สาระน่ารู้ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568

อินไซต์คนซื้ออสังหา! ตัดสินใจนาน อยากได้ Rooftopมากขึ้น

  • ผู้ซื้ออสังหาฯ ใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น โดยมีการค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบโครงการต่างๆ มากขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อ
  • คนรุ่นใหม่มีความต้องการพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้า (Rooftop) มากขึ้น 
  • คอนโดราคา 3-6 ล้านบาท ยังคงเป็นที่ต้องการหลักในตลาด ขณะที่บ้านเดี่ยวราคา 20 ล้านบาทกลายเป็นราคาเฉลี่ยใหม่สำหรับทำเลที่มีศักยภาพ

จากผลการสำรวจพบว่า คนกรุงเทพฯ กำลังมองหาคอนโดราคาไหน คำตอบคือช่วงราคา 3–6 ล้านบาท—ช่วงที่จับต้องได้มากที่สุดสำหรับคนทำงานยุคนี้แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ “ทำเล” ซึ่งสะท้อนทิศทางการใช้ชีวิตแบบเมืองแท้ ๆ

5 ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่

  • อโศก – พร้อมพงษ์ – ทองหล่อ – เอกมัย
  • อ่อนนุช – พระโขนง – อุดมสุข
  • พระราม 9 – เพชรบุรีตัดใหม่
  • รัชดาภิเษก – ห้วยขวาง
  • สาทร – นราธิวาส

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน ย่านเหล่านี้มีครบทั้งงาน การเดินทาง และไลฟ์สไตล์โดยเฉพาะคอนโดใกล้ MRT เพชรบุรี–พระราม 9–สุขุมวิท ที่ยังเป็น “ทำเลฮอต” เพราะต่างชาติแห่เช่ามากเป็นพิเศษ

บ้านราคา 20 ล้านราคาเฉลี่ยใหม่ของบ้านบนทำเลดี

ตลาดบ้านเดี่ยวก็มีสัญญาณเปลี่ยนเหมือนกัน วันนี้บ้านราคา 20 ล้านบาท ไม่ใช่บ้านหรูสุดโต่งอีกต่อไป แต่กำลังเป็น “ราคาเฉลี่ย” ของกลุ่มบ้านบนทำเลศักยภาพ

5 ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดของบ้านระดับ 30–50 ล้านบาท ได้แก่

  • พัฒนาการ – ศรีนครินทร์ – กรุงเทพกรีฑา
  • บางนา กม.7 – รามคำแหง 2 – เมกาบางนา
  • รามอินทรา – วัชรพล
  • ปทุมธานี – รังสิต – ลำลูกกา
  • ลาดกระบัง – สุวรรณภูมิ

แต่ภาพที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ คนรุ่นใหม่เริ่มเอื้อมถึงบ้านเดี่ยวยากขึ้น ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ “มีกำลังซื้อ” กลับสนใจซื้อบ้านราคา 10–20 ล้านขึ้นไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งสะท้อนการกระจายตัวของดีมานด์ระดับบนที่ยังแข็งแรง

Generation Rent โตต่อเนื่องตลาดเช่าไปต่อ

กระแสคนรุ่นใหม่เลือกเช่าแทนซื้อยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่อยากมีบ้าน แต่เพราะ “ราคามันไปไกลกว่าเงินเดือน”ปัจจุบันตลาดเช่าภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 35% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากคอนโดในเมือง

ช่วงราคาที่มีคนค้นหามากที่สุดคือ

  • คอนโด ราคา 10,000–30,000 บาทต่อเดือน
  • บ้านเดี่ยว ราคา  100,000–300,000 บาทต่อเดือน

กลุ่มต่างชาติ โดยเฉพาะโซนอโศก–พระราม 9–สุขุมวิท—ยังคงดันราคาค่าเช่าให้ขยับขึ้นเรื่อย ๆ

คนซื้อยุคนี้ค้นหานานขึ้นอยากได้ Rooftop 

อีกสัญญาณสำคัญคือ ปริมาณการค้นหาโปรเจกต์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญบ่งบอกว่าคนไม่ได้หยุดซื้อ แต่ “เลือกมากขึ้น” และต้องการข้อมูลเพิ่มขึ้นก่อนตัดสินใจส่วนคนรุ่นใหม่เริ่มมีความต้องการใหม่ที่น่าสนใจ พื้นที่ส่วนกลางต้องอยู่ชั้นบนของอาคาร (Rooftop)เพราะมองว่าเป็นพื้นที่ที่ให้มุมมองดีขึ้น ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าขึ้น และทำให้รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไป “ไม่สูญเปล่า”

ข้อมูลจาก LivingInsider Next 8.0 ทำให้เห็นภาพชัดว่า คนยังซื้อ แต่ซื้อแบบคิดนานขึ้น คอนโด 3–6 ล้านยังเป็นแกนหลักของตลาด บ้าน 20 ล้านกลายเป็นระดับกลางของตลาดบน

ตลาดเช่ายังแรง และต่างชาติยังเป็นดีมานด์สำคัญ  ไลฟ์สไตล์บน Rooftop เริ่มเป็น Must-have สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่สำคัญผู้ซื้อทุกกลุ่มกำลังรู้มูลค่าของเงินตัวเองมากกว่าเดิมและพร้อมจ่ายเฉพาะกับสิ่งที่ตอบโจทย์จริงเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง ฉุดรายได้–กำไรอสังหาฯไตรมาส3/68 ร่วง

  • อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 66% จากมาตรการที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดกำลังซื้อในตลาด
  • ผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ส่วนใหญ่มีรายได้และกำไรลดลงอย่างชัดเจน สะท้อนภาวะตลาดที่หดตัว
  • ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ลงกว่า 30% เพื่อลดความเสี่ยงจากสต็อกคงค้าง ท่ามกลางความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว

ท่ามกลางแรงปะทะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ไตรมาส 3 ปี 2568 กลายเป็นบททดสอบหนักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รายได้–กำไรของผู้เล่นรายใหญ่ส่วนใหญ่ลดลงถ้วนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ขณะที่สต็อกคงค้างพุ่ง และโครงการใหม่หดตัวแรง
 

ปี 2568 ดูจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้อง “วิ่งสู้ลมแรงจากทุกทิศ” อย่างแท้จริง ทั้งแรงสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นจากเหตุแผ่นดินไหวช่วงปลายมีนาคมที่ทำให้หลายค่ายต้องชะลอเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ไปจนถึงแรงกดดันจากต่างประเทศ เช่น การปรับขึ้นภาษีสหรัฐฯ ที่ฉุดอารมณ์ลงทุนและส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

ภาพรวมทำให้ประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายถูกกดเหลือเพียง 1.2% จากเดิม 2.8–3.3% ขณะที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวด มาตรการปล่อยกู้ส่งผลให้สัดส่วน “ปฏิเสธสินเชื่อ” ที่อยู่อาศัยพุ่งแตะ 66% กลางปี ส่งผลให้สินเชื่อใหม่ครึ่งแรกปี 2568 หดตัว 5.15% และสต็อกบ้าน–คอนโดคงค้างขยับขึ้นต่อเนื่อง

“ปีนี้ ไม่ใช่ปีของผู้ขาย แต่เป็นปีของผู้ที่ต้องประคองตัวให้อยู่รอดท่ามกลางตลาดที่กำลังซื้อหายไปครึ่งหนึ่ง”

ไตรมาส 3/68 รายใหญ่ส่วนใหญ่ “ติดลบ”

ผลประกอบการไตรมาส 3 จากบริษัทที่ส่งงบแล้วในตลาดหลักทรัพย์สะท้อนภาพเดียวกันเกือบทั้งอุตสาหกรรม—รายได้และกำไร “ลดลง” แทบทั้งหมด โดยมีเพียงไม่กี่รายที่พลิกบวกจากฐานต่ำในปีก่อน

ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568

เอพี รายได้ 9,124 ล้านบาทลลดลง8.3%  กำไร 1,155 ล้านบาทลดลง20.4%

แสนสิริ รายได้ 7,993 ล้านบาทลดลง15.1%  กำไร 1,001 ล้านบาทลดลง23.4%

ศุภาลัย รายได้ 6,664 ล้านบาทลดลง33%  กำไร 1,167ล้านบาทลดลง41%

เอสซี แอสเสท รายได้ 5,125  ล้านบาทลดลง11.6% กำไร 389.8 ล้านบาทลดลง22.9%

สิงห์ เอสเตท รายได้ 3,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น0% กำไร 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3,864%

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รายได้ 3,110ล้านบาทลดลง9.6% กำไร 787 ล้านบาทเพิ่มขึ้น21.1%

แอสเซทไวส์ รายได้ 2,581 ล้านบาทลดลง17%  กำไร 289 ล้านบาทลดลง35%

โนเบิล รายได้ 2,152ล้านบาทลดลง28.1%  กำไร 687.8ล้านบาทเพิ่มขึ้น21,146%

แอลพีเอ็น รายได้ 1,698 ล้านบาทลดลง22.5%  กำไร 51.9 ล้านบาทเพิ่มขึ้น6.19%

พราว เรียลเอสเตท รายได้ 1,239 ล้านบาทเพิ่มขึ้น435%  กำไร 55 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,826%

ตัวเลขสะท้อนชัดว่าภาพรวมตลาดยังคงอยู่ในภาวะ “หดตัว” แม้บางค่ายจะโชว์กำไรพุ่งแรง แต่ส่วนใหญ่เกิดจาก ฐานกำไรที่ต่ำมากในปีก่อน มากกว่าจะเป็นสัญญาณฟื้นจริง

โครงการใหม่หายไป 1 ใน 3

ข้อมูลจาก LWS ระบุว่า 9 เดือนแรกปีนี้ กรุงเทพฯ–ปริมณฑล มีโครงการเปิดใหม่เพียง 170 โครงการ จำนวน 28,853 หน่วย มูลค่า 193,713 ล้านบาท ลดลงตามลำดับ 32%, 30% และ 29% จากปีก่อน

“ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่เพราะไม่อยากเสี่ยงแบกรับสต็อกเพิ่มในช่วงที่ดีมานด์ยังไม่กลับมา”

ฟ้าหลังฝนยังไม่มาเร็วนี้

ไตรมาส 3/68 ทำให้เห็นภาพชัดว่า อสังหาริมทรัพย์ไทยยังอยู่บนเส้นทางขาลง ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแรง ความเชื่อมั่นที่ยังไม่กลับมา และตลาดสินเชื่อที่เข้มงวด แม้บางบริษัทจะเริ่มมีสัญญาณบวกจากฐานต่ำ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการพลิกเกม

อุตสาหกรรมอสังหาฯ จึงต้องเดินหน้าแบบระมัดระวัง ต้องจับจังหวะ เปิดบาง ทำบาง รอวันที่แรงลมเริ่มสงบลง เพื่อให้ตลาดกลับมาหายใจได้อีกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24พ.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยงพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง เช่นเงินดอลลาร์ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่จะทยอยประกาศออกมา

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้24 พ.ย. 2568 ที่ระดับ  32.44 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.52 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.38-32.54 บาทต่อดอลลาร์)

สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ จากถ้อยแถลงของ John Williams (NY Fed และเป็น Permanent FOMC Voter) ที่ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะใกล้ (ผู้เล่นในตลาดตีความว่า ระยะใกล้อาจหมายถึง การประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้)

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย

สัปดาห์ที่ผ่านมา การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงในช่วงปลายสัปดาห์ หลังถ้อยแถลงของประธาน NY Fed ที่ระบุว่าเฟดยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในระยะใกล้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ควบคู่กับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ แผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

-ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เป็นต้น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

โดยเฉพาะในช่วงนี้จะเข้าสู่ช่วงงดให้สัมภาษณ์สื่อต่อประเด็นเศรษฐกิจและแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อนึ่ง เรามองว่า ควรจับตารายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งอาจส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้

หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้กลับมาปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม เป็น 63% จากก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 30%-40%

(ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนกันยายน ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดพอสมควร)

▪ฝั่งยุโรป – แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมี ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) จากทางธนาคารกลางยุโรป (ECB)

แต่ตลาดการเงินยุโรป โดยเฉพาะตลาดการเงินอังกฤษเสี่ยงผันผวนสูง ในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ แผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ (UK Budget) ที่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลอังกฤษจะเดินหน้ารักษาวินัยการคลัง ด้วยการเพิ่มรายได้จากหลายช่องทาง

เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษอาจไม่เลือกที่จะขึ้นภาษีเงินได้ตามที่เคยได้ระบุไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยหากผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของอังกฤษ ก็อาจกดดันให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวของอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น ตามแรงขายบอนด์ระยะยาว

ขณะเดียวกัน เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงพอควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว  

▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของจีน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้

 ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อของกรุงโตเกียว ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงภาวะการจ้างงาน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม

ในส่วนการประชุมบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.25% เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ย ณ ระดับ 2.50% ไปก่อน

▪ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยอดการส่งออกและนำเข้า ในเดือนตุลาคม รวมถึง รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมแบบ Fully Priced-In

ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (หรือแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย) ได้

ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา

รวมถึงรายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งจะช่วยให้ตลาดสามารถปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านได้บ้าง ทว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.50-32.65 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร

และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (หรือปรับตัวขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์) ได้อย่างชัดเจน

ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และรายงาน Fed Beige Book ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

ทว่าเงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุน หากเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่า จากความกังวลเสถียรภาพการคลัง หลังรับรู้แผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.44-32.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดของวันทำการก่อนหน้าที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทโน้มไปในด้านอ่อนค่าในระหว่างวัน นอกจากนี้ sentiment ของเงินบาท ยังอ่อนแอลงหลังสัญญาณจากธปท. ที่สะท้อนว่า ดอกเบี้ยของไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงในระยะข้างหน้า 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“โปรจีน” ปิดฤดูกาลสุดหรู! ผงาดคว้าแชมป์ CME Group Tour Championship

“โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล คว้าแชมป์ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปี้ยนส์ชิพ ด้วยสกอร์รวม 26 อันเดอร์ 262 ขณะที่ “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ คว้ารองแชมป์ ถือเป็นการส่งท้ายซีซั่น แอลพีจีเอ ทัวร์ ที่น่าประทับใจของสองโปรชาวไทย

อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทยทำผลงานปิดท้ายฤดูกาล “แอลพีจีเอ ทัวร์” ด้วยการผงาดคว้าแชมป์รายการ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปี้ยนส์ชิพ ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา หลังจบรอบสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เก็บเพิ่มอีก 4 อันเดอร์พาร์  สกอร์รวมเป็น 26 อันเดอร์พาร์ 262 

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ “โปรจีน” กลายเป็นนักกอล์ฟคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจาก โค จิน ยอง อดีตมือ 1 โลกชาวเกาหลีใต้ ซึ่งทำไว้เมื่อปี 2020-2021 พร้อมกับรับเงินรางวัล 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 136 ล้านบาท)

ที่สำคัญยังทำให้ “โปรจีน” รักษาถานะ “เบอร์หนึ่งของโลก” ด้วยการเป็นนักกอล์ฟที่คว้าแชมป์มากสุดในฤดูกาลนี้ รวมทั้งหมด 3 รายการ และเป็นแชมป์ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการที่ 7 ในอาชีพของเธอแล้ว 

นอกจากนี้เธอยังปิดซีซั่น แอลพีจีเอ ทัวร์ ด้วยการคว้าอีก 2 รางวัลใหญ่ ได้แก่ นักกอล์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Rolex Player of the Year) และนักกอล์ฟที่ทำคะแนนเฉลี่ยดีที่สุดของฤดูกาล (Vare Trophy) ด้วย 

ขณะเดียวกันโปรไทยคนอื่นก็ผลงานยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ ระเบิดฟอร์มเข้าป้ายอันดับ 2 จากสกอร์รวม 22 อันเดอร์พาร์ รับไป 1 เหรียญสหรัฐฯ (รา 34 ล้านบาท) แบบสวยๆ ส่วนโปรไทยอีกหลายคนเก็บผลงานน่าภูมิใจในวันปิดฤดูกาลนี้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“มะเร็งปอด” กับภัยเสี่ยงที่อยู่รอบตัว

“มะเร็งปอด” กับภัยเสี่ยงที่อยู่รอบตัว : Tricks for Life

“มะเร็งปอด” เป็นหนึ่งในภัยเงียบ ที่น่ากลัวในวงการแพทย์ เพราะในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมาก กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อโรคได้ลุกลามไปมาแล้ว การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ อาจช่วยชีวิตได้

การประมาณการของสมาคมโรคมะเร็งแห่งอเมริกาสำหรับมะเร็งปอดในสหรัฐอเมริกาในปี 2568 พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ประมาณ 226,650 ราย (ชาย 110,680 ราย หญิง 115,970 ราย) โดยประมาณ 124,730 รายเสียชีวิตจากมะเร็งปอด (64,190 รายเป็นผู้ชาย และ 60,540 รายเป็นผู้หญิง)

ทั้งนี้ “มะเร็งปอด” ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดส่วนใหญ่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี อายุเฉลี่ยของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยอยู่ที่ประมาณ 70 ปี

มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับต้นๆ ในสหรัฐอเมริกา คิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากกว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากรวมกัน

ทำความรู้จัก “มะเร็งปอด”

มะเร็งปอด เกิดจากเซลล์ในปอดที่โตผิดปกติ แล้วขยายตัวเร็วจนเป็นก้อน แล้วแพร่ทั่วร่างกายมี 2 แบบ ได้แก่

1. แบบไม่ใช่เซลล์เล็ก เจอบ่อย 9 ใน 10 คนของคนที่เป็นมะเร็งปอด โตช้าหน่อย

2. แบบเซลล์เล็ก เจอ 1 ใน 10 คน แต่โตเร็วมาก อันตรายสุด มักพบในคนที่สูบบุหรี่

กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็น “มะเร็งปอด”

แม้ว่าจะไม่มีอาการ ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ หากจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

• ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นได้

• อยู่ในเมือง ฝุ่นเยอะ (PM2.5)

• อายุ 50 ปีขึ้นไป

• คนในครอบครัวเคยเป็น

• เคยป่วยปอด เช่น วัณโรค หรือถุงลมโป่งพอง

อาการที่พบ

– ระยะแรกอาจไม่มีอาการเลย

– ระยะต่อมาอาจมีอาการ

• ไอไม่หยุด หรือไอเป็นเลือด

• หายใจไม่ออก เหนื่อยง่าย

• ผอมลง ไม่อยากกิน เพลีย

• ปวดกระดูก (แพร่ไปกระดูกแล้ว)

ทั้งนี้การดูแลและป้องกัน ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยง ผู้ที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

1. อายุ 50-80 ปี (ไม่ว่าจะสูบบุหรี่หรือไม่)

2. สูบบุหรี่เป็นประจำ หรือเพิ่งหยุดมาไม่กี่ปี

3. คนที่อยู่ในเขตฝุ่น PM 2.5 สูง

4. คนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด

5. สูดควันพิษทุกวัน

การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจะใช้เทคโนโลยี Low Dose CT Scan ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก มีความปลอดภัย ใช้รังสีต่ำ ตรวจเจอก้อนขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้แม้ไม่มีอาการ สามารถตรวจในตำแหน่งที่เอกซเรย์ธรรมดามองไม่เห็น ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร ไม่เจ็บ และใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที

เมื่อความเสี่ยงอยู่รอบตัว การตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันแต่เนิ่นๆ ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


45 แคปชั่นหน้าหนาว ภาษาอังกฤษ ช่วง Winter อากาศดีๆ ต้องมีแคปชั่นเก๋ๆ

แคปชั่นหน้าหนาว ภาษาอังกฤษ สั้นๆ

  • Winter is coming.

หน้าหนาวกำลังมาแล้ว

  • Eat, drink, and be cozy.

กิน, ดื่ม และทำตัวให้อบอุ่นกันเถอะ

  • Baby, it’s cold outside.

ที่รัก ข้างนอกมันหนาวมากๆ

  • Cold hands, warm heart.

มือเย็น แต่หัวใจอบอุ่นนะ

  • Winter is the time for home.

หน้าหนาวคือเวลาแห่งการกลับบ้าน

  • Sweather Weather.

อากาศแบบนี้ต้องเสื้อสเวตเตอร์เท่านั้น

  • Keep calm and be cozy.

ทำใจร่มๆ แล้วทำตัวให้อบอุ่น

  • Hot Chocolate Weather.

อากาศแบบนี้ต้องช็อกโกแลตร้อนๆ เท่านั้น

  • Keep calm and Stay cool.

ทำใจร่มๆ แล้วนิ่งเข้าไว้

  • Keep calm and winter on!

ทำใจร่มๆ แล้วเตรียมตัวสำหรับหน้าหนาว!

  • Ready for some hot cocoa!

ฉันพร้อมสำหรับโกโก้ร้อนๆ แล้ว!

  • It’s a winterful life.

มันคือชีวิต (หน้าหนาว) ที่ดีสุดๆ ไปเลย! (เลียนเสียงคำว่า winterful กับ wonderful)

  • Wake me up when it’s summer.

ค่อยปลุกฉันให้ตื่นเมื่อถึงฤดูร้อนนะ

  • Verrrry winteresting…

หนาวนี้มันน่าสนใจสุดๆ (เป็นการผสมคำ winter กับ interesting)

  • Dashing through the snow.

พุ่งตัวไปบนกองหิมะ

  • Let’s make it a winter to remember.

ขอให้เป็นฤดูหนาวที่น่าจดจำ

  • Feeling frosty.

รู้สึกหนาวๆ

  • Have an ice day!

ขอให้เป็นวันที่ดี! (เลียนเสียงคำว่า winter-ful กับ wonderful)

  • Life is better in Winter.

ชีวิตจะดีขึ้นเมื่ออากาศหนาว

  • Say “Freeze!”

ถ่ายรูปกับอากาศหนาวๆ แบบนี้ ต้อง Say “Freeze!”

  • Frosty mornings and toasty mugs.

เช้าๆ กับอากาศหนาว และแก้วกาแฟกับขนมปัง

แคปชั่นอากาศหนาว แคปชั่นอากาศดีๆ ภาษาอังกฤษ

  • Stay cool.

ใจเย็นๆ

  • It’s too cold to dress cute.

มันหนาวเกินที่จะใส่เสื้อผ้าน่ารักๆ

  • Cool vibes.

บรรยากาศเย็นๆ

  • Feeling cool day vibes right now.

รู้สึกเย็นสบายในเวลานี้

  • Nothing but blue skies.

ไม่มีอะไรดีไปกว่าท้องฟ้าสีคราม

  • The weather I am craving for!

อากาศที่ฉันต้องการ!

  • The time is perfect to wear a sweater. 

ถึงเวลาที่เหมาะสมจะสวมเสื้อสเวตเตอร์แล้ว

  • Bad weather does not exist here.

ไม่มีสภาพอากาศเลวร้ายที่นี่จ่ะ มีแต่อากาศดีๆ เท่านั้น

  • The sweater weather is much better.

อากาศที่ต้องใส่เสื้อกันหนาวมันดีกว่ามากๆ

  • Sweater vibe.

กลิ่นอายของเสื้อกันหนาว

แคปชั่นหน้าหนาว ภาษาอังกฤษ เป็นประโยคเก๋ๆ

  • This weather is almost colder than your heart.

อากาศตอนนี้เกือบจะเย็นเยือกกว่าหัวใจของคุณแล้ว

  • Winter is not a season, it’s a celebration.

หน้าหนาวไม่ใช่ฤดู แต่มันคือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง

  • One kind word can warm at winter.

คำพูดดีๆ ของคุณเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้หน้าหนาวอบอุ่นขึ้นได้

  • It’s never too cold for ice cream.

ไม่มีคำว่าหนาวเกินไป สำหรับการกินไอศครีม!

  • Winter: My new excuse for drinking more coffee.

หน้าหนาว: ข้ออ้างใหม่ที่ฉันจะได้กินกาแฟมากขึ้น!

  • We go together like winter and a sweater.

เราจะเดินไปด้วยกัน อยู่คู่กัน เหมือนหน้าหนาวที่คู่กับสเวตเตอร์นั่นล่ะ!

  • Feeling blessed and sweater-obsessed.

รู้สึกมีความสุข และแฮปปี้กับเสื้อสเวตเตอร์สุดๆ

  • I wasn’t made for winter.

ฉันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับหน้าหนาว

  • Go out there and earn your hot cocoa.

ออกไปรับอากาศหนาวและดื่มโกโก้ร้อนกันจ้า

  • I love you snow much.

ฉันรักเธอ “หิมะ” มากเลย (เล่นคำคำว่า so much → snow much)

  • It’s a winter-ful life.

นี่มันชีวิตที่ “หน้าหนาวสุดๆ” เลยนะ (เล่นคำ wonderful → winter-ful)

  • It’s snow laughing matter.

นี่ไม่ใช่เรื่องให้ “หิมะหัวเราะ” นะ (เล่นคำ no laughing matter → snow laughing matter)

  • Ice to see you!

ดีใจที่ได้เจอคุณ ! (เล่นคำจาก Nice to see you)

  • Snow much fun!

สนุก “หิมะ” มาก! (เล่นคำจาก So much fun)

ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net


ไทยจ่อมี ท่าอวกาศยานแห่งแรก! “ชลบุรี-สงขลา-อู่ตะเภา” ขึ้นแท่นพื้นที่เหมาะสม

  • ผลการศึกษาเบื้องต้นโดย GISTDA และ KPMG ชี้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการสร้างท่าอวกาศยานเชิงพาณิชย์แห่งแรก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศใหม่
  • มีการประเมินพื้นที่เหมาะสมเบื้องต้น 3 แห่ง ได้แก่ เกาะจวง/เกาะจาน จ.ชลบุรี และแหลมสนอ่อน จ.สงขลา สำหรับการส่งแบบแนวดิ่ง และสนามบินอู่ตะเภา สำหรับการส่งแบบแนวราบ
  • การมีท่าอวกาศยานจะช่วยสร้างอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และยกระดับทักษะบุคลากรด้าน STEM

ประเทศไทยก้าวอีกขั้นสู่ยุคเศรษฐกิจอวกาศใหม่ (New Space Economy) หลังสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ร่วมกับ KPMG เปิดเผยผลสรุปจากการประชุมเชิงปฏิบัติการของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอวกาศยานประเทศไทย (Thailand Spaceport)

โดยผลการประเมินเบื้องต้นชี้ว่า ไทยมีศักยภาพเพียงพอในการสร้างท่าอวกาศยานเชิงพาณิชย์ และอาจก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประชุมเชิงปฏิบัติการระดมสมองครั้งที่ 1 เผยให้เห็นความเป็นไปได้สูงของการพัฒนาท่าอวกาศยานแห่งแรกของประเทศ ทั้งในด้านเทคนิค เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการพัฒนาคนรุ่นใหม่

เปิดผลวิเคราะห์เบื้องต้นพื้นที่เหมาะสม 3 แห่ง

ผลการประเมินเบื้องต้นระบุพื้นที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาท่าอวกาศยาน ในขั้นต่อไป 3 แห่ง ได้แก่

  1. เกาะจวง/เกาะจาน จ.ชลบุรี: เหมาะกับการส่งแบบแนวดิ่ง โดดเด่นด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่และมีผลกระทบต่อประชาชนน้อย
  2. แหลมสนอ่อน จ.สงขลา: เหมาะกับการส่งแบบแนวดิ่ง แต่อาจยังมีผลกระทบกับพื้นที่ชุมชน
  3. สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา: เด่นด้านโลจิสติกส์ เหมาะกับการส่งแบบแนวราบ และมีศักยภาพพัฒนาเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอวกาศในอนาคต

KPMG ชี้โอกาสสร้างเศรษฐกิจอวกาศใหม่

KPMG เผยผลการศึกษาว่า การมี Spaceport จะช่วยส่งเสริมหลายด้านที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในยุคอวกาศใหม่ ดังนี้:

  • สร้างอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
  • ยกระดับทักษะ STEM พร้อมสร้างอาชีพแห่งอนาคตให้เยาวชน โดยเริ่มต้นจาก suborbital launch
  • เพิ่มความเป็นอิสระของชาติ ในการส่งดาวเทียมและพัฒนานวัตกรรมของตนเอง
  • ผลักดันไทยสู่การเป็น “Space-Faring Nation” ซึ่งหลายประเทศในภูมิภาคเริ่มมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น

ผลการศึกษานี้ถือเป็น “สัญญาณสำคัญ” ว่าประเทศไทยไม่เพียงพร้อม แต่ยังมีศักยภาพสูงในการสร้างท่าอวกาศยานเชิงพาณิชย์ของตัวเอง และอาจเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ระดับหมื่นล้านบาท พร้อมปั้นคนรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ชาวจีนอวย “ผักสวรรค์” สมุนไพรชั้นเทพ ไทยปลูกขึ้นง่ายทุกที่ แต่หลายคนร้องอี๋ ไม่ยอมกิน!

ผักคาวทองหรือผักพลูคาว “ผักมหัศจรรย์” ที่จีนยกย่อง โตทั่วไปในไทยแต่หลายคนยังไม่กล้าทาน

ผักคาวทอง หรือผักพลูคาว เป็นผักพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในหลายภูมิภาคของไทย แม้หลายคนจะไม่กล้าทานเพราะมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ในจีน สมุนไพรชนิดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผักเทพ” เนื่องจากใช้ได้ทั้งเป็นอาหารและเป็นยาตามตำรับแพทย์แผนโบราณ มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ระบายความร้อน และเสริมภูมิคุ้มกัน

คุณค่าทางสมุนไพรของผักคาวทอง

  1. ทั้งต้นมีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ อุดมด้วยสารสำคัญอย่าง quercetin และ isoquercitrin ที่ช่วยต้านอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด
  2. การศึกษาบางส่วนระบุว่าสารสกัดจากผักคาวทองอาจช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสบางชนิดภายใต้เงื่อนไขในห้องปฏิบัติการ
  3. ในตำรับแพทย์แผนจีน จัดเป็นสมุนไพร “เย็น–ถอนพิษ” ใช้ลดความร้อน ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการบวมอักเสบ
  4. ในไทย นิยมนำไปช่วยบรรเทาอาการร้อนใน ผดผื่น และมักใช้เป็นผักเคียงกับอาหารพื้นบ้านหลากหลายชนิด

วิธีใช้ผักคาวทองให้เกิดประโยชน์

  1. กินสด เป็นผักเคียงในมื้ออาหาร เพื่อช่วยเสริมการย่อย
  2. คั้นเป็นน้ำหรือทำน้ำดื่ม ควรดื่มหลังอาหารเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะ
  3. ใช้ภายนอก เช่น ตำพอกแผล หรือใช้น้ำต้มใบล้างบริเวณผิวหนังที่อักเสบ

ข้อควรระวังเมื่อทานผักคาวทอง

  1. ควรล้างให้สะอาดและแช่น้ำเกลือก่อนรับประทาน
  2. ไม่ควรดื่มน้ำคั้นผักคาวทองตอนท้องว่าง เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะ
  3. หลีกเลี่ยงการทานในปริมาณมาก ผู้ใหญ่ควรรับประทานผักสดประมาณ 20–40 กรัมต่อวัน หรือผักแห้ง 10–12 กรัมต่อวัน
  4. หากต้องการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เป็นประจำ

ใครควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง

  1. สตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก ควรหลีกเลี่ยง
  2. ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำหรือใช้ยาลดความดัน ควรทานในปริมาณน้อย
  3. ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือระบบขับถ่ายอ่อนแอ เพราะผักมีฤทธิ์เย็น

ผักคาวทองแม้มีกลิ่นเฉพาะตัว แต่เป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์ด้านสมุนไพรสูง ช่วยต้านอักเสบและลดความร้อนในร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอย่างพอเหมาะ และไม่ควรใช้แทนการรักษาโดยแพทย์ หากต้องการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a62,250.0062,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,024.0061,003.8463,150.00
ทองรูปพรรณ 90%3,621.6054,903.46n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,219.2048,803.07n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,810.8027,451.73n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,408.4021,351.34n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,169.9563,216.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.6531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.4429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า