจากแคนาดา ผลปรากฏว่า รัชนก งัดฟอร์มการเล่นที่เฉียบขาด เอาชนะไปแบบขาดลอย 2 เกมรวด ด้วยสกอร์ 21-10 และ 21-6 ผ่านเข้าสู่รอบสองได้สำเร็จ โดยจะไปพบกับ ทิฟฟานี่ โฮ มืออันดับ 141 ของโลกจากออสเตรเลีย
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 12 ของโลก ลงสนามพบกับ หวู ซวนยี่ กับ หยาง ชูยุน คู่มืออันดับ 103 ของโลกจากไชนีส ไทเป คู่นักตบไทยสามารถเล่นได้อย่างสนุกและปิดเกมเอาชนะไปได้ 2-0 เกม ด้วยสกอร์ 21-15 และ 21-15 ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ นีล ยากูระ กับ คริสเตียน ไล คู่มืออันดับ 680 ของโลกจากแคนาดา
- “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 65 ของโลก พบกับ อากิระ โคกะ กับ มิซากิ มัตสึโตโม คู่มืออันดับ 217 ของโลกจากญี่ปุ่น คู่นักตบไทยโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะเสียไปหนึ่งเกม แต่ยังสามารถเก็บชัยชนะไปได้แบบหวุดหวิด 2-1 เกม ด้วยสกอร์ 21-14, 9-21 และ 21-17 โดยในรอบสอง พรรคพล กับ ทรัพย์สิรี จะไปพบกับ อัดนัน เมาลานา กับ อินดา คาย่า ซารี่ จามิล คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 25 ของโลกจากอินโดนีเซีย
สำหรับการแข่งขันในรอบสอง จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย แฟนแบดมินตันสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง True Sport 7 (686)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
‘5 โรค’ ยอดผู้ป่วยพุ่งในรอบ 1 เดือน ‘ไข้หูดับ’ อัตราป่วยตายสูงสุด

กรมควบคุมโรค เผย 5 โรคที่ยอดผู้ป่วยสูงขึ้นในรอบ 1 เดือน ‘ไข้หวัดใหญ่’มากที่สุด ส่วนใหญ่สายพันธุ์ A/H3N2 ขณะที่ ‘ไข้หูดับ’ อัตราป่วยตายสูงสุด 5.26%
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2568 ที่กรมควบคุมโรค(คร.) พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าว “พฤศจิกายนี้สุขภาพดี แข็งแรงทุกวัย ใส่ใจสุขภาพ” ว่า ในรอบ1 เดือนที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 19 ต.ค.-15 พ.ย.2568 พบ 5 โรคที่มีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น คือ
1.ไข้หวัดใหญ่ มียอดผู้ป่วยจำนวน 161,940 ราย โดยผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 14 พ.ย. 2568 จำนวน 940,869 ราย มีผู้เสียชีวิต 100 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตรป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 5-9 ปี แต่ผู้เสียชีวิตมากสุดยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 61 ปี อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.011 % อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในรพ. หรือผู้ป่วยใน(IPD) จำนวน 123,252 ราย คิดเป็น 13.10%
ใน 1 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ป่วยสูงขึ้นในเดือนต.ค. คือ 208,443 ราย แต่ในเดือนพ.ย.แม้จะมีแนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่ยังคงพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรือนจำ สถานศึกษาและศูนย์ฝึกอบรมฯ สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ A/H3N2 พบถึง 76% รองลงมา คือ A/H1N1 และสายพันธุ์ B
สำหรับข้อมูลผู้เสียชีวิต 100 ราย พบว่า อายุระหว่าง 1-95 ปี ซึ่งคิดเป็นค่ามัธยฐาน 61 ปี โดยพบผู้เสียชีวิต 57% มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น และ 94% ไม่มีประวัติได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องย้ำเรื่องวัคซีน
อุจจาระร่วงป่วยสะสมกว่า 7 แสน
2.อุจจาระร่วง มีผู้ป่วย 62,157 ราย ตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงวันที่ 14 พ.ย. มีผู้ป่วยสะสม 735,188 ราย เสียชีวิต 9 ราย กลุ่มอายุพบ 3 อันดับแรก คือ อายุ 0-4 ปี รองลงมา 20-29 ปี และ 5-9 ปี ตามลำดับ ปี 2568 แนวโน้มผู้ป่วยค่อนข้างคงที่ พบใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2568 ได้รับรายงานการระบาดเป็นกลุ่มก้อนถึง 92 เหตุการณ์ รวมจำนวนผู้ป่วย 7,674 ราย
สถานที่ที่พบระบาดสูงสุด คือ โรงเรียน 60 เหตุการณ์ รองลงมา คือ ที่พัก เรือนจำ สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา งานศพ โรงแรม ค่ายทหาร/ลูกเสือ โรงงาน/สถานที่ทำงาน และสถานสงเคราะห์ ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน ค่ายลี้ภัย งานเลี้ยงสังสรรค์ โรงพยาบาล งานจัดอบรม แห่งละ 1 เหตุการณ์
ผู้เสียชีวิต 9 ราย ค่าเฉลี่ยอายุ 46 ปี โดยส่วนใหญ่พบมีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการป้องกันคือ ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” ต้องกินอาหารปรุงสุกใหม่ ไม่กินอาหารดิบ หรือสุกๆดิบๆ อาหารปรุงสุกที่เก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมงต้องอุ่นให้ร้อนก่อนกินทุกครั้ง การเลืองน้ำ น้ำแข็งต้องสะอาด หรือมีเครื่องหมายอย. และต้องมีสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือด้วยสบูและน้ำให้สะอาดทุกครังก่อนหยิบจับอาการ
3.ปอดอักเสบ 35,953 ราย พบป่วยตั้งแต่ต้นปีป่วยสะสม 397,147 ราย อายุเฉลี่ยคิดตามค่ามัธยฐานอายุ 52 ปี โดยมีผู้เสียชีวิต 695 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.175 มากกว่าไข้หวัดใหญ่ กลุ่มอายุที่พบป่วยมากที่สุด คือ อายุ 0-4 ปี รองลงมาคือ 60 ปีขึ้นไป และ 5-9 ปี
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ 50-59 ปี และ40-49 ปีตามลำดับ อัตราป่วยตายเพิ่มขึ้นตามกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่ต้องรับไว้ในรพ.อยู่ที่ 123,218 ราย คิดเป็น 31.03%
ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน(พ.ศ.2567) แต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี
ไวรัสอาร์เอสวี-อาหารเป็นพิษ
4.ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี(RSV) 9,698 ราย ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีตัวเลขสูง แต่ขณะนี้เริ่มลดลง ซึ่งประมาทไม่ได้ เพราะอากาศเย็นลง เชื้อไวรัสจะแพร่ได้มากขึ้น ทั้งนี้ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 14 พ.ย. พบสะสม 41,995 ราย ผู้เสียชีวิต 8 ราย อายุต่ำสุดคืออายุ 2 เดือน และสูงสุดอายุ 91 ปี อัตราป่วยตาย 0.019 %
กลุ่มอายุที่พบบ่อย คือ เด็กเล็กอายุ 0-4 ปี แต่กลุ่มสูงอายุพบมากเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องรับรักษาในรพ.มีสูงถึง 39.93% หรือจำนวน 16,348 คน สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ แสดงให้เห็นว่า เมื่อป่วยมีโอกาสอาการรุนแรงที่เชื้อลงปอด ต้องนอนรพ.
เชื้อไวรัสRSV พบมากสุดในเด็กเล็ก 0-4 ปีถึงร้อยละ 81.33 แต่ผู้สูงอายุพบได้เช่นกัน โดยผู้เสียชีวิต 8 ราย พบว่า อายุระหว่าง 2 เดือน-91 ปี โดย 6 ราย มีโรคประจำตัว เช่น ปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ สงสัยภาวะกล่องเสียงผิดปกติแต่กำเนิด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นภาวะเสี่ยงคล้ายไข้หวัดใหญ่
มีอีก 2 ราย ไม่มีโรคประจำตัว แต่อายุน้อย คือ อายุ 2 เดือนและ 5 เดือน ดังนั้น คนที่ดูแลเด็กเล็กหากป่วยโรคทางเดินหายใจ ควรป้องกันตัวสวมหน้ากากอนามัย อย่าอยู่ใกล้เด็กเล็ก ทั้งนี้ ช่วงหน้าหนาวต้องระวัง
และ5.อาหารเป็นพิษ พบ 8,375 ราย
ไข้หูดับ อัตราป่วยตายสูงสุด
ส่วนอัตราป่วยและเสียชีวิต ที่พบเป็นอันดับ 1 คือ กลุ่มไข้หูดับ อัตราป่วยตาย 5.26% , เมลิออยโดสิส อัตราป่วยตาย 3.75% ,เลปโตสไปโรสิส 0.94% สครับไทฟัส 0.19% และโรคไข้เลือดออก อัตราป่วยตาย 0.14%
“แนวโน้ม 1 เดือน ไข้หวัดใหญ่ กับอาร์เอสวี เหมือนจะลดลง แต่ก็ยังพบมากเป็นอันดับต้นๆอยู่ดี สิ่งสำคัญการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจเป็นวิธีที่ดี ไอจาม ปิดปากปิดจมูก สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาด และหากป่วยยิ่งต้องสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่คนพลุกพล่านในช่วงที่มีการระบาด หากเลี่ยงไม่ได้ต้องสวมหน้ากากอนามัย และหากในครอบครัวมีผู้สูงอายุ มีเด็กเล็ก หากเราป่วยควรป้องกันตัวด้วย”
แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยงควรไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกๆปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ได้แก่ 1.หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป ฉีดวัคซีนฟรีได้ตลอดทั้งปี
2. เด็กอายุ 6 เดือน ซึ่งเดิมถึง 2 ปี แต่ปีหน้าจะขยายจนถึง 5 ปี
3.ผู้มีโรคประจำตัว เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัรง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เป็นต้น 4.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
5.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
6.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ
และ7.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (สามารถรับวัคซีนฟรีในช่วงรณรงค์เดือนพ.ค.-ส.ค.ของทุกปี ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์ตามข้อกำหนดรับได้ตลอดทั้งปี)
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส นิวโมเนีย วัคซีนRSV สำหรับผู้ใหญ่ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สำหรับเด็กเล็กกว่า 2 ปี วัคซีนโควิด19 ป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่รุนแรงในผู้ใหญ่ กลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ซีอีโอ Hugging Face ชี้ ‘ฟองสบู่ LLMs’ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI เทคโนโลยีแขนงอื่นยังโตต่อ

- ซีอีโอ Hugging Face ชี้ว่าภาวะฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจำกัดอยู่แค่ในวงการโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ไม่ใช่ฟองสบู่ของอุตสาหกรรมเอไอทั้งหมด
- สาเหตุของฟองสบู่เกิดจากการที่เงินทุนมหาศาลมุ่งไปที่โมเดลภาษาขนาดใหญ่เพียงแนวทางเดียว โดยเชื่อว่าโมเดลยักษ์ตัวเดียวจะแก้ได้ทุกปัญหา
- เทคโนโลยีเอไอในแขนงอื่น เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ และชีววิทยา ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีศักยภาพเติบโตได้อีก แม้ว่าฟองสบู่โมเดลภาษาขนาดใหญ่จะแตกก็ตาม
- อนาคตของเอไอจะมุ่งไปสู่โมเดลที่มีขนาดเล็กกว่า เร็วกว่า และออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะทางแต่ละประเภทมากขึ้น
ช่วงที่กระแส “ฟองสบู่เอไอ” ถูกตั้งคำถามไปทั่วอุตสาหกรรม เกลม เดอล็องก์ (Clem Delangue) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Hugging Face ออกมาให้มุมมองที่ต่างออกไป เขาระบุว่า ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เอไอทั้งหมดกำลังเกิดฟองสบู่ แต่เป็นฟองสบู่เฉพาะใน “โมเดลภาษาขนาดใหญ่” หรือ LLMs ซึ่งเป็นระบบที่ขับเคลื่อนแชตบอตอย่าง ChatGPT และ Gemini เท่านั้น
เดอล็องก์ให้สัมภาษณ์บนเวทีของ Axios โดยชี้ว่า ความคลั่งไคล้ LLMs มาจากความเชื่อว่า โมเดลขนาดยักษ์เพียงตัวเดียวสามารถแก้ปัญหาได้ทุกประเภท จนทำให้เงินทุนจำนวนมหาศาลระดับหลายล้านล้านดอลลาร์พุ่งเข้าไปสู่แนวทางเดียวอย่างไม่ยั้งคิด
เขามองว่า หากฟองสบู่โมเดลภาษาขนาดใหญ่แตกขึ้นมา ก็เป็นเพียงแรงสั่นสะเทือนในส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะทำให้ทั้งวงการเอไอโดยรวมจบลง
“ยังมีเทคโนโลยีเอไอในสาขาอื่นๆ อีกมากที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีโอกาสเติบโต” เดอล็องก์อธิบาย พร้อมยกตัวอย่างงานด้านภาพ เสียง วิดีโอ ตลอดจนชีววิทยาและเคมียังอยู่ในระยะเริ่มต้น และมีศักยภาพจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“เราจะเห็นโมเดลจำนวนมากขึ้น ที่เล็กกว่า เร็วกว่า ราคาถูกกว่า และออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะทางแต่ละประเภท”
เดอล็องก์ยกตัวอย่างกรณีการใช้งานจริง เช่น ระบบบริการลูกค้าของธนาคาร ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้โมเดลใหญ่ที่สามารถตอบคำถามลึกซึ้งซับซ้อนได้ทุกเรื่อง แต่กลับใช้โมเดลเฉพาะทางที่เล็กกว่า มีประสิทธิภาพสูง และเหมาะสมกับงานนั้นๆ มากกว่า ซึ่งเขามองว่า นี่คือทิศทางสำคัญของอุตสาหกรรมเอไอในอนาคต
สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ Hugging Face หากฟองสบู่โมเดลภาษาขนาดใหญ่แตกจริง เดอล็องก์ยอมรับว่า บริษัทอาจได้รับผลกระทบบางส่วน แต่เขาเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมเอไอมีความหลากหลายมากพอที่จะไม่ทำให้บริษัท หรืออุตสาหกรรมโดยรวมเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่จะถูกประเมินมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงก็ตาม
ท่าทีของเดอล็องก์เกี่ยวกับภาวะฟองสบู่โมเดลภาษาขนาดใหญ่ยังสอดคล้องกับการตั้งคำถามของ ยาน เลอเกิง (Yann LeCun) นักวิจัยอาวุโสของเมตา ซึ่งเพิ่งกล่าวบนเวทีที่บรูคลินว่า แม้โมเดลภาษาขนาดใหญ่จะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์ตามที่หลายบริษัทคาดหวัง
เลอเกิงเตือนว่า การที่อุตสาหกรรมทุ่มทรัพยากรจำนวนมหาศาลไปกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่เพียงแนวทางเดียว ส่งผลให้เทคโนโลยีอื่นๆ ที่อาจมีความสำคัญต่ออนาคตของเอไอไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ
โดยเลอเกิงเรียกร้องว่า ถึงเวลาแล้วที่วงการต้องหยุดและถอยกลับมาประเมินใหม่ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันยังขาดอะไรอยู่บ้าง และเน้นย้ำว่า การสร้างเอไอขั้นก้าวหน้าต้องอาศัย “เวิลด์โมเดล” (World models) ที่เรียนรู้จากภาพและข้อมูลจริง ไม่ใช่การเรียนรู้จากข้อความจำนวนมหาศาลเพียงอย่างเดียว
แม้เลอเกิงจะวิจารณ์แนวทางนี้มาหลายปี แต่ความเห็นรอบล่าสุดได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะมีรายงานว่าเขาอาจยุติบทบาทในเมตาและเดินหน้าตั้งสตาร์ตอัปของตัวเอง
ขณะเดียวกัน เดอล็องก์ยังเปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของ Hugging Face ว่า บริษัทยังมีเงินทุนที่ระดมมาได้ 400 ล้านดอลลาร์เหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบริหารจัดการที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายเงิน ตรงข้ามกับหลายบริษัทในแวดวงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ทุ่มเททุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์อย่างไม่ลดละ
ซีอีโอ Hugging Face อธิบายว่า หลายบริษัทในตอนนี้กำลังเร่งรีบ หรืออาจจะถึงขั้นตื่นตระหนกไปแล้ว จนมองเห็นเพียงระยะสั้นๆ ตรงหน้า แต่ในฐานะคนที่ทำงานด้านเอไอมากว่า 15 ปีอย่างเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมมาหลายรอบแล้ว
ดังนั้น เขาจึงพยายามสร้างบริษัทที่มีความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งยังคงมุ่งมั่นสร้างผลกระทบเชิงบวกและรักษาสมดุลของการเติบโตในตลาดเอไอที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนในอุตสาหกรรมที่เห็นด้วยกับมุมมองนี้ อดัม บราวน์ (Adam Brown) ผู้บริหารจากกูเกิล ยังคงเชื่อว่า โมเดลภาษาขนาดใหญ่ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตไปสู่ระดับปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อยากอธิบาย สภาพอากาศวันนี้ เป็นภาษาอังกฤษ เริ่มง่าย ๆ ได้ที่นี่!

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่ม เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ทักษะที่ฝึกได้เร็วที่สุดคือทักษะการพูด และการฝึกพูดในแบบเริ่มต้นก็คือการฝึกพูดเรื่องทั่ว ๆ ไปหรือ Small talk วิธีฝึกพูดให้ได้ผลที่หลายคนเลือกใช้คือการเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว นอกเหนือจากการทักทายที่เราเชื่อว่าทุกคนพูดได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ทุกคนฝึกได้เป็นประจำคือการพูดถึง สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ เพราะนอกจากรูปประโยคที่ใช้และคำศัพท์จะไม่ยากแล้ว สภาพอากาศยังเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกวัน
คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
ไม่ว่าจะฝึกพูดเรื่องอะไรก็ตาม อย่างแรกที่เราต้องรู้คือคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งการ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการพูดถึงสภาพอากาศก็เช่นกัน ต้องเริ่มด้วยคำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ จากนั้นจึงนำคำศัพท์ที่รู้ไปสร้างประโยคได้ และต่อไปนี้คือคำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ
- Weather = อากาศ
- Sunny = แดดออก
- Clear = ฟ้าโปร่ง
- Partly cloudy = มีเมฆบางส่วน
- Cloudy = เมฆครึ้ม ฟ้ามืดครึ้ม
- Rainy = ฝนตก
- Drizzle = ฝนปรอย ๆ
- Shower = ฝนตกช่วงสั้น ๆ
- Thunderstorm = พายุฝนฟ้าคะนอง
- Cold = หนาว
- Hot = ร้อน
- Warm = อบอุ่น
- Cool = เย็นสบาย
- Snow = หิมะ
- Snowy = หิมะตก
- Freezing = หนาวจัด
- Windy = ลมแรง
- Stormy = มีพายุ
- Foggy = มีหมอก
- Humid = อบอ้าว
– It’s sunny today.
(วันนี้แดดออก)
– It’s clear today.
(วันนี้ฟ้าโปร่ง)
– It’s partly cloudy this afternoon.
(บ่ายนี้มีเมฆบางส่วน)
– It’s rainy today.
(วันนี้ฝนตก)
– It’s cold this morning.
(เช้านี้อากาศหนาว)
– It’s snowing outside.
(ด้านนอก หิมะกำลังตก)
– It’s quite windy today.
(วันนี้ลมค่อนข้างแรง)
– It’s very foggy in the morning.
(ตอนเช้ามีหมอกมาก)
– The weather is hot and humid today.
(วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว)
การถามตอบเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
มาถึงตรงนี้ เราได้ เรียนภาษาอังกฤษ โดยรู้คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ และได้รู้แล้วว่าการพูดถึงลักษณะอากาศวันนี้ในแบบง่ายที่สุดนั้นมีหลักการอย่างไร แต่บทสนทนาจะยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายังไม่มีการถามตอบเกี่ยวกับสภาพอากาศ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน และต่อไปนี้คือตัวอย่างคำถามเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
- What’s the weather like today?
(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)
- How’s the weather?
(อากาศเป็นไงบ้าง)
- Is it going to rain today?
(วันนี้ฝนจะตกมั้ย)
- What’s the temperature right now?
(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)
- Is it sunny outside?
(ข้างนอกมีแดดมั้ย)
ซึ่งในการตอบ เราก็นำรูปประโยคที่เรียนไปก่อนหน้านี้มาใช้ได้ (It’s …) นอกจากนี้ก็อาจเพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ เข้าไปตามสถานการณ์ เช่น ตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1:
A: What’s the weather like today?
(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)
B: It’s sunny and warm.
(วันนี้มีแดด และอากาศอบอุ่น)
ตัวอย่างที่ 2:
A: How’s the weather outside?
(ข้างนอกอากาศเป็นไงบ้าง)
B: It’s raining, so don’t forget your umbrella.
(ฝนกำลังตก อย่าลืมร่มของคุณนะ)
ตัวอย่างที่ 3:
A: What’s the temperature right now?
(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)
B: The temperature is about 25 degrees Celsius.
(อุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
4 ผลไม้ช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะตามธรรมชาติ สรรพคุณดีที่ควรรู้

4 ผลไม้ช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะตามธรรมชาติ สรรพคุณดีที่ควรรู้
เมื่อเข้าสู่ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว หรือมีมลภาวะฝุ่นละอองสะสม หลายคนอาจมีอาการป่วยเป็นหวัด และมีอาการ ไอ หรือมี เสมหะ ตามมา ซึ่งนอกจากการใช้ยาหรือดูแลสุขภาพทั่วไปแล้ว ผลไม้บางชนิดก็มีสารอาหารและสรรพคุณทางธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้นได้อย่างปลอดภัย วันนี้เรามารู้จักกับ 4 ผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพกันค่ะ
1. สับปะรด ช่วยละลายเสมหะและลดการอักเสบในลำคอ
สับปะรดอุดมไปด้วยเอนไซม์บรอมีเลน (Bromelain) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและช่วยสลายเสมหะในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เสมหะข้นน้อยลงและถูกขับออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากการไอเรื้อรังได้ดี โดยเฉพาะการรับประทานสับปะรดสด หรือดื่มน้ำสับปะรดคั้นสดโดยไม่เติมน้ำตาล
2. มะนาว ช่วยฆ่าเชื้อและลดเสมหะด้วยกรดซิตริก
มะนาวมีกรดซิตริก (Citric Acid) และวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยลดความหนืดของเสมหะ ทำให้ขับออกได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำคอและลดอาการอักเสบได้ดี การจิบน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งอุ่น ๆ จึงถือเป็นสูตรธรรมชาติยอดนิยมที่ช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ และขับเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. มะขามป้อม สมุนไพรธรรมชาติช่วยแก้ไอและเสริมภูมิคุ้มกัน
มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงกว่าส้มหลายเท่า และมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอได้อย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการขับเสมหะและทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง หรือคอแห้งจากการพูดมาก
4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ และสตรอว์เบอร์รี่ เต็มไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดการระคายเคืองในลำคอได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับไวรัสที่เป็นสาเหตุของอาการไอและหวัดได้อีกด้วย การรับประทานสด หรือปั่นเป็นสมูทตี้จะช่วยให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มที่
สรุป: ผลไม้ช่วยบรรเทาอาการไอได้ แต่ต้องกินให้เหมาะสม
อาทิ บลูเบอร์รี่, สตรอว์เบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, แบล็คเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่, มัลเบอร์รี่, กูสเบอร์รี่, เชอร์รี่, แบล็คเคอร์แรนท์ ผลไม้เหล่านี้มีสารธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะได้จริง แต่ควรบริโภคในปริมาณพอดี และเลือกแบบสดใหม่ ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรระมัดระวังเรื่องปริมาณน้ำตาลในผลไม้ด้วย หากมีอาการไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 62,600.00 | 62,700.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,047.00 | 61,352.52 | 63,500.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,642.30 | 55,217.27 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,237.60 | 49,082.02 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,821.15 | 27,608.63 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,416.45 | 21,473.38 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,193.78 | 63,577.70 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.65 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.44 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







