อสังหาฯลุ้นเศรษฐกิจปี69ผงกหัวปรับสมดุล‘สต็อก-สภาพคล่อง’

- ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ชะลอตัวลงอย่างมาก ผู้ประกอบการจึงเน้นบริหารจัดการสต็อกและสภาพคล่องโดยชะลอการเปิดโครงการใหม่
- คาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2569 จะเป็นปีแห่งการปรับสมดุลและเริ่มเข้าสู่ภาวะทรงตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
- การฟื้นตัวของตลาดในปี 2569 ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม การท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่สะท้อนการชะลอตัวอย่างเด่นชัด ทั้งจำนวนเปิดโครงการใหม่และยอดโอนกรรมสิทธิ์ แม้ไตรมาส 3 จะมีแรงดีดตัวขึ้น แต่ภาพรวมทั้งปียังไม่สามารถพลิกบวกได้
คอนโด-บ้านจัดสรร เปิดใหม่ทรุดแรง 30-50%
โดยตลาดเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงหดตัวรุนแรง รวม 9 เดือนแรกปี 2568 เปิดใหม่เพียง 29,000 หน่วย ลดลงถึง 34% จากปีก่อน เป็นการหายไปของอาคารชุดเป็นหลัก ขณะที่บ้านจัดสรรเปิดใหม่หดตัวสูงสุด 50% เหลือเพียง 13,000 หน่วย สะท้อนผู้ประกอบการเริ่มชะลอเปิดตัวเพื่อบริหารสต็อกและสภาพคล่อง ตรงกันข้าม สต็อกเหลือขายในไตรมาส 3 กลับลดลงจากไตรมาสก่อน
สะท้อนแรงดูดซับจากกำลังซื้อจริง ที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการรัฐ ทั้งลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01%, ผ่อนเกณฑ์ มาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV (Loan to Value) และอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ
โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ฟื้นทั้งแนวราบ-คอนโด
จากข้อมูลในไตรมาส 3ปี 2568 ยอดโอนทั่วประเทศแตะ 84,397 หน่วย เพิ่มขึ้น 9.1% มูลค่ากว่า 2.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% โดยคอนโดมิเนียมเติบโตโดดเด่นถึง 14.8% ขณะที่แนวราบเพิ่มขึ้น 6.7% บ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทยังร้อนแรง โอนเพิ่มขึ้น 37% สะท้อนความต้องการจริงของผู้ซื้อกลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง
ขณะที่ตลาดบ้านมือสองระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท เร่งตัวขึ้น 14.1% แต่ภาพรวม 9 เดือนยัง “หดตัว”ต่อเนื่อง แม้ไตรมาสล่าสุดจะฟื้น แต่ยอดโอนสะสมยังคง “ติดลบ” ทั้งจำนวนและมูลค่า รวมเพียง 227,106 หน่วย ลดลง 9.3% จากปีก่อน มูลค่าหดตัวกว่า 12% แสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อยังไม่กลับสู่ระดับก่อนหน้า ทั้งแนวราบ (-7.3%) และคอนโด (-13.3%) ล้วนถูกกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือนสูงและการเข้าถึงสินเชื่อที่ยังท้าทาย
หวังแรงส่งจากมาตรการรัฐ
กมลภพ ประเมินว่า มาตรการ “Quick Big Win” ของภาครัฐ ตั้งแต่ คนละครึ่ง พลัส มาตรการท่องเที่ยว การเร่งเบิกจ่ายงบรัฐ จนถึงโครงการแก้หนี้ครัวเรือน จะช่วยให้ตลาดไตรมาส 4 ฟื้นอย่างมีนัยสำคัญ
คาดยอดโอนแตะ 95,484 หน่วย เพิ่มขึ้น 13.1% (QoQ) และสินเชื่อใหม่ขยับขึ้นเป็น 160,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% แม้เช่นนั้น ทั้งปี 2568 ยังจบด้วยตัวเลขติดลบ 7.3% รวมโอนประมาณ 322,500 หน่วย มูลค่า 873,400 ล้านบาท

ปี 2569 ตั้งลำใหม่ ตลาด“ทรงตัว”
เมื่อมองไปข้างหน้า REIC ประเมินว่า ปี 2569 จะเป็นปีแห่ง “การเริ่มกลับเข้าสู่สมดุล” หากเศรษฐกิจขยายตัวตามปกติ (Base Case) ยอดโอน 320,200 หน่วย หดตัวเพียง 0.7% มูลค่า 866,200 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย หรือติดลบ 0.8% ถือเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเข้าสู่จุด “ตั้งลำ” หลังผ่านจุดต่ำสุดในรอบหลายปี
กรณีกรณีที่ดีที่สุด (Best Case) หาก GDP โต 1.7% ท่องเที่ยว ส่งออกฟื้น! ยอดโอนอาจแตะ 344,478 หน่วย เติบโต 6.8% กรณีแย่ที่สุด (Worst Case) หากแรงกดดันเศรษฐกิจยืดเยื้อยอดโอนอาจหล่นสู่ 304,190 หน่วย หรือติดลบ 5.7% ขณะเดียวกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ปี 2568 อยู่ที่ 551,092 ล้านบาท ลดลง 5.8% และปี 2569 คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงเดิมที่ 547,533 ล้านบาท ลดลงเพียง 0.6%
ภาพรวมตลาดปี 2569 ยังไม่ใช่ปีของการ “เร่งเครื่อง” แต่คือปีของการ “เลิกเหยียบเบรก” อสังหาฯ ไทยกำลังเดินสู่จุดทรงตัวใหม่ ขับเคลื่อนด้วยกำลังซื้อจริงและมาตรการรัฐหากเศรษฐกิจและท่องเที่ยวฟื้นตามคาด ผู้ประกอบการอาจได้เห็นปีที่ตลาดกลับมาเดินหน้าอย่างมีเสถียรภาพอีกครั้งหลังจากระยะยาวของการชะลอตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิด ‘Market Place ประชาอุทิศ’ 29 พ.ย. นี้

- เซ็นทรัลพัฒนาเตรียมเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ “Market Place ประชาอุทิศ” ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้
- ตั้งอยู่ในย่านประชาอุทิศ-ทุ่งครุ เจาะกลุ่มเป้าหมายกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เพื่อเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของชุมชน
- รวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 40 ร้าน นำโดย Tops Supermarket และแบรนด์ยอดนิยมมากมาย
- ชูคอนเซปต์ Neighborhood-Centric ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบครัน เดินทางสะดวกจากถนนสุขสวัสดิ์และพระราม 2
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าเตรียมเปิด “Market Place ประชาอุทิศ” 29 พ.ย. นี้ เจาะโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก คอมมูนิตี้ มอลล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ครบครันและดีที่สุดในย่านให้กับชาวประชาอุทิศ–ทุ่งครุ (ใกล้ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ของทุกคน
Market Place ประชาอุทิศ ยกทัพแบรนด์ร้านค้าดัง-ทำเลดีที่สุด-เดินทางสะดวกที่สุด
พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ นำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบครบวงจร ด้วยแบรนด์ในกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ Tops Supermarket พร้อมด้วยร้านค้าและแบรนด์ดังรวมกว่า 40 ร้าน ภายใต้คอนเซปต์ Neighborhood-Centric ตอบโจทย์ความต้องการของคนในชุมชนอย่างแท้จริง
Food Destination ครบที่สุดในย่านประชาอุทิศ รวมร้านชาชื่อดัง CHAGEE, GAGA, JIAN CHA และร้านอาหารแบรนด์ดัง JONES’ SALAD, SHINKANZEN SUSHI, SUBWAYS, THE STEAK & MORE พร้อมโซน Take Home ที่รวม Ready to Eat และ Grab & Go จากร้านดังย่านวังหลัง เช่น JAPANG รวมถึงร้านยอดฮิต กะเพราโบราณ, นครสยาม, เปาโซโห และ WHITE STORY

เตรียมพบร้านสุกี้ช้างเผือก สตรีทฟู้ดชื่อดังจากเชียงใหม่ สาขาแรกในย่านประชาอุทิศ ต้นปี 2569 พร้อมทั้งบริการด้านสุขภาพและความงาม อาทิ WATSONS, FLEX REHAB และอีกมากมาย
เดินทางสะดวกที่สุด ตั้งอยู่บนทำเลดีที่สุดบนถนนประชาอุทิศ โดยรถยนต์ส่วนตัวใช้เวลาเพียง 5 นาทีจากถนนสุขสวัสดิ์ และเพียง 10 นาทีจากพระราม 2 พร้อมพื้นที่จอดรถรองรับกว่า 126 คัน
Market Place ประชาอุทิศ จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ “Imagining better futures for all” และความมุ่งมั่นในการสร้าง “Centre of Life” ศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27พ.ยที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”

ค่าเงินบาทได้กลับมาผันผวนสูงขึ้นอีกครั้ง มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.30 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27พ.ย.2568 ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์
หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมีกำลังมากขึ้นแต่จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายปี รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้
อีกทั้งจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน ซึ่งภาพดังกล่าวก็จะสะท้อนผ่าน มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่จะยังไม่ปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งเรามองว่า อาจต้องรอลุ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม ที่จะมีรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชน ทั้ง ADP และ Revelio
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026)
และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.20-32.27 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลักเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะในฝั่งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ จากการประกาศแผนงบประมาณล่าสุด ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็พอได้รับอานิสงส์จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกลับมาปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนธันวาคมนี้ แต่การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้างตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) รวมถึง รายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ที่ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ
โดยผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินโอกาสราว 82% ที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ โดยเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะโฟลว์ธุรกรรมในช่วงปลายเดือน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ทองคำและน้ำมันดิบ ทำให้เงินบาทยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ยังคงช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง
สะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม AI/Semiconductor อย่าง Microsoft +1.8% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.69% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.82%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.09% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +5.7% ตอบรับความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
ขณะเดียวกัน แผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ ที่เน้นเก็บภาษีจากแรงงาน แต่ยังคงยกเว้นภาษีเฉพาะของธนาคาร ทำให้บรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารอังกฤษ ต่างปรับตัวขึ้นตอบรับประเด็นดังกล่าว อาทิ HSBC +1.3%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนบ้าง โดยมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ตอบรับรายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐฯ (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 4.00% อีกครั้ง
หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดอาจสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ได้ จากรายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ล่าสุด ที่ยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่มีลักษณะ K-Shaped
ทว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม
และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น และไม่ไล่ราคาซื้อ)
เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบัน สู่ระดับ 3.80%-3.90% ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.20% อีกครั้ง ในช่วงปลายปี 2026
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลักเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในฝั่งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ จากการประกาศแผนงบประมาณล่าสุด ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็พอได้รับอานิสงส์จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกลับมาปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.0 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้าง แต่บรรยากาศตลาดการเงินโดยรวม ที่ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ยังคงเป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways แถวโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานการประชุมล่าสุด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจมีแนวโน้มคงดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% ไปก่อน
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ซึ่งผู้เล่นในตลาดมองว่า BOK อาจพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา เงินวอนเกาหลีใต้ (KRW) ได้เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่ามาอย่างต่อเนื่อง จนทางการเกาหลีใต้ได้แสดงความกังวลต่อความผันผวนและอ่อนค่าของเงินวอนฯ ในช่วงนี้
ส่วนในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ นี้ ผู้เล่นในตลาด จะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม
รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนพฤศจิกายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.21-32.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยแม้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แต่ในภาพรวมขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ขาดปัจจัยใหม่ ๆ มาหนุน เนื่องจากเป็นช่วงตลาดปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ประกอบกับยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC วันที่ 9-10 ธ.ค. นี้ (Probability ขยับขึ้นไปอยู่สูงกว่า 80%)
หลัง Beige Book ของเฟด ระบุว่า แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณการชะลอตัวของการจ้างงาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.10-32.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
โปรแกรมถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย

การแข่งขัน วอลเลย์บอลซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” เจ้าของแชมป์ 16 สมัย และแชมป์ 14 สมัยหลังสุด ถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์
ขณะที่กลุ่มบี อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ และ เมียนมา ซึ่งทั้งสองกลุ่ม จะทำการแข่งขันกันที่สนามอินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก, กรุงเทพฯ
โปรแกรมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ ครั้งที่ 33
วันพุธที่ 10 ธันวาคม 2568
เวลา 12.30 น. อินโดนีเซีย พบ มาเลเซีย
เวลา 15.00 น. เมียนมา พบ เวียดนาม
เวลา 17.30 น. ไทย พบ สิงคโปร์ (ช่อง NBT และ ช่อง T-Sport)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2568
เวลา 12.30 น. มาเลเซีย พบ เวียดนาม
เวลา 15.00 น. อินโดนีเซีย พบ เมียนมา
เวลา 17.30 น. ฟิลิปปินส์ พบ ไทย (ช่อง NBT และ ช่อง T-Sport)
วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568
เวลา 12.30 น. เวียดนาม พบ อินโดนีเซีย
เวลา 15.00 น. เมียนมา พบ มาเลเซีย
เวลา 17.30 น. สิงคโปร์ พบ ฟิลิปปินส์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ฝุ่นกลับมาแล้ว เตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มสูงขึ้น ช่วงปลายเดือน

ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ เตือนฝุ่นกลับมาแล้ว “ฝุ่น PM2.5” มีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงปลายเดือน 28 พ.ย. ถึง 2 ธ.ค. 68
เตือนฝุ่นกลับมาแล้ว “ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” กรมควบคุมมลพิษ “ฝุ่น PM2.5” มีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงปลายเดือน 28 พ.ย. ถึง 2 ธ.ค. 68

ศกพ. แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2568 มีแนวโน้มเกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่อาจพบบางพื้นที่อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม)
และพื้นที่อื่นที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้แก่ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ทั้งนี้ สถานการณ์มีแนวโน้มที่จะบรรเทาลงช่วงหลังววันที่ 2 ธันวาคม เนื่องจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่เอื้อต่อการระบายฝุ่นละอองมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยทางด้านอุตุนิยมวิทยา ยังคงส่งผลต่อการระบายของฝุ่นละออง โดยในช่วงที่ฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น พบเจอค่าอัตราการระบายอากาศที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งเกิดสภาพอุณหภูมิผกผันใกล้ผิวพื้น และมีสภาพเพดานการลอยตัวอากาศที่ต่ำมาก เกิดลักษณะคล้ายฝาชีครอบ ส่งผลให้ฝุ่นละอองไม่สามารถระบายออกจากพื้นที่ได้ จึงมีการสะสมและแขวนลอยในชั้นบรรยากาศได้มาก
ศกพ. ขอความร่วมมือประชาชนทุกท่าน งดการเผาในที่โล่งทุกชนิด รวมถึงใช้รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดปริมาณการจราจรบนท้องถนน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์
ขอให้พี่น้องประชาชนดูแลสุขภาพ ลดกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเมื่อออกนอกบ้าน ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองได้ผ่านเว็บไซต์ Air4Thai.pcd.go.th หรือ ทางแอปพลิเคชัน Air4Thai

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำแสลงภาษาอังกฤษที่ชาวโซเชี่ยลใช้ในทุก ๆ วัน

ถ้าคุณเบื่อกับคำศัพท์ที่เรียนในหนังสือ ลองหันมาให้คำแสลงวันรุ่นภาษาอังกฤษบ้างก็ได้ อย่างการพิมพ์ตอบแชทกับเพื่อน หรือตั้งแคปชั่นสั้น ๆ ในโซเชียลมีเดียใหเดูน่าสนใจก็ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้ใหม่แล้ว ก็ยังทำให้คุณเรียนภาษาอังกฤษสนุกขึ้นด้วย
อัปเดตคำแสลง ศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยทั้งในชีวิตจริง และโลกโซเชียล
พักสมองมาลองเรียนรู้คำแสลงภาษาอังกฤษที่วัยรุ่นอเมริกันชอบใช้กันดูบ้าง คำแสลง (Slang) เป็นคำศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่พูดกันแบบไม่เป็นทางการ เอาไว้พูดกับเพื่อน คนที่สนิท รวมถึงการตั้งแคปชั่นชิค ๆ ให้ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะ TikTok โซเชียลมีเดียสุดฮอตที่มักจะปล่อยศัพท์ Slang ใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย มาดูกันว่ามีคำไหนน่าสนใจบ้าง
1. It’s giving. แปลว่า เยี่ยมไปเล้ยย (คำชม)
Someone gave me a like. That’s my giving.
2. BDE ย่อมาจาก Big Dick Energy แปลว่า มั่นหน้า มั่นโหนก
I feel that have BDE when I got accepted to be a main character in a play.
3. Beta แปลว่า ผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ประหม่า
He is trying to take his ex-girlfriend back after she cheated on him so he is beta.
4. Era แปลว่า ช่วงนี้กำลังอินกับ…
Tom has been eating ramen for 4 weeks. He is in ramen era.
5. Iykyk เป็นตัวย่อของ If you know you know. And now you know.
แปลว่า ถ้าคุณรู้ว่าคืออะไร ก็เป็นไปตามนั้นนั่นแหละ
6. Slay แปลว่า เจ๋ง, ยอดเยี่ยม, สุดยอดไปเลย มีความหมายเดียวกันกับ amazing, cool, great
Every eyes at the ball look at her amazing dress. She slayed it last night.
7. Fell off แปลว่า ตกกระป๋อง, ไม่โด่งดัง
A celeb disappeared from the media for the whole year. She fell off.
8. Gatekeep แปลว่า ไม่บอกหรอก
ใช้เวลาที่มีคนทักว่า เสื้อสวยจัง ซื้อที่ไหนหรอ? แต่คุณไม่อยากบอก ก็ตอบกลับไปว่า “Cool kid don’t gatekeep.”
9. Situationship แปลว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
We are stuck in a situationship for 9 months since we never made a commitment to be in a relationship.
10. Bad take แปลว่า เข้าใจผิด
She thought my puppy was dead but he was still alive. What a bad take!
11. Fit แปลว่า เสื้อผ้า
I packed all of my winter fits for a trip to Alaska.
12. CEO (of Something) แปลว่า มีความถนัดเป็นพิเศษ
Jane is a daugher of a top ranked tennis player, so she must be a CEO of playing tennis.
13. Bones Day or No Bones Day แปลว่า วันที่สดใส เบิกบาน, วันที่มีแรงทำงาน หรือทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Noodle said it was a no bones day, so I’m not doing anything today.
14. BFFR ย่อจากคำว่า Be F*cking For Real แปลว่า ทำให้จริงจัง หรือชัดเจน
You think I want anything to do with your man? BFFR.
15. Private not secret แปลว่า เปิดเผยแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ใช้กับคนที่ชอบโพสอะไรบางอย่างที่อยากอวดลงโซเชียลมีเดีย แต่เซ็นเซอร์ชื่อ หรือหน้าที่สามารถระบุตัวตน หรือสถานที่ไม่ให้ใครรู้
16. Cap แปลว่า โกหก
No cap, I was able to get tickets to Taylor Swift’s tour.
17. Sleep on แปลว่า เมิน, ไม่สนใจ
To sleep on something.
18.Main character แปลว่า เห็นแก่ตัว, เอาผลประโยชน์เข้าตัว, เอาแต่ใจ
She was acting like she was the main character.
19. Dop แปลว่า เพลงเพราะ, ทำนองไพเราะ, เพลงคุณภาพเยี่ยม
A bop is a term for a great song.
20. Spilling the tea แปลว่า นินทา, พูดลับหลัง, เม้าเรื่องชาวบ้าน
I shouldn’t spill the tea, but have you heard that Ben and your sister are dating?
21.Vibe check แปลว่า มีเซนส์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร, คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
I have a vibe check that he is cheating on me.
22. Rent free แปลว่า ติดอยู่ในหัว, ตราตรึงใจ, ภาพจำ (ในแง่ดี)
Taylor Swift’s new records have been living rent free in my head all day.
23. Rizz แปลว่า มีเสน่ห์
Ken is rizz so that’s the reason Barbie is in love with him.
24. Lit แปลว่า สุดยอดไปเลย
Last night was lit.
25. Ghost แปลว่า ขาดการติดต่อแบบไม่บอกก่อนล่วงหน้า
Nick is ghosting once he found out that his girlfriend was dating other guy.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ปัญญาประดิษฐ์กับอนาคตประเทศไทย

เวลาเราพูดถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก เราจะหมายถึงเทคโนโลยีอเนกประสงค์ (General-Purpose Technology) ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรไอน้ำทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดโรงงานและระบบการผลิตแบบขนานใหญ่
การค้นพบไฟฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานการส่งผ่านพลังงาน ทำให้พัฒนาต่อยอดเกิดสิ่งประดิษฐ์อย่างมอเตอร์และพัฒนาต่อไปอยู่ในตู้เย็น พัดลม เพิ่มเติมด้วยความก้าวหน้าของอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดวิทยุ ทีวี และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
จากการมีไฟฟ้าใช้ ความเจริญแผ่ไปทั่วโดยมีถนนนำตามมาด้วยมีไฟฟ้าเข้าถึง พอมาถึงยุคดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 6 ที่เราขาดไม่ได้อีกแล้ว สรรพสิ่งต่าง ๆ จะมีหน่วยประมวลผลอยู่ข้างในกลายมาเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะอย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เป็นต้น
จึงเห็นได้ว่าทุกเทคโนโลยีอเนกประสงค์ที่เปลี่ยนโลกนั้น จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตรวมถึงสาขาอาชีพและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสังคมแบบย้อนกลับไปไม่ได้อีกต่อไป
โดยส่วนใหญ่ของเทคโนโลยีอเนกประสงค์ที่ผ่านมาจะช่วยขยายพลังความสามารถทางกายภาพของมนุษย์ แต่การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI ซึ่งต่อไปขอย่อว่า AI) จะเป็นการขยายพลังสมองของเราโดยจะส่งผลกระทบต่อไปแบบเหนือจินตนาการ
บทความนี้จะขอนำประเด็นบางส่วนจากหนังสือ “Artificial Intelligence and the Future of Work (2025)” ของ National Academies Press ประเทศสหรัฐอเมริกา มานำเสนอในฐานะที่ USA คือ ต้นกำเนิดของ AI และลองปรับแนวคิดให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยกัน
หนังสือดังกล่าวเป็นรายงานสรุปผลจากการระดมสมองของนักคิดและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ “เพื่อประเมินผลกระทบในปัจจุบันและอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ต่อแรงงานของสหรัฐอเมริกาในทุกภาคส่วน โดยคำนึงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลกระทบที่ตามมาต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม”
เริ่มที่การประเมินความสามารถของ AI ที่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์แบบเดิมที่ช่วยมนุษย์จัดการกับการทำงานทั้งแบบทางกายภาพและทางปัญญาที่ซ้ำ ๆ มีกฎเกณฑ์ให้กลายเป็นแบบอัตโนมัติ
ในขณะที่ AI กลับสามารถช่วยงานทางปัญญาที่ไม่เป็นกิจวัตรได้ (Non-Routine Cognitive Tasks) โดยตัวอย่างเชิงประจักษ์ในความฉลาดของ AI คือ GPT-4 สามารถทำข้อสอบ Advanced Placement exams (สอบเตรียมความพร้อมก่อนเข้ามหาวิทยาลัย) สูงกว่า 80th Percentile ในหลากหลายสาขาวิชา เป็นต้น
นอกจากการที่เราสามารถประยุกต์ใช้ AI ได้กว้างขวางหลากหลายแนวแล้ว ผู้พัฒนา AI เองยังสร้างให้ AI มีระบบการเรียนรู้และปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง (รวมถึงการที่เราให้ feedback กับคำตอบของ AI ด้วย)
อีกทั้งการแพร่กระจายนวัตกรรมของ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเทคโนโลยีอเนกประสงค์อื่น ๆ เพราะ AI สามารถส่งผ่านเทคโนโลยีที่แพร่กระจายอยู่แล้วอย่างอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ดี ข้อพึงระวังของ AI ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับความน่าเชื่อถือคือ อาการหลอน และความลำเอียง (Hallucination & Bias) ตลอดจนการใช้เหตุผลเชิงตรรกะได้อย่างถูกต้อง
คำถามชวนคิดคือ AI ทำให้เรารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน (I know what I don’t know) แล้วเราเองจะสามารถพิจารณาและเชื่อหรือไม่เชื่อในคำตอบของ AI ได้แค่ไหน โดยเฉพาะการนำไปประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง หรือวิเคราะห์ปัญหาที่มีความซับซ้อนมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นในแง่ของความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญเพิ่มอีกประการหนึ่ง
สำหรับประเด็นผลกระทบนั้น โดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นการใช้งาน AI จะเป็นในแนวการแทนที่ความชำนาญแบบดั้งเดิม เช่น ให้ AI เขียน code ช่วยร่างเอกสารทางกฎหมาย วิเคราะห์สรุปเอกสารจำนวนมาก ๆ วางแผนทางการตลาด ตอบปัญหาลูกค้า แม้กระทั่งช่วยวินิจฉัยทางการแพทย์เบื้องต้น ฯลฯ
ซึ่ง AI สามารถทำงานดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้การใช้ AI ทดแทนตำแหน่งงานในระดับกลางมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งน่าจะยังเป็นคำถามสำหรับประเทศไทยที่อยากจะใช้ AI แทนบางตำแหน่ง ด้วยค่าจ้างเราถูกกว่าอเมริกามากจะคุ้มหรือไม่
ส่วนมุมการวิเคราะห์ด้านการเติบโตของผลิตภาพนั้น (Productivity Growth) จะเกิดปรากฏการณ์ที่ผลิตภาพลดลงชั่วคราว (Productivity J-Curve) ก่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างยั่งยืนคล้ายรูปตัว J เพราะการจะนำ AI มาใช้ให้ได้ผลอย่างแท้จริง จะต้องมีการลงทุนเสริมกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Complementary Investments) อีกหลายส่วน
ไม่ใช่แค่การซื้อซอฟต์แวร์มาใช้เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเสริมตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กร การยกเครื่องกระบวนการทำงาน การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูล การฝึกอบรมพนักงานขนานใหญ่ เพื่อรองรับ AI (AI Transformation)
อย่างไรก็ดีในรายงานกล่าวว่า “AI มีศักยภาพที่จะเพิ่มการเติบโตของผลิตภาพโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจภายในทศวรรษหน้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์รายละเอียดของผลกระทบในอนาคต แต่การประมาณการบางส่วนชี้ให้เห็นว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า”
นอกจากนี้ยังมีผลพลอยได้จาก AI ที่มีต่อความเร็วในการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อีกด้วย
คำถามชวนคิดในประเด็นนี้คือ ประเทศไทยเราจะได้ประโยชน์จาก AI ด้านผลิตภาพและนวัตกรรมได้อย่างไรในขณะที่การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของเรายังต่ำมาก
สำหรับผลกระทบอื่น ๆ ในบริบทของประเทศไทยนั้น หากจะเชื่อมโยงจากประเด็นในบริบทของอเมริกาคงเป็นการยากไม่ใช่น้อย เพราะเรา(ยัง)ไม่ได้มีการระดมสมองจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนง และเราไม่ได้เป็นผู้สร้าง AI ทำให้การคาดคะเนวิวัฒนาการของ AI เป็นไปได้ยาก
แต่ถ้ามองยุทธศาสตร์แบบพื้น ๆ ภายใต้ข้อจำกัดของไทยข้างต้น เสมือนมีทาง 2 แพร่งให้เลือกคือ 1) การใช้ AI ทดแทนตำแหน่งงานตามที่ได้ยินกันมาบ่อย ๆ ว่า เราอาจจะตกงานเพราะ AI ทั้ง ๆ ที่ค่าจ้างเราถูกกว่าอเมริกา ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือ 2) จะใช้ AI มาเสริมศักยภาพของพนักงานที่มีอยู่ (Reskills/Upskills) หรือแม้กระทั่งโอนย้ายไปสู่ตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่เกิดจาก AI ก็ยังได้
เสริมด้วยการมองในมุมที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงความเชี่ยวชาญของเราไปอย่างไร โดยยังไม่ลืมเรื่องการมีกรอบธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความยุติธรรมไม่เกิดปัญหา AI Divide เหมือนที่เคยเกิด Digital Divide มาแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ฮาร์วาร์ดค้นพบ 1 อาหารยืดอายุขัย กินแค่วันละ 28 กรัม หัวใจแข็งแรง-น้ำตาลในเลือดคงที่

วิจัย14 ปี ฮาร์วาร์ดพบว่าการกิน “โจ๊กธัญพืชไม่ขัดสี” หนึ่งชามทุกวัน ช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดศึกษาประชากรมากกว่า 118,000 คน และค้นพบอาหารประเภทหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการยืดอายุได้ โดยการรับประทานวันละ 28 กรัม จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
การศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (JAMA) โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารที่มีธัญพืชไม่ขัดสีเป็นส่วนประกอบมากสามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้อย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศึกษานี้ได้ติดตามผู้หญิงมากกว่า 74,000 คน และผู้ชายเกือบ 44,000 คน ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 จนถึงปี 2010 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่รับประทานธัญพืชไม่ขัดสีเฉลี่ย 28 กรัมต่อวัน มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตต่ำกว่ากลุ่มอื่น 5% และมีอายุขัยยืนยาวขึ้นหลายปี ที่น่าสังเกตคือ ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในกลุ่มนี้ลดลงสูงสุด 9% ผลลัพธ์นี้ได้รับการยืนยันหลังจากตัดปัจจัยรบกวนต่างๆ เช่น อายุ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และดัชนีร่างกายออกไปแล้ว
นอกจากจะช่วยปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือดแล้ว นักวิจัยยังพบว่าโจ๊กธัญพืชเต็มเมล็ดยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแออีกด้วย ด้วยเนื้อสัมผัสที่นุ่มและย่อยง่าย โจ๊กจึงช่วยลดภาระของกระเพาะอาหาร ช่วยสนับสนุนกระบวนการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าธัญพืชไม่ขัดสีอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี สารต้านอนุมูลอิสระ และสารประกอบจากพืชที่มีประโยชน์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และลดการอักเสบ ผลการวิจัยครั้งนี้ตอกย้ำคำแนะนำให้รับประทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นประจำทุกวัน เพื่อยืดอายุและป้องกันโรคเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดร. เทียน หยานเทา หัวหน้าแผนกศัลยกรรมตับอ่อนและกระเพาะอาหาร โรงพยาบาลมะเร็ง สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์จีน ให้คำแนะนำ 2 ประการ
1. อย่ากินแต่โจ๊กเท่านั้น
คุณค่าทางโภชนาการของโจ๊กชนิดนี้ค่อนข้างเรียบง่าย โดดเด่นด้วยปริมาณน้ำที่สูง และหลังจากรับประทานแล้วมักจะรู้สึกอิ่มเร็ว ดังนั้น เมนูอาหารประจำวันจึงไม่ควรรับประทานแค่โจ๊กเท่านั้น แต่ยังควรเพิ่มอาหารหลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับร่างกายอีกด้วย ขณะปรุง คุณสามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ผัก และธัญพืชต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติของโจ๊กได้
อย่ากินโจ๊กกับผักดองหรืออาหารมันๆ อื่นๆ เพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันและเกลือมากเกินไป ควรรับประทานโจ๊กร่วมกับผักและอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น กุ้ง เนื้อไม่ติดมัน เนื้อวัว เป็นต้น
2. ผู้ที่ไม่ควรรับประทานโจ๊กชนิดนี้
ดร. เทียน หยานเทา ระบุว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคกรดไหลย้อนไม่ควรรับประทานโจ๊กชนิดนี้ เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งไม่ดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ โจ๊กยังกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารหลังจากเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนและทำให้อาการแสบร้อนกลางอกรุนแรงขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 63,200.00 | 63,300.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,085.00 | 61,928.60 | 64,100.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,676.50 | 55,735.74 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,268.00 | 49,542.88 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,838.25 | 27,867.87 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,429.75 | 21,675.01 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,233.16 | 64,174.71 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.65 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.44 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







