สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568

การเคหะฯ เปิดแผนปูพรมขับเคลื่อน8ภารกิจที่อยู่อาศัยปี69

  • การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เตรียมขับเคลื่อน 8 โครงการที่อยู่อาศัยเร่งด่วนในปี 2569 เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ ทั้งในรูปแบบการซื้อ เช่าซื้อ และเช่า
  • มุ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคน (Housing for All) กว่า 13,000 หน่วย โดยใช้แนวคิดการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly)
  • มีโครงการสำคัญคือการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง การบริหารจัดการอาคารเช่ากว่า 60,600 หน่วย และการยกระดับคุณภาพชีวิตใน 35 ชุมชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

การดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจของการเคหะแห่งชาติ เพื่อให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงที่อยู่อาศัย โดยในปี2569 มีโครงการเร่งด่วน 8โครงการ เริ่มจาก

 1. โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย  โดยสร้างบ้านที่ทุกคนเข้าถึงได้ (Housing for All) ตามแนวคิด UDและ

พัฒนาหลักเกณฑ์การออกแบบบ้านและชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(Eco Friendly) ตามเกณฑ์ Eco-Village  ในระดับราคาขาย/เช่าที่รับภาระได้ในชุมชนที่มีสิ่งแวดล้อม การอยู่อาศัยที่เหมาะสม พร้อมสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่จำเป็นกว่า13,000หน่วย

3.โครงการบริหารหน่วยส่งมอบเพื่อสร้างโอกาสและการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วยการส่งมอบที่อยู่อาศัยประเภทซื้อ/เช่าซื้อกว่า 5,530 หน่วย

4.โครงการบริหารอาคารเช่า โดยบริหารอาคารเช่าทั้งในส่วนของโครงการเช่าย่อย และโครงการเช่าเหมาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ไม่สามารถเช่าซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ และไม่เข้าถึงที่อยู่อาศัยประเภทเช่าที่ได้มาตรฐานในตลาดได้ ด้วยจำนวนหน่วยทำสัญญาเช่ากว่า 60,600 หน่วย

 5. โครงการบริหารการก่อสร้าง  โดยเป็นการบริหารการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของโครงการขาย และโครงการเช่า เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยให้ตามเป้าหมายรวมจำนวนกว่า1,100หน่วย

6.โครงการจัดประโยชน์ทรัพย์สิน เป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพย์สินรอการพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร ด้วยเป้าหมายรายรับการจัดประโยชน์กว่า 866 ล้านบาท

7.โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง พัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ด้วยการฟื้นฟูชุมชนเมืองให้มีสภาพกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของคนทุกช่วงวัย ด้วยการก่อสร้าง โครงการแปลงA (อาคารA1) 635 หน่วยและแปลง D1 (อาคารD2) 612หน่วย

 8. โครงการยกระดับชุมชน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน(SSC)เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติให้มีความเข้มแข็งสามารถบริหารจัดการชุมชนของตนเองได้ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับชุมชนให้เป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน(Smort Sustainable Community) ครอบคลุม4มิติ 48 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย มิติการมีส่วนร่วม มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม และมิติสุขภาพ 35 ชุมชนและสร้างความสุขในชุมชนไม่น้อยกว่า 75% จำนวน 4 ชุมชน

 นี่คือภารกิจสำคัญ ของการเคหะแห่งชาติ นอกจากให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยแล้ว ยังสร้างโอกาสเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงอีกด้วย !!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


LWS เปิดเทรนด์ออกแบบบ้าน 68 ชู Longevity เชื่อมโยงชุมชนหัวใจหลัก

  • เทรนด์การออกแบบบ้านมุ่งเน้นแนวคิด Longevity หรือการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ โดยบ้านต้องเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจ
  • ที่อยู่อาศัยต้องสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ และมีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
  • พื้นที่ใช้สอยภายในต้องมีความยืดหยุ่น (Flexible Design) และเป็น Universal Design เพื่อรองรับการใช้งานของคนทุกวัยและทุกไลฟ์สไตล์
  • ให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และเชื่อมโยงผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน ลดความโดดเดี่ยว

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต แนวคิดเรื่อง Longevity หรือการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ กลายเป็นโจทย์สำคัญที่ส่งผลต่อการออกแบบที่อยู่อาศัยโดยตรง

โดย LWS ระบุว่า บ้านในอนาคตไม่ใช่เพียงพื้นที่พักผ่อน แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ที่ต้องรองรับทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสัมพันธ์ของผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัย

บ้านต้องผลิตพลังงานและจัดการทรัพยากรได้เอง

หนึ่งในทิศทางสำคัญของการออกแบบอาคารปี 2026 คือ ความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน โดยการติดตั้งระบบพลังงานทดแทน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ หรือกระจกโซลาร์เซลล์ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานจริง ควบคู่กับการจัดการของเสียจากการก่อสร้างอย่างเป็นระบบ

ตั้งแต่การแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การรีไซเคิล ไปจนถึงการจัดการขยะอันตรายอย่างถูกต้อง แนวคิดดังกล่าวสะท้อนว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโครงการที่อยู่อาศัย

พื้นที่ยืดหยุ่น อยู่ได้ทุกวัยและทุกไลฟ์สไตล์

LWS ชี้ว่า พื้นที่ใช้สอยภายในต้องตอบโจทย์ชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งครอบครัวหลายเจเนอเรชัน คู่รักไม่มีบุตร กลุ่มเพื่อน หรือผู้เลี้ยงสัตว์ การออกแบบจึงต้อง ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนง่าย และเป็น Universal Design รองรับผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย

ขณะเดียวกัน บ้านยังต้องช่วยจัดการความเครียดจากโลกภายนอก ผ่านการออกแบบแสง เสียง และกลิ่น รวมถึงการเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน หรือพื้นผิวที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เพื่อดึง “ธรรมชาติ” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัย

จากพื้นที่ส่วนตัว สู่ชุมชนที่ไม่ปล่อยให้ใครโดดเดี่ยว

อีกหนึ่งแนวโน้มสำคัญคือการออกแบบ พื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่ชุมชน ให้เอื้อต่อการพบปะและทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัดขนาดเล็ก เวิร์กช็อป หรือกิจกรรมตามเทศกาล
แนวคิด Grounding ถูกนำมาใช้มากขึ้น ผ่านสวนหรือพื้นที่ที่ให้ร่างกายสัมผัสธรรมชาติโดยตรง รวมถึงแนวคิด Agrihoodsที่ผสานการอยู่อาศัยเข้ากับการทำเกษตรในชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่อาศัย

โทนสี Cloud Dancer นำเทรนด์ปี 2569

ด้านงานออกแบบ LWS ระบุว่า สีประจำปี 2569 จาก Pantone อย่าง Cloud Dancer จะมีบทบาทสำคัญในงานที่อยู่อาศัย ด้วยโทนสีขาวนวลที่สื่อถึงความสงบ เบาบาง และ Well-being ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นสีหลัก แล้วเติมมิติด้วยวัสดุและองค์ประกอบธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพักผ่อนทั้งกายและใจ

ทั้งนี้ LWS สรุปว่า เทรนด์การออกแบบที่อยู่อาศัยปี 2026 จะถูกขับเคลื่อนด้วยคุณภาพชีวิตเป็นศูนย์กลาง ตั้งแต่ระดับอาคาร พื้นที่ภายใน ไปจนถึงชุมชนรอบข้าง
การออกแบบที่ดีจึงไม่ใช่แค่สวยงามหรือใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ต้องช่วยให้ผู้คน อยู่ได้ดี ไม่โดดเดี่ยว และมีสุขภาวะที่ยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค.“แข็งค่าต่อเนื่องเตะระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่า หลังจากแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับNew All-Time High ของราคาทองคำ เสริมด้วยจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ตลาดรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค.2568  ที่ระดับ  31.12 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.18 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ของราคาทองคำ

เสริมด้วยจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเราคงมองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงมีอยู่ และเงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026  โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่

ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์)

เรามองว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก

2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy)

 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026)

 และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.05-31.20 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ใกล้โซนแนวรับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.10-31.20 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยทั้งจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น จากจุดอ่อนค่าสุดในช่วงนี้

ขณะเดียวกันบรรยกาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ลดทอนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งธีม Japanese Yen Debasement ในช่วงนี้

รวมถึงการอ่อนค่าลงล่าสุดของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ายึดเรือน้ำมันของเวเนซุเอลา ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังคงร้อนแรงอยู่

แม้ว่าจะมีการพยายามเจรจาเพื่อยุติสงครามควบคู่กันไป อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดบางส่วนโดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเริ่มเข้ามาทำธุรกรรมในช่วงสิ้นเดือน 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ  Oracle +3.3% และ Nvidia +1.5% รวมถึงการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.64%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.13% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare รายใหญ่ อย่าง AstraZeneca -11.9% ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งแร่โลหะมีค่า อย่าง ทองคำ เงิน และราคาน้ำมันดิบ ได้หนุนให้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มพลังงาน ต่างปรับตัวขึ้น ช่วยพยุงตลาดหุ้นยุโรปได้บ้าง

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนแถวโซน 4.16% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ในช่วงสัปดาห์เทศกาลคริสต์มาส อนึ่ง เราคงประเมินว่า ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ)

2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ

 และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากจุดอ่อนค่าสุดในรอบปี ของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงขึ้น ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา โดยทางการสหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถว 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เป็นต้น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา ที่ยังคงเห็นการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องมาที่ระดับประมาณ 31.10-31.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปีครึ่งครั้งใหม่ (9.17 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของเงินเยน (หลังทางการญี่ปุ่นส่งสัญญาณเข้าแทรกแซงเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของค่าเงินเยน) ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน

เนื่องจากตลาดรอติดตามปัจจัยใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจีดีพีและอัตราเงินเฟ้อ PCE/Core PCE ที่จะรายงานในวันนี้ นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่ายังคงสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นทำสถิติ all-time high รอบใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเช้าวันนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.00-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ตัวเลขจีดีพีและดัชนีราคา PCE/Core PCE  ไตรมาส 3/2568 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. และรายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ประเทศไทยอันดับเท่าไร? เปิดเงินรางวัลอัดฉีด “ชาติอาเซียน” ในศึกซีเกมส์ 2025

ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 SEA Games 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ช่วงระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568

โดยตลอดการชิงชัยทั้งหมด 574 เหรียญทอง จาก 50 ชนิดกีฬา ตลอดการแข่งขันทั้ง 10 วัน ปรากฏว่า ทีมไทย เจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์หนนี้ สามารถกวาดเหรียญทองไปได้มากถึง 233 เหรียญ ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการกีฬาไทย

ล่าสุด SEASIA สื่อดังในภูมิภาคอาเซียน ได้สรุปเงินโบนัสของแต่ละชาติที่อัดฉีดให้กับนักกีฬาในซีเกมส์หนนี้ ซึ่ง อินโดนีเซีย ถือเป็นชาติที่มอบเงินให้กับนักกีฬามากที่สุดด้วยจำนวน 1 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1.86 ล้านบาท)

ขณะที่ ประเทศไทย ที่ทาง กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) ประกาศเงื่อนไขมอบเงินให้ เหรียญทองละ 300,000 บาท ถือเป็นตัวเลขอันดับ 2 ของอาเซียน ส่วนอันดับ 3 เป็นทางด้าน สิงคโปร์ ที่ให้เหรียญทองละ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 250,000 บาท)

เงินโบนัสเหรียญทอง ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ของชาติในอาเซียน

  • 1. อินโดนีเซีย : 1.86 ล้านบาท
  • 2. ไทย : 300,000 บาท
  • 3. สิงคโปร์ : 250,000 บาท
  • 4. ฟิลิปปินส์ : 160,000 บาท
  • 5. มาเลเซีย : 155,000 บาท
  • 6. เวียดนาม : 60,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 เคล็ดลับปรับไลฟ์สไตล์สยบความดันสูง สำหรับผู้ชายวัย 40+

5 วิธีปรับไลฟ์สไตล์ในผู้ชายวัย 40 ให้ห่างไกลความดันสูง

ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบในวัยหนุ่มจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น พร้อมเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่น่ากังวลที่สุด คือ ความดันสูงในผู้ชายวัย 40 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง แต่การป้องกันนั้นง่ายกว่าที่คิด! เราจึงขอแนะนำ 5 วิธีปรับไลฟ์สไตล์ที่คุณผู้ชายวัย 40+ สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที เพื่อรักษาระดับความดันโลหิตให้คงที่และมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

1.ปลดล็อกความเครียดด้วยการหยุดพักสั้น ๆ

ความเครียดเรื้อรัง คือ ตัวกระตุ้นหลักของความดันสูงในผู้ชายวัย 40 เพราะเมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและหลอดเลือดหดตัว การจัดการความเครียดไม่ได้หมายถึงการลาออก แต่คือการใช้ Micro-Breaks ตลอดวัน เช่น ลุกจากโต๊ะทำงาน เดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เพียง 5 นาที หรือฝึกหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ 10 ครั้ง การทำเช่นนี้ช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดและทำให้หลอดเลือดผ่อนคลายลง

2.จำกัดโซเดียมแฝงด้วยการปรุงอาหารเอง

การลดความเสี่ยงความดันสูงในผู้ชายวัย 40 ต้องเริ่มจากการควบคุมโซเดียม แต่โซเดียมส่วนใหญ่มักไม่ได้มาจากเกลือที่เราเติมเอง แต่มาจากอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และอาหารสำเร็จรูป คุณผู้ชายจึงควรหันมาทำอาหารเองที่บ้านให้บ่อยขึ้น เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณเกลือและน้ำปลาได้ พร้อมเปลี่ยนมาใช้สมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น กระเทียม ขิง พริกไทย เพื่อเพิ่มรสชาติแทน

3.เพิ่มโพแทสเซียมและแมกนีเซียม

โพแทสเซียมและแมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยต้านฤทธิ์ของโซเดียม และช่วยควบคุมความดันโลหิตให้สมดุล หนุ่ม ๆ จึงควรใส่ใจในการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเหล่านี้ให้มากขึ้น เช่น โพแทสเซียม พบมากในกล้วย, มันหวาน และถั่วขาว แมกนีเซียม พบมากในผักใบเขียวเข้ม เช่น เคล, ผักโขม, อะโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต การเติมแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นวิธีธรรมชาติในการทำให้หลอดเลือดผ่อนคลายลง

4.ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกหรือคาร์ดิโอ เช่น การเดินเร็ว, การปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความดันโลหิต เพราะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น คุณผู้ชายไม่จำเป็นต้องหักโหม  เพียงแค่ทำกิจกรรมคาร์ดิโอความเข้มข้นปานกลาง วันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ก็เพียงพอแล้วในการลดความเสี่ยงความดันสูงในผู้ชายวัย 40 ได้อย่างชัดเจน

5.กำหนดเวลาพักตับ 

การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูง การดื่มปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน คือ ไม่เกิน 1-2 ดื่มมาตรฐาน เช่น เบียร์กระป๋องเล็ก 1-2 กระป๋อง หากคุณเป็นหนุ่ม ๆ ที่ชอบเข้าสังคมบ่อย ลองกำหนดวันงดแอลกอฮอล์ในแต่ละสัปดาห์อย่างเคร่งครัด หรือเปลี่ยนไปดื่มม็อกเทลเพื่อสุขภาพแทนในงานปาร์ตี้ 

การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันความดันสูงในผู้ชายวัย 40 ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรอให้สายเกินไป คุณผู้ชายสามารถเริ่มต้นปรับไลฟ์สไตล์ได้ตั้งแต่วันนี้ การลดโซเดียม การเพิ่มแร่ธาตุที่มีประโยชน์ การจัดการความเครียด และการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ คือการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ ขอให้ หนุ่ม ๆ ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ACIS เปิดตัว Scam Check AI อัจฉริยะ ป้องกันภัยมิจฉาชีพไซเบอร์

  • บริษัท ACIS เปิดตัวแอปพลิเคชัน “Scam Check” ซึ่งเป็นระบบ AI อัจฉริยะสำหรับช่วยประชาชนป้องกันภัยจากมิจฉาชีพไซเบอร์
  • แอปฯ สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความ ลิงก์ เว็บไซต์ และเบอร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์
  • นอกจากการป้องกันแล้ว ยังมุ่งให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยไซเบอร์ โดยผลงานนี้ได้รับรางวัลนวัตกรรมจาก สกมช.

บริษัท ACIS Professional Center โดยทีม Innovation ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “Scam Check” ระบบอัจฉริยะด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ที่มุ่งเน้นการให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ และสนับสนุนแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ท่ามกลางสถานการณ์การหลอกลวงออนไลน์ที่มีความซับซ้อนและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568

Scam Check ผสานการทำงานของเทคโนโลยี AI กับการวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความ ลิงก์ เว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ และการติดต่อผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ เช่น LINE, SMS และโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบก่อนเชื่อหรือดำเนินการใด ๆ ลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

นอกจากนี้ Scam Check ยังให้ความสำคัญกับการป้องกันเชิงรุกและการเรียนรู้ ผ่านฟีเจอร์ด้านการให้ความรู้ การฝึกอบรม และศูนย์รวมข้อมูลภัยไซเบอร์ เพื่อช่วยยกระดับทักษะและความเข้าใจในการรับมือกับภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร

คุณภาพและศักยภาพของ Scam Check ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยผลงานดังกล่าวได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมรับมือภัยไซเบอร์เพื่อสังคม จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานด้านนวัตกรรม ความปลอดภัย และคุณค่าต่อสังคมดิจิทัลของประเทศไทย

ACIS Professional Center ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา Scam Check ให้เป็นแพลตฟอร์มด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความปลอดภัย ความเชื่อมั่น และความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อรับมือกับมูลค่าความเสียหายจากมหาศาลจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก โดยไม่ต้องมีคำว่า “love” เสมอไป

สำหรับใครที่กำลังมีความรัก อยากบอกรักคนที่กำลังปลื้มปริ่มอยู่ในใจ คงจะไปเต็มด้วยว่าคำว่า “I love you.” แต่อันที่จริงแล้วคำบอกความรู้สึกในใจภาษาอังกฤษมีมากกว่าคำ ๆ นี้เสียอีก แถมแต่ละคำยังบ่งบอกความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งและมีความหมายเฉพาะกันอีกด้วย ดังนั้นมา เรียนภาษาอังกฤษ กับ สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก ไว้บอกความในใจกับคนพิเศษกัน

สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ I Love U

สำนวนภาษาอังกฤษแสดงความรัก โดยไม่ต้องมีคำว่า “love” เสมอไป บางทีเราก็สามารถบอกประโยค หรือ คำอื่น ๆ ที่แสดงถึงความรักเหมือนกันได้ อีกทั้งบางคำยังมีคำหมายลึกซึ้งและดูมีชั้นเชิงในการแสดงความรักในรูปแบบต่าง ๆ บ่งบอกความรู้สึกที่มีตามลำดับกันไป มาดูกันว่า ชาวต่างชาตินิยมแสดงความรักแบบใดและมีประโยคอะไรที่โดนใจกันบ้างมา เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยสำนวนแสดงความรู้สึกเรื่องความรักไปพร้อมกันเลย

ต่างชาตินิยมแสดงความรักแบบใด

เดิมทีเราก็ใช้การสื่อสาร หรือ การบอกกล่าวเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง พร้อมมอบของขวัญให้กับคนพิเศษ แต่แต่ละชาติก็มีความนิยมในการแสดงความรักไม่เหมือนกัน เช่น ประเทศฝรั่งเศส จะมีการมอบการ์ดหรือจดหมายรักให้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ชาวเดนมาร์กแต่งกลอนตลก ๆ ให้กัน คนอิตาลีจะชวนกันไปเดินและอ่านกลอนให้กันและกันฟังในสวนที่สวยงาม และหากเป็นทางอเมริกาก็จะไม่มีของขวัญอะไรมากมาย จะเป็นข้อความสื่อแทนใจมากกว่า โดยมีสำนวนยอดฮิตที่นิยมบอกรักกันไปทั่วโลก ดังนี้

สำนวนรักหวานโดนใจ จนหวานใจต้านไม่อยู่

  1. “I have a crush on you.”

= ฉันแอบชอบเธออยู่

  1. “I feel lucky to have you.”

= ฉันรู้สึกโชคดีที่มีเธออยู่ด้วย

  1. “You mean the whole world to me.”

= เธอเปรียบเหมือนโลกทั้งใบของฉันเลย

  1. “I care deeply for you.”

= ฉันแคร์เธอ (อย่างลึกซึ้ง) มากเลยนะ

  1. You mean more to me every single day.”

= เธอทำให้ทุก ๆ วันของฉันมีความหมาย

  1. You are so precious to me.”

= เธอมีค่าสำหรับฉันมากเลยนะ

  1. I never get tired of looking at you.”

= ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยที่ต้องมองดูเธอเลย

  1. No one makes me feel the way you do.”

= ไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกดีเหมือนที่เธอทำได้เลย

  1. “You’re my number one.”

= เธอน่ะเป็นที่หนึ่งในใจฉันเลยล่ะ

  1. “Thanks for bringing a smile to my face whenever I feel low.”

= ขอบคุณที่มอบรอยยิ้มให้กับฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันรู้สึกเศร้า

  1. Nothing makes me happier than when you’re happy.”

= ไม่มีอะไรทำให้ฉันมีความสุขมากไปกว่าการได้เห็นเธอมีความสุขแล้ว

  1. I feel the most like myself when we are together.”

= ฉันรู้สึกได้เป็นตัวเองมากที่สุด เมื่อเราได้อยู่ด้วยกัน

  1. “You make me want to be a better person.”

= เธอทำให้ฉันอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี้

  1. You’re the one who makes me smile every day”

= เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้ในทุก ๆ วัน

  1. We do have a great chemistry between us.”

เรามีเคมีที่ตรงกัน (เข้ากันได้) มากเลยนะ

  1. We are made for each other.”

= เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน

  1. You are one of the best things that has happened to me.”

= เธอคือหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน

  1. Whether bad or good time, I shall be there for you.”

= ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ใจ ฉันจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเธอเสมอ

  1. You’re my light at the end of the tunnel.”

= เธอคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของฉัน

  1. I want to hold you close in my arms.”

= ฉันอยากจะกอดเธอไว้ใกล้ ๆ ในอ้อมแขนของฉัน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เคล็ดลับแก้แฮงค์สำหรับสายดื่ม แค่กิน “สิ่งนี้” ก่อนดื่ม ปาร์ตี้หนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น!

เผยเคล็ดลับกินชีสก่อนดื่ม ช่วยลดอาการเมาและป้องกันอาการแฮงค์

อาการแฮงก์ไม่ได้จบลงแค่เพียงวันรุ่งขึ้นหลังจากปาร์ตี้จบลงเท่านั้น สำหรับหลายคนอาจต้องเผชิญกับอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ใจสั่น และหมดแรงอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ทราบหรือไม่ว่าการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องก่อนการดื่มแอลกอฮอล์ สามารถช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมการกิน “ชีส” ก่อนดื่มถึงช่วยป้องกันอาการเมา

แพทย์หญิงนีนา แพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินหายใจจากสหรัฐอเมริกา ได้แบ่งปันข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ชีส” เป็นอาหารใกล้ตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเมาได้ดี เนื่องจากชีสอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย

ในทางการแพทย์ ไขมันและโปรตีนจากชีสจะทำหน้าที่คล้ายเกราะเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงกว่าปกติ ระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายจึงไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปจนทำให้เกิดอาการช็อกหรือเมาค้างอย่างรุนแรง

สารอาหารในชีสที่ส่งผลต่อการดื่มแอลกอฮอล์

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าทำไมชีสถึงเป็นตัวช่วยที่ดีก่อนการดื่ม เราสามารถแยกส่วนประกอบสำคัญได้ดังนี้:

สารอาหารคุณประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อดื่มแอลกอฮอล์
ไขมันช่วยเคลือบผนังกระเพาะอาหาร ชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์
โปรตีนช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานขึ้นและเสริมการทำงานของตับ
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดอาการเวียนศีรษะ

การเตรียมตัวก่อนเริ่มปาร์ตี้ด้วยการกินชีสเพียงไม่กี่ชิ้น จะช่วยให้ร่างกายรับมือกับแอลกอฮอล์ได้ดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดอาการปวดหัวหรือแฮงก์ในวันถัดไปได้จริง อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำสะอาดควบคู่ไปด้วยเป็นระยะยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/12/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a65,850.0065,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,257.0064,536.1266,750.00
ทองรูปพรรณ 90%3,831.3058,082.51n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,405.6051,628.90n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,915.6529,041.25n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,489.9522,587.64n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,411.4066,876.82n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/12/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.7831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6429.9429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า