เอกชนจับทิศทาง อสังหาฯ ปี 69 เผยแผนปรับเกมรับตลาดผันผวน

- ผู้ประกอบการอสังหาฯ คาดการณ์ว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ท้าทายจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง
- บริษัทต่างๆ ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับตลาดที่ผันผวน โดยเน้นการเลือกทำเลที่มีเสถียรภาพ พัฒนาโครงการตามความต้องการจริง และชูความคุ้มค่า
- มีการนำโมเดลธุรกิจใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ซื้อ เช่น โครงการเช่าเพื่อซื้อ และหันมาสร้างรายได้ประจำจากธุรกิจอื่นเพื่อลดความเสี่ยง
- การแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่นคาดว่าจะยังคงรุนแรง ขณะที่ผู้พัฒนาอาจชะลอการเปิดโครงการใหม่และบริหารจัดการสต็อกคงค้างอย่างระมัดระวัง
กระแสลมหนาวปลายปีอาจทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น แต่สำหรับตลาดอสังหา ริมทรัพย์ ปี 2569 กลับไม่ใช่ฤดูที่สบายเท่าไรนัก เมื่อผู้พัฒนารายใหญ่ต่างสะท้อนเสียงเดียวกันว่า “ปีหน้าจะไม่ง่าย” ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้านที่ยังคงส่งสัญญาณเปราะบางในตลาด ทั้งกำลังซื้อหดตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรัง และอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทต้องต้องหันกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกเกมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้อยู่รอดในตลาดที่แข่งขันดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ในฐานะเจ้าตลาด Affordable เปิดเผยมุมมองอย่างตรงไปตรงมาว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2569 ไม่ได้มีปัจจัยบวกชัดเจนให้ตลาดอสังหาฯ สามารถกลับมาเติบโตอย่างแข็งแรงได้ทันที แม้ภาคธุรกิจพยายามเร่งปิดปีด้วยแคมเปญหนัก แต่ความจริงคือ “กำลังซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น”
โดยเฉพาะในกลุ่ม Affordable ที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของประเทศ การกดราคาลง 10% แทบไม่ช่วยผู้บริโภคที่มีภาระหนี้สูงมาก เพราะติดเงื่อนไข DSR และเครดิตบูโรที่ตึงตัว ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในบางทำเล เช่น บางใหญ่ สูงถึง 80% และคอนโดโดยเฉลี่ยราว 50% แม้เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนก็ตาม
ในมุมมองของเสนา การรอความช่วยเหลือจากรัฐไม่ใช่คำตอบ บริษัทจึงเลือกปรับตัวด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในตลาดที่ถนัดและไม่นำซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดมากเกินไป ขณะเดียวกันยังเดินหน้า “Next Solution” เพื่อช่วยลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านให้มีโอกาสเข้าสู่ระบบสินเชื่อในอนาคต
ผ่านโมเดลเช่าออมบ้าน LivNext ที่มีสถิติเปลี่ยนผู้ถูกปฏิเสธให้กลายเป็นผู้โอนจริงได้แล้วกว่า 100 ยูนิต ช่วยเซฟยอดขายถึงกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี และเจาะกลุ่มตลาดเช่าด้วย RentNext ที่ดึงสต็อกเดิมมาให้เช่าและสร้างรายได้ประจำด้วยต้นทุนการตลาดตํ่าลงจาก Economy of Scope ชัดเจน นี่เป็นภาพสะท้อนของการ “ช่วยเหลือตัวเองก่อน” ในตลาดที่ความเสี่ยงสูงและต้องคิดกลยุทธ์แบบไม่ประมาท
ด้านบมจ. แสนสิริ นางสาวภัคพริ้ง การุญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโครงการแนวราบ มองว่าภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทปีนี้ถือว่า “ดีและตามเป้าหมาย” แต่ไม่ได้แปลว่าตลาดวางใจได้ เพราะทุกผู้เล่นในอุตสาหกรรมยังเผชิญกับแรงตึงตัวทางเศรษฐกิจที่ทำให้ปีหน้า “น่าจะเหนื่อยกันทุกเจ้า” ท่ามกลางดีมานด์ที่ผันผวนและปัจจัยเฉพาะหน้าที่คาดไม่ถึงอย่างภัยพิบัติ เช่น นํ้าท่วม ที่เริ่มกลายเป็นความเสี่ยงซํ้าซาก
กลยุทธ์สำคัญของแสนสิริจึงอยู่ที่ “การเลือกทำเลที่เสถียร” เช่น โซนดอนเมือง-รามอินทรา บางนา และราชพฤกษ์ ซึ่งมียอดขายสวิงน้อยแม้เศรษฐกิจชะลอ อีกทั้งบริษัทเดินหน้าเติมเต็มช่องว่างของตลาดในพื้นที่ทำเลต่างๆ ที่มีความต้องการ เช่น แหล่งโรงงานขนาดใหญ่ในเขตสาย 3-4 ถึงนครปฐม ที่ลูกค้าระดับผู้บริหารต้องการบ้านพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 500 ตารางเมตร ซึ่งไม่มีสินค้าในตลาดตอบโจทย์อย่างครบถ้วน ทำให้โครงการใหม่ของแสนสิริถูกออกแบบเพื่อตอบโจทยปัญหาจริงในแต่ละทำเล เพื่อเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อิงดีมานด์จริงในพื้นที่มากกว่าการเร่งเปิดโครงการใหม่
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย ให้ภาพที่ชัดเจนต่อบรรยากาศการแข่งขัน โดยระบุว่า ปีนี้เป็นปีที่ตลาด “คึกคักเพราะทุกคนต้องเร่งปิดปี” ทำให้โปรโมชั่นและราคาลดแลกแจกแถมดุเดือดตั้งแต่งานมหกรรมบ้านและคอนโด และแนวโน้มการแข่งขันลักษณะนี้ส่อแววที่จะดุเดือดอย่างต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2569 ซึ่งเป็นประโยชน์ให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ปีหน้าก็ยังไม่เห็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดกลับมาพุ่งแรง โดยเฉพาะกำลังซื้อและคุณภาพเครดิตของลูกค้าที่ยังไม่ฟื้น
ศุภาลัยจึงโฟกัสที่ “ความคุ้มค่าและราคาเข้าถึงง่าย” เพราะลูกค้ายุคนี้ต้องการ Value เป็นหลัก ทำให้บริษัทลดวัสดุส่วนที่ไม่จำเป็น ปรับสเปกให้คุ้มค่าต่อพื้นที่ และรักษาราคาในระดับ 4-8 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังลดจำนวนบ้านพร้อมขายลงเพื่อควบคุมความเสี่ยงของสต็อกที่อาจหมุนช้าขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทพบอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญคือ ราคาที่ดินเริ่มลดลงและมีคู่แข่งขันซื้อน้อยลง ทำให้สามารถต่อรองราคาได้ดีขึ้น และเลือกซื้อแปลงใหญ่เพื่อรองรับการพัฒนาแบบผสมผสานในอนาคตได้มากขึ้น ซึ่งนายไตรเตชะคาดการณ์ว่า “ราคาที่ดินไม่น่าจะดีขึ้นภายใน 2 ปี” สะท้อนภาพด้านอุปทานที่ยังไม่เร่งตัวในเร็ววัน

สำหรับบมจ. สิงห์ เอสเตท นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สะท้อนมุมมองสอดคล้องกับตลาดว่า ปี 2569 ยังเป็นปีแห่งความท้าทาย ปัจจัยเสี่ยงไม่ได้ต่างจากปีนี้มากนัก แต่ “ความเปราะบางของโมเมนตัมเศรษฐกิจ” กลายเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่กระทบความเชื่อมั่น การแข่งขันราคาในตลาดแนวราบที่สูงขึ้น มีความจำเป็นในการปรับพอร์ตให้ Value-driven มากขึ้น
โดยเชื่อว่าตลาดกำลังอยู่ใน “ระยะปรับสมดุล” และผู้ประกอบการต้องมีวินัยทางการเงินสูงกว่าเดิม โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนการเงินยังไม่ลดลงเร็วเท่าที่คาด นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นโครงการแนวราบระดับกลาง-บน และรายได้ประจำที่สามารถสร้างกระแสเงินสดในระยะยาว เพื่อเสริมความแข็งแรงในรอบเศรษฐกิจที่ผันผวน
สำหรับตลาดที่พักอาศัยระดับลักชัวรี ผู้บริหารสิงห์ เอสเตทยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่ดีมานด์ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่ม “นักลงทุน” ซึ่งหายไปแทบหมดจากตลาด แม้ฐานะทางการเงินของลูกค้ากลุ่มบนไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทำให้ไม่กล้าเก็งกำไร ขณะที่นักลงทุนต่างชาติชะลอเช่นกัน ส่งผลให้การตัดสินใจยืดยาวขึ้นจากเฉลี่ยการเข้ามาดูบ้าน 2-3 ครั้งต่อยูนิต กลายเป็น 6-7 ครั้งต่อยูนิต กลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อต่อเนื่องคือผู้ต้องการอยู่อาศัยจริงในระยะยาว และต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากกว่าเดิม
ในเชิงกลยุทธ์บริษัทไม่ได้ตั้งธงเติบโตด้านรายได้แบบรุกหนัก แต่จะโฟกัส “ฐานกำไรที่มั่นคง” โดยให้ธุรกิจโรงแรมและสำนักงานเป็นหัวใจของรายได้แบบต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยกลยุทธ์ 4S ที่วางโครงสร้าง 4 แกน เพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจ ทั้งแกนธุรกิจ การเงิน บุคลากร และความยั่งยืน
แม้แต่ละบริษัทมีกลยุทธ์ไม่เหมือนกัน แต่ทุกเจ้ามีจุดร่วมชัดเจนคือ “ต้องปรับตัวก่อนตลาดบังคับ” และต้องรักษาความยืดหยุ่นทางการเงินไว้ให้มากที่สุดในปีที่จะเผชิญการแข่งขันร้อนแรงและดีมานด์ที่อ่อนไหวต่อราคาอย่างยิ่ง ความสามารถในการอ่านเกมเศรษฐกิจและคุมต้นทุนจะเป็นตัวกำหนดว่าผู้เล่นรายใดจะสามารถยืนระยะและคว้าโอกาสได้เมื่อรอบฟื้นตัวกลับมา
ท้ายที่สุด ภาพรวมที่สะท้อนจากผู้พัฒนารายใหญ่เห็นพ้องต้องกันคือ ปี 2569 จะเป็นปีที่อุตสาหกรรมต้องทำงานหนัก และคาดว่า ไม่ใช่ปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่เป็นปีแห่งการจัดระเบียบ กำหนดกลยุทธ์ใหม่ และตัดสินใจอย่างรอบคอบเพื่อผ่านช่วงเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง การสร้างทางเลือกให้ลูกค้า การคุมต้นทุน และการเลือกทำเลที่เสถียร จะกลายเป็นเกราะกำบังสำคัญให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยืนหยัดไปสู่ช่วงฟื้นตัวที่รออยู่ในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘เสนาฯ’ จับสัญญาณตลาดแมส มุ่งแก้ Pain Point คนซื้อบ้านยุควิกฤต

- เสนาฯ เปิดตัวโมเดล “Next Solution” ซึ่งประกอบด้วยโครงการ “LivNext” (เช่าออมบ้าน) และ “RentNext” (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ) เพื่อช่วยลูกค้าสร้างเครดิตและเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน
- ปรับกลยุทธ์ปี 2569 โดยชะลอการเปิดโครงการใหม่ และหันมามุ่งเน้นการบริหารจัดการและระบายสต็อกที่สร้างเสร็จแล้วมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท
- เดินหน้ากลยุทธ์ด้านความยั่งยืน โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ในบ้านเป็นมาตรฐานใหม่ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ผู้อยู่อาศัย
ท่ามกลางภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังสั่นคลอนจากแรงกดทับทั้งเชิงเศรษฐกิจและโครงสร้างรายได้ของผู้บริโภค บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เลือกค้นหาทิศทางใหม่เพื่อตั้งรับความผันผวน โดยเฉพาะในตลาดแมสราคาเข้าถึงง่ายที่กำลังเผชิญภาวะกู้ไม่ผ่านสูงเป็นประวัติการณ์
วิกฤตกู้ไม่ผ่านทุบตลาดแมส
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เล่าถึงสภาพตลาดปัจจุบันว่าเป็นช่วงที่ “ทรหดยิ่งกว่าวิกฤติรอบใด” เพราะไม่ใช่เพียงการชะลอตัวตามวงจร แต่เป็นขาลงที่ยืดเยื้อและกดดันทุกจุดของห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่สินเชื่อ ผู้บริโภค ไปจนถึงต้นทุนพัฒนาโครงการ
ดร.เกษรา อธิบายว่า อัตราปฏิเสธสินเชื่อในตลาดแนวราบของบางทำเล เช่น บางใหญ่ พุ่งสูงถึง 80% ในขณะที่คอนโดมิเนียมก็ยังมีตัวเลขเฉลี่ยระดับ 50% ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความต้องการที่หายไป แต่เป็น “ความสามารถในการกู้” ที่ลดลงหนักจากรายได้คนส่วนใหญ่เติบโตไม่ทันราคาบ้าน
ขณะเดียวกันหนี้ครัวเรือนก็อยู่ในระดับสูงจนผูกลมหายใจของผู้บริโภคไว้กับภาระเดิมจนไม่มีพื้นที่สำหรับอนาคต เมื่อปัญหาขยายวง ความฝันการมีบ้านหลังแรกจึงกลายเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนจำนวนมาก
Next Solution กลไกฟื้นกำลังซื้อ
ด้วยบริบทเช่นนี้ เสนาเลือกเดินเกมใหม่ผ่าน “Next Solution” โมเดลที่บริษัทนิยามว่าเป็นการ “โยนบันไดลงไปให้ลูกค้าขึ้นมากู้บ้านได้” แทนที่จะปล่อยให้หลุดจากระบบและหวนกลับไปเช่าที่อยู่อาศัยต่อไปอีกหลายปี หนึ่งในกลไกสำคัญ คือ LivNext หรือโครงการเช่าออมบ้าน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อพลิกยอดปฏิเสธสินเชื่อให้กลายเป็นยอดขาย โดยให้ลูกค้าผ่อนกับโครงการในอัตราดอกเบี้ยราว 1.8% ผ่านบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
เพื่อสร้างเครดิตที่ดีขึ้นระหว่างรอวันกู้ผ่านในอีก 2-3 ปีข้างหน้า กระบวนการทุกขั้นถูกตรวจสอบร่วมกับบริษัทเงินสดใจดีในเครือเสนาฯ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพลูกค้าและติดตามความคืบหน้าทุก 6 เดือน รวมถึงให้คำแนะนำเรื่องพฤติกรรมทางการเงินแบบใกล้ชิด
ผลลัพธ์ของ LivNext ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเชิงสถิติ แต่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง ปัจจุบันโครงการมีลูกค้าประมาณ 1,000 ยูนิต และมีผู้ที่สามารถกู้ผ่านและโอนได้จริงแล้ว 100 ยูนิต ภายในเวลาไม่ถึงสองปี กลายเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าคนที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อไม่ได้ “กู้ไม่ได้ตลอดไป” แต่ต้องการเวลาปรับฐานข้อมูลทางการเงินให้ถูกต้อง ส่วนมูลค่าทางธุรกิจ LivNext ช่วยรักษายอดขายที่อาจสูญไปกว่า 2,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันฐานลูกค้าก็เริ่มขยับจาก 1-2 ล้านบาท ขึ้นมาสู่กลุ่ม 3-4 ล้านบาท สะท้อนว่าความต้องการมีบ้านไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาเงื่อนไขด้านเครดิตเท่านั้น คู่ขนานกับ LivNext คือ RentNext โมเดลเช่าที่มากกว่าการเช่า โดยสร้างความยืดหยุ่นให้ลูกค้าเปลี่ยนใจซื้อเป็นเจ้าของได้ได้โดยนำค่าเช่ามาหักเงินต้น 100% หากซื้อยูนิตเดียวกัน หรือ 50% หากย้ายไปซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนา
รายได้รวมจาก LivNext และ RentNext อยู่ราว 80-100 ล้านบาทต่อปี แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ Gross Margin สูงถึง 80% เพราะเป็นการนำทรัพย์สินเดิมมาใช้สร้างรายได้ใหม่ ลดต้นทุนการตลาด และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ (Economy of Scope) ในทำเลที่ได้รับความนิยมในการเช่ามากที่สุดอยู่ใกล้แหล่งงานและสถาบันการศึกษา เช่น พระราม 9 บางนา นิคมอุตสาหกรรม และรังสิต ซึ่งมีความต้องการเช่าค่อนข้างมากและมีความเสี่ยงตํ่า
ปี 2569 รัดเข็มขัด พร้อมพัฒนาอสังหาฯ ยั่งยืน
ในด้านยุทธศาสตร์ปี 2569 เสนาเลือกเดินหน้าอย่างระมัดระวัง โดยจะมีการการเปิดโครงการใหม่ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ชะลอมาจากปีก่อนหรือเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิมแทนการขยายพอร์ตเพิ่มเติม เนื่องจากต้องการรักษาสภาพคล่องและเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงสุด จึงหันไปพัฒนาสินค้าคงคลังที่มีอยู่
ทั้งคอนโดที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 5,000 ยูนิต มูลค่ารวมราว 10,000 ล้านบาท โดยมากกว่า 70% เป็นคอนโดมิเนียม เสนายังดำเนินการปรับปรุงยูนิตเดิมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การรีโนเวตเฟอร์นิเจอร์ ปรับ Layout ไปจนถึงการทำตลาดแบบตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้สินค้าสอดรับความต้องการจริงของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
“ปกติแล้วของผู้พัฒนาโครงการจะเกิดคอนเซ็ปต์ใหม่ในโครงการใหม่ แต่เราไม่ควรต้องคิดแบบนั้น การที่เราไม่มีโครงการใหม่ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องหยุดพัฒนา” ดร.เกษรา กล่าว
อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่เสนาฯ มุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปคือความยั่งยืน ดร.เกษรายืนยันว่าบ้านในกลุ่มราคาแกรนด์ทุกหลังมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่เก็บพลังงาน โดยถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่ตอบโจทย์ค่าครองชีพและความตระหนักเรื่องพลังงานสะอาด ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าแนวทาง Waste Management ในทุกโครงการ เพื่อยกระดับบทบาทของบริษัทในฐานะ “Life Long Trusted Partner” ที่ไม่เพียงพัฒนาอสังหาฯ แต่ดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ
เมื่อกล่าวถึงมุมมองด้านสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ดร.เกษรา มองว่า มาตรการรัฐที่ส่งผลต่อภาคอสังหาฯ โดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง ซึ่งได้มีการออกมาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและสินเชื่อที่ตึงตัวเกินไป หากรัฐบาลสามารถตั้ง AMC เพื่อซื้อหนี้เสียหรือปรับโครงสร้างให้เกิดผลจริง จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมาก ส่วนการลดดอกเบี้ยควรเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ เพราะมีผลโดยตรงต่อ DSR และช่วยให้ลูกค้ากู้ผ่านได้ง่ายขึ้น
ท้ายที่สุด ดร.เกษราเน้นว่า สิ่งสำคัญของผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้ คือการปรับตัวเชิงรุกและมองหาวิธีช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสก้าวเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่เสนาฯ เดินหน้ากลยุทธ์ Next Solution เพื่อประคองกำลังซื้อในกลุ่ม Affordable และสร้างเส้นทางให้ลูกค้าได้เตรียมความพร้อมในการยื่นกู้จริง แม้อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี แต่ถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้บริโภคในระยะยาว
ท่ามกลางสภาพตลาดที่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว การสร้างเครื่องมือช่วยเหลือและเสริมศักยภาพให้ลูกค้าจึงเป็นบทบาทที่ภาคธุรกิจสามารถทำได้ทันที และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้ตลาดกลับมาเดินหน้าอย่างยั่งยืนในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16ธ.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 31.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยในคืนที่ผ่านมา ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมในเดือนพ.ย.และข้อมูลตลาดแรงงานบางส่วนของเดือนตุลาคม คาดกรอบเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.40-31.75 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16 ธ.ค.2568ที่ระดับ 31.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.44 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น
และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA
หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น
จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ ในคืนนี้ ที่ตลาดจะทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ช่วง 20.30 น. เงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว โดยจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาทมีกรอบการแกว่งตัว +/- 1.0SD ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ราว +0.50%/-0.39%
โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดมาก โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
กดดันราคาทองคำและเงินบาท โดยเงินบาทก็เสี่ยงที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็คาดหวังการลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้ง ในปี 2026 ไปมากแล้ว ทำให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจย่อตัวลงบ้าง
แต่ต้องติดตามว่า ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะในช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ไม่ยาก และในกรณีดังกล่าว อาจเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซน 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้
เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา
ทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.75 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.41-31.53 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์
ทว่าโดยรวมเงินดอลลาร์ก็เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่าง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุเหนือจุดสูงสุดก่อนหน้า ได้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลแนวโน้มอุปทานน้ำมันตลาดโลก หลังการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความคืบหน้ามากขึ้น ก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้บ้าง (อย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท) ผ่านโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมัน
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ขณะเดียวกัน แรงขายบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ก็ยังคงมีอยู่บ้าง
โดยเฉพาะ Broadcom -5.6%, Oracle -2.7% ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้น Defensive เช่น กลุ่ม Healthcare และ Utilities ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -0.59%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.74% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ รวมถึงการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความคืบหน้ามากขึ้น จะช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรป ทว่าภาพดังกล่าวกลับกดดันบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน อาทิ Rheinmetall -4.4%
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ 4.15%-4.19% หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่าง ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด อนึ่ง บรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้บ้าง อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น
1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด
2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ
3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ และผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก (BOE, ECB และ BOJ) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 98.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) จะพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ โดยเฉพาะในช่วงก่อนรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ อย่างรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยและแกว่งตัวแถวโซน 4,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนพฤศจิกายน และข้อมูลตลาดแรงงานบางส่วนของเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนธันวาคม
ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าวจะสะท้อนว่า การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมล่าสุดนั้น เหมาะสมหรือไม่ และแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งอังกฤษ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็มีส่วนส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซน รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Survey) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ทางฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพุธ ที่ 17 ธันวาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สรุปเหรียญซีเกมส์ 2025 ล่าสุด วันที่ 16 ธ.ค. 68 ไทย โกยทองนำโด่ง

การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 SEA Games 2025 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ช่วงระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568
หลังผ่านการแข่งขันเข้าสู่วันที่เจ็ด “ทัพนักกีฬาไทย” ยังคงนำโด่งในตารางเหรียญรางวัล หลังสามารถเก็บเหรียญรางวัลรวมได้ทั้งหมด 291 เหรียญ แบ่งเป็น 145 เหรียญทอง 87 เหรียญเงิน และ 59 เหรียญทองแดง
ขณะที่อันดับ 2 เป็นทางด้าน อินโดนีเซีย ที่คว้า 52 เหรียญทอง, เวียดนาม 40 เหรียญทอง และ อันดับ 4 สิงคโปร์ เก็บไป 34 เหรียญทอง
สรุปเหรียญซีเกมส์ 2025 ล่าสุด วันอังคารที่ 16 ธันวาคม 2568
อันดับ 1 : ไทย 145 เหรียญทอง 87 เหรียญเงิน 59 เหรียญทองแดง รวม 291 เหรียญ
อันดับ 2 : อินโดนีเซีย 52 เหรียญทอง 65 เหรียญเงิน 64 เหรียญทองแดง รวม 181 เหรียญ
อันดับ 3 : เวียดนาม 40 เหรียญทอง 47 เหรียญเงิน 70 เหรียญทองแดง รวม 157 เหรียญ
อันดับ 4 : สิงคโปร์ 34 เหรียญทอง 32 เหรียญเงิน 39 เหรียญทองแดง รวม 105 เหรียญ
อันดับ 5 : มาเลเซีย 26 เหรียญทอง 28 เหรียญเงิน 80 เหรียญทองแดง รวม 134 เหรียญ
อันดับ 6 : ฟิลิปปินส์ 25 เหรียญทอง 38 เหรียญเงิน 80 เหรียญทองแดง รวม 143 เหรียญ
อันดับ 7 : เมียนมา 3 เหรียญทอง 17 เหรียญเงิน 22 เหรียญทองแดง รวม 42 เหรียญ
อันดับ 8 : ลาว 2 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน 16 เหรียญทองแดง รวม 24 เหรียญ
อันดับ 9 : บรูไน 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง รวม 8 เหรียญ
อันดับ 10 : ติมอร์ เลสเต 0 เหรียญทอง 0 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง รวม 2 เหรียญ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เตือนภัย ‘ไข้เลือดออกในเด็ก’ ติดเชื้อง่าย ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

- เด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นช็อกได้
- อาการเบื้องต้นคือมีไข้สูงเฉียบพลันนาน 2-7 วัน ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการให้ยาลดไข้กลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟนเอง และรีบพาเด็กไปพบแพทย์หากไข้ไม่ลด
- การป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามมาตรการ “3 เก็บ” และต้องเฝ้าระวังอาการเตือนของภาวะช็อก เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อย เพื่อนำส่งโรงพยาบาลทันที
กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะผู้ปกครองเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ยุงลายมีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในบ้านและโรงเรียน เด็กเล็กและเด็กวัยเรียนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
เช่น ภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของบุตรหลานตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และรีบพาไปพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าป่วยเป็นไข้เลือดออก เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ที่ติดต่อผ่านยุงลาย ซึ่งมักกัดในเวลากลางวัน เด็กที่ได้รับเชื้อมักมีอาการไข้สูงเฉียบพลันต่อเนื่อง 2-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา และมีผื่น อาจมีจุดเลือดออกที่บริเวณผิวหนัง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีผื่นแดงขึ้นตามตัว
อาการเหล่านี้อาจคล้ายไข้หวัดทั่วไป ทำให้บางครอบครัวอาจเข้าใจผิด และซื้อยาลดไข้มารับประทานเอง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะยากลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก ดังนั้น เมื่อเด็กมีไข้สูงไม่ทราบสาเหตุนานเกิน 2 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุทันที
ด้านนายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกสามารถทำได้ง่ายแต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ เก็บบ้านให้สะอาดไม่ให้ยุงเกาะพัก เก็บน้ำ ให้มิดชิดไม่ให้ยุงลายวางไข่ เก็บขยะ รอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

นอกจากนี้ ควรตรวจดูภาชนะที่มีน้ำขังทุกสัปดาห์ เช่น ถังน้ำ แจกัน ถ้วยรองกระถางต้นไม้ และควรปล่อยปลากินลูกน้ำในบ่อน้ำเพื่อควบคุมยุงลายตามธรรมชาติ การร่วมมือกันระหว่างครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดการระบาดของโรคได้อย่างยั่งยืน
แพทย์หญิงประอร สุประดิษฐ ณ อยุธยา นายแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านไข้เลือดออก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ปกครองควรเฝ้าระวังอาการที่บ่งชี้ถึงภาวะรุนแรงของโรค ได้แก่ ปวดท้องมาก อาเจียนบ่อย มือเท้าเย็นเหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัว

หากพบอาการเหล่านี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยอาจเข้าสู่ภาวะช็อกได้ โดยแพทย์จะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อควบคุมการรั่วของพลาสมาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้ การรู้เท่าทันโรคและการป้องกันตั้งแต่ต้น คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ภาษาอังกฤษ พร้อมคำแปล

- Happy New Year’s now and always!
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขในตอนนี้และตลอดไป - Happy New Year, the best time for a new beginning is now.
สวัสดีปีใหม่ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่มาถึงแล้ว - Have a sparkling New Year! Wishing you good times, good health, good cheer.
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดี มีสุขภาพที่ดี และกำลังใจที่ดี - Cheers to another year! I wish you happiness in the year to come.
ยินดีกับอีกปีที่มาถึง ขอให้มีแต่ความสุขในปีใหม่นี้ - Life is short – dream big and make the most of 2022!
ชีวิตมันสั้น ฝันให้ยิ่งใหญ่ และทำมันเต็มที่ในปี 2022! - I wish you a smashing New Year filled with laughter.
ขอให้เป็นปีใหม่ที่ดีและมีแต่เสียงหัวเราะ - I wish you happiness, good health and well-being from the bottom of my heart!
ขอให้มีแต่ความสุข มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี จากก้นบึ้งของใจ - May all your dreams come true and all your hopes be fulfilled! Happy New Year!
ขอให้ความฝันทั้งหมดของคุณกลายเป็นจริง และสมหวังในทุกเรื่อง สวัสดีปีใหม่! - May this new year be filled with wonder and delight. Happy 2022!
ขอให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และความสุขสดใส สุขสันต์ปี 2022! - May the new year bring you peace, joy and happiness.
ขอให้ปีใหม่นี้พบเจอแต่ความสงบสุข ความสนุกสนาน และความสุข - May your new year be as special and cool as you are!
ขอให้ปีใหม่ของคุณมีแต่ความพิเศษและเจ๋งเหมือนที่คุณเป็น! - May your new year be decorated with sweet memories, wonderful days and memorable nights.
ขอให้ปีใหม่ของคุณประดับประดาไปด้วยความทรงจำแสนหวาน วันที่มหัศจรรย์ และค่ำคืนที่น่าจดจำ - New adventures are around the corner. Let you dreams take flight in this new year!
การผจญภัยครั้งใหม่มารออยู่แล้ว ติดปีกพาความฝันไปสู่ความสำเร็จในปีใหม่นี้กัน! - A basket full of smile, joy and warm wishes sent to you from thousand miles away for you my dear Friend! Have a sparkling New Year!
ขอส่งตะกร้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข และคำอวยพรที่แสนอบอุ่นให้กับคุณ จากเพื่อนที่อยู่ห่างไกล สวัสดีปีใหม่! - A new year is like a blank book. The pen is in your hands. It is your chance to write a beautiful story for yourself. Happy 2022!
ปีใหม่เหมือนสมุดเปล่าที่มาพร้อมปากกาในมือคุณ และนี่เป็นโอกาสที่จะได้สร้างเรื่องราวที่ดีให้กับตัวเอง สุขสันต์ปี 2022!
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
10 เทรนด์เทคโนโลยีปี 2569 ที่จะกำหนดทิศทางในทศวรรษหน้า

- ปี 2569 จะเป็นปีแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ โดยมีเทรนด์หลักอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI), อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT), และความจริงขยาย (XR) ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานอย่างสิ้นเชิง
- เทคโนโลยีใหม่ๆ จะปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การแพทย์ด้วยการพิมพ์ชีวภาพ (Bioprinting), การพัฒนาเมืองด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities), และการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วยระบบอัตโนมัติขั้นสูง (Hyper Automation)
- การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นทำให้ความมั่นคงทางไซเบอร์มีความสำคัญสูงสุด ขณะที่เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนและควอนตัมคอมพิวติ้งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการประมวลผลและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2569 ภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ตามรายงานข่าวเทรนด์เทคโนโลยี การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ที่เข้ามาปฏิวัติทุกสิ่ง ตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงการแพทย์
ปี 2569 นี้จะมีการก้าวหน้าครั้งสำคัญมากมายที่จะปรับเปลี่ยนวิธีที่เราใช้ชีวิต ทำงาน และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวเราอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ AI ไปจนถึงการเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT)
เทรนด์เหล่านี้มีศักยภาพมหาศาลในการปฏิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมของเรา Cambridge Open Academy ได้เจาะลึก 10 เทรนด์เทคโนโลยีใหม่ที่พร้อมจะครองปี 2569 ดังนี้:
1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI): จากผู้ช่วยสู่การเสริมประสิทธิภาพ
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนผ่านจากแนวคิดในนิยายวิทยาศาสตร์มาสู่ความเป็นจริงที่แพร่หลาย AI โดดเด่นในฐานะเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่โดดเด่นและสร้างการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ดึงดูดความสนใจทั่วโลก พร้อมทั้งสร้างความท้าทายอย่างลึกซึ้งในด้านจริยธรรม การนำไปใช้ และผลกระทบต่อสังคม

ในปี 2569 นี้ จะมีการผนวก AI เข้ากับกิจวัตรประจำวันของเราอย่างกว้างขวาง โดยก้าวข้ามขีดจำกัดของการทำงานอัตโนมัติพื้นฐาน AI เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานที่เราเคยคิดว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ เราจะเห็นการเกิดขึ้นของผู้ช่วย AI ส่วนบุคคลที่ซับซ้อน สามารถคาดการณ์ความต้องการของเราและทำให้งานต่าง ๆ คล่องตัวขึ้น งานบริการลูกค้าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งให้การสนับสนุนที่เป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพ แทบจะแยกไม่ออกจากคู่หูที่เป็นมนุษย์
- ผลกระทบ: AI จะขับเคลื่อนการทำงานอัตโนมัติของงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ในธุรกิจ และปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นส่วนตัว และนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ รวมถึงการวินิจฉัยโรคและการค้นพบยา ขีดความสามารถในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของ AI จะผลักดันแผนการรักษาที่เป็นส่วนตัวในด้านสุขภาพ
2. เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities): สร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อ
จินตนาการถึงมหานครที่พัฒนาอย่างราบรื่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้ทันที ระบบไฟจราจรที่ปรับเทียบอย่างชาญฉลาดตามการไหลของจราจรที่ติดขัดแบบเรียลไทม์ ระบบจัดการของเสียที่ปรับปรุงเส้นทางการเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และโครงสร้างเมืองที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของ “เมืองอัจฉริยะ” เครือข่ายที่ซับซ้อนของเซ็นเซอร์ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกัน และการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ เป็นแนวหน้าของเทรนด์เทคโนโลยีปัจจุบัน ซึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตในเมืองอย่างลึกซึ้ง
- ผลกระทบ: ปี 2569 จะเห็นการเพิ่มขึ้นของโครงการเมืองอัจฉริยะ โดยเซ็นเซอร์ อุปกรณ์ และข้อมูลจะสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกัน เมืองอัจฉริยะจะปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมือง
3. ความจริงขยาย (Extended Reality – XR): เชื่อมช่องว่างระหว่างโลกทางกายภาพและดิจิทัล
ความจริงขยาย (XR) ซึ่งรวมความจริงเสริม (Augmented Reality – AR) และความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality – VR) เป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่ทำลายขอบเขตระหว่างโลกทางกายภาพและดิจิทัล AR ซ้อนส่วนเสริมดิจิทัลลงบนโลกแห่งความเป็นจริง ขณะที่ VR สร้างพื้นที่จำลองที่ดื่มด่ำอย่างสมบูรณ์ จากการวิจัยเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่ XR ถูกกำหนดให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พัฒนาจากการใช้งานเฉพาะทางไปสู่การรวมเข้ากับชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลายภายในปี 2569 จินตนาการถึงการดื่มด่ำกับคอนเสิร์ตสดผ่าน VR จากห้องนั่งเล่นของคุณ หรือการเข้าถึงการฝึกอบรมที่แนะนำโดย AR แบบไดนามิกในการตั้งค่าโรงงาน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของเทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมการทำงาน
- ผลกระทบ: XR จะปฏิวัติการฝึกอบรมและการศึกษา โดยเปิดใช้งานประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดื่มด่ำและโต้ตอบสูง ในภาคการค้าปลีก ลูกค้าสามารถทดลองสวมใส่เสื้อผ้าเสมือนจริงและเห็นภาพเฟอร์นิเจอร์ ทำให้การตัดสินใจซื้อเป็นไปอย่างมีข้อมูลมากขึ้นและปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งโดยรวม
4. อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things – IoT): เครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกัน
อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) หมายถึงเครือข่ายที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์ทางกายภาพที่ฝังด้วยเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทั้งหมดเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและอุปกรณ์ติดตามสุขภาพแบบสวมใส่ได้ ไปจนถึงรถยนต์ที่เชื่อมต่อและอุปกรณ์อุตสาหกรรม จำนวนอุปกรณ์ IoT คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในปี 2569
- ผลกระทบ: เครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันนี้สร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสำหรับธุรกิจและรัฐบาล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบอัจฉริยะที่ปรับตัวได้และทำงานแบบเรียลไทม์ ระบบเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล และมีประโยชน์ในหลากหลายภาคส่วน ทำให้ธุรกิจและรัฐบาลสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลัก
5. ความมั่นคงทางไซเบอร์ในโลกที่มีการเชื่อมต่อสูง: ภัยคุกคามและแนวทางแก้ไขที่พัฒนา
เมื่อเราพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นและโลกมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ความจำเป็นสำหรับโซลูชันความมั่นคงทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งจึงมีความสำคัญสูงสุด ในปี 2569 เราสามารถคาดหวังได้ว่าจะมีการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ธุรกิจ และบุคคล
- ผลกระทบ: บริษัทและรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในมาตรการความมั่นคงทางไซเบอร์ขั้นสูง การนำระบบตรวจจับภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้ และการนำรูปแบบความมั่นคงแบบ “Zero-Trust” มาใช้เพื่อลดช่องโหว่ บุคคลก็ต้องเฝ้าระวังเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวทางออนไลน์ และฝึกฝนสุขอนามัยดิจิทัลที่ปลอดภัย
6. ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing): ทลายกำแพงการคำนวณ
ในขณะที่คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมอาศัยบิต (0 หรือ 1) คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้พลังของคิวบิต ซึ่งสามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน (การซ้อนทับ) สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินการคำนวณที่ซับซ้อนได้เร็วกว่าคอมพิวเตอร์แบบคลาสสิกอย่างมาก แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ปี 2569 อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในคอมพิวเตอร์ควอนตัม โดยมีศักยภาพในการใช้งานที่ส่งผลกระทบต่อสาขาต่าง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์ การค้นพบยา และการสร้างแบบจำลองทางการเงิน
- ผลกระทบ: คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถปฏิวัติการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) โดยการแก้ปัญหาบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัลแบบคลาสสิก โดยใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของอนุภาคย่อยของอะตอมเพื่อเร่งงานเฉพาะทาง เช่น การจำลองโมเลกุล การคำนวณควอนตัมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำในการจำลองวัสดุศาสตร์ และกำลังมีการใช้งานใหม่ ๆ ในด้านสุขภาพและการแพทย์ ความก้าวหน้าของควอนตัมส่งผลกระทบต่อ AI การเข้ารหัสลับ ยา และพลังงานหมุนเวียน
7. การพิมพ์ชีวภาพ (Bioprinting): ปฏิวัติการแพทย์และการผลิต
การพิมพ์ชีวภาพ หรือที่เรียกว่าการพิมพ์ชีวภาพ 3 มิติ ใช้เซลล์ที่มีชีวิตและวัสดุชีวภาพเพื่อสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะสามมิติ ในปี 2569 เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ซึ่งจะนำเราเข้าใกล้ขอบเขตของการแพทย์เฉพาะบุคคล ลองจินตนาการถึงการพิมพ์เนื้อเยื่อทดแทนหรือแม้แต่อวัยวะทั้งหมดสำหรับการปลูกถ่าย ซึ่งอาจช่วยลดการรอคิวของผู้บริจาคอวัยวะได้
- ผลกระทบ: การพิมพ์ชีวภาพมีความเป็นไปได้สำหรับการแพทย์เฉพาะบุคคลและการบำบัดด้วยการสร้างใหม่ นักวิจัยสามารถสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะที่ซับซ้อน และช่วยเร่งความก้าวหน้าในการค้นพบยาและการสร้างแบบจำลองโรค การพิมพ์ชีวภาพมีนัยสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ
8. ระบบอัตโนมัติขั้นสูง (Hyper Automation): หุ่นยนต์เข้าแทนที่งานซ้ำ ๆ
ระบบอัตโนมัติขั้นสูงก้าวข้ามประสิทธิภาพระดับงานแบบดั้งเดิม โดยการประสานงานการทำงานอัตโนมัติของกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมดอย่างราบรื่น ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกัน เช่น ระบบอัตโนมัติของกระบวนการด้วยหุ่นยนต์ (RPA) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) เพื่อปลดล็อกความสามารถในการขยายขนาดและความซับซ้อนในการดำเนินงานที่ไม่เคยมีมาก่อน ตามที่เน้นไว้ในรายงานและงานกิจกรรมเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญ ๆ กระบวนทัศน์นี้กำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงองค์กร ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เกิดงานเทรนด์เทคโนโลยีสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการรวม AI วิศวกรรมกระบวนการ และการกำกับดูแลระบบอัตโนมัติอย่างมีจริยธรรม
- ผลกระทบ: ระบบอัตโนมัติขั้นสูงช่วยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่งานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียงาน ทำให้จำเป็นต้องมีโครงการฝึกอบรมพนักงานใหม่
9. บล็อกเชน (Blockchain): นอกเหนือจากสกุลเงินดิจิทัล
เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นระบบบัญชีแยกประเภทแบบกระจายที่รองรับสกุลเงินดิจิทัล มีศักยภาพในการปฏิวัติวิธีการจัดเก็บและแบ่งปันข้อมูล ในปี 2569 เราสามารถคาดหวังได้ว่าแอปพลิเคชันบล็อกเชนจะขยายไปไกลกว่าธุรกรรมทางการเงิน โดยส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การจัดการซัพพลายเชน การดูแลสุขภาพ และระบบการลงคะแนน
- ผลกระทบ: บล็อกเชนเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของซัพพลายเชน ทำให้มั่นใจในความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงการเก็บบันทึกในด้านสุขภาพ และสามารถเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยของระบบการลงคะแนน เทคโนโลยีนี้ส่งเสริมความไว้วางใจในกระบวนการประชาธิปไตย
10. อนาคตของการทำงาน: เปิดรับความยืดหยุ่นและการทำงานร่วมกัน
การระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเราอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2569 รูปแบบการทำงานระยะไกลและแบบผสมผสาน (Hybrid Work) น่าจะกลายเป็นเรื่องปกติ เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันและการสื่อสารข้ามทีมที่กระจายตัวทางภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติจะยังคงเปลี่ยนแปลงตลาดงานต่อไป โดยเรียกร้องให้มีชุดทักษะใหม่ ๆ และส่งเสริมความจำเป็นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- ผลกระทบ: รูปแบบการทำงานระยะไกลและแบบผสมผสานให้ความยืดหยุ่นและความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น บริษัทต่าง ๆ ควรลงทุนในเครื่องมือและแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน การรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญ นายจ้างและพนักงานต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป และเปิดรับโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อการเติบโตทางอาชีพ
เทรนด์เทคโนโลยี 10 อันดับแรกนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภูมิทัศน์เทคโนโลยีที่มีพลวัตและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราก้าวไปสู่ปี 2569 เราสามารถคาดหวังที่จะเห็นความก้าวหน้าเพิ่มเติมที่จะยังคงปรับเปลี่ยนโลกรอบตัวเราต่อไป เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น และกุญแจสำคัญในการนำทางการปฏิวัติทางเทคโนโลยีนี้คือการปรับตัว อยากรู้อยากเห็น และเปิดรับความเป็นไปได้ที่อนาคตจะนำมาให้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 เครื่องดื่มทดแทน “น้ำหวาน” ตัวช่วยผิวสวยใส หุ่นดี พร้อมเสริมระบบขับถ่าย

5 เครื่องดื่มทดแทนน้ำหวาน ดีต่อการขับถ่าย พร้อมบำรุงผิวให้สวยชุ่มชื้น
การลดน้ำหวานจากเครื่องดื่ม คือขั้นตอนสำคัญอันดับแรกสู่ผิวสวยใสและหุ่นดี แต่การดื่มแค่น้ำเปล่าบางครั้งก็อาจจะน่าเบื่อเกินไปใช่ไหมคะ? แต่ก็อย่าเพิ่งกลับไปหาน้ำอัดลม เพราะวันนี้เรามี 5 เครื่องดื่มทดแทนน้ำหวานสุดสร้างสรรค์ ที่ไม่เพียงแต่ให้ความสดชื่น แต่ยังช่วยให้ผิวคุณชุ่มชื้นจากภายในและช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานได้คล่องตัว มาฝากสาว ๆ รักผิว รักสุขภาพกันค่ะ
1.น้ำหมักขิงและเลมอน
น้ำหมักจากขิงและเลมอน เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องอืดได้อย่างดีเยี่ยม ขิงมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ส่วนเลมอนมีวิตามิน C และช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย สาว ๆ ควรนำขิงสดหั่นแว่นบาง ๆ และแผ่นเลมอนมาแช่ในน้ำเปล่าทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง หรือค้างคืนในตู้เย็น ดื่มแทนน้ำหวานตลอดวัน รสชาติเผ็ดร้อนอ่อน ๆ ของขิงจะช่วยทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสบายท้องค่ะ
2.ชาคอมบูชา
ชาคอมบูชา คือ เครื่องดื่มชาหมักที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ออกซ่าเล็กน้อย และเป็นแหล่งของ Probiotics หรือจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้ จุลินทรีย์เหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างสมดุลของลำไส้ ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติและช่วยลดปัญหาท้องผูก คุณผู้หญิง ควรเลือกคอมบูชาที่มีน้ำตาลต่ำหรือไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม การดื่มคอมบูชาเป็นประจำจะช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดสารพิษในร่างกายและทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สดใสขึ้น
3.น้ำมะพร้าวแบบไม่แต่งเติม
น้ำมะพร้าวธรรมชาติที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งใด ๆ คือสุดยอดเครื่องดื่มให้ความชุ่มชื้นจากธรรมชาติ เพราะอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายและทำให้ผิวดูอิ่มน้ำได้ดีกว่าน้ำเปล่าธรรมดา นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังมีเส้นใยอาหารเล็กน้อยและมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้อย่างนุ่มนวล สาว ๆ ควรเลือกน้ำมะพร้าวสดหรือแบบกล่องที่ระบุว่า 100% Pure เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำตาลที่ถูกเติมเข้ามา
4.น้ำเปล่าผสมเมล็ดเจีย
การดื่มน้ำเปล่าผสมเมล็ดเจียเป็นอีกวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยเรื่องการขับถ่ายได้พร้อมกัน เมื่อเมล็ดเจียถูกแช่น้ำจะพองตัวและกลายเป็นเจล ซึ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ เมื่อใยอาหารเหล่านี้เข้าสู่ลำไส้ จะช่วยเพิ่มปริมาตรของอุจจาระและช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น เพียงแค่แช่เมล็ดเจีย 1 ช้อนชาในน้ำเปล่าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจิบตลอดวัน ใยอาหารจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้นและดีต่อระบบย่อยอาหารด้วยค่ะ
5.ชาสมุนไพรเย็นใส่ว่านหางจระเข้
ชาสมุนไพรที่ไม่ใส่คาเฟอีน เช่น ชาเปปเปอร์มินต์ ชาคาโมมายล์ หรือชาฮิบิสคัส เมื่อนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเย็น จะให้ความสดชื่นโดยไม่มีน้ำตาล สาว ๆ ลองเพิ่มเนื้อว่านหางจระเข้ลงไปในชาเย็น (ต้องเป็นว่านหางจระเข้ที่พร้อมรับประทาน) โดยจะมีคุณสมบัติในการช่วยสมานเยื่อบุลำไส้ ลดการอักเสบ และช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กน้อย ทำให้การขับถ่ายดีขึ้นและผิวพรรณก็ได้รับความชุ่มชื้นและเย็นสบายจากภายใน
การเลือก 5 เครื่องดื่มทดแทนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณผู้หญิงได้รับความสดชื่น ใยอาหาร และโพรไบโอติกส์อย่างเต็มที่ อย่าลืมว่าความสวยที่ยั่งยืน ต้องเริ่มต้นจากลำไส้ที่สะอาด เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ขอชวนสาว ๆ มาเริ่มต้นจิบเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีและสร้างผิวที่เปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอกกันค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/12/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 63,900.00 | 64,000.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,131.00 | 62,625.96 | 64,800.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,717.90 | 56,363.36 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,304.80 | 50,100.77 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,858.95 | 28,181.68 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,445.85 | 21,919.09 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,280.83 | 64,897.38 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/12/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 29.94 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







