Wellness Blueprint โอกาสอสังหาฯ ที่คนยอมจ่ายเพื่อคุณภาพชีวิต

เทอร์ร่า มีเดียเผยอินไซต์ที่คนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อคุณภาพชีวิตดี ส่งผลให้ตัวแปรเวลเนสกำลังจะกลายเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ไทยในทศวรรษหน้า
งานวิจัยจาก TerraHint Brand Series 2025 เปิดแผนที่ความต้องการใหม่ของผู้อยู่อาศัย ตั้งแต่บาลานซ์ชีวิต–สุขภาพ ไปจนถึงผู้แสวงหาคุณภาพชีวิตแบบองค์รวม ชี้ชัด “บริการ” คือเกมใหม่ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องแข่งให้ชนะใจบนเวทีสัมมนาประจำปีของ TerraBKK ครั้งที่ 8มาคำตอบว่า “ผู้ซื้อบ้านวันนี้คิดอะไรอยู่?”
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง ระบุว่า โจทย์ของปีนี้ ไม่ใช่แค่สร้างบ้าน แต่คือสร้างคุณภาพชีวิต เพราะจากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2,000 คน บอกเล่าเรื่องเดียวกันอย่างน่าสนใจว่า คนไทยให้คำนิยามของ “Wellness” คือ คุณภาพชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี และความปลอดภัย 3 คำที่สะท้อนตรง ๆ ถึงปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อบ้านในวันนี้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงนี้… คำว่า “อยู่ดี” ไม่ได้มีความหมายเดียวกันในทุกวัย ทุกภาระ และทุกไลฟ์สไตล์อีกต่อไป
4 กลุ่มกำลังซื้อใหม่ที่กำลังจะกำหนดทิศตลาดที่อยู่อาศัย
งานวิจัยของ Terra Media สรุปชัดว่า ผู้บริโภคยุคนี้แยกตัวออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ตามวิธีดูแลสุขภาพและมุมมองต่อการใช้ชีวิต—ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่าตลาดอสังหาฯ กำลังเปลี่ยนทิศอย่างเป็นระบบ
1) THE BALANCED SOCIALIZER — 34%
กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการ “บาลานซ์” ระหว่างสุขภาพและชีวิตสังคม พวกเขาอยากดูแลสุขภาพ แต่ไม่ยอมทิ้งการพบปะผู้คน การท่องเที่ยว หรือไลฟ์สไตล์สนุกสนานที่
อยู่อาศัยที่ต้องการ บริการอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีประหยัดเวลา และบริการสุขภาพความงามครบเซต
2) THE ASPIRING SELF-IMPROVER — 34%
กลุ่มที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เลือกดูแลสุขภาพแบบเฉพาะทาง ไม่เน้นสังคมมาก แต่เน้นคุณภาพการพักผ่อน
ที่อยู่อาศัยในฝัน: บริการเหนือระดับ เช่น Room Service, Concierge และระบบความปลอดภัยที่ไว้ใจได้
3) THE CASUAL EXPLORER — 24%
ครอบครัวรุ่นใหม่ อยากดูแลสุขภาพแต่ติดภาระงาน–ลูก–ชีวิตจริง
สิ่งที่ต้องการมากที่สุด: บริการพื้นฐานที่ช่วยแบ่งเบาหน้าที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เช่น รถรับ–ส่งโรงพยาบาล
4) THE HOLISTIC WELLNESS — 14%
คนกลุ่มเล็กแต่กำลังเติบโตเร็ว ให้ความสำคัญกับสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งกาย–ใจ–สังคม
บ้านในอุดมคติ: พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ บริการเวลเนสครบวงจร และระบบความปลอดภัยระดับสูง
“Wellness ไม่ใช่แค่ฟิตเนสหรือสปา แต่คือสภาพแวดล้อมและบริการที่ทำให้ผู้คน ‘ใช้ชีวิตได้ดี’ ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน”
บริการคือสมรภูมิใหม่
เมื่อความหมายของ Wellness แตกต่างกัน ผู้พัฒนาโครงการก็ต้องออกแบบ “ประสบการณ์เยี่ยมชมโครงการ” ให้ตรงใจแต่ละกลุ่ม
บ้านเดี่ยว: Premium & Respectful Service
ลูกค้าบ้านเดี่ยวเชื่อว่า
“Service quality = Home quality”
จึงคาดหวังบริการระดับสูงตั้งแต่รถรับ–ส่ง เครื่องดื่มต้อนรับ ไปจนถึงรายละเอียดการนำชมโครงการ
ทาวน์โฮม: Sincerity Over Luxury
กลุ่มนี้ต้องการความจริงใจมากกว่าความหรูหราเซลล์ต้องบอกตรงไปตรงมา ทั้งจุดเด่น–ข้อจำกัด ไม่แต่งเรื่อง
คอนโด: Professional, No Pressure
ลูกค้าคอนโดอยากได้ “ข้อมูลครบ–ตัดสินใจง่าย–ไม่ถูกกดดัน”
การขายต้องเป็นระบบ มีข้อมูลพร้อม และเคารพการตัดสินใจของลูกค้า
ตลาดอสังหาฯ กำลังเปลี่ยนด้วยนิยามใหม่ของคำว่า “อยู่ดี”
สิ่งที่งานวิจัย TerraHint Brand Series 2025 บอกเราคือตลาดอสังหาฯ ไม่ได้แข่งขันกันที่ “ขนาด–ราคา–ทำเล” แบบเดิมอีกต่อไป แต่กำลังแข่งขันกันที่ “สูตรการสร้างคุณภาพชีวิต”
เพราะเมื่อผู้ซื้อเริ่มถามตัวเองว่า
“บ้านนี้ช่วยให้ฉันอยู่ดีขึ้นได้ยังไง?”
นั่นคือเวลาที่ผู้พัฒนาต้องตอบให้ได้มากกว่าการขายพื้นที่… แต่ต้องขาย “ชีวิตที่ดีขึ้น”
Wellness Blueprint คือเข็มทิศใหม่ของอสังหาฯ ไทย ใครเข้าใจก่อน คือผู้ชนะในเกมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วิกฤตบ้านต่ำล้านโดนยึดพุ่ง 210% ดันอุปทานบ้านมือสองโต

- ยอดการยึดทรัพย์สินประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท พุ่งสูงขึ้นถึง 210% ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน
- วิกฤตการยึดบ้านส่งผลให้ปริมาณบ้านมือสองในตลาดเพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้ตลาดบ้านมือสองเติบโตขึ้นจนมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของตลาดรวม
- การเพิ่มขึ้นของบ้านมือสองสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ ดึงดูดนักลงทุนและนายหน้าเข้ามาซื้อทรัพย์สินที่ถูกยึด แต่ยังสะท้อนสัญญาณของตลาดอสังหาริมทรัพย์
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยในปี 2568 กำลังก่อรูปเป็นแรงกดดันลูกใหม่ที่ส่งผลลึกลงไปถึงตลาดที่อยู่อาศัยและเสถียรภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก โดยข้อมูลไตรมาส 2/2568 จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) บ่งชี้ชัดว่าภาค
ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางต่อเนื่อง แม้มูลค่าหนี้จะลดลงเล็กน้อยเหลือ 16.31 ล้านล้านบาท แต่การลดลงเพียง 0.3% แต่สะท้อนความระมัดระวังของสถาบันการเงินที่เริ่มชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ หลังคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงมาอยู่ที่ 86.8% ซึ่งถือเป็นระดับตํ่าสุดในรอบ 6 ไตรมาส แต่ก็เป็นการลดลงบนฐานของเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มรูปแบบ
ในเชิงคุณภาพหนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วันหรือ NPL ซึ่งมีมูลค่าทะลุ 1.24 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.11% ของสินเชื่อรวม สูงขึ้นจาก 8.78% ในไตรมาสก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ
โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตที่ครัวเรือนจำนวนมากใช้ประคองสภาพคล่องที่หดตัวจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น สินเชื่อรถยนต์เองหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 สะท้อนถึงกำลังซื้อที่หายไปในระดับกว้าง ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแม้จะมีการขยายตัว 1.7% แต่ก็เป็นผลจากแรงกระตุ้นชั่วคราวของมาตรการ LTV และการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวของความสามารถในการผ่อนชำระของประชาชน
ภาพดังกล่าวขยายใหญ่ขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกำลังเผชิญแรงกระแทกโดยตรงจากคุณภาพหนี้ที่เสื่อมถอย โดยยอดการยึดทรัพย์ ทั้งบ้านและคอนโด เพิ่มสูงขึ้นกว่า 210% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นรุนแรงที่สุดในกลุ่มบ้านราคาตํ่ากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดของกลุ่มรายได้ตํ่าและ First Jobber ที่กำลังซื้อยังอ่อนแรงเป็นทุนเดิมจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงและดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานาน
เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนยิ่งตอกยํ้าความรุนแรงของสถานการณ์ โดย นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเผชิญแรงบีบทั้งจากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยบ้านที่อยู่ราว 6%
แต่เมื่อกลายเป็น NPL อัตราดอกเบี้ยสามารถทะยานไปถึงระดับเลขสองหลัก หรือสูงได้ถึง 18% ทำให้ลูกหนี้จำนวนมากตกอยู่ในสภาพชำระไม่ไหวก่อนจะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลลัพธ์คือครอบครัวจำนวนมากต้องสูญเสียบ้าน ขณะที่ทรัพย์ที่ถูกยึดและเข้าสู่สถานะ NPA มีจำนวนสูงถึง 67,000 หน่วยในไตรมาสเดียว สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อทั้งตลาดและสังคม
ท่ามกลางภาพ NPL ที่พุ่งสูง หนึ่งในกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ “กลุ่มเฝ้าระวัง” หรือกลุ่ม Special Mention (SM) ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่เริ่มขาดชำระ 1-2 งวด แม้จะยังไม่ถูกจัดเป็น NPL แต่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในการไหลเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยนายสุนทร ระบุว่ากลุ่ม SM คือ “แนวหน้า” ของความเสี่ยงในวิกฤตครั้งนี้ เพราะหาก
ไม่เร่งป้องกันและช่วยเหลือทันทีจะกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ของบ้านถูกยึด และจะทำให้ปริมาณทรัพย์ NPA เพิ่มขึ้นอีกมากในช่วงปีหน้า การเร่งทำไกล่เกลี่ย ปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้น และใช้กลไก Consolidated Debt เพื่อรวมดอกเบี้ยสูงเข้ามาไว้ภายใต้ดอกเบี้ยบ้านคือทางรอดเดียวที่จะกันกลุ่มนี้ไม่ให้ไหลไปสู่ NPL ซึ่งวันนี้มีตัวเลขน่าห่วงแตะ 1.24 ล้านล้านบาทแล้ว
เมื่อขยับไปดูโครงสร้างตลาดบ้านมือสอง ภาพกลับตัดกับตลาดบ้านใหม่อย่างชัดเจน โดยตลาดบ้านมือสองเติบโตจนมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของตลาดรวม จากเดิมที่ใกล้เคียงกันระหว่างบ้านใหม่และบ้านมือสอง ปัจจัยหลักคือราคาบ้านมือหนึ่งที่ขยับขึ้นตามต้นทุนวัสดุก่อสร้างและแรงงาน ทำให้บ้านใหม่ในทำเลใกล้เคียงกันเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองยังมีราคาเฉลี่ยไม่ถึง 3 ล้านบาท จึงเป็นตัวเลือกที่ย่อยง่ายกว่าในภาวะที่ความสามารถในการกู้บ้านลดลง
การเติบโตของตลาดบ้านมือสองยังดึงดูด “กองทัพมด” ที่เป็นกลุ่มนายหน้า ช่างอินทีเรีย และสถาปนิกที่ไล่หาซื้อบ้านจากกรมบังคับคดีหรือทรัพย์ NPA เพื่อนำมา Renovate และขายต่อ รวมถึงนักลงทุนเอกชนที่ใช้โมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Agency Model ที่สร้างแพลตฟอร์มจับคู่ซื้อขาย
ไปจนถึง Flip Model ที่วางเงินมัดจำซ่อมและขายต่อโดยไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ และ Coin Invest ที่นักลงทุนรายใหญ่จับมือพันธมิตรลงทุนร่วมกันคล้ายกองทุนขนาดย่อม กลไกเหล่านี้ทำให้ตลาดบ้านมือสองมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น แต่ก็สะท้อนถึงความจริงอีกด้านหนึ่ง-คือมีบ้านเข้าสู่ระบบ NPA จำนวนมากพอที่จะก่อให้เกิดระบบธุรกิจทั้งเชนขึ้นมาได้

ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เข้มข้น สภาพัฒน์ยํ้าว่าความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และเสนอให้เร่งช่วยเหลือลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยเฉพาะการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนและหลังถูกศาลสั่ง เพื่อชะลอหรือป้องกันการสูญเสียที่อยู่อาศัย ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาสังคมสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านตํ่ากว่า 3 ล้านบาท โดยมีโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เป็นช่องทางช่วยเหลือและต้องหาวิธีขยายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมลูกหนี้ Non-bank ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักแต่กลับเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดจากภาคเอกชน คือการผลักดัน “Consolidated Debt” หรือการรวมหนี้ดอกเบี้ยสูงให้เป็นหนี้ระยะยาวโดยมีบ้านเป็นหลักประกัน ซึ่ง นายสุนทร ระบุว่าเป็นหนึ่งใน 3 ข้อเสนอที่ได้หารือเพื่อยื่นต่อกระทรวงการคลัง และเริ่มเห็นธนาคารบางแห่ง เช่น TTB และ BBL นำไปใช้ในรูปแบบการรวมหนี้ต่างประเภทเข้ามาอยู่ใต้ดอกเบี้ยบ้านที่ราว 6% ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสรอดจากการตกเป็น NPL มากขึ้น แต่แนวทางนี้ยังทำได้ไม่ครอบคลุม และจำเป็นต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงปรับกฎหมายบางส่วนเพื่อให้สามารถใช้ได้กับทุกประเภทหนี้อย่างแท้จริง
ในขณะที่วิกฤตหนี้กำลังลุกลาม ความท้าทายที่แท้จริงคือการประคองตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ถูกแรงกระแทกจนเข้าสู่ภาวะชะงักงันรอบใหม่ เพราะภาคอสังหาฯ ไม่ได้เป็นเพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นฐานของความมั่นคงทางสังคม การสูญเสียบ้านของประชาชนสะท้อนถึงชีวิตและอนาคตของครอบครัวที่อาจได้รับผลกระทบ การเร่งมาตรการช่วยเหลือก่อนที่ไฟจะลุกลามไปไกลกว่านี้ จึงเป็นภารกิจสำคัญของทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องร่วมมือกันในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของเศรษฐกิจไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28พ.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ในกรอบที่ระดับ 32.15-32.30 บาท/ดอลลาร์นี้ ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ และในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ตลาดรอประเมิน แนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการเดือนพ.ย.
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28 พ.ย.2568 ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.24 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น
แต่จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน นอกจากนี้ เรายังพอเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ไทยจากฝั่งนักลงทุนต่างชาติบ้าง ซึ่งอาจจำกัดการแข็งขึ้นของเงินบาทในช่วงระยะสั้นได้
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน เพื่อรอรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลักเพิ่มเติม รวมถึงรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ อย่าง พัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
โดยเรามองว่า อาจต้องรอลุ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม ที่จะมีรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชน ทั้ง ADP และ Revelio
อนึ่ง แม้ว่าตลาดจะรับรู้รายงานดัชนี PMI ของจีน ในช่วงวันอาทิตย์นี้ แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนดังกล่าว ออกมาดีกว่าคาด หรือ แย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY)
และบรรยากาศของตลาดการเงินเอเชีย ในช่วงวันทำการของตลาดการเงินเอเชียในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็สามารถส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน โดยหากผู้เล่นในตลาดมีความมั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมากขึ้น ก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของทั้งเงินหยวนจีนและเงินบาทได้
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026)
และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.20-32.26 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินที่เบาบางลงจากปกติ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ
โดยการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลักยังคงสอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ได้ (โอกาสยังคงอยู่แถว 83%)
ทั้งนี้ ในช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย เงินบาทพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างจำกัดในช่วงนี้ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครอง ช่วงปลายเดือนของผู้เล่นในตลาด
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุดเทศกาล Thanksgiving แต่ความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนจากสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นราว +0.20%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.14% แม้โดยรวมตลาดหุ้นยุโรปจะพอได้อานิสงส์จากความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มการเงินอังกฤษ
อย่าง Lloyds Bank +3.0% ตอบรับอานิสงส์จากแผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษที่คงยกเว้นภาษีเฉพาะของธนาคาร ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันตามการขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare บางส่วน อาทิ Roche -1.2%, Novo Nordisk -1.1%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างของบรรดาสกุลเงินหลัก ท่ามกลางความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทว่าเงินดอลลาร์ก็เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ท่ามกลางปริมาณการทำธุรกรรมที่เบาบางลงในช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.5-99.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ยังพอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย สู่โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก ทว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน
รวมถึงติดตามการประชุมของกลุ่ม OPEC+ และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.21-32.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวใกล้ๆ ระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยแม้เงินบาทจะยังคงมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่คงต้องจับตาแรงหนุนในด้านแข็งค่าที่อาจมีเพิ่มขึ้นในระหว่างวันตามทิศทางของเงินเยนที่น่าจะได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น หลังเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่เปิดเผยออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด
ประกอบกับ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.10-32.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนต.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ลิเวอร์พูล เซ็น4แข้งใหม่! ไลน์อัพหงส์ 3-4-3 หากตั้ง อลอนโซ่ คุมทีม

หลังพาทีมแพ้คารังต่อ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น 4-1 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อนาคตของ อาร์เน่อ สล็อต กุนซือดัตช์ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเป็นทวีคูณ
แม้ถึงขณะนี้ บอร์ด หงส์แดง ยังไม่มีความคิดปลดกุนซือดัตช์ แต่ไม่วายที่สื่อจะเริ่มลือถึงตัวเลือกนายใหญ่คนใหม่ของถิ่น แอนฟิลด์ ออกมาแล้วและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ ชาบี อลอนโซ่ อดีตมิดฟิลด์ของสโมสรซึ่งเคยบอกปัดการทาบทามจาก เร้ด แมชีน มาแล้วเพื่อคุมทีม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ต่อ
แม้ถึงขณะนี้ โค้ชสแปนิชจะกุมบังเหียน เรอัล มาดริด แต่เขามีปัญหาไม่ลงรอยกับลูกทีมหลายรายโดยเฉพาะ วินิซิอุส จูเนียร์ ซึ่งประกาศล้มแผนต่อสัญญาหลังความสัมพันธ์ของเขากับเจ้านายเลวร้ายลงทุกที
ด้วยเหตุนี้ สื่อเมืองกระทิงจึงคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่ อลอนโซ่ อาจแยกทางกับ ราชันชุดขาว อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะหากเขาคุมทีมล้มเหลวในแง่ของการคว้าโทรฟี่
ในฐานะกุนซือฝีมือดี เชื่อแน่ว่าสาวก เดอะ ค็อป พร้อมอ้าแขนต้อนรับ อลอนโซ่ ให้กลับมากู้วิกฤตของสโมสรแทน สล็อต
ทั้งนี้ หาก ลิเวอร์พูล เปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมจริง มีการคาดหมายว่า อลอนโซ่ จะเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่สี่รายโดยโฉมหน้า 11 นักเตะตัวจริงของถิ่น แอนฟิลด์ จะเป็นไปดังนี้
– ผู้รักษาประตู : อลิสซง เบ็คเกอร์
แม้จะมีอายุอานามมากขึ้นทุกที แต่นายทวารทีมชาติ บราซิล ไม่ได้มีฝีไม้ลายมือที่ตกหล่นลงไปมากมายอะไร และจะยังรั้งมือหนึ่งของทีมเช่นเดิมในยุคของเจ้านายใหม่
– กองหลัง : มาร์ค เกฮี , เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ , อเลสซานโดร บาสโตนี่
ตามแนวทางของ อลอนโซ่ ลิเวอร์พูล จะหันมาเล่นในระบบหลังสามโดย เกฮี เป้าหมายเบอร์หนึ่งของสโมสรจะถูกดึงมาจาก คริสตัล พาเลซ
นอกจากนี้ บาสโตนี่ กองหลังทีมชาติ อิตาลี ของ อินเตอร์ มิลาน จะย้ายมาฟอร์มแนวรับโฉมใหม่เช่นกันโดยจะเหลือกัปตัน ฟาน ไดค์ เป็นแกนหลักรายเดียว
– กองกลาง : เจเรมี่ ฟริมปง , ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ,โดมินิค โซโบซไล , มิลอส เคอร์เคซ
ในฐานะเคยเป็นลูกทีมของ อลอนโซ่ มาก่อนที่ เลเวอร์คูเซ่น วิงแบ็คขวาทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ จะได้ประสานงานร่วมกับ เคอร์เคซ ที่จะทำหน้าที่ทางริมเส้นด้านซ้าย
สำหรับคู่แดนกลาง โซโบซไล จะรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้เนื่องจากขุนพลทีมชาติ ฮังการี เป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของ หงส์แดง ขณะที่ ชูอาเมนี่ ที่ร่วมงานกับ อลอนโซ่ ในทีม ราชันชุดขาว จะถูกหนีบให้ย้ายมาร่วมงานกับบอสสแปนิชที่ แอนฟิลด์
– กองหน้า : ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ , อเล็กซานเดอร์ อิซัก , อองตวน เซเมนโย่
โม ซาลาห์ จะหลุดโผอย่างแน่นอนเนื่องจากดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ โชว์ฟอร์มไม่ออกในซีซั่นนี้ และแม้ เวียร์ตซ์ จะไม่ต่างอะไรกัน แต่ อลอนโซ่ แสดงให้เห็นว่าเขารู้วิธีใช้งานสตาร์ทีมชาติ เยอรมนี สมัยที่เขาประสบความสำเร็จในการคุมทีม ห้างยา
สำหรับแผงรุกทางซ้าย หงส์แดง จะดึง เซเมนโย่ มาเสริมทัพเนื่องจากดาวเตะทีม บอร์นมัธ อยู่ในลิสต์ของสโมสร ขณะที่ อิซัก จะถูกเลือกให้รับหัวหอกก่อนหน้า อูโก้ เอกิติเก้
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“อดนอน” ไม่ใช่เรื่องตลก! อันตรายจากการอดนอนที่ไม่ควรมองข้าม

อันตรายจากการ อดนอน ที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
การนอนหลับอย่างเพียงพอคือช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายได้พักฟื้นและซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะ อดนอน อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการนอนไม่พอไม่ได้ส่งผลแค่ความง่วงหรือไม่สดชื่นในวันถัดไปเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสุขภาพในหลายด้านอย่างคาดไม่ถึง
ผลกระทบต่อร่างกายเมื่อต้องเผชิญภาวะ อดนอน
ผลกระทบของการนอนน้อยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หากเป็นการอดนอนเพียงไม่กี่วัน ร่างกายอาจแสดงอาการอ่อนล้า หงุดหงิด วิตกกังวล หรือทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานได้ง่าย แต่หากมีภาวะอดนอนเป็นประจำเรื้อรัง จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ
การอดนอนเรื้อรังส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก นอกจากนี้ การนอนน้อยยังทำให้ความสามารถในการทำงานของสมองลดลง โดยเฉพาะด้านสมาธิและความจำ ทำให้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด และเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากความง่วง หรือการตัดสินใจที่ช้ากว่าปกติได้อีกด้วย
จำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย
จำนวนชั่วโมงนอนหลับที่เหมาะสมในแต่ละคืนจะแตกต่างกันไปตามช่วงวัย เพื่อให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ซึ่งสามารถแบ่งช่วงเวลาโดยประมาณได้ดังนี้
- เด็กและวัยรุ่น: ควรนอนหลับประมาณ 8–10 ชั่วโมง
- วัยทำงาน: ควรนอนหลับประมาณ 6–8 ชั่วโมง
- ผู้สูงอายุ: ควรนอนหลับประมาณ 5–6 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่ปริมาณชั่วโมงเท่านั้นที่สำคัญ แต่ “คุณภาพการนอน” ก็สำคัญไม่แพ้กัน การหลับสนิทตลอดคืน ไม่ตื่นกลางดึก และไม่มีสิ่งรบกวนภายนอกถือเป็นสิ่งสำคัญ การนอนที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ มักมีการรบกวนวงจรการนอนซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ง่ายกว่า
ปรับพฤติกรรมเพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น
แม้หลายคน โดยเฉพาะคนวัยทำงาน จะมีภาวะ อดนอน จากการทำงานหรือไลฟ์สไตล์ การปรับพฤติกรรมเล็กน้อยสามารถช่วยให้คุณภาพการนอนดีขึ้นและส่งผลดีต่อสุขภาพได้ในระยะยาว เช่น การหลีกเลี่ยงคาเฟอีนในช่วงเย็น การปรับห้องนอนให้มืดและเงียบ และการเข้านอนและตื่นนอนในเวลาใกล้เคียงเดิมทุกวัน
การปิดหน้าจอมือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนเข้านอนอย่างน้อย 30 นาทีก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อคุณรู้สาเหตุที่ทำให้ตัวเองนอนไม่พอและสามารถจัดการต้นเหตุเหล่านั้นได้ จะช่วยให้คุณพักผ่อนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตโดยรวม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
100 แคปชั่นหน้าหนาว 2025 กวนๆ อ่อยๆ รับลมหนาว อากาศหนาว

แคปชั่นอ่อยหน้าหนาว สำหรับคนโสด
- หนาวอ่ะไปอยู่กับเขา แต่ถ้าเหงาอ่ะมาอยู่กับเรานะ
- อากาศหนาวทำให้หน้าชา แต่เธอมองมาทำให้หน้าแดง
- ห่มจีวรอ่ะเป็นพระ ห่มผ้าด้วยนะอ่ะเป็นห่วง
- ถ้าเธอหนาวเราพร้อมจะเป็นที่ซบ แต่ถ้าเธออยากคบเราพร้อมจะเป็นที่รัก
- หน้าหนาวเราก็ชอบนะ แต่ชอบหน้าเธอมากกว่า
- หน้าหนาวทำให้เหงา แล้วหน้าอย่างเรา ทำให้เธอรักได้ปะ
- ข้างไหนจะอุ่นกว่า ข้างเตา หรือข้างเรา
- หน้าหนาวอยากได้ไออุ่น ส่วนหน้าอย่างคุณอ่ะ เราอยากได้เป็นแฟน
- นั่งข้างนอกมันหนาว ขอนั่งในใจเธอยาวๆ ได้ป่าว
- หน้าหนาวอาจทำให้เธอเหงา หน้าเราอาจทำให้เธอรัก
- หน้าหนาวต้องยกให้ภาคเหนือ น่ารักแบบเหลือๆ ต้องยกให้เธอ
- ก็ไม่ชอบหน้าหนาวสักเท่าไหร่ ใจมันชอบหน้าเธอมากกว่า
- นั่งข้างนอกมันหนาวเกินไป ขอไปนั่งในใจเธอแทนได้ป่าว
- สวมเสื้อหลายตัวก็ยังไม่อุ่น เลยอยากให้คุณมาลองสวมกอด
- ไม่อยากมีเธอไว้กอดแค่หน้าหนาว แต่อยากมีไว้ให้กอดแบบยาวๆ ไม่ว่าจะฤดูไหน
- อากาศหนาวอาจติดลบ แต่ถ้าคบเราอาจติดใจ
- หน้าหนาวต้องยกหื้อภาคเหนือ แต่น่าฮักปะล่ำปะเหลือยกหื้อตั่วได้ก่อ
- อาการหนาวแบบนี้เปลี่ยนจากกอดตัวเอง เป็นกอดเตงได้ป่ะ
- อากาศหนาวให้ปิดแอร์ ถ้าอยากมีคนเทคแคร์อย่าปิดใจ
- อากาศดีเหมือนเปิดแอร์ อยากได้คนแทคเเคร์ต้องเปิดใจ
- จะหน้าหนาวหรือหน้าไหน ก็ไม่หวั่นไหวเท่าหน้าเธอ
- หน้าหนาวทำให้เหงา หน้าอย่างเราทำให้รัก (ได้ป่ะ)
- หน้าหนาวอยากได้ไออุ่น แต่หน้าอย่างคุณอ่ะ อยากได้เป็นแฟน
- หนาวมั้ย มาอยู่ในใจเราดิ
- ถ้าเธอหนาวเราพร้อมจะเป็นที่ซบ แต่ถ้าเธออยากคบเราพร้อมจะเป็นที่รัก
- ระหว่างแสงแดด กับอ้อมกอดคุณ อะไรจะอุ่นกว่ากัน
- หน้าหนาวบริการให้กอดฟรี ถ้าเค้าบริการไม่ดีให้กอดคืน
- ถ้าห่มผ้าแล้วยังหนาว มากอดเราป่าว อุ่นนะ
- หนาวเเล้วให้ผิงไฟ หนาวใจให้พิงเรา
- หนาวนี้ขาดผ้าห่มไม่เป็นไร แต่ถ้าขาดเธอไป เราไม่โอเค
- คิดถึงก็บอก ไม่ต้องแกล้งถามหรอกว่าหนาวไหม
- ไม่ชอบหน้าหนาว เราชอบหน้าเธอ
- หนาวจนแก้มเย็น ไม่เชื่อ ลองเอาจมูกมาแตะดูก็ได้
- จะบอกหนาวก็หาว่าหยอด จะบอกว่าอยากกอดก็ตรงไป
- น้ำร้อนปลาเป็น น้ำห้องเราไม่เย็นมาอาบไหม
- ไม่อยากเจอหรอกหน้าหนาว อยากเจอหน้าขาวๆ ของเธอมากกว่า
- หน้าหนาวต้องธันวา แต่ถ้าเธอมองมาต้องมีใจ
- น้ำร้อนปลาเป็น น้ำบ้านเราเย็นขอไปอาบน้ามบ้านเทอได้มั้ย
- หนาวนี้ยินดีกอดฟรี กอดไม่ดียินดีกอดคืน
- ไม่อยากมีเธอไว้กอดแค่ฤดูหนาว แต่อยากมีไว้กอดแบบยาวๆ ไม่ว่าจะฤดูไหน
แคปชั่นหน้าหนาวกวนๆ แคปชั่นหน้าหนาวตลกๆ
- เธอที่เย็นชา ยังไม่สู้น้ำประปาที่เย็นเฉียบ
- ถึงจะหนาวกาย แต่ร้อนเงินอยู่ดี
- หนาวแค่ไหนก็ไม่กลัว เพราะไขมันส่วนตัวเรามีเยอะ
- เมื่อฤดูหนาวเวียนกลับมา ค่าน้ำประปาก็ลดลง
- หนาวกว่าอากาศ ก็บรรยากาศกระเป๋าตังค์ตอนสิ้นเดือน
- คนอื่นหนาวนี้จะกอดใคร ส่วนเราหนาวนี้จะอาบน้ำยังไงก่อน!
- อากาศหนาวมีไม่บ่อย แต่อาการอ่อยมีไม่ขาด
- อย่าเอาชีวิตมีค่า ไปเสี่ยงกับน้ำประปาราคาถูก
- ตั้งแต่ลมหนาวมา น้ำประปาก็ไม่สำคัญ
- ถือผ้าเช็ดตัวโก้ๆ แล้วไปยืนโง่ๆ ในห้องน้ำ
- หนาวกายเพียงไร … ก็ไม่เคยหยุดร้อนเงิน
- ความแรงของลม ยังสู้ความโสดของเราไม่ได้เลย
- หนาวนี้กอดใคร … หนาวไหม? ถามเฉยๆ
- ถ้าเธอหนาว มาอยู่กับเราไหม … เราอยู่นรกนะ
- หนาวนี้กอดใคร หนาวไมค์ภิรมย์พร
- เห็นตัวสั่นนึกว่าหนาว อ๋อเปล่าอยากมีแฟน
- หน้าหนาวปากแตก หน้าเราแปลกเธอชอบมั้ย
- ต้องหนาวแค่ไหน เราถึงจะหายร้อนเงิน
- ลืมเธอว่ายากแล้ว อาบน้ำยังยากกว่าอีก
- หนาวนี้กอดใคร หนาวมั้ยเอาตังไปซื้อผ้าห่มนะ
แคปชั่นหน้าหนาว แคปชั่นหนาวใจ สำหรับคนเหงา คนเศร้า
- ลำปางอ่ะหนาวแน่ แต่ยังดีกว่าคนแย่ๆ ที่ทำให้หนาวใจ
- จุดที่หนาวที่สุดไม่ใช่บนดอย แต่เป็นจุดที่รอคอยแล้วไม่มาสักที
- ตอนนี้อ่ะหนาวเย็น แต่สิ่งที่เป็นอ่ะหนาวใจ
- ลำปางหนาวมั้ย ลำพังหนาวมาก
- ผิวที่แตกลาย ยังดีกว่าใจที่แตกร้าว
- กอดตัวเองท่ามกลางความหนาวเย็น ดีกว่าทนเห็นเธออบอุ่นอยู่กับใคร
- หนาวจับใจ แต่ยังไม่มีใครให้จับมือ
- ไม่ว่าอากาศจะเย็นลงกี่องศา คงไม่เท่าความเย็นชาที่เธอมี
- หนาวกายอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่หนาวใจนี่สิเกินจะทน
- จะหนาวก็หนาวให้ตลอด ซ้อมกอดตัวเองมานานแล้ว
- อากาศอ่ะหนาว ส่วนเราอ่ะเหงา
- โสดหน้าหนาว เสื้อแขนยาวก็เอาไม่อยู่
- ลืมเธอว่ายากแล้ว อาบน้ำยังยากกว่าอีก
- ที่เราหนาวจับใจ เพราะไม่มีใครมาจับจอง
- หนาวจับใจ เพราะไม่มีใครจับจอง
- อากาศทำให้รู้สึกหนาว แต่เธอมีเขาทำให้รู้สึกเจ็บ
- ต้องหน้าหนาวอีกกี่รอบ ถึงจะเจอคนที่ชอบสักที
- ต้องติดลบกี่องศา ถึงจะเย็นชาเท่าใจเธอ
- หนาวกายไม่เท่าไหร่ แต่หนาวใจนี่สุดๆ
- เขาใหญ่ว่าหนาวแล้วเขา “มีแฟนแล้ว” หนาวกว่าเยอะ
แคปชั่นอากาศหนาว ภาษาอังกฤษสั้นๆ
- Cold air, warm heart.
- Feeling cozy in the cold.
- Winter breeze, calm mind.
- Chilly air, happy vibes.
- Cold days, soft mood.
- Winter feels.
- Cool air, clear mind.
- Sweater weather mode.
- Chasing the winter breeze.
- Fresh air. Good mood.
- Winter days hit different.
- Too cold to be cute.
- Winter got me like: 🥶
- Winter mode: ON.
- Cold days, cool vibes.
- Winter vibes only.
- Cold days, clean thoughts.
- Breathe in, chill out.
ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net
4 บิ๊กเทคโลก เร่งลงทุน AI ทุบสถิติงบรายจ่ายกว่า 12 ล้านล้านบาท

- 4 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ (Amazon, Alphabet, Microsoft, Meta) คาดว่าจะทุ่มงบลงทุนด้าน AI รวมกันสูงถึง 12.12 ล้านล้านบาทภายในปี 2568
- ยอดการลงทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 2.4 เท่าจากปี 2565 สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI, ศูนย์ข้อมูล และคลาวด์คอมพิวติ้ง
- Amazon เป็นผู้ลงทุนสูงสุดด้วยงบประมาณ 3.90 ล้านล้านบาท ตามมาด้วย Alphabet (3.02 ล้านล้านบาท), Microsoft (2.86 ล้านล้านบาท) และ Meta (2.45 ล้านล้านบาท)
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกากำลังเร่งเครื่องยนต์การลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยมูลค่าการลงทุนรวมของ Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Microsoft และ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 373,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 2.4 เท่าจากปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.04 ล้านล้านบาท)
ตามรายงานของ Statista ที่รวบรวมข้อมูลจากรายงานประจำปีของบริษัททั้ง 4 แห่ง แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของค่าใช้จ่ายด้านเงินทุน (Capital Expenditure: CapEx) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง
Amazon นำทีมด้วยงบลงทุนสูงสุด 3.90 ล้านล้านบาท
Amazon ผู้นำตลาดบริการคลาวด์ผ่าน Amazon Web Services (AWS) โดดเด่นด้วยการเป็นผู้ลงทุนสูงสุดในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั้ง 4 แห่ง โดยในปี 2568 คาดว่าจะใช้งบลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.90 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.05 ล้านล้านบาท) ในปี 2565 คิดเป็นอัตราการเติบโตเกือบ 2 เท่าในช่วงเวลาเพียง 3 ปี
การลงทุนของ Amazon ในปี 2567 อยู่ที่ระดับ 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.70 ล้านล้านบาท) และลดลงเล็กน้อยในปี 2566 ที่ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.69 ล้านล้านบาท) ก่อนจะเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2568 ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับความต้องการบริการ AWS ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

Alphabet ทุ่มงบ 3.02 ล้านล้านบาท แข่งขัน AI ตัวต่อตัว
Alphabet บริษัทแม่ของ Google มีแผนจะลงทุนสูงถึง 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.02 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.04 ล้านล้านบาท) ในปี 2565 และ 2566 การลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.76 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 ก่อนจะพุ่งทะยานในปีถัดมา

การลงทุนของ Alphabet สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแข่งขันด้าน AI โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ที่ร่วมมือกับ Microsoft ทำให้ Google ต้องเร่งพัฒนา Gemini และโมเดล AI ต่างๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดการค้นหาและบริการออนไลน์ นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนในธุรกิจ Google Cloud ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
Microsoft เดินหน้าต่อเนื่อง ลงทุนกว่า 2.86 ล้านล้านบาท
Microsoft ผู้พัฒนา Windows และ Office มีแผนลงทุน 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.86 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (910,000 ล้านบาท) ในปี 2565, 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.11 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 และ 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.89 ล้านล้านบาท) ในปี 2567
การลงทุนของ Microsoft เน้นหนักไปที่การพัฒนา Azure Cloud Platform และการนำเทคโนโลยี AI จาก OpenAI มาผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Microsoft 365, Bing Search และ GitHub Copilot ซึ่งการร่วมมือกับ OpenAI ทำให้ Microsoft ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI ในธุรกิจองค์กร
Meta เพิ่มงบลงทุนพุ่งแรง เป็น 2.45 ล้านล้านบาท
Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ WhatsApp มีแผนเพิ่มงบลงทุนอย่างก้าวกระโดดเป็น 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.45 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 จากระดับต่ำสุดที่ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (952,000 ล้านบาท) ในปี 2566
แม้ว่า Meta จะมีงบลงทุนต่ำกว่าคู่แข่งในช่วงปี 2566 เนื่องจากนโยบาย “ปีแห่งประสิทธิภาพ” (Year of Efficiency) ที่เน้นการลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร แต่บริษัทได้เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจนในปี 2567 โดยเริ่มเร่งการลงทุนเพิ่มเป็น 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.36 ล้านล้านบาท) และกระโดดขึ้นเกือบ 2 เท่าในปี 2568 ภายใต้การนำของซีอีโอ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่มุ่งมั่นพัฒนา “Personal Superintelligence”
การลงทุนของ Meta มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพนซอร์ส Llama และการจัดตั้ง Meta Superintelligence Labs ในกลางปี 2568 รวมถึงการนำ AI มาใช้ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และระบบโฆษณา โดยบริษัทได้ลงทุนจำนวนมากในการจ้างนักวิจัย AI ชั้นนำ รวมถึงการลงทุน 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.64 แสนล้านบาท) ใน Scale AI
ความท้าทายและความกังวล
แม้ว่าการลงทุนจำนวนมหาศาลนี้จะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีอนาคต แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการลงทุนในระดับนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งคำถามว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) จะคุ้มค่ากับเงินลงทุนมหาศาลหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อรายได้จากผลิตภัณฑ์ AI หลายตัวยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานจำนวนมากในศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจขัดแย้งกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่บริษัทเหล่านี้ประกาศไว้
อย่างไรก็ตามบริษัททั้ง 4 แห่งยืนยันว่าการลงทุนเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมองว่า AI จะเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีในอนาคต
การแข่งขันด้านการลงทุนในยุค AI นี้ไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของบริษัทเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกและวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคตอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
3 ผักยอดนิยม ที่กินเยอะอาจ “ทำร้ายไต” แม้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรกินมาก

3 ผักยอดนิยม ที่กินเยอะอาจ “ทำร้ายไต” โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต แม้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรกินมาก
แม้ผักจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต ผักบางชนิดอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลายคนเชื่อว่า “ผักยิ่งเขียวเข้มยิ่งดี” แต่ในผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม ร่างกายมีความสามารถในการขับแร่ธาตุส่วนเกินลดลง โดยเฉพาะโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และโซเดียม ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ผักบางชนิดยังมีกรดออกซาลิกสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตและขัดขวางการเผาผลาญแร่ธาตุในร่างกายเอง ดังนั้นผักไม่ได้เป็น “ตัวการทำลายไต” โดยตรง แต่หากมีไตเสื่อมอยู่แล้ว สารอาหารบางชนิดในผักอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ไตทำงานหนักขึ้น
3 ผักที่ควรกินอย่างระมัดระวังสำหรับผู้ป่วยไต
- ผักโขม — มีโพแทสเซียมและออกซาเลตสูง กินมากอาจทำให้เกิดการสะสมแคลเซียมออกซาเลต เสี่ยงนิ่วในไต ผู้ที่ไตปกติทานได้ แต่ควรทานในปริมาณเหมาะสม
- ผักบุ้ง — เป็นผักยอดนิยมในหน้าร้อน แต่มีโพแทสเซียมสูง จึงมักถูกแนะนำให้จำกัดในผู้ป่วยโรคไต
- ต้นหอม กระเทียมต้น กุยช่าย — หลายคนเชื่อว่าเป็น “ผักบำรุงไต” แต่จริงๆ มีโพแทสเซียมสูงราว 241 มก. ต่อ 100 กรัม หากกินมากอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้

วิธีกินผักอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต
- ลวกหรือแช่น้ำร้อน 3–5 นาที เพื่อลดโพแทสเซียมและออกซาเลต ก่อนนำไปผัดหรือต้ม แต่ ห้ามดื่มน้ำลวกผัก เพราะสารที่ถูกสลายจะอยู่ในน้ำ
- กินหลากหลายและในปริมาณน้อย ควบคู่กับผักที่โพแทสเซียมต่ำ เช่น แตงกวา ฟักเขียว กะหล่ำปลี
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำลวกผักทำซุปหรือหุงข้าว เพราะจะรับสารอาหารส่วนเกินกลับเข้าสู่ร่างกาย
- ตรวจระดับโพแทสเซียมในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยไตระยะกลางถึงรุนแรง หรือผู้ที่ปัสสาวะลดลง
- ปรับอาหารตามสภาพร่างกายรายบุคคล ผู้ป่วยแต่ละรายมีระดับการทำงานของไตไม่เท่ากัน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโรคไต
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
- “ผักเข้มคือผักดีเสมอ” — สำหรับผู้ป่วยไต ผักเข้มมักมีแร่ธาตุสูง จึงต้องจำกัดปริมาณ
- “ลวกผักคือปลอดภัยแน่นอน” — หากดื่มน้ำลวกหรือไม่ลวกนานพอ ปริมาณโพแทสเซียมยังสูงอยู่
- “กินผักโขมเยอะๆ ช่วยบำรุงไต” — จริงๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วและโพแทสเซียมสูงในผู้ไตเสื่อม
แล้วคนไตปกติล่ะ?
สำหรับคนที่ไตปกติ ผักที่มีโพแทสเซียมหรือออกซาเลตสูงไม่ได้เป็นอันตรายต่อไต สามารถกินได้ตามปกติในปริมาณที่เหมาะสม ตามข้อมูลจากองค์การอาหารและยาของไต้หวัน ผู้ที่สุขภาพไตดีสามารถกินผักใบเขียวเข้มได้ตามปกติ เพียงแต่ผู้ป่วยโรคไตต้องควบคุมปริมาณโพแทสเซียมเป็นพิเศษ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 63,550.00 | 63,650.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,108.00 | 62,277.28 | 64,450.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,697.20 | 56,049.55 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,286.40 | 49,821.82 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,848.60 | 28,024.78 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,437.80 | 21,797.05 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,256.99 | 64,535.97 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.65 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.44 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







