สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568

เช็ก ทำเลทอง ปี 69’ กทม.-ปริมณฑล พื้นที่ไหน น่าลงทุน-อยู่อาศัย

  • ทำเลที่น่าลงทุนในปี 2569 มีปัจจัยสำคัญจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้าและทางด่วน มีแหล่งงานขนาดใหญ่รองรับ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
  • พื้นที่ฝั่งตะวันออก (บางนา, ศรีนครินทร์, กรุงเทพกรีฑา) และฝั่งตะวันตก (พุทธมณฑล, ศาลายา) มีศักยภาพสูงจากความต้องการอยู่อาศัยจริงและโครงข่ายคมนาคมที่สะดวกขึ้น
  • โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือและปริมณฑล (ลาดพร้าว, รามอินทรา, ดอนเมือง, รังสิต) ได้รับอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายใหม่ ทำให้ที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้เป็นที่ต้องการของคนทำงานและครอบครัว

ที่ดินทำเลศักยภาพในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต้องบอกว่ามีราคาขยับต่อเนื่อง ด้วย ที่ดินมีจำกัด  มีการแข่งขันการพัฒนาโครงการ แต่จะมีพื้นที่ไหน ที่น่าสนใจโดยเฉพาะปี2569  ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) มี คำตอบ

 สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยระบุว่าทำเลที่มีความโดดเด่นมักมีลักษณะร่วมกัน คือ มีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ รถไฟฟ้า ทางด่วน ถนนตัดใหม่ มีแหล่งงานขนาดใหญ่รองรับ พัฒนาเป็นเมืองย่อยที่มีชีวิต มีมอลล์ โรงเรียน โรงพยาบาล ราคาที่อยู่อาศัยยังเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับในเขตใจกลางเมือง หรือซีบีดี รวมถึงเป็นทำเลมีดีมานด์จริงที่ยังเคลื่อนไหว แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว

สำหรับทำเลเด่นที่น่าสนใจในปี 2569 ประกอบด้วย

1.โซนต่อขยายกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก พุทธมณฑล ศาลายา บรมราชชนนี เนื่องจากเป็นทำเลมีดีมานด์อยู่อาศัยจริงสูง โดยเฉพาะบุคลากรจากศิริราชและมหิดล ศาลายา คอนโดโลว์ไรส์ สำหรับนักศึกษาและบุคลากร ส่งผลให้มีดีมานด์เช่าหนาแน่น สามารถพัฒนาแนวราบระดับกลางและสูงได้อย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากราคาที่ดินยังจับต้องได้ มีถนนตัดใหม่สายพรานนก-สาย 4 ช่วยเพิ่มความสะดวก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ยังมีรถไฟฟ้าและโครงการคมนาคมในอนาคต ไม่ว่าสายสีแดงอ่อนช่วงศาลายา-ตลิ่งชัน สายสีส้มตะวันตกช่วงตลิ่งชัน-บางขุนนนท์ และเป็นโซนที่มีพื้นที่สีเขียวและสิ่งแวดล้อมดี ใกล้โรงพยาบาลศิริราช ทำให้บุคลากรหลายคนเลือกอยู่ฝั่งนี้

2.โซนบางนา-ตราด ช่วง กม.5-กม.15 และย่านสุขุมวิทตะวันออก เมกาบางนา ลาซาล แบริ่ง ด้วยทำเลนี้เป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของฝั่งตะวันออก จากอานิสงส์ของศูนย์การค้าเมกาบางนา โรงเรียนนานาชาติและพื้นที่สำนักงานจำนวนมาก โดยมีดีมานด์กลุ่มผู้บริหารและแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก รวมถึงครอบครัวต่างชาติและโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อีกทั้งยังอยู่ใกล้โครงข่ายมอเตอร์เวย์ การเติบโตของสนามบินสุวรรณภูมิรอบใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสำโรงเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเหลืองได้ง่ายขึ้น เดินทางเข้าเมืองสะดวก ยิ่งกว่านั้นดีมานด์เช่าคอนโดสูง โดยเฉพาะกลุ่ม Expat ญี่ปุ่นที่เลือกอยู่อาศัยทำเลแบริ่ง-ลาซาล เนื่องจากใกล้โรงเรียนและเดินทางไปอโศกสะดวก

3.โซนลาดพร้าว โชคชัย 4 รัชดา ห้วยขวาง หลังมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรงเปิดเต็มรูปแบบ ได้เพิ่มมูลค่าที่อยู่อาศัยโซนลาดพร้าวตอนต้น ทำให้ดีมานด์กระจุกตัว มีอาคารชุดและทาวน์โฮมในย่านนี้เป็นสินค้าหลักสำหรับคนทำงานในศูนย์กลางธุรกิจอย่างอโศก-พระราม 9-รัชดา-เกษตรฯ ยังเดินทางได้รวดเร็วเพราะมีรถไฟฟ้ารองรับทั้งฝั่งเหนือ ใต้ ตะวันออก

ส่วนตลาดคอนโดยังมีดีมานด์เช่าจากพนักงานออฟฟิศและนักศึกษาสูง โดยเฉพาะห้วยขวาง ซึ่งมีกิจกรรมคอมเมอร์เชียลและไลฟ์สไตล์ กลายเป็นย่านLiving 24 ชั่วโมงมีร้านเปิดดึกจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นทำเลที่ยังมีช่องว่างราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับใจกลางเมือง แต่เชื่อมต่อเมืองได้ดี

4.โซนรามอินทรา คู้บอน แฟชั่นไอส์แลนด์ วงแหวนตะวันออก ทำเลนี้โครงข่ายคมนาคมแข็งแรงจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี คือ สถานีรามอินทราและสถานีแฟชั่นไอส์แลนด์ ทำให้เกิดดีมานด์ใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มทำงานในเมืองที่ต้องการบ้านปลายสายในราคาเข้าถึงได้เข้าเมืองสะดวก

ทำเลนี้โดดเด่นด้านทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดระดับราคา 3-7 ล้านบาท ยังเป็นโซนมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ไม่ว่าแฟชั่นไอส์แลนด์และเดอะพรอมานาด ทำให้มีความเป็น “เมืองย่อย” ที่แข็งแรง และยังเป็นโซนครอบครัว คนทำงานมีรถส่วนตัว ใกล้ห้าง โรงเรียน และโรงพยาบาล

5.โซนพระราม 2 บางขุนเทียน สมุทรสาคร เนื่องจากเป็นทำเลมีโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก ช่วยลดเวลาเดินทาง ทำให้ดีมานด์บ้านแนวราบเติบโต ด้วยมีฐานแรงงานและนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทำให้ดีมานด์ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวระดับกลางยังมีต่อเนื่อง

ส่วนที่ดินยังแข่งขันได้ ราคายังไม่แรงเมื่อเทียบกับเมืองฝั่งตะวันออกและด้านเหนือ โดยยังเป็นโซนที่ดินยังเหลือมาก ทำให้ยังมีโครงการใหม่ต่อเนื่อง เหมาะกับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ และยังเป็นบริเวณเชื่อมต่อเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

(อีอีซี) ได้ง่าย นอกจากนี้ พระราม 2 ยังอยู่แนวเศรษฐกิจ Southern Corridor ที่เชื่อมสมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ที่สามารถเชื่อมเส้นทางพระราม 2 วงแหวน บางนาและชลบุรีได้โดยตรง

6.โซนศรีนครินทร์ พัฒนาการ อ่อนนุช กรุงเทพกรีฑาโซนใหม่ ทำเลนี้มีถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่เชื่อมพระราม 9 รามคำแหง ศรีนครินทร์ ทำให้ทำเลนี้ บูมแรงสุด ในฝั่งตะวันออก เหมาะพัฒนาแนวราบระดับ 8-20 ล้านบาท ซึ่งขายดีมากในปี 2568 และต่อเนื่องไปปี 2569 มีรถไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมหนาแน่นที่สุดโซนหนึ่ง ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสุขุมวิท แอร์พอร์ตเรลลิงก์ ทางด่วน และมอเตอร์เวย์ ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โลจิสติกส์และศูนย์กลางการเดินทาง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจการบินและเดินทางบ่อย

7.โซนดอนเมือง หลักสี่ แจ้งวัฒนะ ทำเลนี้มีรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีชมพู ทำให้คอนโดราคา 1.5-3 ล้านบาท กลับมาขายดี ได้แรงหนุนศูนย์กลางราชการและหน่วยงานองค์กรขนาดใหญ่ทำให้มีดีมานด์สูงมาก จากผู้ซื้อและผู้เช่าที่มั่นคง ยังมีสนามบินดอนเมือง เป็นข้อได้เปรียบสำคัญ ดึงคนทำงานสายการบิน การท่าอากาศยาน โลจิสติกส์ ทัวริสต์และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) จึงเป็นทำเลเหมาะกับผู้เริ่มทำงาน กลุ่มเช่า นักลงทุนรายย่อย การมีรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีชมพู ผ่านแจ้งวัฒนะรวมถึงทางด่วนศรีรัช ทำให้โซนนี้เดินทางเข้าเมือง เดินทางออกเมือง และเดินทางขึ้นเหนือสะดวก

8.โซนปทุมธานี รังสิต ลำลูกกา คูคต ถือเป็นทำเลมีโครงสร้างพื้นฐานสะดวกทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ขณะที่ต้นทุนที่ดินต่ำที่สุดในปริมณฑล ทำให้ทาวน์เฮาส์ราคา 1.8-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 3-6 ล้านบาทขายดี ทั้งนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ส่งทำให้ลำลูกกาและคูคตเป็นทำเลที่วิ่งเข้าเมืองง่ายและอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยายเชื่อมต่อไปถึงลำลูกกา ทำให้มีดีมานด์แท้จริงจำนวนมากจากครอบครัวเริ่มต้นและกลุ่มที่ซื้อบ้านหลังแรกแบบชัดเจน

นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัย การศึกษา ขนาดใหญ่ที่สุดในโซนเหนือของกรุงเทพฯ อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยรังสิต, โรงเรียนนานาชาติ เหมาะสำหรับนักลงทุนปล่อยเช่าให้กลุ่มนักศึกษา ครอบครัวพนักงานโรงงาน และโลจิสติกส์

และ 9.โซนราชพฤกษ์ตัดใหม่ ทางหลวงสาย 345-ปทุมธานี ทำเลนี้มีการเดินทางไปยังพื้นที่ใกล้เคียงสะดวก ทั้งราชพฤกษ์ตัดใหม่และถนน 345 ที่สามารถเชื่อมต่อทางด่วนและถนนสายหลักหลายสายยังมีศูนย์การค้าเปิดใหม่ เช่น โรบินสันไลฟ์สไตล์ และเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ รวมถึงมีโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า และ SISB ตลอดจนโรงพยาบาลยังใกล้แหล่งงาน ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และเมืองทองธานี ถือว่าเป็นโซนที่มีการขยายตัวของบ้านจัดสรรโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับราคาปานกลางถึงค่อนข้างสูง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แนวคิด ‘Housing for All’ การเคหะฯ ทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ เร่งเครื่อง 48 โครงการ หมื่นล้าน

  • การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เร่งผลักดันแผนพัฒนา 48 โครงการ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ภายใต้แนวคิด ‘Housing for All’ เพื่อสร้างรายได้และพลิกฟื้นสถานะทางการเงินขององค์กร
  • แผนลงทุนดังกล่าวประกอบด้วยโครงการใหม่และโครงการเดิมที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง มีกำหนดดำเนินการช่วงปี 2569-2572 โดยเน้นการขาย 70-80% และเช่า 20% ในพื้นที่ศักยภาพใกล้แหล่งงานทั่วประเทศ
  • นโยบายนี้มุ่งสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับคนทุกกลุ่มวัยและทุกระดับรายได้ ควบคู่ไปกับการเดินหน้าโครงการฟื้นฟูเมืองสำคัญ เช่น ชุมชนดินแดง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย

การเคหะแห่งชาติ มุ่งผลักดันโครงการที่อยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการ สร้างความมั่นคงในคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ รองรับคนทุกกลุ่มวัย ทุกระดับรายได้ของพี่น้องประชาชน อย่างต่อเนื่อง นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์การเคหะฯมีความจำเป็นเร่งพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างรายได้และพลิกฟื้นฐานะการเงินให้กับองค์กร เนื่องจากที่ผ่านมาได้ชะลอโครงการออกไปตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ

ทำให้ไม่มีสินค้าเพื่อขายและเช่า ซึ่งมีผลต่อการรับรู้รายได้และกำไรในระยะยาว จึงผลักดันแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่  48 โครงการ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าตามนโยบายใหม่ “Housing for All” หรือบ้านของคนทุกวัย โดยประเมินว่าหากไม่มีโครงการใหม่เข้ามาสร้างรายได้ การเคหะฯอาจประสบภาวะขาดทุนติดต่อกันตั้งแต่ปี 2571

โดยแผนลงทุน48 โครงการ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ของการเคหะฯ มาจากโครงการใหม่ที่เตรียมเสนอคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ (บอร์ดการเคหะฯ ) เพิ่มเติมจำนวน19 แปลง และโครงการเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากครม.แล้วแต่ยังไม่ได้ก่อสร้างอีก จำนวน 29 โครงการ โดยดำเนินการตามแผนในช่วงปี 2569 ถึง 2572 โดยโครงการใหม่จะเน้นการขาย 70-80% และเช่า 20% กระจายทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพและอยู่ใกล้แหล่งงาน เช่น นิคมอุตสาหกรรม (บางพลี, สมุทรปราการ, แหลมฉบัง)

ที่น่าจับตาโครงการเช่า 4 โครงการ ได้ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง4 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย  สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), สำนักงบประมาณ, สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.), และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ทางด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ศักยภาพของทำเล รวมถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลหน้า เพื่อเดินหน้าโครงการต่อไปจำนวน596 หน่วย มูลค่าลงทุนรวม 439 ล้านบาท  ตั้งอยู่ในจังหวัดสกลนคร, ภูเก็ต (กะทู้), เลย, และนราธิวาสเพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย จากทั้งหมด 11 โครงการ กว่า1,000 หน่วย กว่า 1,000 ล้านบาท

 นอกจากนี้นายทวีพงษ์ยังให้ความสำคัญกับที่ดินแปลงใหญ่ เพื่อสร้างรายได้ 4 ทำเล 1. หนองหอย จังหวัดเชียงใหม่ (ติดถนนใหญ่ )2. ร่มเกล้า (ติดถนนตัดใหม่)3. รังสิต คลอง 4 (อาคารชุด)และ4. รังสิต คลอง 5 (บ้านเดี่ยว) โดยเฉพาะทำเลร่มเกล้า การเคหะฯ มีความสนใจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ที่ดินที่มีศักยภาพสูงเพื่อสร้างรายได้ เช่น ที่ดิน 600 ไร่ บริเวณถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ซึ่งมีศักยภาพในการขายที่ดินพร้อมบ้านในราคาสูงถึง 40-50 ล้านบาทต่อหลัง แนวคิด คือการขายที่ดินพร้อมบ้านเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์และเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวถูกทักท้วงจากสภาพัฒน์ เนื่องจากขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของการเคหะฯ ที่เน้นการจัดสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง

ส่วนโครงการพัฒนาที่ดินแปลงสำคัญอื่น ๆ เช่น ได้พัฒนาพื้นที่ดินแดงอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้แปลง A1 (ติดทางด่วน) และแปลง D2 ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว และกำลังจะนำแปลง C1 เข้าดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าโครงการฟื้นฟูเมือง ประกอบด้วย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนมิตรไมตรี บึงมักกะสัน ถนนประชาสงเคราะห์ และถนนวิภาวดีรังสิต โดยครม.มีมติเห็นชอบในหลักการแผนแม่บท (พ.ศ. 2559-2567) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่รวมทั้งสิ้น 20,292 หน่วย แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 อาคาร G สูง 28 ชั้น 334 หน่วย ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2561 และบรรจุผู้อยู่อาศัยแล้ว ระยะที่ 2 อาคาร A1 สูง 32 ชั้น 635 หน่วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2569 และอาคาร D1 สูง 35 ชั้น 612 หน่วย

ก่อสร้างเสร็จและทยอยบรรจุภายในปี 2568 ระยะที่ 3 อาคาร A2-A4 สูง 32 ชั้น 1,905 หน่วย เริ่มก่อสร้างหลัง A1 แล้วเสร็จ, อาคาร D2 สูง 35 ชั้น 612 หน่วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2569 และอาคาร C1 สูง 34 ชั้น 816 หน่วย อยู่ระหว่างจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้าง แปลง D2 จำนวน 2,610 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2572ระยะที่ 4 อาคาร C2–C4 รวม 1,632 หน่วย และแปลง B/E รองรับผู้อยู่อาศัยใหม่กว่า 11,136 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2572

ขณะที่โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนรามอินทรา ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงแผนแม่บทโครงการ พร้อมจัดทำแบบจำลอง 3 มิติของอาคารใหม่จำนวน 490 หน่วย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนทุ่งสองห้อง ได้จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้อยู่อาศัยและหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาอย่างรอบด้าน และอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทโครงการโดยใช้แนวคิดการพัฒนาเมืองสู่การเป็น Smart City                   

 โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนห้วยขวาง ได้จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้อยู่อาศัย สำรวจฐานข้อมูล ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในเบื้องต้น จัดทำ Workshop สะท้อนปัญหาของชุมชน เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนแม่บทโครงการฯ

 ปี 2568 การเคหะฯได้ขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ ผ่านนโยบายสำคัญ พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร สู่การขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญ 9 ด้าน ซึ่งใน 5 นโยบายหลักนั้น การเคหะแห่งชาติร่วมขับเคลื่อนนโยบายที่ 5 สร้างระบบนิเวศ (Eco-system) ที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาและสร้างโอกาสให้ทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกช่วงวัย เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมได้มาตรฐาน ในระดับราคาที่รับภาระได้ ทั้งซื้อและเช่า

สร้างชุมชนให้มีความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยมีการออกแบบเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน ตามเกณฑ์การออกแบบและประเมินโครงการชุมชนยั่งยืน (NHA Eco-Village Standard) รวมถึงการออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนทั้งมวล ตามแนวทาง Universal Design (UD) เพื่อพัฒนา Sustainable Affordable Housing และเป็นที่อยู่อาศัย Resilient Housing

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22ธ.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงระยะสั้นอาจชะลอการแข็งค่าขึ้น แม้ได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ และโฟลว์การท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์สามารถทยอยแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยน ในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่ากรอบเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 31.30-31.50 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22 ธ.ค.2568 ที่ระดับ  31.40 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  31.47 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 31.39-31.49 บาทต่อดอลลาร์)

โดยยังคงได้รับอานิสงส์จากธีม Japanese Yen Debasement หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นและแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หลัง BOJ ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

พร้อมทั้งส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะเข้าถือครองทองคำ หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกจำกัด โดยการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงหนัก แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณพร้อมปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า

สำหรับสัปดาห์นี้รวมถึงในช่วงระยะสั้น เราประเมินว่าควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินที่อาจมาจากการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น ซึ่งต้องจับตา ท่าทีของทางการญี่ปุ่น หลังเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงนี้

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูล อย่าง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนตุลาคม ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนธันวาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะให้ความสำคัญ

กับรายงานข้อมูลการจ้างงานในดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดังกล่าว เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มในระยะข้างหน้า ควบคู่กับรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) หลังเฟดยังคงให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานสหรัฐฯ พอสมควร อีกทั้ง ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด มากกว่าปัจจัยอื่นๆ พอสมควร

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB พร้อมทั้ง รอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น

 ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนธันวาคม ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนพฤศจิกายน เป็นต้น

ทางฝั่งจีน นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี ไว้ที่ระดับ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ ทว่า ทาง PBOC อาจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย LPR ปรับตัวลดลงได้ในปี 2026 หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้แย่กว่าคาด    

▪  ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของไทยในเดือนพฤศจิกายน อาจขยายตัวราว +9%y/y ตามอานิสงส์ของการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ตามกระแสการลงทุนในธีม AI และความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาล ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ขยายตัวราว +14% ส่งผลให้โดยรวมดุลการค้า (Trade Balance) อาจยังคงขาดดุลราว -1.3 พันล้านดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ตามแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอย่างช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว

ทว่าในช่วงระยะสั้นนั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ และโฟลว์การท่องเที่ยวต่างชาติ ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ตามการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตั้งแต่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ล่าสุด

 ซึ่งเรามองว่า เป็นการสะท้อนความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นและธีม Debasement ของค่าเงินเยนญี่ปุ่น และที่สำคัญ ช่วงปลายปี รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนักทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกชะลอการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมได้

และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เราจะเริ่มมองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่

 หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ (โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ดีกว่าคาด จนทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่

 รวมถึงอาจต้องเห็นปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับการปรับลดสถานะถือครองเงินบาทหรือสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ของผู้เล่นในตลาด

ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด หรือในกรณีที่ ทางการญี่ปุ่นส่งสัญญาณพร้อมดูแลค่าเงินเยนญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.20-31.60 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.30-31.50 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ได้เปรียบจุดนี้! “ฉี ยู่ฉี” นักแบดมินตันจีนตอบสื่อหลังคว่ำ “กุลวุฒิ” ศึกเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์

ควันหลงการแข่งขัน แบดมินตันชายเดี่ยว “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2025” รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง ฉี ยู่ฉี พบกับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา

โดยผลการแข่งขันปรากฏว่า นักแบดมินตันชาวจีนมือ 1 โลก เป็นฝ่ายเอาชนะ “วิว กุลวุฒิ” ไปได้ 2-0 เกม (21-16 และ 21-13) พร้อมทั้งเขี่ย นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ตกรอบทันที

ภายหลังการแข่งขัน นักแบดมินตันมือ 1 โลก ได้ออกมาเผยผ่านสื่อบ้านเกิดว่าเกมนี้มีจุดหนึ่งที่เขาได้เปรียบคู่แข่งชาวไทย นั่นก็คือเรื่องของสภาพร่างกาย และถือเป็นจุดที่ทำให้เก็บชัยได้สำเร็จ

“การเคลื่อนไหวของ กุลวุฒิ ดูช้าลงไปอย่างเห็นได้ชัดในเกมนี้ อาจเพราะสภาพร่างกายของเขาล้าเนื่องจากใช้พลังมากไปในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้ความเร็วของเขาลดลงไป”

“ซึ่งถือเป็นจุดที่ทำให้ผมได้เปรียบ ผมเล่นไปตามปกติ เราเคยเจอกันมาแล้วหลายครั้ง แล้วก็เคยเจอสถานการณ์ที่ผมเป็นฝ่ายนำ แต่สุดท้ายโดนเขาพลิกเกมเอาชนะไปได้ ดังนั้นเกมนี้ผมเลยต้องเตือนตัวเองให้ประคองเกม และอดทนก่อนเก็บชัยได้สำเร็จ”

สำหรับ แชมป์แบดมินตัน เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2025 ตกเป็นของ คริสโต โปปอฟ นักตบลูกขนไก่ชาวฝรั่งเศส หลังรอบชิงฯ เป็นฝ่ายเอาชนะ ฉี ยู่ฉี ที่มีอาการบาดเจ็บ ไปได้ 2-0 เกม (21-19 และ 21-9)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กินเค็ม-ดื่มน้ำเยอะเกิน-ใช้ยาผิด พฤติกรรมทำร้ายหัวใจสู่ภาวะล้มเหลวที่ไม่เคยรู้

  • การกินอาหารรสเค็มจัดหรือมีโซเดียมสูง ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำและความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มภาระให้หัวใจทำงานหนัก
  • การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็นในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินและคั่งในปอดจนเกิดอาการเหนื่อยหอบ
  • การใช้ยาแก้ปวดลดการอักเสบบางชนิดในกลุ่ม NSAIDs โดยไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำและเกลือแร่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ

ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ไม่ได้หมายถึงการที่หัวใจหยุดเต้นในทันที แต่เป็นสภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลงจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายคนอาจใช้ชีวิตปกติโดยไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่างกำลังบั่นทอนหัวใจทีละน้อย การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงและการสังเกตสัญญาณเตือนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาชีวิตและคุณภาพชีวิตให้ยืนยาว ซึ่งการดูแลหัวใจให้แข็งแรงเริ่มต้นจากการตระหนักถึง 8 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ดังนี้

1. พฤติกรรมการกินและโซเดียม

การรับประทานอาหารรสเค็มจัดหรืออาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากเกินไป ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและหัวใจต้องแบกรับภาระหนักในการสูบฉีดเลือด

2. การใช้ยาบางชนิดโดยไม่ระวัง

การใช้ยาแก้ปวดลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs (เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อบางประเภท) อาจส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ที่มีพื้นฐานการทำงานของหัวใจไม่แข็งแรง

3. สมดุลของน้ำในร่างกาย

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ การดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะขับออกเป็นปัสสาวะได้ทัน อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำเกิน ซึ่งน้ำเหล่านี้อาจเข้าไปคั่งในปอดทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบได้

4. ความผิดปกติของจังหวะหัวใจ

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นสะดุด ล้วนส่งผลให้การทำงานของหัวใจเสียสมดุลและนำไปสู่สภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะยาว

5. โรคหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ

เมื่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน จนกระทั่งกล้ามเนื้อบางส่วนตายลงและไม่สามารถบีบตัวได้ตามปกติ

6. สารเสพติดและแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดและทำให้เลือดหนืดตัว ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องมีฤทธิ์เป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง ทำให้หัวใจโตและบีบตัวอ่อนแรงลง

7. ภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่น

ปัญหาสุขภาพอย่าง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย หรือแม้แต่ภาวะซีด (โลหิตจาง) จะบีบบังคับให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นหลายเท่าตัวเพื่อรักษาการไหลเวียนของออกซิเจน

8. โรคเรื้อรังที่ขาดการควบคุม 

โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างถูกต้อง จะค่อยๆ ทำลายระบบหลอดเลือดและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวและแข็ง จนในที่สุดหัวใจก็จะไม่สามารถรับหรือส่งเลือดได้อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นภาวะหัวใจล้มเหลวป้องกันได้ด้วยการ “คุมอาหาร เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ” เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วิธีเจรจาต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพิ่มโอกาสสำเร็จแบบมืออาชีพ

การเจรจาต่อรองเป็นส่วนสำคัญของโอกาสต่างๆในการทำงาน และยังสามารถแสดงถึงความเป็นมืออาชีพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเจรจาต่อรองที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการเจรจากับคนทั่วโลก

จะมีเทคนิคในการต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน

ใช้ประโยคเปิดเริ่มต้นการเจรจาต่อรองแบบมืออาชีพ

First Impression เป็นสิ่งสำคัญ การที่เราใช้ประโยคในการเปิดบทสนทนาเพื่อการเจรจาต่อรองที่มีความเป็นมืออาชีพและเป็นทางการ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของเราได้อย่างมาก

  • I appreciate the opportunity to discuss this topic with you.
  • Thank you for taking the time to join me as we embark on these negotiations.
  • Let’s explore how we can find common ground on this issue.

นำเสนอแนวทางในการหาทางออก หรือข้อตกลงให้กับการเจรจาในครั้งนี้ ในมุมมองของคุณ

  • Allow me to outline our perspective on this matter.
  • I’d like to propose a solution that benefits both parties.
  • From my point of view, it’s important to consider this topic.

พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นอยู่เสมอ

ในการเจรจาต่อรอง คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังคู่สนทนาของคุณอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ และยังทำให้คุณสามารถมองภาพรวมได้กว้างขึ้นผ่านมุมมองของอีกฝ่าย

  • Could you share your thoughts on this issue?
  • I’m interested in hearing your perspective.
  • How do you see us moving forward to find a resolution?

สร้างความเข้าใจให้ตรงกันอยู่เสมอ 

ระหว่างการเจรจา คุณควรพยายามรีเช็คความเข้าใจของคุณ และคู่เจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลุดประเด็น ซึ่งจะช่วยให้ระยะเวลาในการพูดคุยต่อรองกระชับยิ่งขึ้น

  • I want to make sure I understand your position correctly.
  • Can you clarify your expectations regarding this matter?
  • Let’s ensure we are on the same page before moving forward.

ใช้ประโยคในการส่งเสริมความร่วมมือและความตกลง

เลือกใช้ประโยคที่แสดงถึงการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันจะช่วยให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางบวกมากยิ่งขึ้น และเป็นการแสดงถึงการให้ความร่วมมือที่ดี

  • Working together on this matter will benefit both sides.
  • Let’s finalize the details and move towards a successful resolution.
  • I believe a collaborative approach will lead to a more favorable outcome.

การสรุปหลังการพูดคุย และการใช้ประโยคสำหรับปิดการเจรจา 

หลังจากการพูดคุยเจรจาแล้วจำเป็นต้องมีการสรุปเนื้อหาหรือข้อตกลงกันในทุกครั้ง และควรเลือกใช้ประโยคปิดการสนทนาอย่างมืออาชีพ

  • Thank you for a productive discussion, and I look forward to our agreement.
  • I appreciate your time and effort in reaching a resolution.
  • Let’s formalize our agreement and move forward with confidence.

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


4 อาหารที่ช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวในช่วงฤดูหนาว เพิ่มความชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์!

4 อาหารลดริ้วรอย บำรุงผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู้ลมหนาว

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวที่มีสภาพอากาศแห้งและเย็น ผิวพรรณมักสูญเสียความชุ่มชื้นจนเกิดริ้วรอยและหยาบกร้านได้ง่าย การดูแลผิวด้วยครีมบำรุงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นวิธีลดริ้วรอยที่ยั่งยืนและช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก

4 อาหารแนะนำเพื่อผิวเนียนกระชับในช่วงฤดูหนาว

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วยอาหาร 4 ชนิดนี้ จะช่วยให้ผิวของคุณรับมือกับความแห้งกร้านและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างดีเยี่ยม

สาหร่าย – เกราะป้องกันจากทะเล

สาหร่ายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในอาหารเอเชีย โดยมีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น ไอโอดีน แคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีหลายชนิด ที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากผลกระทบของสภาพอากาศที่แห้งและเย็น โดยมีฟูคอยแดนและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดความแห้งกร้านในฤดูหนาว

ไข่ – แหล่งโปรตีนทองคำสำหรับผิวที่กระชับ

ไข่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่อุดมไปด้วยวิตามิน A, D, E และ B12 ซึ่งช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์และคงความยืดหยุ่นของผิว มีโคลีนและลูทีนที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ร่างกายต้องการพลังงานมากขึ้น ไข่เป็นตัวเลือกที่ดีทั้งอร่อยและบำรุงผิว

ถั่วงอก – อาหารเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยพลังฟื้นฟู

ถั่วงอกเต็มไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีในถั่วงอกช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการคงความยืดหยุ่นของผิว และถั่วงอกยังมีผลในการช่วยย่อยอาหาร ลดความรู้สึกอืดหรือเหนื่อยล้าในช่วงฤดูหนาว

มันหวานสีม่วง – บำรุงจากภายใน สู่ผิวที่เนียนนุ่ม

มันหวานสีม่วงมีสารแอนโธไซยานินที่ช่วยชะลอกระบวนการชราภาพของเซลล์และปกป้องผิวจากผลกระทบของแสงแดดและอากาศเย็น มันหวานยังอุดมไปด้วยวิตามิน A, C และไฟเบอร์ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิว นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและลดการหิวจากการทานขนมขบเคี้ยว

สรุปเคล็ดลับการดูแลผิวและลดริ้วรอย

นอกจากการทาครีมบำรุงแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างสาหร่าย ไข่ ถั่วงอก และมันหวานสีม่วง เป็นวิธีลดริ้วรอยที่ทำได้ง่ายและได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม การเติมสารอาหารจากธรรมชาติจะช่วยให้ผิวพรรณของคุณดูเปล่งปลั่งและชุ่มชื้นตลอดฤดูหนาวนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ดัชนี AI Index Report 2025 ไทยผงาดอันดับ 3 ของโลกมองมุมบวก AI

  • รายงาน AI Index Report 2025 จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จัดอันดับให้ไทยเป็นที่ 3 ของโลกในด้านการมองว่าผลิตภัณฑ์และบริการ AI มีประโยชน์มากกว่าโทษ (77%)
  • ทัศนคติเชิงบวกนี้สะท้อนว่าคนไทยเป็นกลุ่มที่พร้อมยอมรับเทคโนโลยีใหม่ (Early Adopter) ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับภาคธุรกิจและสตาร์ทอัพในการพัฒนาโซลูชัน AI
  • อันดับความเชื่อมั่นของไทยสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา (39%) และแคนาดา (40%) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีความกังวลด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว

ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในสมรภูมิ AI ระดับโลก รายงานดัชนีปัญญาประดิษฐ์ AI ฉบับล่าสุด (AI Index Report 2025) จากสถาบันปัญญาประดิษฐ์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford Institute for Human-Centered AI – HAI) ได้เผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความตื่นตัวให้กับวงการไอทีทั่วโลก

โดยเฉพาะข้อมูลของประเทศไทยที่โดดเด่นอย่างยิ่งในด้านทัศนคติและการยอมรับเทคโนโลยี ซึ่งสวนทางกับความกังวลที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง

ประเทศไทย: ดินแดนแห่งความเชื่อมั่นในนวัตกรรม AI ข้อมูลที่น่าจับตามองที่สุดสำหรับประเทศไทยในรายงานฉบับนี้คือ “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” จากการสำรวจโดย Ipsos ที่รวบรวมข้อมูลจาก 26 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 3 ของโลกที่มองว่าผลิตภัณฑ์และบริการด้าน AI มีประโยชน์มากกว่าโทษ

  • อันดับ 1: จีน (83%)
  • อันดับ 2: อินโดนีเซีย (80%)
  • อันดับ 3: ไทย (77%)

ตัวเลข 77% ของคนไทยสะท้อนถึงการเป็น “Early Adopter” หรือกลุ่มที่พร้อมโอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับภาคธุรกิจและสตาร์ทอัพในไทยที่จะเร่งพัฒนาโซลูชัน AI เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ในขณะที่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา (39%) และแคนาดา (40%) กลับมีความเชื่อมั่นในระดับที่ต่ำกว่ามาก เนื่องจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและจริยธรรม

สำหรับภาพรวม AI ระดับโลก: สหรัฐฯ ยังครองตำแหน่งผู้นำด้านการลงทุน ในระดับมหภาค สหรัฐอเมริกายังคงเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้าน AI ของโลก โดยในปี 2567 มียอดเงินลงทุนจากภาคเอกชนสูงถึง 1.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าจีนถึง 12 เท่า โดยจีนมียอดลงทุนอยู่ที่ 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐฯ จะนำโด่งด้านเม็ดเงินและการผลิตโมเดลหลัก (ผลิตได้ 40 โมเดล ขณะที่จีนผลิตได้ 15 โมเดล) แต่ในแง่ของงานวิจัยและสิทธิบัตร จีนกลับครองส่วนแบ่งตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ:

  • สิทธิบัตร AI: จีนครองส่วนแบ่งสูงถึง 69.7% ของการจดสิทธิบัตรทั่วโลก
  • สิ่งพิมพ์ทางวิชาการ: จีนผลิตผลงานวิจัย AI สูงสุดที่ 23.2%
  • ประสิทธิภาพ: ช่องว่างด้านคุณภาพระหว่างโมเดลของสหรัฐฯ และจีนลดน้อยลงอย่างมาก โดยในปี 2567 คะแนนทดสอบ Benchmark ต่างๆ แทบจะอยู่ในระดับที่เท่ากัน

เทรนด์สำคัญ: AI เข้าถึงง่ายขึ้น ต้นทุนถูกลง และฉลาดเกินคาด รายงาน AI Index 2025 ชี้ให้เห็นถึง “การปฏิวัติราคา” ของเทคโนโลยี AI โดยค่าบริการใช้งาน (Inference Cost) ของโมเดลที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า GPT-3.5 ลดลงกว่า 280 เท่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยมีราคาสูงถึง 20 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 650 บาท) ต่อ 1 ล้านโทเคน ลดเหลือเพียง 0.07 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.2 บาท) เท่านั้น

ในด้านประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ รายงานระบุว่าเครื่องมือสำหรับประมวลผล Machine Learning มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 43% ต่อปี ขณะที่ราคาลดลง 30% ต่อปี และประหยัดพลังงานมากขึ้น 40% ต่อปี สิ่งนี้หมายความว่าองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลางในประเทศไทยสามารถนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาใช้งานได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงอย่างมหาศาล

ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและความท้าทายขององค์กร การนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 55% ในปี 2566 เป็น 78% ในปี 2567 โดยรายงานยืนยันว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างมีนัยสำคัญและช่วยลดช่องว่างด้านทักษะของแรงงาน

อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วโลกยังต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ได้แก่:

  1. ช่องว่างด้านความรู้และการฝึกอบรม: 51% ขององค์กรระบุว่านี่คืออุปสรรคอันดับหนึ่ง
  2. ข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร: 45%
  3. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ: 40%

ความท้าทายด้านจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม แม้ AI จะเก่งขึ้นจนผ่านบททดสอบมาตรฐานส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่รายงานเตือนว่าโมเดลเหล่านี้ยังคงมีปัญหาด้านการใช้ตรรกะที่ซับซ้อน (Complex Reasoning) และการวางแผนที่ต้องการความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการนำไปใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการฝึกฝนโมเดลขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยรุ่น Llama 3.1 405B มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงถึง 8,930 ตัน ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ชาวอเมริกันหนึ่งคนปล่อยทั้งปีถึงเกือบ 500 เท่า

รายงาน AI Index 2025 ชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ AI ฝังตัวอยู่ในทุกมิติของชีวิต สำหรับประเทศไทย การที่ประชาชนและภาคธุรกิจมีทัศนคติเป็นบวกอย่างมาก ถือเป็น “แต้มต่อ” สำคัญที่ต้องเร่งต่อยอดด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/12/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a64,850.0064,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,192.0063,550.7265,750.00
ทองรูปพรรณ 90%3,772.8057,195.65n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,353.6050,840.58n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,886.4028,597.82n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,467.2022,242.75n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,344.0465,855.65n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/12/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.7831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6429.9429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า