สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2560

คลังปลดล็อกเช่าอสังหาฯ ชงกฎหมายเปิดช่องสัญญาเช่าที่ดินค้ำกู้

คลังปลดล็อกเช่าอสังหาฯ ดันร่าง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ เปิดจดทะเบียนออกหนังสือรับรองให้เช่า 30 ปี ใช้ค้ำประกันเงินกู้แทนโฉนด ปล่อยเช่าช่วงได้ไม่จำกัด แถมตกทอดถึงทายาท หวังดึงดูดต่างชาติลงทุนในไทย ชี้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ-การลงทุนภาคอสังหาฯ

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจŽ ว่า สศค.ได้หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ในการยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. …. ขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิในการเช่าทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น สามารถแก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันหลัก ๆ 2 ฉบับ ได้แก่ 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2.พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542

ปลดล็อกให้เช่าอสังหาฯ

โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถเช่าอสังหาริมทรัพย์ได้ 2 แบบ คือ 1) กรณีเช่าเป็นการทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระยะเวลาเช่าไม่เกิน 30 ปี ต่ออายุสัญญาได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 ปี และ 2) กรณีเช่าเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ระยะเวลาเช่าตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 50 ปี และต่อเวลาเช่าได้อีก 50 ปี

อย่างไรก็ตาม การเช่าตาม ปม.แพ่งและพาณิชย์ มีข้อจำกัด คือ จะเป็นสัญญาเช่าที่เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าตาย สัญญาเช่าจะระงับ อีกทั้งยังห้ามการเช่าช่วง ห้ามโอนสิทธิการเช่า รวมถึงไม่ให้นำสิทธิการเช่าไปเป็นหลักประกันอีกด้วย

ขณะที่การเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม มีข้อจำกัดในเรื่องลักษณะการเช่าที่ต้องเป็นไปเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับการเช่าเพื่อที่อยู่อาศัยได้ รวมทั้งผู้เช่าไม่สามารถดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สินที่เช่าได้ หากจะดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สินต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าก่อน

ทรัพย์อิงสิทธิให้เช่าช่วงไม่จำกัด

แต่หากจดทะเบียนเป็นทรัพย์อิงสิทธิจะทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นจากที่วันนี้มีเรื่องสัญญาเช่า ตาม ปม.แพ่งและพาณิชย์ที่ให้เช่าได้ 30 ปี ต่ออายุได้ 30 ปี และมี พ.ร.บ.เช่าเพื่อพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่ให้เช่าได้สูงสุด 50 ปี ต่ออายุได้อีก 50 ปี ซึ่งตาม พ.ร.บ. 2 ฉบับนี้ ทุกอย่างต้องไปอยู่ในสัญญาเช่า

แต่กฎหมายว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิจะกำหนดว่า ถ้าใครต้องการให้สัญญาเช่าเป็นทรัพย์อิงสิทธิ คืออยากให้ใครเช่า ก็จดทะเบียนเป็นทรัพย์อิงสิทธิได้ แล้วคนที่ได้ไป จะไปเปลี่ยนมือ หรือทำอะไรได้หมด ฉะนั้นสัญญาจะเปิดกว้าง จากเดิมต้องอยู่ในสัญญา ต้องมาตกลงกัน ทะเลาะกัน ต้องขอ แต่อันนี้ไม่ต้องขอ กฎหมายเขียนรองรับไว้เลย

ชี้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ

นายกฤษฎากล่าวว่า เมื่องร่างกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิผ่านสภาประกาศบังคับใช้ จะเกิดผลดีกับภาคเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้การเช่าอสังหาฯมีความคล่องตัวมากขึ้น แทนที่จะไปทำสัญญาเช่าอย่างเดียว ทั้งนี้ นอกจากเจ้าของทรัพย์สินจะได้ประโยชน์แล้ว ผู้ที่ให้เช่าช่วงก็จะได้ประโยชน์ด้วย

“ถ้าคุณเป็นเจ้าของทรัพย์สิน อยากมีกระแสเงินสดก็สามารถเอาไปจดทะเบียนเป็นทรัพย์อิงสิทธิ มีโอกาสที่คนจะเข้ามาเช่าหรือซื้อ โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่าแบบเดิมที่มีเงื่อนไขเยอะ พอเป็นทรัพย์อิงสิทธิจะทำได้ทุกอย่าง คนเป็นเจ้าของก็คือคนที่ได้สิทธิตามกฎหมายที่เขียนรองรับ ส่วนคนที่เช่าจะเอาไปให้เช่าช่วงก็ได้ แต่เมื่อครบกำหนดระยะเวลาก็กลับมาเป็นของเจ้าของเดิมŽ”

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ กำหนดให้ รมว.มหาดไทย เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายนี้ ซึ่งปัจจุบันมีการยกร่างกฎหมายแล้ว หลังหารือร่วมกับกรมที่ดินหลายรอบ และอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็น เมื่อเสร็จแล้วจะต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป

เช่าได้ 30 ปี-ตกทอดถึงทายาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การกำหนดให้มีทรัพย์อิงสิทธิที่ชัดเจนในเชิงกฎหมาย การจดทะเบียน การออกหนังสือรับรอง และการนำทรัพย์อิงสิทธิไปใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าและเกิดสภาพคล่องมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ได้แก่ 1) กำหนดให้เจ้าของทรัพย์สินขอจดทะเบียนทรัพย์สินเป็นทรัพย์อิงสิทธิได้ โดยเจ้าหน้าที่จะออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิให้

2) หนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ อย่างน้อยจะแสดงรายละเอียด ชื่อตัวและชื่อสกุล หรือชื่อนิติบุคคล ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ ระยะเวลาทรัพย์อิงสิทธิ และรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ และหากมีการแก้ไขก็ต้องจดทะเบียนด้วย

3) กำหนดให้ผู้ที่มีทรัพย์อิงสิทธิสามารถให้เช่า ขาย หรือโอนให้ผู้อื่นได้ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน โดยกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี นับจากวันที่จดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิ และกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิตกทอดแก่ทายาทได้ จนครบกำหนดที่จดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิ

ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้ได้

4.ให้สามารถนำทรัพย์อิงสิทธิไปใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้โดยการจำนองได้โดยให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำนองอสังหาฯ มาบังคับใช้โดยอนุโลม

5.การแก้ไขรายการจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิ การนำทรัพย์อิงสิทธิไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ การให้เช่า ขายหรือโอนทรัพย์อิงสิทธิ หรือการตกทอดทางมรดก ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้

6) กำหนดให้ผู้ที่มีทรัพย์อิงสิทธิสามารถดัดแปลง ต่อเติม ปลูกโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สิน แต่สิ่งที่ทำเหล่านี้จะตกเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน

7) กรณีเกิดภัยอันตรายแก่ตัวอสังหาฯที่เช่าเป็นทรัพย์อิงสิทธิ ให้ผู้มีทรัพย์อิงสิทธิจัดการเพื่อปัดป้องภยันตรายนั้นได้

8) กำหนดให้นำบทบัญญัติ เรื่องการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้บังคับกับทรัพย์อิงสิทธินี้

และ9) กำหนดให้ รมว.มหาดไทย รักษาการตามกฎหมาย เนื่องจากการจดทะเบียนและการออกหนังสือรับรอง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมที่ดิน

เปิดช่องออกโฉนดลูก

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยเพิ่มเติมว่าได้รับการประสานจาก สศค.เรื่องการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังหารือกันไม่ได้ข้อสรุป เบื้องต้นเสนอให้ยกร่างแก้ไข ปม.แพ่งฯ กับ พ.ร.บ.การเช่าอสังหาฯ เพื่อลดข้อจำกัดเรื่องการเช่า แต่ สศค.ต้องการออกกฎหมายใหม่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติจากการออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่จำกัด ทั้งปล่อยให้เช่าช่วง ค้ำประกันเงินกู้ ฯลฯ

เท่ากับหนังสือรับรองดังกล่าวจะมีสภาพคล้าย ๆ โฉนดฉบับลูก แล้วนำไปออกต่อใช้ประโยชน์ได้หลายช่วงหลายทอด ส่วนโฉนดที่ดินฉบับจริงซึ่งเป็นฉบับแม่จะเป็นเหมือนโฉนดตาย ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้อีก จนกว่าการเช่าทรัพย์อิงสิทธิจะหมดอายุ

เป้าหมายหลักน่าจะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ได้สิทธิใช้ประโยชน์จากการเช่าทรัพย์อิงสิทธิ นำไปค้ำประกันเงินกู้ หรือปล่อยเช่าช่วงต่อ

ที่มา prachachat.net


“กาญจนพาสน์”ต่อยอดระบบราง จี้รัฐเชื่อม”ชมพู-เหลือง”หวั่นซ้ำรอยสายสีม่วง

“คีรี” บิ๊กบีทีเอส หวั่นรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลืองซ้ำรอยสายสีม่วง ผู้โดยสารพลาดเป้า ควัก 6 พันล้านลากเส้นทางเข้าเมืองทองธานี เชื่อมแยกรัชโยธิน อ้อนรัฐเร่งอนุมัติ คาดโครงการมาตามนัด ดึงคนใช้เพิ่มจาก 1.2 แสนเที่ยวคน/วันเป็น 1.9 แสนเที่ยวคน/วัน ด้านบีแลนด์ลั่น 1 ปีครึ่งรอได้ เตรียมปัดฝุ่นแลนด์แบงก์รอขึ้นโปรเจ็กต์สวนน้ำและคอมมิวนิตี้มอลล์รับ ส่วน “เดอะมอลล์” รอจังหวะขึ้นห้างยักษ์ย่านรามอินทรา

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นที่แน่นอนวันที่ 16 มิ.ย. 2560 กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง) จะเซ็นสัญญารถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 45,764 ล้านบาท และสายสีเหลืองลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.5 กม. วงเงิน 43,104 ล้านบาท รวม 88,868 ล้านบาท กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นแพ็กเกจ ทั้งงานก่อสร้าง สัญญาสัมปทาน ธนาคารที่ให้กู้และผู้ผลิตระบบรถที่จะจัดซื้อ 288 ตู้ วงเงินประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท สำหรับสายสีเหลือง 120 ตู้ และสีชมพู 168 ตู้ อยู่ระหว่างพิจารณาระบบของบอมบาร์ดิเอร์กับฉงชิ่งจากจีน

หวั่นซ้ำรอยสีม่วง-แอร์พอร์ตลิงก์

“เรามีข้อเสนอเพิ่มเติมซองที่3เพื่อให้โครงการสมบูรณ์ ผู้โดยสารเดินทางสะดวก ไม่ขาดช่วงเหมือนสายสีม่วงที่ผู้โดยสารไม่เป็นไปตามเป้า ความจริงเวลานี้รถไฟฟ้าหลายสาย ผู้โดยสารยังไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เช่น แอร์พอร์ตลิงก์ รถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ใช่ว่าการบริการไม่ดี แต่การเชื่อมต่อเส้นทางไม่สมบูรณ์พอ”

สำหรับข้อเสนอจะขยายสายสีชมพูเข้าไปในศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กม. มี 2 สถานี ซึ่งสถานีแรกอยู่บริเวณอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ และสถานีที่ 2 อยู่บริเวณทะเลสาบ รองรับผู้อยู่อาศัยกว่า 1.5 แสนคน และผู้มาใช้บริการศูนย์ประชุมอิมแพ็คกว่า 10 ล้านคน/ปี

ขณะที่สายสีเหลืองจะขยายไปตามถนนรัชดาภิเษกอีก 2.6 กม. สิ้นสุดแยกรัชโยธิน เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) มี 2 สถานี คือ หน้าศาลอาญากับแยกรัชโยธิน จะมีทางเดินเชื่อมกับสถานีพหลโยธิน 24 ของสายสีเขียว ในบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งงานใกล้กับเมเจอร์รัชโยธิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ตึกช้าง

เร่งอีไอเอให้เสร็จปีครึ่ง

“บริษัทจะลงทุนงานโยธาและระบบเดินรถ ทั้ง 2 ช่วง กว่า 6 พันล้านบาท เส้นทางละ 3 พันล้านบาท จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ให้เสร็จใน 1 ปีครึ่ง ทั้งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ การเสนอโครงการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรหรือ สนข.บรรจุในแผนแม่บทและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) วิเคราะห์โครงการก่อนเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี มั่นใจจะได้รับอนุมัติจากรัฐ และเริ่มก่อสร้างในเวลา 3 ปี 3 เดือน เพื่อเปิดใช้พร้อมกันทั้งโครงการ” นายคีรีกล่าวและว่า

การเปิดบริการผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดียวกันเดินทาง ทั้งบัตรประเภทเที่ยวเดียวและบัตรเติมเงิน เช่น บัตรแมงมุม โดยสามารถเดินทางได้ทั้ง 3 ระบบ คือ สายสีเขียว สีชมพู และสีเหลือง โดยจะออกแบบให้เป็นลักษณะการเชื่อมแบบ Paid to Paid ซึ่งผู้โดยสารไม่ต้องออกนอกระบบเพียงแตะบัตรเข้าและออกเพียงครั้งเดียว จะช่วยทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น

 

ปีแรกคนใช้ 1.2 แสนคน

“สีชมพูกับสีเหลืองจะเปิดบริการอีก 3-4 ปีข้างหน้า ในปีแรกเราคิดว่ามีผู้โดยสารมาใช้บริการเส้นทางละ 120,000 เที่ยวคน/วันไม่ใช่ว่าเรามั่นใจมาก แต่จะพยายามลดต้นทุนทางอื่นมาลบความกังวล ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางมีผลตอบแทนอยู่ที่ 8% เราถึงต้องเสนอให้ต่อขยายเข้าไปในเมืองทองและเชื่อมกับสายสีเขียว เพราะจะทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นเส้นทางละกว่า 190,000 เที่ยวคน/วัน ส่วนค่าโดยสารอยู่ที่ 14-42 บาท”

นายคีรีกล่าวว่า การสร้างรถไฟฟ้านอกจากจะช่วยเรื่องการจราจรแล้ว ยังเปิดการพัฒนาพื้นที่แนวเส้นทางโครงการ มีการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และศูนย์การค้า รองรับชุมชนเกิดใหม่ ที่สำคัญยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ จากการลงทุนของภาคเอกชนและเกิดการจ้างงานตามมา

บีแลนด์เดินหน้าพัฒนาเมืองทอง

แหล่งข่าวจากบมจ.บางกอกแลนด์กล่าวว่า ตามที่บริษัทจะออกค่าก่อสร้างส่วนต่อขยายสายสีชมพูให้ 1,250 ล้านบาท ก็ยังคงเดินหน้าตามเดิม แต่ต้องรอให้บีทีเอสทำรายละเอียดโครงการให้แล้วเสร็จ คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งการก่อสร้างช่วงต่อขยายนี้สามารถก่อสร้างในช่วงสุดท้ายของโครงการได้

“แผนพัฒนาพื้นที่ภายในเมืองทองธานีของเรายังเดินหน้าไปเรื่อยๆมีทั้งที่จอดรถ พื้นที่พลาซ่า และปีนี้ยังเตรียมเงินลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท สร้างสวนน้ำขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 7 หมื่น ตร.ม. จะแล้วเสร็จปี′61 และนำพื้นที่รอบทะเลสาบกว่า 300 ไร่ พัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์อื่น ๆ เช่น คอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อรับกับสายสีชมพู จะเสร็จอีก 3 ปี”

ซิโน-ไทยการันตีสร้างเสร็จ 3 ปี

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น กล่าวว่า บริษัทจะเป็นผู้รับเหมาบริษัทแรกก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรล 2 สายของประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในปี 2560 ขณะนี้ได้สำรวจพื้นที่แนวเส้นทางเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างออกแบบงานโยธาและระบบ เนื่องจากจะใช้วิธีการก่อสร้างแบบเทิร์นคีย์ คือ ออกแบบไปพร้อมกับการก่อสร้าง ทั้งนี้มั่นใจว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเวลา 3 ปี 3 เดือน เนื่องจากจะหล่อชิ้นส่วนโครงสร้างจากข้างนอกแล้วนำมาประกอบที่ไซต์โครงการ จะช่วยลดเวลาและบรรเทาปัญหารถติดได้

เดอะมอลล์รอเวลาผุดศูนย์การค้า

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าไม่ใช่แค่บีแลนด์ที่รอรถไฟฟ้าสายสีชมพูในส่วนของกลุ่มเดอะมอลล์ ยังรอให้โครงการมีการตอกเข็มก่อสร้างโดยเร็ว เนื่องจากมีแผนจะสร้างศูนย์การค้า เนื้อที่ 122 ไร่ บริเวณรามอินทรา ซึ่งได้ออกแบบโครงการให้ต่อเชื่อมกับสถานีสายสีชมพู

ล่าสุดจะยื่นขอปรับปรุงแก้ไขสีผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครเพื่อขอก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่เกิน1 หมื่น ตร.ม.ได้ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ทั้งนี้หากรถไฟฟ้าสร้างเสร็จจะช่วยเปิดพื้นที่ของเดอะมอลล์ให้พัฒนาได้มากขึ้น รับผังเมืองรวมที่ปรับใหม่จะให้สิทธิการพัฒนาพื้นที่รัศมีสถานีรถไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่

ที่มา prachachat.net

หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

กระดูกสันหลัง ถือเป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายแก่ไขสันหลัง เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อต่างๆ และช่วยในการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยกระดูกสันหลังจะเสื่อมสภาพตามอายุและการใช้งาน เช่น จากการนั่งหรือยืนในท่วงท่าที่ไม่เหมาะสม ยกของหนัก พันธุกรรม ความผิดปกติแต่กำเนิด อุบัติเหตุ และพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ อาทิ การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปวดร้าวลงขา และในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังจำนวน 28.8% มีสาเหตุหลักมาจากปัญหากระดูกสันหลัง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิต

การผ่าตัดรักษากระดูกสันหลัง จำเป็นต้องกระทำโดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง ประกอบกับประสบการณ์ ความรู้ และความละเอียดแม่นยำควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การผ่าตัดสำเร็จลุล่วง และลดอัตราความเสี่ยงในด้านต่างๆ โรงพยาบาลเวชธานี จึงนำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกระดูกสันหลัง ชื่อว่า “เรเนซอง” เข้ามาช่วยเหลือในกระบวนการผ่าตัดเพื่อประโยชน์อย่างสูงสุดของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดรักษาที่ต้องมีการฝังยึดสกรู อาทิ โรคกระดูกสันหลังคด และโรคกระดูกสันหลังทรุด เป็นต้น เพราะเทคโนโลยีดังกล่าว พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยกำหนดทิศทางและองศาอย่างแม่นยำ ลดระยะเวลาในการผ่าตัด ลดการบาดเจ็บ ลดการเสียเลือด เอื้อให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น

ดร.นพ.ตุลวรรธน์ พัชราภา ผู้อำนวยการปฏิบัติการ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเวชธานี ถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังเข้ามาช่วยเหลือศัลยแพทย์ในการผ่าตัด หุ่นยนต์ดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยศัลยแพทย์กำหนดทิศทางและองศาการฝังสกรูกับกระดูกสันหลังอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USFDA) และได้รับการยอมรับจากศัลยแพทย์ทั่วโลก”

ทั้งนี้ จำนวนกว่าครึ่งของการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน จะมีการใส่สกรูเข้าไปในกระดูกสันหลัง ซึ่งการใส่สกรูในกระดูกสันหลังในตำแหน่งที่เหมาะสมนั้นค่อนข้างลำบาก เพราะบริเวณกระดูกสันหลังที่สามารถฝังสกรูเข้าไปได้มีขนาดค่อนข้างเล็ก หากเกิดความผิดพลาดอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตได้ โดยหุ่นยนต์เรเนซอง มีความแม่นยำในการกำหนดnทิศทางและองศา มากถึง 99.7% การทำงานของศัลยแพทย์ร่วมกับหุ่นยนต์ จึงเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำ ลดความผิดพลาด ลดภาวะแทรกซ้อนจากการฝังสกรูผิดตำแหน่ง ซึ่งอาจส่งผลอันตรายต่อไขสันหลังและเส้นประสาทได้

“อีกประการที่สำคัญของการผ่าตัดกระดูกสันหลังร่วมกับหุ่นยนต์ คือการลดระยะเวลาผ่าตัดโดยเฉพาะขั้นตอนการฝังสกรู จากเดิมราว 1-2 ชั่วโมง เหลือเพียง 10-20 นาที นอกจากความชำนาญของศัลยแพทย์และหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดแล้ว โรงพยาบาลเวชธานียังมีเทคโนโลยีขั้นสูง O-Arm ที่จะเข้ามาช่วยตรวจสอบในทุกมิติเพื่อยืนยันขั้นสุดท้าย ว่าสกรูอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่โดนอวัยวะสำคัญอื่นๆ” ดร.นพ.ตุลวรรธน์ กล่าวปิดท้าย

ที่มา posttoday.com


ลดค่าครองชีพอย่างไร ไม่ให้เครียด

ลดค่าครองชีพอย่างไร ไม่ให้เครียด

ความเห็นที่สวนทางกันระหว่างประชาชนกับรัฐบาลในเรื่องของ “เศรษฐกิจดี” หรือ “เศรษฐกิจไม่ดี” กันแน่ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันต่อไป

สำหรับประชาชนเศรษฐกิจดี คือการเปิดกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วมีเงินพอที่จะจ่ายหนี้สิน ซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็น (หรือไม่จำเป็น) มีเงินเพียงพอที่จะเอนเตอร์เทนตัวเองในเรื่องความบันเทิงต่างๆ พอให้ชีวิตรื่นรมย์บ้าง

วันนี้คงจะต้องถามตัวเองว่า เปิดกระเป๋าสตางค์แล้ว มีเงินพอที่จะทำทุกอย่างที่ชีวิตต้องการได้หรือเปล่า

หากไม่มีมากพอที่จะสามารถ “ซื้อ” ความสุขทุกอย่างให้ชีวิตได้ การวางแผนใช้จ่ายเงินเพื่อลดค่าครองชีพ สามารถช่วยคุณได้

เปรียบไปแล้ว ชีวิตคนก็ไม่แตกต่างจากบริษัทนิติบุคคลเท่าไหร่ เพราะจะมี 2 ด้าน คือ “รายรับ” และ “รายจ่าย” เสมอ

รายรับ เป็นเงินได้จากกิจกรรมต่างๆ ที่แบ่งเป็นรายได้หลักและรายได้เสริม

รายได้หลักมาจากเงินเดือน จากการทำมาค้าขายที่ทำเป็นอาชีพหลัก ส่วนรายได้เสริมมาจากการทำงานพิเศษ เงินผลตอบแทนจากการลงทุน ฯลฯ

รายจ่าย เป็นเงินที่จะต้องใช้ออกไป จัดกลุ่มออกมาเป็น 2 ประเภท คือ รายจ่ายหลัก กับรายจ่ายผันแปร

รายจ่ายหลัก เป็นเงินที่จะต้องจ่ายออกไปเป็นประจำ แน่นอน สม่ำเสมอทุกเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายในการดูแลครอบครัว

รายจ่ายผันแปร คือ รายจ่ายไม่ประจำ เปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่เท่ากันในแต่ละเดือน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่ากินเลี้ยงสังสรรค์ ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นครั้งคราว ค่าท่องเที่ยว  ฯลฯ

การวางแผนลดค่าครองชีพมีหลักการง่ายๆ คือ “ใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้” เท่านั้น จึงจะมีเงินเหลือออม

ดังนั้น สิ่งแรกที่จะต้องทำเมื่อคิดที่จะวางแผน “ชักหน้าให้ถึงหลัง” การทำบัญชีครัวเรือน

การทำบัญชีครัวเรือนมีประโยชน์มาก ในการที่จะรู้พฤติกรรมการใช้จ่ายของเราว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเสมือนฐานข้อมูลเพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์และหาวิธีจัดการการใช้เงินของเราให้ถูกที่ถูกทาง

บัญชีครัวเรือน มี 2 ฝั่ง คือ ฝั่งรายรับ และฝั่งรายจ่าย การทำบัญชีครัวเรือนคือ การจดบันทึกเรื่องการเงินของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายรับหรือรายจ่าย หากตั้งใจทำบัญชีครัวเรือนให้ละเอียด เพียง 1-2 เดือนเท่านั้น เราจะสามารถรู้ว่าในแต่ละเดือนเราเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และหากเราจะขจัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต เราก็จะสามารถเริ่มต้นแก้ไขอุดรูรั่วของเงินไหลออกได้อย่างถูกจุด

ขั้นตอนต่อมาของแผนลดค่าครองชีพ คือ “การปรับวิธีคิด และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์” ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย

การปรับวิธีคิด เป็นด่านแรกที่คุณต้องเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้อยู่ได้ในภาวะรายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง นั่นคือการรู้จักพอเพียง พอใจในสิ่งที่มีอยู่ มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น หลังจากปรับวิธีคิดแล้ว ก็จะต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกัน

Money Tutor ของธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์ของคนวัยทำงานในย่านใจกลางเมืองที่เราเห็นจนคุ้นตา และทำจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มกาแฟ นัดเพื่อนช็อปปิ้ง มีปาร์ตี้หลังเลิกงาน เข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง หลายคนทำสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่บางคนยึดเป็นมาตรฐานที่มนุษย์เงินเดือนควรมี จนคิดว่าถ้าคนอื่นไม่ทำตามก็อาจจะถูกมองว่าแปลกแยก

ถ้าเรามีกิจวัตรแบบนี้ แสดงว่าเราใช้จ่ายด้วยความเคยชินกันประมาณเท่าไหร่ ลองคำนวณกันดูง่ายๆ เช่น รายจ่ายค่ากาแฟ ถ้าในวันทำงานเราดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 1 แก้ว แล้วดื่มกาแฟแก้วละ 50 บาท ระยะเวลาทำงาน 1 เดือน (คิดเป็นเลขกลมๆ 20 วันทำการ) จะเป็นเงินที่จ่ายกับค่ากาแฟ 50 x 20 เท่ากับ 1,000 บาท/เดือน คิดเป็น 5% ของรายได้

ในกรณีที่เราเงินเดือน 2 หมื่นบาท แต่ถ้าเงินเดือนเท่ากันแล้วดื่มกาแฟ ราคาแพงขึ้นเป็นแก้วละ 150 บาท จะเป็นเงินที่ใช้ ดื่มกาแฟ 3,000 บาท/เดือน คิดเป็น 15% ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนรายจ่ายที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากค่ากาแฟแล้ว เราก็ยังมีรายจ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าช็อปปิ้ง อาจจะสัปดาห์ละ 1,000-2,000 บาท ค่าปาร์ตี้สัปดาห์ละประมาณ 1,000 บาท ค่าฟิตเนสเดือนละ 2,500 บาท หรือปีละ 3 หมื่นบาท

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ควรเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อไม่ให้การลดค่าครองชีพกลายเป็นความเครียด และทำให้แผนลดค่าครองชีพล้มเหลวไปเสียก่อน

นอกจากนี้ ก็จะต้องวางแผนการประหยัดเรื่องในบ้าน ลดการใช้ไฟฟ้า และน้ำประปา ซึ่งก็มีวิธีทำได้ไม่กี่อย่าง คือ ไม่เปิดไฟฟ้าทิ้งไว้ อย่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน เพราะจะกระชากไฟทำให้มิเตอร์ไฟวิ่งเร็ว การรีดผ้าก็ควรจะรวมกันรีดครั้งเดียวทีละมากๆ เป็นต้น

ส่วนการประหยัดน้ำมัน ก็จะต้องวางแผนขับขี่ ศึกษาเส้นทางที่จะไปว่ารถติดหรือไม่ ไม่บรรทุกของหนักในรถ ฯลฯ วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดค่าน้ำมันได้จริง

รายจ่ายอีกประเภทหนึ่งที่เป็นรายจ่ายผันแปรโดยแท้จริงคือ การช็อปปิ้งโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ในอดีตเราอาจจะต้องเสียเวลาไปเดินในห้างสรรพสินค้า ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ต่างๆ แต่ขณะนี้นั่งอยู่บ้านเราก็สามารถเสียเงินได้ เพียงแต่คลิกเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ก็มีสินค้ามากมายหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก มาล่อตาล่อใจให้เงินไหลออกจากกระเป๋าเราโดยง่ายดาย

วิธีแก้ไขการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหล่านี้คือ การคิดก่อนซื้อ วางแผนก่อนว่าจะซื้อเพื่ออะไร จะได้ใช้บ่อยแค่ไหน บางคนที่อาศัยอยู่คอนโดมิเนียม สามารถใช้วิธีซื้อของเข้า 1 ชิ้น ก็ต้องขนของออก 1 ชิ้น เพื่อที่จะไม่ทำให้ห้องชุดสวยๆ กลายเป็นโกดังเก็บของ เป็นต้น

พึงจำไว้ว่าสิ่งของใดแม้จะมีราคาถูกลดราคามาก 70-80% ก็ตาม หากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ มูลค่า 1 บาทก็นับว่า “แพง”

อีกสิ่งหนึ่งที่สูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดายโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการซื้ออาหารมาตุนไว้ในตู้เย็น ตอนที่ซื้อก็ซื้อเผื่อว่าจะทำกิน แต่บางคนซื้อเก็บไว้นานจนอาหารหมดอายุหรือเน่าเสีย ต้องเก็บทิ้งไป ซึ่งก็เท่ากับทิ้งเงินไปเท่ามูลค่าของที่ซื้อมา

ส่วนพวกเสพติดเทคโนโลยี ทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ที่จะต้องซื้อของรุ่นใหม่ มีฟังก์ชั่นหรูหรา พึงจำไว้ว่าหากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้อะไรนอกจากดูหนังฟังเพลง เล่นโซเชียลมีเดีย โทรเข้าออกและส่งข้อความ ถือว่าเป็นการซื้อของเกินจำเป็นเช่นกัน

ถ้าขนาดกระเป๋าเงินของเราเริ่มมีขนาดเล็กลง การปรับวิธีการใช้จ่ายเงินให้ลดลงเหมาะสมกับขนาดของเงินในกระเป๋า โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง ในช่วงแรกๆ จะอึดอัดบ้าง เพราะเราอาจจะเคยชินกับความสะดวกสบาย แต่สุดท้ายถ้าเราตั้งใจและอดทน เราจะได้ผลลัพธ์ที่น่าภูมิใจกลับมาเป็น “ผู้ที่ใช้เงินเป็น”

ที่มา posttoday.com


12 คำย่อภาษาอังกฤษสำหรับชาวแชท

มีใครเคยสังเกตกันบ้างไหมเอ่ยว่าในแชทภาษาอังกฤษ หรือแคปชั่นต่างๆ ในเฟสบุคที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นก็มักจะมีคำย่อมาให้เราเห็นกันบ่อยๆ มันคงจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหมคะถ้าหากว่าเราเองก็ใช้มันได้อย่างไหลลื่นเช่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นมาดูกันเลยค่ะ!

chatabbreviations

  1. BFF = Best Friend Forever คำนี้มีความหมายว่าเพื่อนกันตลอดไปนั่นเองค่ะ สามารถใช้ได้เวลาที่เราลงรูปคู่กับเพื่อนสนิท หรืออาจจะลงคู่กับใครบางคนที่เราแอบกิ๊กๆ กั๊กๆ ก็ได้น้า แต่ Best Friend Forever ก็อาจจะกลายเป็น Boyfriend Forever เชียวล่ะ
  2. JK = Just kidding คำนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้เขียนเรื่องแฮรี่พอตเตอร์แต่อย่างใดแต่มีความหมายว่า “แค่ล้อเล่น” ต่างหากนะคะ
  3. BTW = By the way คำย่อนี้เราเคยคิดด้วยว่ามันแปลว่า Between (แป่ว!) แต่จริงๆ แล้วตัวนี้ความหมายของมันก็คือ “ยังไงก็เถอะ” ใช้ในการสรุปเรื่องราวที่เรากำลังคุยกันหรืออาจจะยกอีกประเด็นขึ้นมาพูดหลังจากนั้นก็ได้นะ
  4. ASAP = As soon as possible ความหมายของตัวนี้นั้นจะแปลว่า “เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นั่นเองค่ะ ซึ่งเรามักจะพบเจ้าคำนี้บ่อยๆ ในจดหมายหรืออีเมล์
  5. ATM = At the moment เจ้าคำนี้นั้นไม่ได้มีความหมายสื่อไปถึงตู้กดเงินอย่างที่เราคิดนะคะ แต่ความหมายตรงตัวของมันก็คือ “ช่วงนี้” ค่ะ สามารถให้ขึ้นประโยคหรือว่าลงท้ายประโยคก็ได้นะ
  6. HAND = Have a nice day นี่คืออีกคำหนึ่งที่น่ารักน่าใช้เลยทีเดียวค่ะ (แน่นอนว่าไม่ได้แปลว่ามือนะคะ) ความหมายของมันนั้นก็คือ “มีวันที่ดีนะ” เราสามารถใช้คำนี้แทนคำว่า Bye ในการจบบทสนทนาก็ได้นะคะ ฟังดูน่ารักดีเลยค่ะ
  7. IMO = In my opinion คำนี้นั้นจะใช้ก็ต่อเมื่อเราต้องการออกความคิดเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งค่ะ ความหมายตรงตัวของมันก็คือ “ฉันคิดว่า…” หรือ “ในความคิดเห็นของฉัน…”
  8. NBD = No big deal สำหรับอันนี้นั้นเราจะใช้ก็ต่อเมื่อคู่สนทนาขอให้เราช่วยอะไรสักอย่างหรือไม่ก็อยากจะบอกเขาว่าเรื่องที่เขาให้เราช่วยนั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย โดยที่คำว่า No big deal นั้นจะมีความหมายว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
  9. LOL = Laughing out loud ถ้าหากใครมีเพื่อนชาวต่างชาติแล้วได้คุยแชทกันล่ะก็ยังไงก็ต้องเคยเจอตัวย่อนี้เเน่ๆ ค่ะ ซึ่งเจ้า LOL นี้จะมีความหมายว่าหัวเราะดังมาก ใช้แทน ฮ่าๆๆ หรือ 555 ในบ้านเรานั่นเองค่ะ
  10. BTDT = Been there, done that อันนี้เราว่ามันช่างเป็นคำย่อที่ง่ายๆ และได้ใจความชัดเจนดีเสียจริงเลยค่ะ เพราะเจ้าคำว่า Been there, done that นี้มีความหมายว่า “ไปมาแล้วและทำเรียบร้อยแล้ว” อาจจะใช้ตอบคำถามเชิงประมาณว่า “คุณไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตมาหรือยัง?” ซึ่งเราก็สามารถตอบได้ทันทีเลยว่า BTDT
  11. GG = Good game คำนี้เหล่าบรรดาเกมเมอร์คงจะคุ้นเคยกันไม่น้อยเลยจริงไหมล่ะคะ? คำนี้นั้นจะใช้เพื่อบอกคนที่เล่นเกมร่วมกับเราว่าเกมนี้มันช่างเป็นเกมที่ดีจริงๆ
  12. GJ = Good job มีการชมเกมที่ดีแล้วก็คงจะต้องมีการชมงานที่ดีเช่นกัน แต่คำว่า Good job นี้ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นชิ้นงานหรือการทำงานจริงๆ ก็ได้นะคะ อาจจะใช้ชมคู่สนทนาว่าสิ่งที่เขาทำมันดีก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นชิ้นงานให้เห็น เช่นบางทีเขาอาจจะไปทำธุระให้เราเราก็อาจจะใช้คำนี้พูดกับเขาก็ได้ค่ะ

และนี่ก็คือคำย่อคร่าวๆ ที่ฝากมาให้เพื่อนๆ ได้นำไปใช้กันนะคะ รับรองว่าคราวนี้คงสามารถคุยกับชาวต่างชาติได้ลื่นขึ้นกันอีกเป็นกองเลยล่ะ ?

ที่มา dailyenglish.in.th


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 9/06/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,500.00 20,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,328.00 20,132.48 21,100.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,195.20 18,119.23 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 598.00 9,065.68 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 465.00 7,049.40 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,376.00 20,860.16 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  9/06/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 26.25 26.25 26.25 26.25 26.25 26.25 26.25 26.25 26.25
แก๊สโซฮอล E-20 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74
แก๊สโซฮอล E-85 19.44 19.44 19.44 19.44
แก๊สโซฮอล 91 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98 25.98
เบนซิน 95 33.36 33.81 33.81 33.86 33.36 33.36 33.36
ดีเซลหมุนเร็ว 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59 24.59
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 27.59 28.27 28.27 28.27 28.27
มีผลตั้งแต่ 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00 06 Jun 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า