สาระน่ารู้ประจำวันที่ 01 ธันวาคม 2568

น้ำท่วมหาดใหญ่ทุบตลาดอสังหาฯ คาดใช้เวลาฟื้นตัวไม่ต่ำ6เดือน

วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่เขย่าตลาดอสังหาฯระส่ำ! ผู้ประกอบการเร่งช่วยเหลือลูกบ้านคาดใช้เวลาฟื้นตัวไม่ต่ำ 6 เดือน แนะทุกฝ่ายตั้งรับภัยพิบัติยุคโลกร้อนขึ้น

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทได้ระดมผู้บริหารและพนักงานทุกภาคส่วน เตรียมถุงยังชีพกว่า 2,500 ชุด ส่งตรงสู่พื้นที่ปลอดภัยที่โครงการ ปาล์มสปริงส์ เบนเนท @สนามบิน หาดใหญ่ ซึ่งถูกจัดตั้งเป็น “ศูนย์พักของ” เพื่อกระจายความช่วยเหลือสู่ชุมชนโดยรอบ

ภารกิจเร่งด่วนยังรวมถึงการส่งมอบของยังชีพให้ลูกบ้านใน 14 โครงการ ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมดูแลเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แม่บ้าน และบุคลากรโครงการที่ยังคงยืนหยัดปฏิบัติงานท่ามกลางมวลน้ำขณะเดียวกัน ทีมงานภาคใต้จากสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และภูเก็ต ต่างเข้าร่วมสมทบกำลังเพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนได้ครอบคลุมมากที่สุด

อสังหาฯ สะเทือนประเมินฟื้นตัวต่ำสุด 6 เดือน

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า ปีนี้ภาคอสังหาฯ ถูกปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้าน และวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ คือ “แรงสั่นสะเทือนระลอกใหญ่” ที่ยิ่งทำให้ธุรกิจเหนื่อยหนักกว่าเดิม

หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ผลกระทบอาจลากยาว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ส่งผลต่อทั้งยอดขาย ความเชื่อมั่น และการลงทุนใหม่ในหลายจังหวัด แนวรับสำคัญของผู้ประกอบการคือการพัฒนาโครงการให้ “ทนทานต่อภัยพิบัติ” ทั้งการออกแบบพื้นที่ วัสดุ และระบบจัดการน้ำ เพื่อรับสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดถี่ขึ้นทุกปี

3 ระดับยุทธศาสตร์รับมือภัยพิบัติ

สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่าวิกฤตครั้งนี้กระทบธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตัวเลขความเสียหายต้องรอประเมินอย่างละเอียด ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ามีมูลค่าถึง 25,000 ล้านบาท และยังไม่รวมผลต่อเนื่องที่ทำให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวที่ผ่านมา ภาคใต้เคยพิสูจน์ความแข็งแกร่งมาแล้วเหตุการณ์สึนามิฟื้นตัวใน 1 ปี และน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ก็ใช้เวลาฟื้นเท่ากัน หากหาดใหญ่เร่งแก้ปัญหาระบายน้ำ วิกฤตรอบนี้ก็มีโอกาสฟื้นตัวเร็วเช่นกัน

เขาย้ำแนวทาง 3 ระดับรับมือภัยพิบัติยุค Climate Risk ดังนี้

1. ระดับเมือง ผังเมืองยุคใหม่ต้องยึดภัยพิบัติเป็นตัวตั้ง

  • ปรับเกณฑ์ความหนาแน่นเพื่อให้การอพยพและการช่วยเหลือทำได้รวดเร็วยามเกิดเหตุ
  • ไม่ฝืนธรรมชาติ พิจารณาลด density ในพื้นที่เสี่ยงสูง
  • เพิ่มพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติขนาดใหญ่รองรับน้ำ

2. ระดับโครงการ  อสังหาฯ

  • ต้องมี “โครงสร้างป้องน้ำ” เป็นมาตรฐานใหม่
  • บ่อหน่วงน้ำใต้ดินในอาคาร
  • พื้นที่แก้มลิงในหมู่บ้านจัดสรร
  • เตรียมเส้นทางน้ำฉุกเฉินรับฝนหนักเฉียบพลัน (Rain Bomb)
  • ติดตั้งปั๊มระบายน้ำประจำโครงการ

3. ระดับประชาชน

  •  ปรับพฤติกรรมสู้โลกร้อน
  • เจ้าของบ้านสมัยใหม่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยวิถีชีวิตแบบกรีนลิฟวิ่ง ผ่านหลัก 3R Reduce, Reuse, Recycle ลดขยะ ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเรียนรู้การรับมือภัยธรรมชาติที่อาจมาเร็วกว่าคาดคิด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ออริจิ้นปิดการขาย โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ให้ ตัน ภาสกรนที

  • บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) ปิดการขายโรงแรม “สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ” ให้กับบริษัท ตันบุญ จำกัด ของครอบครัวนายตัน ภาสกรนที
  • การขายครั้งนี้ทำให้ออริจิ้นได้รับกระแสเงินสดสุทธิกว่า 500 ล้านบาท และจะสามารถบันทึกกำไรได้ในไตรมาส 4 ปี 2568
  • ดีลดังกล่าวเป็นไปตามแผนธุรกิจของออริจิ้นในการขายโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วเพื่อทำกำไร และนำเงินทุนไปใช้พัฒนาโครงการโรงแรมแห่งใหม่ในอนาคต

ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน ภาคธุรกิจต่างปรับตัวขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าเช่นเดียวกับ ออริจิ้นกรุ๊ป โดยนายชาญชัย พันธุ์โสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น โฮเทล  จำกัด(มหาชน)ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มโรงแรมและการบริการที่สร้างรายได้ประจำ (Hospitality & Tourism)

ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปิดการขายโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ให้กับ บริษัท ตันบุญ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมในเครือของครอบครัวของคุณตัน ภาสกรนที (ไม่เกี่ยวกับอิชิตัน กรุ๊ป) อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับสุทธิ (Cash in Flow) เพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านบาท และสามารถบันทึกกำไรได้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทันที

โครงการ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) เป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ขนาดใหญ่ มีห้องพัก 303 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) ห่างจากสถานีบีทีเอสทองหล่อราว 5 นาที โครงการดังกล่าวได้เปิดดำเนินการไปเมื่อปี 2563 และนับว่าเป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ภายใต้แบรนด์ “สเตย์บริดจ์ สวีท” ในเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล( IHG) แห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก ภายใต้การพัฒนาและความร่วมมือของบริษัทชั้นนำ ระหว่าง บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โนมุระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพัก ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

“การปิดดีลขายโรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ให้กับ บริษัท ตันบุญ จำกัด เป็นการขายโรงแรมแห่งที่ 2 ของบริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Hospitality & Tourism) ของกลุ่ม ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปิดการขายหุ้นโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ที่ถืออยู่ 51% ให้กับ Ci:z Technologies ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงานของบริษัทที่วางไว้ การขายโรงแรมหลังเปิดดำเนินงานไปแล้วระยะหนึ่งอยู่ในแผนธุรกิจหลักของกลุ่มธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อทำกำไรให้กับบริษัท และพร้อมนำเงินไปพัฒนาโรงแรมเพิ่มเติมที่จะทยอยเปิดต่อไปในอนาคต” นายชาญชัย กล่าว

ทั้งนี้บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) ในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์โครงการคุณภาพ ทั้งโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ออฟฟิศ และพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างความมั่นคงและผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ผู้นำในกลุ่มธุรกิจ (Hospitality & Tourism)

ปัจจุบัน ออริจิ้น โฮเทล มีธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

1. กลุ่มธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 11 โรงแรม ขายทำกำไรไปแล้ว 2 โรงแรม ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ที่ทางออริจิ้นรับบริหารต่อ ให้กับ Ci:z Technologies และ โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ให้คุณตัน ภาสกรนที

ส่งผลให้ปัจจุบันมีโรงแรมเปิดให้บริการอยู่อีก 9 แห่ง มีห้องพักรวมจำนวน 2,113 ห้อง มูลค่า 9,790 ล้านบาท อาทิ โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท กรุงเทพฯ สุขุมวิท, โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ สวีท ศรีราชา, โรงแรม ฮอลิเดย์อินน์ เอกเพรช ระยอง, และ โรงแรม ไอบิส หัวหิน ภูเก็ต และกระบี่ เป็นต้น ทั้งนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งหัวเมืองท่องเที่ยวอย่าง กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา

2. ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า (Office Building Business) ปัจจุบันเตรียมเปิดให้บริการอาคารสำนักงานให้เช่า 1 แห่ง คือ Origin Complex Sanampao มีพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร

3. ธุรกิจการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ (Commercial Development Business) ปัจจุบันมีรวม 5 แห่ง พื้นที่รวม 17,425 ตารางเมตร อาทิ Portobello Mall (พอร์โทเบลโลมอลล์), Neighbor 24 เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ธ.ค.“แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์เงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าแต่ยังไม่ผ่านโซนแนวต้าน ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1 ธ.ค.2568 ที่ระดับ  32.09 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.21 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.03-32.22 บาทต่อดอลลาร์)

สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อมั่นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้

นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ลดความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ลง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น จากผลการประชุมกลุ่ม OPEC+ ที่ระงับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2026 ลดความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+

ส่วนเงินหยวนจีน (CNY) ก็มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ ในเดือนพฤศจิกายน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 50 จุด (สะท้อนถึงภาวะหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาด  

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดและข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่แย่กว่าคาด

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชน อย่าง ADP, Revelio และ Challenger พร้อมทั้งจับตาพัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานจากภาคเอกชน ทั้ง จาก ADP และ Revelio ซึ่งจะเป็นข้อมูลการจ้างงานในเดือนพฤศจิกายน (ในส่วนของข้อมูลทางการจาก BLS นั้น จะประกาศในวันที่ 16 ตุลาคม หลังการประชุม FOMC ของเฟด)

รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนธันวาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ที่ล่าสุด

บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 83% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมราว 2-3 ครั้ง ในปี 2026

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการเจรจาระหว่างทางการสหรัฐฯ กับยูเครน เพื่อหาแนวทางในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งยูโรโซน อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนพฤศจิกายน และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตีเมืองหลวงของยูเครนระลอกใหญ่ ส่วนฝั่งยูเครนก็ตอบโต้ด้วยการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซียในทะเลดำ ซึ่งการโจมตีดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงที่ทางการสหรัฐฯ พยายามเร่งหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

 ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (RatingDog หรือ เดิม Caixin Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของจีน ซึ่งจะเน้นภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง เป็นหลัก เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

หลังล่าสุด ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ที่เน้นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ได้ปรับตัวลดลงและออกมาแย่กว่าคาด

 ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ระดับ 5.25% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของค่าเงินรูปี (INR) ตลอดทั้งปีนี้ อาจทำให้ RBI ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน ต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้

▪ ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทย ในเดือนพฤศจิกายน อาจปรับสูงขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ -0.6% จากระดับ -0.76% ในเดือนก่อน ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาหมวดอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้

ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถวระดับ 0.60% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยและภาคธุรกิจโดยรวม ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ในเดือนพฤศจิกายน

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (หรือแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย) ได้

ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา

รวมถึงไฮไลท์สำคัญ อย่างผลการประชุม FOMC ของเฟด ว่าจะมีมติอย่างไร และแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot มีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง อนึ่ง หากเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่า ก็อาจยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควรในช่วงที่เหลือของปีนี้

และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ หากเฟดตัดสินใจ “คงดอกเบี้ยนโยบาย” และ Dot Plot ก็สะท้อนการลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป

สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและเรา กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลง 20 สตางค์ต่อดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย (ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ) หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ของเฟด

ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวเล็กน้อย หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมมากขึ้น แต่เงินดอลลาร์ก็พร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้น ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.85-32.45 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.20 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2025-26 ประจำวันที่ 1 ธ.ค. 68

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-26 กลับมาแข่งขันกันในสัปดาห์ที่ 13 ภาพรวมของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ระหว่างวันเสาร์ที่ 29 – วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2568

โดยหลังจากแข่งขันกันไปครบทุกคู่ในสัปดาห์นี้ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ที่แม้จะสะดุดเสมอยังนำเป็นจ่าฝูงด้วยการมี 30 คะแนน ขณะที่ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับรั้งรองฝูงด้วยการมี 25 คะแนน

อันดับ 3 เป็น เชลซี มี 24 คะแนน ด้าน “ปิศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รั้งอันดับ 7 และ 8 ตามลำดับ มีแต้มตามหลังจ่าฝูง 9 คะแนนเท่ากัน

สรุปตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกอังกฤษล่าสุด

อันดับที่ 1 : อาร์เซนอล ชนะ 9 เสมอ 2 แพ้ 1 นัด 29 คะแนน ประตูได้ +18
อันดับที่ 2 : แมนฯ ซิตี้ ชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 4 นัด 25 คะแนน ประตูได้ +15
อันดับที่ 3 : เชลซี ชนะ 7 เสมอ 3 แพ้ 3 นัด 24 คะแนน ประตูได้ +12
อันดับที่ 4 : แอสตัน วิลลา ชนะ 7 เสมอ 3 แพ้ 3 นัด 24 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 5 : ไบร์ทตัน ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 3 นัด 22 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 6 : ซันเดอร์แลนด์ ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 3 นัด 22 คะแนน ประตูได้ +4
อันดับที่ 7 : แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 6 เสมอ 3 แพ้ 4 นัด 21 คะแนน ประตูได้ +1
อันดับที่ 8 : ลิเวอร์พูล ชนะ 7 เสมอ 0 แพ้ 6 นัด 21 คะแนน ประตูได้ 0
อันดับที่ 9 : คริสตัล พาเลซ ชนะ 5 เสมอ 5 แพ้ 3 นัด 20 คะแนน ประตูได้ +6
อันดับที่ 10 : เบรนท์ฟอร์ด ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 6 นัด 19 คะแนน ประตูได้ +1
อันดับที่ 11 : บอร์นมัธ ชนะ 5 เสมอ 4 แพ้ 4 นัด 19 คะแนน ประตูได้ -2
อันดับที่ 12 : สเปอร์ส ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 5 นัด 18 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 13 : นิวคาสเซิล ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 5 นัด 18 คะแนน ประตูได้ +1

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ปวดท้องเฉียบพลัน เป็นสัญญาณเตือน ‘ภาวะลำไส้บิดขั้ว’

ปวดท้องเฉียบพลัน เป็นสัญญาณเตือน ‘ภาวะลำไส้บิดขั้ว’

อาการปวดท้องแบบเฉียบพลันจนแทบจะทนไม่ไหว ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นเพียง “อาหารเป็นพิษ” หรือ “ท้องอืดชั่วคราว” แต่รู้หรือไม่ว่าอาการแบบนี้อาจเป็น “สัญญาณเตือนของภาวะลำไส้บิดขั้ว (Volvulus)” ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจคุกคามถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

“ภาวะลำไส้บิดขั้ว” คือภาวะที่ลำไส้บิดตัวรอบแกนของตัวเอง หรือรอบหลอดเลือดที่มาเลี้ยงลำไส้ ส่งผลให้ลำไส้เกิดการอุดตัน และหากรุนแรงอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอจนเกิด “ภาวะลำไส้ขาดเลือด” ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วน

สาเหตุ : การเกิดภาวะลำไส้บิดขั้ว เกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีสาเหตุแตกต่างกัน โดยในเด็ก (โดยเฉพาะทารกแรกเกิด) มักเกิดจากภาวะที่ลำไส้ไม่ได้หมุนตัวตามปกติในขณะอยู่ในครรภ์ ทำให้การจัดเรียงลำไส้ผิดปกติ และอาจเกิดร่วมกับความผิดปกติแต่กำเนิดบางชนิดในผู้ใหญ่

ส่วนในผู้สูงอายุ สาเหตุที่พบบ่อย เช่น ลำไส้ส่วนปลายยาวกว่าปกติ (โดยเฉพาะบริเวณซิกมอยด์โคลอน), พังผืดหลังการผ่าตัดช่องท้อง, การตั้งครรภ์ หรือภาวะที่ช่องท้องเปลี่ยนตำแหน่งจนลำไส้เคลื่อนไหวผิดปกติ

ภาวะลำไส้บิดขั้วมักแสดงอาการอย่างเฉียบพลัน และอาการสามารถทรุดลงได้อย่างรวดเร็ว โดยอาการที่ควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่ ปวดท้องรุนแรงเฉียบพลัน ท้องอืดมาก คลื่นไส้ หรืออาเจียน ไม่สามารถถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ อ่อนเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น หรือมีไข้ ในบางรายอาจมีภาวะช็อกจากลำไส้ขาดเลือด ซึ่งอันตรายถึงชีวิต

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นภาวะลำไส้บิดขั้ว ผู้ป่วยมักต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยอาจต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อคลี่คลายการบิดของลำไส้ และฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดให้กลับมาปกติ หากลำไส้บางส่วนเกิดภาวะขาดเลือดจนเสียหายแล้ว อาจต้องตัดส่วนที่ตายออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน

อาการปวดท้องเฉียบพลันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเบื้องหลังอาจเป็นภาวะอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว การสังเกตอาการและรีบไปพบแพทย์คือสิ่งสำคัญที่จะช่วย “รักษาชีวิต” ของคุณได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


‘การ์ทเนอร์’ คาดในอีก 5 ปี ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้ไฟพุ่ง 2 เท่า

“การ์ทเนอร์” คาดความต้องการพลังงานไฟฟ้าในดาต้าเซนเตอร์ เพิ่มขึ้น 16% ในปีนี้ และจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสำหรับดาต้าเซนเตอร์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 16% ในปี 2568 นี้ และจะเพิ่มเป็นสองเท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2573)  

โดยนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ประเมินว่า การใช้ไฟฟ้าของดาต้าเซนเตอร์ ทั่วโลกจะเพิ่มจาก 448 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ในปี 2568 เป็น 980 TWh ภายในปี 2573

ลินลาน หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า แม้เซิร์ฟเวอร์ทั่วไปและโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญต่อการบริโภคพลังงานไฟฟ้าโดยรวมในดาต้าเซนเตอร์ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกออกแบบหรือปรับแต่งมา

โดยเฉพาะเพื่อรองรับงานที่เกี่ยวข้องกับ AI หรือ AI-Optimized Servers นั้นกำลังผลักดันให้การใช้พลังงานในดาต้าเซนเตอร์เพิ่มสูงขึ้น โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า จาก 93 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ในปีนี้ เป็น 432 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ในปี 2573″

การ์ทเนอร์ คาดว่าปี 2568 การใช้พลังงานของ AI-Optimized Servers จะคิดเป็น 21% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในดาต้าเซนเตอร์

ขณะที่ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2573) จะเพิ่มเป็น 44% และเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะใช้พลังงานคิดเป็น 64% ของความต้องการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้นในดาต้าเซนเตอร์

สหรัฐ – จีนยัง ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI

เมื่อพิจารณาระดับภูมิภาค พบว่ามากกว่าสองในสามของความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในดาต้าเซนเตอร์มาจากสหรัฐอเมริกาและจีน

โดยที่จีนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่า เนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าและมีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า

ส่วนการใช้ไฟฟ้าจากดาต้าเซนเตอร์ของสหรัฐ คาดว่าจะเพิ่มจาก 4% เป็น 7.8% ของการใช้ไฟฟ้าในระดับภูมิภาคระหว่างปี 2568 ถึง 2573

ขณะที่ยุโรปจะเพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 5% โดยคาดว่าการเติบโตในจีนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะอยู่ในระดับปานกลาง

สถานการณ์ปัจจุบันที่เชื้อเพลิงฟอสซิลครองสัดส่วนหลักของการผลิตไฟฟ้าให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ นับเป็นแนวทางที่ไม่ยั่งยืน ดังนั้นทางเลือกพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ ๆ อาทิ ไฮโดรเจนสีเขียว พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMRs) กำลังเริ่มมีบทบาทมากขึ้น และภายในสิ้นทศวรรษนี้จะกลายเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงที่สามารถนำมาใช้งานได้จริงสำหรับระบบไมโครกริดของดาต้าเซ็นเตอร์

โทนี่ ฮาร์วีย์ รองประธานและนักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า อีกไม่นานนี้ก๊าซธรรมชาติจะเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับดาต้าเซนเตอร์ แต่หากมองไกลไปอีกราว 3-5 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System หรือ BESS) เพื่อปรับสมดุลความผันผวนของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม

แม้ว่าระบบไมโครกริดของพลังงานความร้อนใต้พิภพจะมีศักยภาพสูง แต่ด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่สูงและความท้าทายในการขออนุญาตจะทำให้ยังเป็นตัวเลือกเฉพาะกลุ่ม ณ เวลานี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


รวม คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับที่พักอาศัย ที่ควรรู้ไว้ ใช้ได้ในชีวิตจริง

หลายคนอาจจะลืมไปว่ายังมีคำศัพท์ที่ใกล้ตัวเราแต่มองข้ามไปหรือนึกไม่ถึง คือ คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับที่พักอาศัย เช่น บ้าน คอนโด อพาร์ตเมนต์ หรือที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ๆ พร้อมคำแปล ความหมาย และตัวอย่างประโยคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ และต้องการพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการคำศัพท์ไว้ใช้เมื่อต้องเช่าที่พัก ติดต่อกับชาวต่างชาติ หรือใช้ในการเดินทาง บทความนี้ออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง สามารถนำคำศัพท์เหล่านี้ไปใช้ในการพูด ฟัง อ่าน เขียน ได้ทันที ช่วยเสริมความมั่นใจให้สื่อสารได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น

1) คำศัพท์เกี่ยวกับบ้าน (House)

เมื่อพูดถึงคำศัพท์เกี่ยวกับ “บ้าน” การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้มีประสิทธิภาพควรเริ่มจากสิ่งรอบตัว และบ้านคือสถานที่ที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ คำศัพท์เหล่านี้ใช้บ่อยมาก และควรจำให้ขึ้นใจ เช่น

  • House = บ้าน (ทั่วไป)
  • Detached house = บ้านเดี่ยว
  • Semi-detached house = บ้านแฝด
  • Terraced house = บ้านแถว
  • Bungalow = บ้านชั้นเดียว
  • Cottage = บ้านชนบทเล็ก ๆ
  • Roof = หลังคา
  • Garage = โรงจอดรถ
  • Fence = รั้ว
  • Garden = สวน
  • Living room = ห้องนั่งเล่น
  • Dining room = ห้องรับประทานอาหาร
  • Kitchen = ห้องครัว
  • Bedroom = ห้องนอน
  • Bathroom = ห้องน้ำ

ตัวอย่างประโยค:

“I live in a detached house with a big garden.”
(ฉันอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวที่มีสวนใหญ่)

การ เรียนภาษาอังกฤษ โดยเริ่มจากคำศัพท์ที่เกี่ยวกับบ้าน จะช่วยให้คุณนำไปใช้อธิบายที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ทันทีในสถานการณ์จริง เช่น การแนะนำตัว หรือพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ คำศัพท์ในหมวดชีวิตประจำวันคือหมวดที่ควรเรียนเป็นอันดับต้น ๆ

2) คำศัพท์เกี่ยวกับคอนโด อพาร์ตเมนต์ (Condominium / Apartment)

ในยุคปัจจุบัน หลายคนเลือกอาศัยในคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์มากกว่าบ้าน การ เรียนภาษาอังกฤษ ในหมวดนี้จึงสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่หรือต่างประเทศ จึงขอยกตัวอย่างคำศัพท์เกี่ยวกับคอนโด อพาร์ตเมนต์ ดังนี้

  • Condominium (Condo) = ห้องชุด
  • Apartment = อพาร์ตเมนต์
  • Studio = ห้องแบบสตูดิโอ
  • Penthouse = ห้องชุดบนสุด
  • Lobby = ล็อบบี้
  • Elevator = ลิฟต์
  • Balcony = ระเบียง
  • Security guard = รปภ.
  • Key card = บัตรผ่านประตู
  • Maintenance fee = ค่าส่วนกลาง
  • Lease / Rental agreement = สัญญาเช่า
  • Landlord / Landlady = เจ้าของที่พัก
  • Tenant = ผู้เช่า

ตัวอย่างประโยค:

“I just signed a one-year lease for a studio apartment downtown.”
(ฉันเพิ่งเซ็นสัญญาเช่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอในเมืองเป็นเวลา 1 ปี)

สำหรับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย การเริ่มจาก คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับที่พักอาศัย เหล่านี้จะช่วยให้สามารถสื่อสารเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยได้อย่างเข้าใจง่าย โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องติดต่อกับเจ้าของที่พักหรือช่างซ่อม

3) คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับที่พักอาศัย อื่น ๆ

นอกจากบ้านและคอนโด ยังมีรูปแบบที่อยู่อาศัยอีกหลายประเภทที่ควรรู้ไว้ โดยเฉพาะหากคุณ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเดินทางหรือทำงานในต่างประเทศ ขอยกตัวอย่าง ดังนี้

  • Dormitory (Dorm) = หอพัก
  • Hostel = โฮสเทล (มักใช้ในการท่องเที่ยว)
  • Motel = โรงแรมขนาดเล็กริมถนน
  • Cabin = กระท่อมในป่า
  • Trailer / Mobile home = บ้านเคลื่อนที่
  • Shared house = บ้านเช่าร่วม
  • Boarding house = บ้านพักพร้อมอาหาร
  • Accommodation = ที่พัก (ทั่วไป)
  • Tenant agreement = ข้อตกลงระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของ
  • Utilities = ค่าสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต
  • Deposit = เงินมัดจำ
  • Vacancy = ห้องว่าง

ตัวอย่างประโยค:

“I’m looking for affordable accommodation near the university.”
(ฉันกำลังมองหาที่พักราคาย่อมเยาใกล้มหาวิทยาลัย)

ไม่ว่าคุณจะ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณมีคลังคำไว้ใช้ในสถานการณ์หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น การหาห้องพักในเมืองต่างประเทศ หรือการอ่านประกาศหาที่พักในเว็บไซต์

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


8 พืชผักโคลีนสูง บำรุงสมองและระบบประสาทให้ทำงานดีเยี่ยม

8 พืชผักโคลีนสูง บำรุงสมองและระบบประสาทให้ทำงานดีเยี่ยม

โคลีน (Choline) คือสารอาหารสำคัญที่ทำหน้าที่หลายอย่างในร่างกาย เช่น ช่วยในการเผาผลาญ (Metabolism) ที่ดี และช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membranes) นอกจากนี้ โคลีนยังช่วยผลิตสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้เซลล์สมองสื่อสารกันได้ ทำให้โคลีนมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพของสมองและระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการพัฒนาของทารกในครรภ์

ร่างกายจำเป็นต้องได้รับโคลีนจากอาหารเท่านั้น โดยปริมาณโคลีนที่เพียงพอต่อวันคือ 425 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง และ 550 มิลลิกรัมสำหรับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะมีความต้องการโคลีนสูงขึ้น การขาดโคลีนเป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยในผู้ใหญ่ที่รับประทานอาหารหลากหลาย แต่การเสริมโคลีนอาจถูกแนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

โคลีนจากพืช

แม้ว่าอาหารจากสัตว์จะเป็นแหล่งของโคลีนที่สำคัญ แต่ก็มีอาหารจากพืชหลายชนิดที่มีโคลีนในปริมาณที่ดี ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารแบบ Plant-Based หรือต้องการเพิ่มปริมาณโคลีนในแต่ละวัน โคลีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท และการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

รายการอาหารจากพืชที่มีโคลีนสูง

อาหารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งโคลีนเท่านั้น แต่ยังให้สารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญต่อสุขภาพอีกด้วย

1. ถั่วแระ ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

ถั่วแระญี่ปุ่นปรุงสุก 1 ถ้วย (160 กรัม) มีโคลีน 88 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 16% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) ถั่วเหลืองแห้งปรุงสุก 1 ถ้วย (185 กรัม) มีโคลีน 82 มิลลิกรัม หรือ 15% ของ DV นอกจากนี้ นมถั่วเหลือง 1 ถ้วย (244 กรัม) ยังมีโคลีน 58 มิลลิกรัม หรือ 11% ของ DV

2. กะหล่ำดอก (Cauliflower)

กะหล่ำดอกเป็นพืชตระกูลกะหล่ำที่มีโคลีนสูง กะหล่ำดอกปรุงสุก 1 ถ้วยมีโคลีน 58 มิลลิกรัม หรือประมาณ 11% ของ DV คุณสามารถนำกะหล่ำดอกไปปรุงอาหารได้หลายวิธี เช่น ต้ม อบ หรือบดละเอียด ซึ่งช่วยเพิ่มโคลีนในเมนูอาหารประจำวัน

3. ควินัว (Quinoa)

ควินัวครึ่งถ้วย (85 กรัม) มีโคลีนประมาณ 11% ของ DV ควินัวเป็นธัญพืชปลอดกลูเตนที่ให้โปรตีน 12 กรัมต่อครึ่งถ้วย และยังอุดมไปด้วยวิตามินอี แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสี คุณสามารถเพิ่มควินัวในสลัด ซุป หรือใช้แทนข้าวได้

4. มันฝรั่งแดง (Red Potatoes)

มันฝรั่งแดงปรุงสุกขนาดใหญ่ 1 หัว (369 กรัม) มีโคลีน 61 มิลลิกรัม หรือประมาณ 11% ของ DV การทำเมนูจากมันฝรั่งแดง เช่น สลัดมันฝรั่งที่ผสมกับถั่ว สามารถเป็นแหล่งโคลีนที่ดีในมื้ออาหารของคุณ

5. ถั่วดำ (Black Beans)

ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (172 กรัม) มีโคลีน 56 มิลลิกรัม หรือ 10% ของ DV ถั่วดำเป็นแหล่งของโปรตีนจากพืช ใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ธาตุเหล็กและสังกะสี คุณสามารถใช้ถั่วดำกระป๋องในซุป สตูว์ หรือเป็นส่วนผสมหลักในอาหารเม็กซิกัน

6. อาร์ติโช้ค (Artichokes)

อาร์ติโช้คขนาดใหญ่ 1 หัว (162 กรัม) มีโคลีน 56 มิลลิกรัม คิดเป็น 10% ของ DV อาร์ติโช้คสามารถนำมาอบ บดละเอียด หรือเพิ่มในสลัดและซุปได้ หากไม่มีอาร์ติโช้คสด คุณสามารถเลือกใช้อาร์ติโช้คกระป๋องได้เช่นกัน

7. เห็ดหอม (Shiitake Mushrooms)

เห็ดหอมปรุงสุก 1 ถ้วย (145 กรัม) มีโคลีน 53 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 10% ของ DV เห็ดหอมสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย และเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการให้กับเมนูต่าง ๆ

8. จมูกข้าวสาลี (Wheat Germ)

จมูกข้าวสาลี 1 ออนซ์ (ประมาณ 30 กรัม) มีโคลีน 54 มิลลิกรัม หรือประมาณ 10% ของ DV จมูกข้าวสาลียังให้โปรตีน ใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ คุณสามารถนำไปผสมกับโยเกิร์ต สมูทตี้ หรือใช้เป็นส่วนผสมในขนมอบ เพื่อเพิ่มโคลีนและใยอาหาร

เคล็ดลับการเพิ่มโคลีนจากพืชในอาหารประจำวัน

การได้รับโคลีนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพที่ดี การบริโภคอาหารจากพืชเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นนี้ได้โดยง่าย อย่าลืมว่าเครื่องเทศบางชนิด เช่น กระเทียมผงและพริกป่น ก็มีโคลีนในปริมาณเล็กน้อยที่สามารถช่วยเสริมได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/12/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a64,300.0064,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,157.0063,020.1265,200.00
ทองรูปพรรณ 90%3,741.3056,718.11n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,325.6050,416.10n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,870.6528,359.05n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,454.9522,057.04n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,307.7765,305.79n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/12/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.6531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.4429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า